ต้องบอกว่าปัจจุบันเราได้ก้าวเข้าสู่ยุค Homo technicus แบบเต็มตัว เป็นยุคที่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อ ChatGPT เปิดตัวสู่สาธารณะ มันได้ผลักดันให้ AI เข้าสู่พื้นที่สาธารณะอย่างรวดเร็ว ไม่เคยมีแชตบอตเจ๋งขนาดนี้มาก่อน ทั้งเขียนบทความ แต่งกวี อธิบายทฤษฎีสุดล้ำ และเปิดให้ทุกคนใช้ได้ง่ายๆ
มนุษย์ค่อยๆ พึ่งพา AI มากขึ้นโดยแทบไม่รู้ตัว เหมือนถูกเสกให้ยืมจมูก AI หายใจไปแล้ว โดยไม่เข้าใจผลกระทบที่จะตามมา
การปฏิวัติความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับสังคมมนุษย์ครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่ยุค Enlightenment ที่แพร่กระจายความคิดสมัยใหม่ผ่านแท่นพิมพ์
แต่ยุค AI ต่างออกไป เพราะเทคโนโลยีใหม่นี้สร้างช่องว่างระหว่างความรู้และความเข้าใจของมนุษย์ ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจว่า AI ทำงานยังไง มัน ‘คิด’ ยังไง และมันรับรู้โลกยังไง มันจะลดทอนความเป็นอิสระของเรา
สำหรับผู้บริโภคทั่วไป AI สร้างความพึงพอใจผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ผู้ช่วยเสียงดิจิทัลไปจนถึงรายงานจราจรและสภาพอากาศแบบเรียลไทม์
แต่ AI ก็ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดได้เช่นกัน เช่น เมื่อ AI ปฏิเสธผู้สมัครงานโดยไม่มีคำอธิบาย หรือแย่กว่านั้น คือการผลิตซ้ำอคติและความลำเอียงเดิมๆ
โมเดลภาษาสามารถมีอาการที่เรียกว่า ‘ประสาทหลอน (hallucinate)’ และให้ข้อมูลผิดอย่างมั่นใจ โมเดลที่ถูกปรับด้วยข้อมูลจากมนุษย์ทำให้เกิดคำถามเรื่องค่านิยมที่เรากำลังฝังลงไปในระบบเหล่านี้เช่นเดียวกัน
เมื่อเทคโนโลยีนี้พัฒนาเร็วขึ้น เราจะทำให้คนทั่วโลกเข้าถึง AI ที่เป็นประโยชน์ได้อย่างไร?
มีคำถามเรื่องสิทธิมนุษยชนและความโปร่งใสก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ เรามีสิทธิ์รู้ไหมว่ากำลังดูเนื้อหาที่สร้างโดย AI? แล้วจะบังคับใช้กฎหมายยังไง?
ChatGPT มีทั้งประโยชน์และอันตราย และเราควรจำไว้ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไม่ได้รับประกันความก้าวหน้าทางศีลธรรม
Max Weber นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน เคยบอกว่าความทันสมัยในศตวรรษที่ 20 คือ disenchantment หรือ การคลี่คลายตัวของประวัติศาสตร์ไปสู่กระบวนการใช้เหตุผลของมนุษย์ที่เพิ่มพูนขึ้น แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม
มีความรู้สึกถวิลหาในความสามารถของ AI ไม่ว่าจะเป็นการแปลภาษา การค้นพบยา วัสดุใหม่ หรือการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นจังหวะการพัฒนาที่โครตเทพมากๆ
โมเดลสร้างภาพเก่งพอจะชนะการแข่งขันศิลปะ ระบบที่เปลี่ยนข้อความเป็นดนตรี โค้ด และวิดีโอกำลังมาแรง อนาคตของความคิดสร้างสรรค์กำลังจะบูมแบบสุดขีด
อีกจุดสำคัญคือ AI มีข้อจำกัด ไม่ได้เชื่อถือได้เสมอไป ซึ่งยืนยันความสำคัญของการดูแลโดยมนุษย์ นี่เน้นย้ำคุณค่าของงานสร้างสรรค์ที่ AI ไม่น่าจะทำแทนได้ทั้งหมด
มองไปข้างหน้า Generative AI จะยังพุ่งทะยานต่อไป และเราจะได้เห็นโมเดลที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีกว่าเดิมในอีกไม่กี่ปี
แต่เราไม่ควรปล่อยให้ความเทพของ AI มาครอบงำเรา ในขณะที่ AI เก่งกว่ามนุษย์ในบางเรื่อง เช่น การค้นพบยา halicin ที่ฆ่าเชื้อดื้อยาได้ แต่ในเรื่องอื่นๆ เช่น การจดจำใบหน้า มันก็ทำผิดพลาดแบบเลือกปฏิบัติที่เด็กยังไม่ทำ
Cade Metz แห่ง New York Times เคยบอกว่า GPT-4 “เป็นผู้เชี่ยวชาญในบางหัวข้อและเป็นมือสมัครเล่นในหัวข้ออื่นๆ” ซึ่งมันเห็นภาพได้ชัดเจนมาก ๆ
สถานการณ์แบบนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า ความก้าวหน้าของ AI หมายถึงอะไรกันแน่? ลองคิดถึงผู้พิพากษาหุ่นยนต์ที่ปรับให้ตัดสินคดีอาญาอย่างยุติธรรม เราควรใช้เทคโนโลยีแบบนี้ไหม?
การตัดสินใจบางอย่างควรอยู่ภายใต้การดูแลของมนุษย์เท่านั้น แม้จะให้ AI ที่ไม่ใช่มนุษย์ทำได้ก็ตาม
ตามคำทำนายในหนังสือชื่อดังอย่าง The Age of AI เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่การตัดสินใจเกิดขึ้นในสามรูปแบบ: โดยมนุษย์ (คุ้นเคย) โดยเครื่องจักร (กำลังคุ้นเคย) และโดยมนุษย์-เครื่องจักรร่วมกัน
การใช้ AI อย่างรับผิดชอบควรเพิ่มประสิทธิภาพของปัญญามนุษย์ ไม่ใช่แทนที่หรือทำซ้ำข้อผิดพลาดของมนุษย์ ต้องไม่ให้เทคโนโลยีมานำเราไปสู่ความหายนะ
ปัญหาที่ยากที่สุดไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม ภูมิรัฐศาสตร์ ปรัชญา เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย การกำกับดูแล และอื่นๆ อีกมากมาย
ดังนั้น ยุคของ Homo technicus จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่เป็นเรื่องของการเขียนบทใหม่ทางประวัติศาสตร์ร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI
เพราะฉะนั้นเราต้องมองความเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้ความเจ๋งของเทคโนโลยีทำให้เราลืมคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สำคัญที่สุด
และในโลกที่ AI มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เราต้องจำไว้เสมอว่า เทคโนโลยีควรเป็นเครื่องมือที่เราใช้ ไม่ใช่สิ่งที่ใช้เรา หรือขีดชะตาชีวิตของเรา
อนาคตที่ดีที่สุดคือการผสานจุดแข็งของมนุษย์และ AI ไม่ใช่การปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งครอบงำ เราต้องรังสรรค์เส้นทางนี้ด้วยกัน เพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับทุกคน