Amazon เตรียมออกเครื่องอ่านอารมณ์มนุษย์

รายงานล่าสุดจาก Bloomberg : Amazon กำลังสร้างอุปกรณ์ทำงานบนอุปกรณ์สวมใส่ที่เปิดใช้งานด้วยเสียงและสวมผ่านข้อมือ และสามารถตรวจจับ อารมณ์ของมนุษย์ ได้ ซึ่งนี่จะเป็นอุปกรณ์เพื่อสุขภาพที่ค่อนข้างแปลกใหม่ที่เรามักจะคุ้นเคยกับการเห็นในแคมเปญคราวด์ฟันดิ้ง แทนที่จะเป็นหนึ่งใน บริษัท เทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Amazon

Bloomberg ได้พูดคุยกับแหล่งข้อมูลและตรวจสอบเอกสารภายในของ Amazon ซึ่งมีรายงานว่าทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านเสียงของ Alexa และ ฝ่ายฮาร์ดแวร์ที่ชื่อว่า Lab126 ของ Amazon ร่วมมือกันพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ได้ อุปกรณ์ที่ทำงานพร้อมกับแอพสมาร์ทโฟนซึ่งจะมีไมโครโฟนที่สามารถ“ แยกแยะอารมณ์ของผู้สวมใส่จากเสียงของพวก” 

Lab126 จะรับผิดชอบในเรื่องของ Kindle, Fire Phone และลำโพง Echo ซึ่งได้มีการเปิดตัว Alexa เป็นครั้งแรกและรายงานเมื่อปีที่แล้วชี้ให้เห็นว่า Lab126 กำลังพัฒนาหุ่นยนต์ใช้งานในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งความพยายามด้านฮาร์ดแวร์ทั้งหมดของอเมซอนในขณะนี้คือการสร้างระบบนิเวศของอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติของ Alexa ด้วยความสามารถของหุ่นยนต์ ที่มีข่าวลือว่าทำให้ Alexa สามารถการตรวจจับอารมณ์จากเสียงของผู้ใช้งานได้

ซึ่งเทคโนโลยีตามข่าวลือดังกล่าวนี้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ยังไม่มีใครทำได้เพราะมันยากที่จะทำให้เป็นจริง ซึ่งจากข่าวลือในตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าโครงการของ Amazon เข้าใกล้ความเป็นจริงแค่ไหน และจะทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ออกมาจำหน่ายได้หรือไม่ ดังนั้นในอนาคตอันใกล้นี้ เราอาจจะได้เห็นเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบอารมณ์มนุษย์ได้จาก Amazon นั่นเองครับ

References : 
https://www.theverge.com/circuitbreaker/2019/5/23/18636839/amazon-wearable-emotions-report

SMART LIVING in THE SMART WORLD

Thailand 4.0 คงเป็นคำที่พวกเราได้ยินกันบ่อยขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ในขณะที่ Smart Phone Tablet คืออุปกรณ์ที่แทบจะทำได้ทุกอย่างที่ช่วยให้การใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบันสะดวกสบายกันมากขึ้น และในอุปกรณ์เหล่านี้ที่พวกเราใช้งานกันอยู่นั้นจะมีระบบนึงที่เรียกว่า “Voice Recognition” ที่คอยช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน แต่พวกเราอาจมองข้ามและอาจไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าใดนัก เพราะการใช้งานโดยการพิมพ์ หรือสัมผัสหน้าจอนั้นค่อนข้างถนัดหรือทันใจกว่าการที่เราจะต้องสั่งงานด้วยเสียง และตัดปัญหาในเรื่องของกำแพงภาษาออกไป

Siri ในฐานะ Intelligent Assistant ของระบบ Voice Recognition บน iPhone 4S ที่ได้เปิดตัวเป็นที่รู้จักครั้งแรกเมื่อปี 2011 ทำให้การสั่งงานอุปกรณ์ด้วยเสียงนั้นได้เริ่มกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก Smart Devices ในปัจจุบัน ต่อมาทาง Google เอง ก็ได้มี Google Now ทาง Microsoft เจ้าของระบบปฏิบัติการอย่าง Windows 10 ก็มี Cortana

แต่ด้วยข้อจำกัดด้านความสามารถของเหล่า Intelligent Assistant เหล่านี้ที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผู้ใช้สามารถค้นหาและทำทุกอย่างได้เองบนมือถือ รวมถึงการที่ตัว Intelligent Assistant ต้องไปอยู่บนสมาร์ทโฟน อีกเหตุผลที่สำคัญคือผู้ใช้เองก็ไม่กล้าสั่งงานด้วยเสียงในที่สาธารณะและตัวระบบเองก็ไม่พร้อมที่จะรองรับคำสั่งตลอดเวลา แต่ต้องมีการกดปุ่มโฮมค้างไว้เพื่อออกคำสั่ง ทำให้ Intelligent Assistant หรือการสั่งงานด้วยเสียงช่วงแรกๆ ไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้มากนัก จนกระทั่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้ Intelligent Assistant นั้นมาอยู่บนลำโพงที่มีการเปิดระบบให้พร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา (always-on) หรือที่เรียกว่า “Smart Speakers”

การย้าย Intelligent Assistant ไปอยู่บนลำโพงที่ always-on ที่สามารถรองรับคำสั่งได้ตลอดเวลาทั้งจากระยะไกลและ/หรืออยู่ในพื้นที่ส่วนตัวอย่างในบ้าน ออฟฟิศ ทำให้ลำโพงกลายเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์การสั่งงานด้วยเสียงมากกว่าบนสมาร์ทโฟน

เมื่อ Intelligent Assistant ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รองรับคำสั่งมากขึ้นและเป็นธรรมชาติมากขึ้น จึงมีการเปิดตัวอุปกรณ์ Smart Speakers ออกมาอย่างมากมายในช่วงปีกว่าๆที่ผ่านมา ที่เป็นที่รู้จักและใช้งานกันอยู่ ณ เวลานี้นั้นได้แก่ “Amazon Echo” ของ Amazon “Google Home” ของ Google และ “Homepod” ของ Apple และที่กำลังจะตามมาอย่าง “Bixby” ของ Samsung รวมไปถึง “Cortana” ของ Microsoft

เหล่า Smart Speaker แบรนด์ต่าง ๆ

เหล่า Smart Speaker แบรนด์ต่าง ๆ

เกริ่นมาเสียยาว ว่าแต่เจ้า “Smart Speakers” นี่มันทำอะไรได้บ้าง สำคัญอย่างไร จำเป็นหรือยังกับวิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ความสามารถทั่วไปนั้น ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ใน Smart Phone อย่างเช่น การค้นหาข้อมูล หรือตอบคำถามต่างๆ คล้ายกับว่าเรากำลังพูดคุย สนทนากับใครสักคนที่ค่อนข้างรอบรู้ไปหมดทุกเรื่อง หรือช่วยเราหาข้อมูลต่างๆได้มากมาย แน่นอนว่าถ้าความสามารถแค่นี้ อาจจะยังไม่ค่อยสำคัญหรือจำเป็นสักเท่าไหร่

แต่สิ่งที่ Smart Speakers สามารถทำได้มากไปกว่านั้นคือ การสั่งงานอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆภายในบ้าน ออฟฟิศ จะเพียงแค่เปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้น หรือจะให้ปรับรายละเอียดต่างๆก็แล้วแต่ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆจะมีการสั่งงานได้มากเพียงใด ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการเปิด-ปิดทีวี ก็แค่ออกเสียงสั่งการ จะปรับระดับเสียงทีวี ก็แค่ออกเสียงสั่งการ จะเปิด-ปิดแอร์ หรือปรับอุณหภูมิก็แค่ออกเสียงสั่งการ  รวมไปถึงการเปิด-ปิดไฟ และอีกหลายๆเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีภายในบ้าน ก็สามารถที่จะควบคุมสั่งการได้เพียงออกเสียง

ไม่เพียงแค่นั้น Smart Speakers ยังสามารถที่จะตอบสนองความต้องการด้านอื่นๆได้อีก เช่น เราต้องการฟังเพลงอะไร ก็แค่สั่งการออกไป มันก็จะสามารถเล่นเพลงที่เราต้องการได้ รวมไปถึงออกคำสั่งให้เป็นการตั้งปลุก เตือน หรือสร้างกำหนดการนัดหมายต่างๆในชีวิตประจำวันก็ทำได้ เสมือนมีเลขาส่วนตัวในบ้าน ในออฟฟิศ โดยเฉพาะคนที่อยู่คนเดียว Smart Speakers ก็สามารถเป็นเพื่อนที่คอยสนทนา หรือเล่นเกมส์ด้วยกันได้อีกด้วย

Jarvis กำลังจะมาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่แค่เพียงในหนัง

Jarvis กำลังจะมาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่แค่เพียงในหนัง

ทั้งหมดที่กล่าวมา ในโลกปัจจุบันที่อะไรๆก็สามารถเป็นจริงได้ ลองนึกภาพของ Jarvis ระบบ Artificial Intelligent (AI) ในภาพยนตร์เรื่อง Iron Man ซึ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่เกิดขึ้นจริงในอนาคตอันใกล้ และถ้าการพัฒนาเจ้า Smart Speakers นี้สามารถเป็นอุปกรณ์ที่สามารถพกพาติดตัวไปไหนก็ได้ เราก็จะมี AI ที่คอยอำนวยความสะดวกให้เราตลอดเวลา

กอปรกับปัจจุบันกระแสการพัฒนาด้าน AI ที่แทบจะมาแทนการทำงานหลายๆอย่างของมนุษย์นั้นกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าจะให้เห็นภาพง่ายๆ ก็อย่างเช่นการทำธุรกรรมทางการเงินทุกอย่างผ่านแอพพลิเคชันใน Smart Phone โดยที่เราไม่ต้องไปธนาคารอีกต่อไป เจ้าหน้าที่ธนาคารก็อาจจะแทบไม่มีความจำเป็นอีกแล้วในอนาคต การชำระสินค้าบริการต่างๆในปัจจุบันที่ต้องไม่ต้องพกเงินสด เพียงคุณหยิบ Smart Phone ขึ้นมา แล้วสแกนผ่าน QR Code และอีกหลายๆอย่างในหลายๆวงการที่นำ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการ

Artificial Intelligent (AI) ในความคิดของผมไม่ได้มาทำให้มนุษย์เราเป็นง่อย งอมืองอเท้าทำอะไรไม่เป็น แต่มันคือสิ่งที่มาทำให้มนุษย์เรามีเวลามากขึ้นในการที่จะเอาตัวเองไปพัฒนาทักษะทางด้านอื่นที่จำเป็นกับชีวิตของตนเอง และ “เวลา” ก็ยังคงเป็นสิ่งที่มีค่ากับมนุษย์เราเสมอ ในวันที่โลกช่างหมุนเร็ว และเร็วขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันที่จะชะลอลงเลย

สวัสดีครับ

ปล. สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลอ้างอิง ตามนี้นะครับ

Google Assistant vs Alexa กับการเดินเกมใหม่ของ Google เพื่อสู้ Amazon

https://www.blognone.com/node/99773

รู้จักกับ ระบบสั่งงานด้วยเสียง ( Intelligent Personal Assistant ) บนสมาร์ทโฟน

https://www.it24hrs.com/2014/siri-svoice-google-now/

แนะนำเครื่องมือ Artificial Intelligence (AI) ที่ช่วยเสริมกลยุทธ์การตลาดและเพิ่มยอดขายอย่างชาญฉลาด

https://www.contentshifu.com/productivity/artificial-intelligence-ai-marketers/

 

บทความจาก spcial guest  : Yupawat Thukngamdee

Credit Image : bellanaija.com

AI First กับ Game Changer ของ Google

ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียน Blog ไว้หลาย ๆ เรื่องว่า Facebook นั้นกำลังก้าวขึ้นมาต่อกรกับ Google และมีโอกาส แซง Google ได้ในอนาคตอันใกล้ นี้ แต่หลังจากงาน Google IO 2018 เมื่อกลางปีนั้นทำให้ความคิดผมต้องเปลี่ยนไป ต้องขอบอกว่า Google นั้นไปไกล เกินกว่าที่ Facebook หรือบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ จะไล่ตามทันเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะเรื่องงานวิจัยด้าน AI  ถ้าได้มองใน Google Research จะพบว่ามีการวิจัยที่ก้าวล้ำไปอย่างมาก และ google นั้นมองถึงเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลกเรา และ เน้นไปที่การสร้างสังคมที่ดีขึ้น อย่างที่ concept ของ ผู้ก่อตั้ง ที่เคยกล่าว ไว้คือ “google make the world a better place

รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้า facebook ในปัจจุบันทั้งเรื่องข้อมูลที่หลุดรั่วอย่าง Cambridge Analytica รวมถึงประเด็นเรื่องข่าวลวงต่าง ๆ ที่ไม่มีวี่แววว่า facebook นั้นจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างเด็ดขาดเสียที ซึ่งจากปัญหาร้ายแรงเหล่านี้นั้น Mark Zuckerberg ควรที่จะลงจากตำแหน่ง

และควรที่จะมอบหน้าที่ให้ มืออาชีพ ด้านการบริหารมาดูแลแทนได้แล้ว เหมือนอย่างที่ google เคยให้ Eric schmidt มาช่วยดูแลในช่วงแรก ๆ ก่อนส่งไม้ต่อไปให้สองผู้ก่อนตั้งหลังจากผ่านการเรียนรู้อย่่างมากมายจาก Eric Schmidt ก่อนที่จะมาแข็งแกร่งเหมือนทุกวันนี้

From Mobile First to AI First

จาก mobile first เปลี่ยนเป็น AI First

จาก mobile first เปลี่ยนเป็น AI First

ปีนี้นั้น Google เปลี่ยนการขับเคลื่อนธุรกิจทั้งหมดใหม่ทั้งหมด โดยเน้นเรื่องหลักคือ AI First ซึ่งอย่างที่ CEO ของ Google อย่าง ซันดาร์ พิชัย เคยกล่าวไว้ในปีก่อน ๆ หน้า แม้เราอาจจะเห็นบริษัทอื่นๆ  อย่าง Apple ที่มีผลิตภัณฑ์อย่าง SIRI หรือ Amazon ที่มี Alexa แต่ต้องบอกว่า Google Assistant ของ Google นั้นมาไกลเกินกว่าที่ SIRI หรือ Alexa กำลังทำอยู่ค่อนข้างที่จะห่างมาก

แล้วทำไม Google ถึงไปไกลกว่าคนอื่น  ถ้าพูดถึง วิศวกรด้าน AI เทพ ๆ นั้นมีการถูกซื้อตัวกันเป็นว่าเล่นเป็นเรื่องปรกติในซิลิกอน วัลเลย์ ซึ่งเทคโนโลยีหรืองานวิจัยระดับสูงนั้น ต้องอาศัยวิศวกรที่มีความรู้ด้านนี้ค่อนข้างสูง และมีจำนวนน้อยคนนัก ซึ่ง Google นั้นทุ่มเททรัพยากรด้านนี้มากกว่าใครเพื่อนใน Silicon Valley เลยก็ว่าได้

ซึ่งสาเหตุสำคัญนั้นน่าจะมาจากการที่ Product ของ Google หลัก ๆ นั้นค่อนข้างจะนิ่งและทำเงินได้สูงดังตัวอย่างของ Google Search และ Youtube ซึ่งทำให้ Google สามารถนำงบประมาณไปทุ่มกับการวิจัยเป็นจำนวนมหาศาล สามารถที่จะจ้างวิศวกรค่าแรงสูง ๆ และมีความสามารถสูงมารวมตัวกันได้อย่างมากมาย และตอนนี้มันกำลังเริ่มเห็นผลแล้วว่า บริษัทที่มีการทุ่มงบด้าน R&D สูงนั้นสามารถสร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกของเราได้

แต่ที่น่าสนใจมากที่สุดหลังจากการเปลี่ยนขับเคลื่อนธุรกิจมาที่ AI First  ก็น่าจะเป็นเพราะว่า ตอนนี้ Google กำลังทำ AI ให้นำมา Implement ใช้จริงในชีวิตประจำวันของมนุษย์เรา ซึ่งก่อนหน้านี้ เราอาจจะดูว่า AI เป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องในนวนิยาย เป็นเรื่องล้ำ ๆ เกินกว่าที่เราจะเข้าถึง แต่เทคโนโลยีล่าสุดของ Google ที่แสดงในงาน Google I/O เมื่อกลางปีนั้นสามารถนำมาใช้ในชีวิตจริง ๆ ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ความเป็นอยู่ของมนุษย์เราดียิ่งขึ้น และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างง่ายขึ้น สมกับ concept ของ Google คือ “google make the world a better place

เทคโนโลยีที่น่าสนใจที่นำ AI มา Implement ใช้จริงของ Google

ต้องบอกว่าอุปกรณ์ของ Google นั้นในตอนนี้แทบจะยึดโลกแล้วก็ว่าได้ แค่เพียง Android อย่างเดียวก็เป็นพันล้านเครื่องแล้ว ยังไม่นับรวมพวก IoT Device ต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างมากมาย ที่ใช้ระบบปฏิบัติการของ Google ซึ่งเมื่อผนึกกับ Technology ทางด้าน AI นั้นที่ Google แทบจะใส่ไปในทุกผลิตภัณฑ์หลักเลยไม่ว่าจะเป็น Google Assistant , Google Map , Google Photo , Google Lens หรือ ใน Self-Driving Car ก็ล้วนแล้วแต่ใช้ เทคโนโลยีด้าน AI มาเป็นส่วนสำคัญของผลิตภัณฑ์ในแทบจะทุกตัว แต่ถ้าพูดถึง Detail ของ Technology ด้าน AI ที่ค่อนข้างน่าสนใจในปีนี้ของ Google นั้น ในมุมมองส่วนตัวของผมน่าจะเป็น

  • Naturally Conversation & Continued Conversation

ตัองบอกว่า Google Assistant ในปีนี้ ถือเป็น Product เด่นเลยทีเดียว ด้วยความสามารถที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แทบจะมีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์ขึ้นไปทุกวัน Google ได้แก้ปัญหาหลักอย่าง Naturally Conversation และ Continued Conversation เพื่อให้ Assistant นั้นแทบจะทำงานได้เหมือนมนุษย์จริง ๆ สามารถตอบโต้กลับไปกลับมาได้ใกล้เคียงกับมนุษย์จริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งเบื้องหลังการทำงานนี่ต้องบอกว่าต้องผ่านการวิจัยที่โหดพอสมควร ถึงเราจะได้เห็น Product ที่ ใช้งาน ได้แบบนี้ขึ้นมา

  • Google Maps and Lens

ถือว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวเลยทีเดียวที่ใช้พลังของ AI มาใช้งานร่วมกับ Camera รวมถึง Google Maps ทำให้ชีวิตเรานั้นง่ายขึ้น รวมถึงช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ของเราได้อย่างดีเยี่ยมผ่านนวัตกรรมของ AI จาก Google โดยเฉพาะ Google Lens นั้น ถือว่า Surprise มากอยากใช้งานจริงได้ไว ๆ เราสามารถที่จะหาสินค้า หรือของทุกสิ่งได้ผ่าน Camera ของเราได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ต้องบอกว่าเป็นสุดยอดนวัตกรรมเลยก็ว่าได้สำหรับ Google Lens ที่ขับเคลื่อนด้วยพลัง AI ของ Google

Google ไม่ใช่นักบุญสุดท้ายก็จะทำเงินจาก Product เหล่านี้อยู่ดี

ถึงแม้จะมี Product ที่ว้าวขนาดไหน ช่วยแก้ปัญหาให้การใช้ชีวิตประจำวันเราได้มากขนาดไหน แต่สุดท้าย ที่ google ทำก็เพื่อขายโฆษณาอยู่ดี ไม่ต้องคิดเลยว่าต่อไปเราจะมี Google Assistant Ads ที่เราสามารถลงโฆษณาได้ โดยให้ Google Assistant เลือกบริการของเราก่อนใคร เมื่อผู้ใช้งานเรียกใช้บริการต่าง ๆ ผ่าน Google Assistant หรือ แม้กระทั่ง Google Lens มันเป็น Product ที่ค่อนข้างชัดเจน ที่ทำมาเพื่อตอบโจทย์การโฆษณาชัด ๆ

ลองจินตนาการ ว่าเราอยากได้สินค้าที่เพื่อนมี ไม่ต้องไปหาที่ไหน เอากล้องเล็งไปที่สินค้านั้น ๆ Google ก็จะ Provide หาสินค้ามาให้เราซื้อได้เอง โดยแทบไม่ต้องไปค้นหาจากไหนเลย ซึ่งเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่ง Model ธุรกิจใหม่ ๆ ของ Google ล้วน ๆ ซึ่งจากช่วงหลังเราจะเห็นได้ว่า Google แทบจะมีได้รายได้หลักมาจาก Google Search เพียงอย่างเดียว แต่มันก็เพียงพอที่ Google สามารถที่จะนำเงินไปทุ่มเททรัพยากรเพื่อทำการ R&D ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างที่เราเห็นและสุดท้ายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ก็จะกลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์ใหม่ ๆ ให้ google อยู่ดีนั่นเอง

Credit Image : https://www.facebook.com/ProgrammersCreateLife

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol