JT 8704 ตอนที่ 3 : เที่ยวให้เต็มที่สิ

หลังจากผ่านการเดินทางที่แสนทรมาน ผมก็ถึงที่หมายคือ เชียงราย หนุ่มได้จัดรถตู้มารับเราถึงสนามบินไปส่งที่โรงแรม ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงเวลาประมาณทุ่ม ถึง 2 ทุ่ม ผมรู้ว่าเพื่อนในแก๊งค์ หลายคนได้มาถึงเชียงรายกันหมดแล้ว เราก็เดินทางเข้าสู่โรงแรม ซึ่งอยู่ใกล้ๆ  กับ มหาลัยแม่ฟ้าหลวง ผมกับเอ ได้พักห้องเดียวกัน ต่างคนต่างทิ้งกระเป๋า เพื่อเตรียมไปเจอเพื่อน ๆ แก๊งค์ใหญ่ ที่รออยู่ใจกลางเมืองเชียงราย

ผมมีแก๊งที่ดื่มกันประจำตอนเรียนมหาลัย คือ แก๊งค์ ของ โอม โดยมี โจ้ ที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุด ซึ่งเราเริ่มมาทำงานกรุงเทพด้วยกัน ตั้งแต่เริ่ม และย้ายไปอยู่ที่ทำงานที่สองด้วยกัน ผมจึงสนิทกับโจ้เป็นพิเศษ

ความจริงตอนเรียนอยู่มหาลัยตอนเข้าสู่ภาควิชา คอมพิวเตอร์ นั้น ผมเป็นเด็กจากคณะวิศวะรวมในปี 1  ที่ไม่ได้แยกเข้าภาค คอมมาตั้งแต่ปี 1 ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะสนิทกันใน group กันอยู่แล้ว พอเข้าสู่ภาควิชาคอมพิวเตอร์ในปี 2 นั้นก็ทำให้ผมเคว้งไปพักหนึ่งเหมือนกัน เพราะไม่ค่อยมีเพื่อนในช่วงแรก จนมาเจอกับแก๊งค์ ของโอม ในการไปช่วยเหลือเหยื่อ สึนามิ ที่พังงาด้วยกัน ทำให้สนิทกันมากขึ้น จึงได้นัดดื่มกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะ โจ้ นี่เป็นเพื่อนดื่มที่เจอกันมากที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะอยู่ด้วยกันหลายปีมาก ก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปในตอนหลัง

เราได้รวมแก๊งค์กันในร้านเบียร์ใจกลางเมือง ตอนนั้นผมลืมเหตุการณ์ที่ขึ้นเครื่องบินไปสนิท เพราะไม่มีอาการใด ๆ หลังจากลงเครื่องมา เราจึงดื่มกันเต็มที่ตั้งแต่ช่วง 3 ทุ่ม ไปถึง เกือบตี 1 จนร้านเบียร์ปิด เราก็ไปต่อกันที่ร้านคาราโอเกะ แล้วก็กินเหล้าต่อ เนื่องจากไม่ได้เจอกันนาน จึงมีเรื่องคุยกันเยอะสนุกสนานเฮฮา หยอกล้อกันไป จนร้านคาราโอเกะปิด ในตี 4 เราก็เริ่มเมากันได้ที่ ความจริงก็อยากหาที่ไปต่อ แต่ถามแท็กซี่เจ้าถิ่น ก็บอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว จึงเดินทางกลับ ซึ่งรุ่งเช้านั้น ก็จะเป็นงานเช้าของงานแต่งงานหนุ่ม แต่แทบจะไม่มีคนตื่นไปงานเช้ากันเลย มีแค่บางคนที่ไม่ได้กินหนักก็พอไปได้ แต่ยอมรับว่าคืนนั้นเมามาก ๆ ซึ่งไม่ได้กินเยอะขนาดนี้มานานมาแล้วเพราะภาระหน้าที่การงานที่ค่อนข้างรัดตัว กลับมาก็สลบคาเตียงไม่รู้ตัว กว่าจะตื่นก็ บ่าย ๆ ของอีกวัน

ผมตื่นมาพร้อมอาการแฮงค์ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ จากร่างกายว่าเริ่มผิดปรกติ ทุกอย่างเป็นปรกติ ผมไปหาข้าวทานซึ่งต้องเดินไกลพอสมควร เนื่องจากแถวนั้นไม่มีร้านข้าวเลย แต่อยู่ใกล้หอพักของนักศึกษา เราก็ไปนั่งกินกัน แทบจะเป็นมื้อเดียวของวันนั้น เพราะตอนเย็นก็จะมีงานแต่งงานหนุ่ม ซึ่งเราต้องกลับไปเตรียมตัวเพื่อไปงานแต่งหนุ่มในตอนเย็น

Blog Series : JT8704 Flight เปลี่ยนชีวิต

Image Ref : www.deathandtaxesmag.com

 

 

JT 8704 ตอนที่ 2 : การเดินทางที่แสนทรมาน

เมื่อวันเดินทางมาถึง วันนั้นก็เหมือนวันทั่ว ๆ ไปปรกติ แต่เนื่องจากเป็นวันธรรมดา ไม่ใช่ช่วงวันหยุด ผมจึงได้ตัดสินใจลางาน เพื่อเก็บข้าวของ และเตรียมตัวไปในตอนเย็น ซึ่ง Flight ที่เราเดินทางจะเป็น Flight ช่วงเย็น

ผมนัดกับ เอ ให้มารับที่บ้าน เพราะเป็นทางผ่านที่จะไปสนามบินโดยให้แฟนของ เอ ช่วยขับรถไปส่งที่สนามบินดอนเมือง เรากะเวลาไว้เผื่อเดินทางประมาณ 1 ชม. ช่วงนั้นสายการบินยังไม่หนาแน่นเหมือนในปัจจุบัน คิดว่าน่าจะขึ้นเครื่องทันอย่างสบาย

แต่กลายเป็นว่าผลจากรถติด ทำให้ เอ มารับผมช้า และเราก็ไปเจอกับรถติดอีกในทางที่จะไปสนามบิน  ปรกติผมจะใช้เวลาไม่นานในการเดินทางจากบ้านไปถึงสนามบิน เพราะบ้านอยู่แถวลาดปลาเค้า ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินดอนเมือง แต่วันนั้นไม่ทราบ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เราใช้เวลานานมากในการเดินทางไปสนามบิน

โดยเฉพาะช่วงที่ติดอยุ่หน้าสนามบินนั้น มันเหมือนการลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่าจะทัน Flight หรือ ไม่ เพราะมันใกล้เวลาที่เครื่องบินจะออกเต็มที่ แต่เรายังค้างอยู่ตรงสะพาน U turn เพื่อเข้าสนามบิน ผมคุยกับ เอ หากไม่ทันจริง ๆ  เราคงไม่ไปกันแล้ว คงฝากซองเพื่อน ๆ ไปแทน เพราะคงไม่ไปจองเครื่องใหม่เพื่อตามไปอย่างแน่นอน

แต่สุดแล้วรถก็มาจอดหน้าทางเข้าผู้โดยสารขาเข้า ก่อนเครื่องออก 10 นาที ซึ่งช่วงนั้นจะไปเข้าแถวเพื่อต่อคิว check-in คงไม่ทัน เราจึงได้รีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่ภาคพื้นของสายการบินว่าเครื่องกำลังจะออก เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการลัดคิวให้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เราทันขึ้นเครื่อง

เรารีบวิ่งจ้ำอ้าว ผ่านเครื่องตรวจกระเป๋า และ รีบวิ่งไปยัง gate ให้เร็วที่สุด  ซึ่งก็ทันอย่างเฉียดฉิว เครื่องยังไม่ออกใน Flight นั้นเราเจอเพื่อนร่วมทริปอีก 2 คน ที่จะไปงานแต่งหนุ่มด้วยกัน คือ อู๋ และ เหยียน ซึ่งเป็นแก๊ง ที่อยู่ด้วยกันสมัยเข้ามาทำงานกรุงเทพใหม่ ๆ แต่ก็ไม่ทันได้ทักทายอะไรกันมาก เพราะ ต่างคนต่างเข้าแถวเพื่อรอขึ้นเครื่องแล้ว

ผมกับ เอ ได้นั่งในส่วนท้าย ๆ ของเครื่องบิน ซึ่งวันนั้นมีผุ้โดยสารเต็มเครื่อง ก็ค่อนข้างอึดอัดในการนั่งเหมือนกัน รวมถึงที่เรารีบมากันทำให้ผมเกิดความตื่นตระหนกเล็กน้อยขณะขั้นเครื่อง รู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเท่าไหร่

หลังจากแอร์โฮสเตส ทำการสาธิตการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เราไม่เคยสนใจที่จะดูจริง ๆ เครื่องบินก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเพื่อเตรียมการ take off หลังจากนั้น captain ก็ได้ประกาศ เพื่อเตรียมทำการ take off เครื่องบิน

ขณะเครื่องกำลัง take off ขึ้น ผมก็รู้สึกได้ถึงความผิดปรกติของร่างกายทันที ผมไม่แน่ใจว่าวันนั้นมีความผิดปรกติ อะไรของเครื่องบินหรือป่าว เพราะไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ขณะเครื่องกำลังไต่ระดับ รู้สึกเหมือนแรงอัดเข้าที่หู แต่ไม่สามารถปล่อยออกไปได้ ซึ่งปรกติเมื่อเครื่องบิน take off และมีการปรับระดับของเครื่องบินนั้น ก็จะรู้สึกหูอื้อ แต่นี่ไม่ใช่หูอื้อแน่ ๆ มันเหมือนแรงดันเข้ามาเรื่อย ๆ โดยไม่สามารถปล่อยออกไปได้ ซึ่งมันทรมานมาก ๆ ในช่วงแรก

เครื่องบินไต่ถึงระดับคงที่แล้ว แต่อาการผมยังเหมือนเดิม เหมือนมีแรงอะไรมาอัดที่หู มันไม่สามารถปรับความดันได้ เหงื่อผมเริ่มแตก แต่ก็พยายามทำตัวเป็นปรกติ ผมคุยกับเอ ว่าวันนี้รู้สึกแปลก ๆ แต่บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร เหมือนแรงดันไม่สามารถออกไปได้เหมือนที่เคยขึ้นปรกติ มันค่อย ๆ อัดเข้ามาเรื่อยๆ  ไม่สามารถปล่อยออกไปได้ ไม่ว่าจะพยายามบีบจมูก และ ปล่อยลมออกหูยังไง ก็ไม่หาย

อาการมันค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  ผมเริ่มที่จะหายใจไม่ค่อยออกรู้สึกอึดอัดมาก ๆ ในขณะนั้น ในขณะที่เครื่องบินเพิ่งออกไปเท่านั้น ผมต้องอยู่แบบนี้ไปจนเครื่องลงเลยหรือ ( ผมคิดในใจ ) และเหมือนวันนั้นอากาศจะไม่ค่อยดี เครื่องบินผ่านหลุมอากาศ จำนวนมาก รู้สึกได้ว่าข้างนอกมีฝนตกอยู่ ผมยิ่งอึดอัดเข้าไปใหญ่ เริ่มหาวิธีท่จะทำให้หาย หลาย ๆ วิธี ซึ่งทำยังไงมันก็ไม่หาย

ผมทรมานอยู่ประมาณเกือบครึ่งชม. แต่ก็ยังพยายามทำตัวปรกติ แค่ บอก เอ ว่ารู้สึกไม่ค่อยดีวันนี้ เหมือนมีอะไรแปลก แต่ร่างกายมันทรมานมาก มันเริ่มหายใจไม่ออกขึ้นเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจเรียก แอร์โฮสเตส เพื่อขอยาดม ไม่รู้คิดยังไงเหมือนกัน แต่อยากได้ยาดม เพราะรู้สึกเหมือนจะหมดสติแล้วในตอนนั้น   น้องแอร์โอสเตสบอกผมว่าบนเครื่องไม่มียาดม  ผมจึงขอน้ำเปล่ามาก่อน ตอนนั้น ยังไงก็ได้ ดีกว่าอยู่เฉย ๆ มันยิ่งทรมานขึ้นเรื่อย ๆ ผมดื่มน้ำเข้าไปก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น มันแน่นหน้าอกไปหมด ร่างกายเหมือนจะหมดสติ แต่น้องแอร์โฮสเตส ก็เข้ามาบอกว่า มีแอมโมเนีย อยู่  น้องเค้าก็หยดใส่สำลีมาให้  ผมรีบเอามาดมอย่างรวดเร็ว มันก็พอช่วยได้บ้าง ให้หายใจสะดวกขึ้น แต่อาการก็ยังไม่ดีเท่าไหร่

ยังโชคดีที่ flight นี้เดินทางไม่นานมาก และรู้สึกเหมือนจะถึงก่อนกำหนด จึงทำให้ใกล้เข้าถึงเขตเชียงรายแล้วหลังจากกัปตันประกาศ ผมต้องอดทดอีกนิด เพราะเครื่องใกล้จะลงแล้ว แต่ความรู้สึกมันยังทรมานอยู่ จนมาถึงช่วงที่เครื่องต้องปรับระดับลง พอเครื่องเริ่มปรับระดับ อาการผมก็มาอีกครั้ง เหมือนอาการตอนขึ้น มันไม่สามารถที่จะปรับแรงดันอากาศได้ ผมรู้สึกได้เลยว่าร่างกายมันไม่ปรับแรงดันให้ ทำให้เกิดอาการหวิวๆ และแน่นหน้าอก

ก่อนลงผมเลยลองวิธีสุดท้ายคือ เอามือทั้งสองอุดหู แล้วค่อย ๆ ปล่อยคลายลมออกมา พบว่าวิธีนี้ work ผมจึงทำอย่างงั้นอยู่เรื่อย ๆ ในขณะเครื่องทำการลง ใช้สองมือปิด และค่อย ๆ เปิดรูหูสลับกันไปมา ทำให้อาการดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ปรกติเท่าไหร่ แต่ไม่ทรมาน เหมือน 1 ชม.ที่ผ่านมา

ในที่สุดเครื่องก็ลงถึงพื้น ทุกอย่างหายเป็นปรกติ ไม่มีอาการใด ๆ ผมสงสัยมากว่ามันเกิดอะไรขึ้นบนเครื่อง มันเป็น flight ที่ทรมานที่สุดในชีวิต ตั้งแต่ได้นั่งเครื่องบินมา สุดท้ายก็เดินออกมาจากสนามบิน โดยมีรถตู้ที่หนุ่มจ้างไว้มารับที่หน้าสนามบิน ผมก็เดินขึ้นรถ พร้อมกับความสงสัยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินคืออะไร?

Blog Series : JT8704 Flight เปลี่ยนชีวิต

Image Ref : jehoynews.com

JT 8704 ตอนที่ 0 : ปฐมบท

ความคิดที่จะมาเขียน Blog Series ชุดนี้เกิดจากอารมณ์ที่อยากจะเล่าประสบการณ์ในการพบเจอเหตุการณ์ ประหลาด ซึ่งมาพร้อมโรคประหลาดที่ทำให้ชีวิตผมได้เปลี่ยนไปมากมายหลังจากที่ได้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

และเนื่องด้วยการใช้ชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนไป ไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปรกติได้  การเดินทางก็ลำบากยากเย็น จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต โดยเน้นอยู่กับบ้านเท่านั้น ไม่ค่อยได้ออกไปไหน จากเดิมที่มีกิจกรรมออกไปสังสรรค์กับเพื่อนข้างนอก หรือ ไปดูหนัง ไปเดินตามตลาดนัดกับแฟน ก็ไม่สามารถทำได้อีกเหมือนเคย ต้องทำใจต่อสู้กับโรคที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรอยู่นานมาก จึงเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดของชีวิตเลยก็ว่าได้ ไม่สามารถใช้ร่างกายเราได้อย่างเต็มที่ตามใจที่เราอยากจะทำ

ซึ่งก่อนหน้านี้ปี ถึง สองปี ก็เป็นคนที่ค่อนข้างสังสรรค์เป็นประจำ ดื่มเหล้าเกือบจะทุกวัน เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่อกหัก ครั้งที่ 2 ในชีวิต โดยร่างกายก็เริ่มสงสัญญาณบางอย่างออกมาบ้าง ว่าเริ่มจะไม่ไหวแล้ว แต่โดยปรกติผมจะมีการตรวจร่างกายเป็นประจำอยู่ทุกปี ซึ่งส่วนมาก ก็จะมีปัญหาแค่ส่วนของ คลอเรสเตอรอล ที่สูง ซึ่งในออฟฟิส ร้อยละ 80 ก็จะมีคลอเรสเตอรอลสูงอยู่แล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจกับการดูแลสุขภาพมากมาย คิดว่าเป็นเรื่องปรกติของผู้ชายวัยนี้ ส่วนการออกกำลังกายนั้น มีการออกกำลังกายบ้างในช่วงฟิต ๆ เนื่องจากได้ซื้อลู่วิ่งไว้ที่บ้าน แต่ก็เหมือนคนทั่วไป จะฟิตได้ซัก 1-2 อาทิตย์เท่านั้น ก็จะหยุด ไม่ได้มีการออกกำลังกายต่อเนื่องแบบเป็นกิจวัตรประจำวัน

สำหรับด้านเรื่องส่วนตัวนั้นก่อนหน้านี้ผมก็เป็นวิศวกร ทางด้านคอมพิวเตอร์ ในบริษัทเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ก็มีประสบการณ์ทำงานมาค่อนข้างพอสมควรคือประมาณ 9 ปี  อายุ 30 ต้น ๆ ขีวิตก็ค่อนข้างโอเค มีการงานที่ค่อนข้างมั่นคง งานก็มีสลับ ๆ กันไปหนักบ้างเบาบ้าง เครียดบ้าง สนุกสนานบ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่ายังสนุกกับงาน และมีหัวหน้าที่ดีและเข้าใจเรา รายได้ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี และพร้อมที่จะก้าวเดินไปยัง step ต่อไปของชีวิต ซึ่งก็คือการแต่งงานและ มีลูก แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องพลิกผันหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว มีเหตุการณ์ทำให้ชีวิตแย่ลงเรื่อย ๆ มากมาย ดังที่จะเล่าในบทถัด ๆ ไปต่อจากนี้

Blog Series : JT8704 Flight เปลี่ยนชีวิต

Img Ref :  vancouversun.com