เกมส์ที่ว่ากันด้วย tactics

ผ่านไปอีกเกมส์สำหรับ Arsenal ในฤดูกาลนี้ หลังจากผลงานก่อนหน้านี้โดยรวมไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ กับการมีแค่ 6 แต้มจาก 4 นัดแรกของฤดูกาล แต่ก็ยังพอที่จะลุ้นแชมป์ได้อยู่บ้าง หลังจากการสะดุดของทีมหัวแถวตารางในสัปดาห์ที่แล้ว

เกมส์นี้ถือเป็น Big Match อีก หนึ่งเกมส์ที่ถือว่าหนักหนาพอสมควร ซึ่งต้องไปเยือนทีม เชลซี แชมป์เก่า ถึงถิ่น สแตมฟอร์ดบริดจ์ ซึ่งเชลซีก็ค่อยๆ  ฟอร์มดีขึ้นมาหลังจากที่พ่ายแพ้ในนัดเปิดสนาม โดยผลงานสามนัดหลังชนะรวด จึงเป็นการเจอกันที่เร็วพอสมควร แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้เจอทีมใหญ่ซะให้หมด ๆ โดยเฉพาะการเป็นทีมเยือนก่อน ซึ่งจะทำให้ครึ่งฤดูกาลหลัง จะได้เป็นฝ่ายเจ้าบ้าน

ต้องยอมรับก่อนเลยว่าผลงานของอาเซน เวนเกอร์ในการเชลซีของ คอนเต้ นั้นค่อนข้างดี เจอกัน 4 ครั้งชนะไปถึง 3 และแพ้เพียงแค่นัดเดียว ถือว่าเป็นกุนซือที่แพ้ทาง เวนเกอร์พอสมควร และแผนการเล่นหลัง 3 ของอาเซน่อลในฤดูกาลนี้นั้น ก็เป็นผลจากความสำเร็จของเชลซีในฤดูกาลที่แล้ว จึงคิดที่จะเลียนแบบบ้างในปีนี้

เกมส์นี้ต้องถือว่าการวางแท็กทิคของเวนเกอร์นั้น แก้ทางมาดี สำหรับครึ่งแรก เห็นได้ชัดเจนว่าเล่นได้เหนือกว่าเชลซี มีโอกาสจบสกอร์มากกว่า เชลซีแบบชัดเจน และทำให้เกมส์ของเชลซีในครึ่งแรกนั้น ไปกันไม่ถูกเลยทีเดียว กับการขึ้นเพรสซิ่งสูง ตั้งแต่ แดนหน้า ซึ่งถือว่าทำได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็เสียดายที่ไม่ได้ประตูออกนำ ทั้งที่มีโอกาสหลายครั้งที่จะเป็นประตู

หลังจากจบครึ่งแรก คอนเต้ ทำการแก้เกมส์ด้วยการเพิ่ม midfeld แดนกลางเพิ่มขึ้นมา ถือว่าเป็นการแก้ tactics ที่เห็นผลอย่างชัดเจน เกมส์กลับมาเป็นของเชลซีอีกครั้ง แดนกลางที่น้อยกว่า ทำให้ อาเซน่อลไม่สามารถทำเกมส์ได้เลยในช่วงครึ่งหลัง โอกาสของเชลซี ก็เริ่มมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถเจาะประตูกันได้

จนเห็นว่าแดนกลางเริ่มสู้ไม่ได้ เวนเกอร์เลยต้องปรับ tactics ใหม่ด้วยการ เพิ่มกองกลางเข้าไปสู้ ทำให้เกมส์ดูอึดอัดมาก เพราะแดนกลางเริ่มแน่นกันไปหมด ต่างฝ่าย ต่างทำอะไรกันไม่ได้มากนัก ถือว่าเกมส์นี้ค่อนข้างเครียดเลยทีเดียวกับ กุนซือทั้งสอง และเกมส์ก็มาถึงช่วงใกล้หมดเวลา เชลซีมาเสีย ดาวิด ลุยซ์ ซึ่งโดนไล่ออกไปช่วงท้ายของเกมส์ หลังจากนั้น อาเซน่อลก็เริ่มบุกเพื่อหวังประตูชนะ แต่เนื่องจากเวลาค่อนข้างเหลือน้อย จึงไม่สามารถทำอะไรกันได้ เสมอกันไป 0-0 ซึ่งเป็นผลที่ถือว่าแฟร์กับทั้งสองทีม ที่เล่นกันได้พอ ๆ กัน โดยแลกหมัดกันด้วย tactics ของกุนซือล้วน ๆ ในเกมส์นี้

จากเกมส์นี้เราจะได้เห็นถึงความสำคัญของ tactics ที่มีต่อเกมส์ได้อย่างชัดเจนเลย ว่า การปรับเปลี่ยนผู้เล่น ปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยนั้นทำให้เกมส์สามารถเปลี่ยนโมเมนตัมได้อย่างชัดเจน ก็ถือว่าเป็นผลงานที่ไม่ขี้เหร่ เท่าไหร่กับเกมส์นี้ของอาเซน เวนเกอร์ แต่ทีมนำเริ่มจะทิ้งห่างออกไปอีกครั้งในสัปดาห์นี้ ก็ต้องขอเอาใจช่วยทีมให้รีบเก็บแต้มไล่ตามผู้นำ เพื่อไม่ให้หมดลุ้นแชมป์รวดเร็วเกินไป

เปิดฉาก Premier League 2017-2018

ต้องบอกก่อนเลยว่าปีนี้ Premier League เปิดหัวนัดแรกกันค่อนข้างมันส์ สมชื่อ ยิงกันถล่มทลายตั้งแต่นัดแรก อาร์เซน่อล เจอ กับ เลสเตอร์ รวมถึงคู่ในวันเสาร์และอาทิตย์ ก็ยิ่งกันถล่มทลาย ซึ่งเป็นเสน่ห์อย่างนึงของ Premier League เลยก็ว่าได้ที่แตกต่างจาก ลีค อื่น ๆ ที่ทุกทีมสู้ตาย เพื่อเงินมหาศาลของค่าส่วนแบ่งของลิขสิทธิ์ที่ห่างชั้นจากลีคอื่นอย่างเทียบไม่ติด

ปีนี้ก็คิดว่าเป็นปีที่น่าจะขับเคี่ยวกันมันส์ ที่่สุดปีนึง ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง premier league มาเลยก็ว่าได้ เพราะทุกทีม ทุ่มเงินซื้อสตาร์กันมามากมาย ทีมหัวตารางก็เสริมทัพกันอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะ แมน ยู กับ แมน ซิตี้ ที่ว่าเป็น เต็ง 1 และ เต็ง 2 ในปีนี้ ถือว่าเสริมทัพโดยใช้เงินไปมหาศาล

จากฟอร์มนัดแรก นี่ โดยส่วนตัวยกให้แมนยู เลยเป็น เต็ง 1 หลังจากได้ มาติช เข้ามาเสริมทีม ทำให้องค์ประกอบของทีมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และการได้กองหน้าตัวใหม่อย่าง ลูกากู ก็ไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมายกับ premier league อยู่แล้ว แทบจะลุ้นดาวซัลโวทุกปีในช่วงปีที่ผ่านมากับ เอฟเวอร์ตัน การย้ายเข้ามาอยู่แมนยู รับรองยิงกระจายแน่นอน

ทีมที่สื่อให้เป็นเต็ง 1 อย่าง แมน ซิตี้ นั้น เท่าที่ดูฟอร์มนัดแรกถือว่าต้องปรับพอสมควร ยังเล่นกันไม่ค่อยเข้าขาเท่าไหร่ แม้จะเป็นนักเตะตัวรุกชุดหลักเหมือนปีที่แล้ว มีการเสริมเฉพาะกองหลังที่เข้ามาหลายคน ดูแล้วก็ต้อง จูนปรับตัวกันพอสมควร การเน้นรุกมากเกินไปของแมน ซิตี้นั้น เราได้เห็นบทเรียนหลายครั้งแล้วใน ซีซั่นที่แล้ว แต่คิดว่าเป๊บก็ยังคงมั่นใจในปรัชญาเกมส์รุกของตัวเองอยู่เหมือนเดิม

ส่วนทีมที่ลุ้น อื่น ๆ อย่าง เชลซี แชมป์เก่านั้น ปีนี้ต้องเล่น แชมเปี้ยนลีค น่าจะต้องใช้พลังเพิ่มมากขึ้นพอควร แถมเสียตัวหลักอย่าง มาติช รวมถึง คอสต้า ที่ไม่อยู่ในแพลนการทำทีมของคอนเต้ ซึ่งก็งงมากว่าปีที่แล้วก็ปรับตัวได้ดีกับแทคทิคของคอนเต้ แต่ทำไมคอนเต้ ถึงไม่เลือกใช้ในปีนี้ การได้กองหน้าตัวใหม่อย่าง โมราต้า นั้น ก็ต้องปรับตัวกันพอสมควร กับเกมส์ที่รวดเร็วอย่าง พรีเมียร์ลีค ซึ่งก็คิดว่ายากกับการป้องกันแชมป์ปีนี้

ส่วนสเปอร์ นั้นแทบจะไม่เสริมทัพเข้ามาเลย น่าจะมีปัญหาทางด้านการเงินที่ต้องไปสร้างสนามใหม่อีกหลายปี คิดว่าปีนี้ คงได้แค่ลุ้นเบียดพื้นที่แชมเปี้ยนลีค เฉย ๆ

ส่วน ลิเวอร์พูล ที่ผมมองตอนแรกว่ามีโอกาสสูงที่จะไปเบียดลุ้นแชมป์กับสองทีมจาก แมนเชสเตอร์ นั้น มาพบกับข่าวร้ายในช่วงก่อนเปิด ซีซั่น เนื่องจากมีโอกาสสูงที่จะเสียผู้เล่นหัวใจแนวรุกตัวหลักอย่าง คูตินโย่ ซึ่งการเสีย คูตินโย่ นั้น ถือว่าทำให้ทีมเสียสมดุลไปมากพอควรแม้จะได้นักเตะใหม่อย่าง ซาล่า มาก็ตามแต่หากเสีย คูตินโย่ ก็คิดว่า ไม่น่าไปเบียดลุ้นกับสองทีมจาก แมนเชสเตอร์ได้อย่างแน่นอน

ทีมสุดท้าย ก็ ทีมรักของผมอย่าง อาเซน่อล สถานการณ์ ของทั้ง โอซิล และ ซานเชส นั้นก็ยังไม่มีอะไรแน่นอน ทั้งที่ปีหน้าจะหมดสัญญาแล้ว สโมสร ก็ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ว่าจะขายหรือจะต่อสัญญา ส่วนตัวคิดว่า ซานเชสนั้น มีโอกาสสูงที่ไม่ต่อสัญญาแน่ อยู่ที่ว่าจะขายก่อนปิดตลาดนักเตะในรอบนี้หรือไม่ ส่วนโอซิล คิดว่าอยู่ต่อ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ต่อสัญญาในปีหน้าเหมือนกัน คงเล่นคู่กันอีกปีเดียวเท่านั้น การได้นักเตะใหม่อย่าง ลากาแซต และ โคลาซิแนค เข้ามานั้น ก็คือว่าเติมเต็มจุดอ่อนได้พอสมควร แต่ถ้าเทียบจากสองทีมจาก แมนเชสเตอร์ ก็ถือว่า ยังเป็นรองอยู่ค่อนข้างมากกับสภาพทีม ถึงแม้ปีนี้จะไม่ได้ไปเล่นแชมเปี้ยนลีค แต่ก็ต้องแข่ง ยูโรป้าลีค อยู่ดี ซึ่งการแข่งในคืนวันพฤหัส ก็ไม่ได้เป็นผลดีกับอาเซน่อลซักเท่าไหร่เลยในปีนี้ ผมหวังไว้อย่างสูงก็แค่  การกลับมาอยู่ top 4 ให้ได้อีกครั้งในปีนี้ และปีหน้าคงมาสร้างทีมกันใหม่หมด

Image Ref : http://www.footballgate.com

 

บทสรุป Season 2016-2017

ปิดท้ายฟุตบอลอังกฤษ ด้วยถ้วยใบสุดท้ายคือ FA Cup ซึ่งเป็นการโคจรมาพบกันระหว่าง Arsenal ที่เป็นเจ้าพ่อถ้วยนี้ กับ เชลซี แชมป์ พรีเมียลีค ปีล่าสุด ที่มาด้วยความพร้อมที่จะคว้า double Champ ในปีแรกของ กุนซือ อันโตนิโอ คอนเต้

เกจิทั้งหลายต่างฟังธงไว้อย่างแน่นอนว่า เชลซี จะคว้า Double Champ ในปีนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น เนื่องจากสภาพทีมที่ค่อนข้างสมบูรณ์กว่า Arsenal อยู่มากในการเจอกันในรอบชิงปีนี้

แต่เกมส์นี้ ต้องยอมรับในการวางแผนของ เวนเกอร์ ที่หลังจากปรับมาใช้กองหลังสามคน เลียนแบบ เชลซี ผลงานก็ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ ชนะมารวด ๆ  หลายเกมส์ติด มีแพ้ สเปอร์ เพียงเกมส์เดียวท้ายฤดูกาล ส่วนเจ้าตำหรับอย่าง อันโตนิโอ คอนเต้นั้น หลังจากเกมส์ที่แพ้ Arsenal เมื่อกลางซีซั่น ถึง 3-0 ก็ได้ปรับไปใช้แผนถนัดหลัง 3 คน จนฟอร์มกลับมาได้อย่างยิ่งใหญ่ และปาดหน้าคว้าแชมป์ไปไม่ได้อย่างไม่ยากเย็น

ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเกมส์กับ Arsenal เมื่อกลางซีซั่นนั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของเชลซีเลยก็ว่าได้ ทำให้ปรับแผนใหม่และฟอร์มดีต่อเนื่องจนคว้าแชมป์ไปได้อย่างไม่ยากเย็น ต้องถือว่า Arsenal เป็นทีมที่ส่งให้เชลซีคว้าแชมป์ พรีเมียลีค ปีนี้กลาย ๆ ก็ว่าได้

สำหรับเกมในนัดชิงนั้นต่างออกไป เนื่องจากใช้แผนเดียวกัน จึงวัดกันที่ ฟอร์มของนักเตะ ซึ่งถือว่า วันนี้นักเตะของอาเซน่อลเล่นได้ท๊อปฟอร์มทุกคน และได้ประตูขึ้นนำไปอย่างรวดเร็ว ถึงจะมีข้อกังขาบ้างในเรื่องการล้ำหน้า แต่ ฟอร์มในครึ่งแรกนั้นก็เล่นได้อย่างดุดัน น่าจะได้อีกหลายประตู ที่เฉียดไปเฉียดมาที่หน้าปากประตูของเชลซี

ครึ่งหลัง คอนเต้ เริ่มปรับเกมส์มาเล่นได้ดีขึ้น จนมาตามตีเสมอได้ในช่วงท้าย ๆ เกมส์ แต่อาเซน่อล ก็มาได้ประตูชัยจนได้จาก อารอน แรมซี่ย์ ผู้ซึ่งฤดูกาลนี้ โอกาสที่ได้เล่นนั้นน้อยมาก เพิ่งจะมาได้เล่นตอนปรับมาเล่นหลัง 3 ตัว และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในนัดชิง และยิงประตูชัย พาทีมคว้าแชมป์ ครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ปีได้สำเร็จ ถือเป็นผลงานปลอบใจแฟน ๆ อาเซน่อลในปีนี้ ที่พลาดตั๋ว แชมเปี้ยนลีคไปอย่างเฉียดฉิวในนัดสุดท้าย

ปีนี้นั้น ถือว่าเป็นปีที่แข่งขันกันแย่งชิงหัวตารางเพื่อโควต้าแชมเปี้ยนลีคได้สูสีจนสิ้นสุดฤดูกาล ถือเป็นฤดูกาลที่ แฟนหลายทีมประสบความสมหวัง และผิดหวัง

ที่สมหวังน่าจะเป็นแฟน เชลซี สเปอร์ และ ลิเวอร์พูล ที่ได้เข้าไปเล่น แชมเปี้ยนลีคได้สมใจ ส่วนแฟนแมนยูนั้นถึงจะไม่ได้โควต้าโดยตรง แต่ผลงานของมูรินโย่ ในปีแรกถือได้ว่าไม่ขี้เหร่ ได้ทั้งแชมป์ คาร์ลิ่ง คัพ และ ยูโรป้า ลีคไปครอง และคว้าโควต้า แชมป์ ยูโรป้า ไปเล่น แชมเปี้ยนลีคได้สำเร็จ

ส่วนที่น่าผิดหวังน่าจะเป็นแฟนทีม แมน ซิตี้ ที่แม้จะได้กุนซืออย่าง เป๊ป กวาดิโอล่า รวมถึงการทุ่มทุนซื้อนักเตะโดยใช้เงินไปสูงที่สุด แต่ผลงานน่าผิดหวังทั้งในเกมส์ลีค และ แชมเปี้ยนลีค ไม่สมกับที่ลงทุนไปมากโข ซึ่งก็ทำให้ เป๊ป กวาดิโอล่าได้รู้รสชาติของฟุตบอลอังกฤษที่ไม่ง่ายเหมือนลีคอื่นๆ  ที่ขับเคี่ยวกันไม่กี่ทีม แต่ในพรีเมียลีค นั้นทุกทีมพร้อมสู้ตาย เพื่อรายได้มหาศาลจากส่วนแบ่งลิขสิทธิ์

ส่วนอาเซน่อลนั้น ถึงจะได้แชมป์ FA Cup มาปลอบใจ แต่ผลงานก็ถือว่าน่าผิดหวัง ซึ่งปีนี้ก็ลงทุนไปไม่น้อยกับนักเตะใหม่ แต่ผลงานลุ่ม ๆ ดอน ๆ เพิ่งจะมารีดฟอร์มช่วงท้ายฤดูกาล แต่ก็ไม่ทันต้องจบด้วยอัน 5 ต้องไปเล่น ยูโรป้า ลีก ในฤดูกาลหน้า ซึ่งความเห็นส่วนตัว เล่นยูโรป้า ต้องเตะวันพฤหัส ทำให้มีโอกาสได้พักน้อยกว่า ทำให้ปีหน้าในลีก น่าจะลำบากไปอีกปี ถ้าไม่ได้ไปเล่นยูโรป้า จะดีเสียกว่าอีก จะได้ทุ่มให้กับลีก แบบเดียวกับที่เชลซีทำในฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ

Credit Image : dailymail.co.uk

Two Lose With Three Red

ผลงาน 2 นัดล่าสุดของทีมอาเซน่อล ถือว่าเป็นสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดสัปดาห์หนึ่งเลยก็ว่าได้ ผ่านเกมส์ 2 นัดทั้งในเกมส์ยุโรป และ ใน premier league มาอย่างสภาพสะบักสะบอมมาก ๆ ทั้งผู้เล่นบาดเจ็บทั้งผู้เล่นโดนแบน ถือเป็นสัปดาห์ที่เลวร้ายจริง  ๆ ของทีมอย่าง อาเซน่อล ที่เพิ่งเริ่มฤดูกาลได้ไม่กี่นัด

สำหรับส่วนของเกมส์ยุโรปนั้น ต้องถือว่าเป็นความผิดเต็ม ๆ ของ ชิรูด์ เลยก็ว่าได้ถือว่าเป็นการเสียค่าโง่ชัด ๆ กับการโดนใบแดงที่ไม่ควรโดนอย่างยิ่งทำให้เพื่อนๆ  เล่นกันได้ยาก รวมถึงได้มีการพักตัวผู้เล่นหลายคน ทำให้ถือว่าเป็นการเจอทีมอย่าง Dinamo Zagreb ด้วยผู้เล่นน้อยกว่า ก็ไม่ได้เป็นงานง่ายเลย และสุดท้ายก็แพ้ไปจนได้ ซึ่งผมได้มีโอกาสได้ดูในเกมส์นี้ด้วย  ต้องถือว่าก่อนจะโดนใบแดงนั้น อาเซน่อลก็ถือว่าวางหมากมาเล่นได้อย่างดี ผู้เล่นที่ลงไปก็ไม่น่าจะพลาดเก็บสามแต้มได้หากตัวผู้เล่นเท่ากัน หรืออย่างแย่สุด คงเป็นผลเสมอกลับมา แต่ การที่เหลือ 10 คนด้วยการเสียค่าโง่ของ ชิรูด์นั้น ถือว่าเสียหายอย่างยิ่ง ทำให้ปีนี้เราแทบจะไม่ต้องลุ้นเป็นที่ 1 ของกลุ่ม แน่ ๆ แล้ว คงลุ้นได้เข้าเป็นที่ 2 เหมือนทุก ๆ ปีที่ผ่านมา รวมถึงการอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมอย่าง บาเยิร์น มิวนิก ที่เราแพ้ทางตลอดนั้น ก็คงไม่น่าจะมีสิทธิ์ลุ้นแชมป์กลุ่มอย่างแน่นอน แต่การออกสตาร์ทแบบนี้ นั้นทำให้เราต้องเหนื่อยเพิ่มในการลุ้นเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่ม เหมือนในทุก ๆ ปี แต่ผมเชื่อว่ายังไงก็น่าจะผ่านรอบนี้ไปได้ แต่อาาจะผ่านไปแบบไม่ค่อยสวยงามเหมือนหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา

ส่วนในเกมส์ premier league  BIG Match ที่พบกับเชลซีในวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น ก่อนเกมส์ก็ถือว่ามีลุ้นลึก ๆ ว่าทีมจะสามารถล้มทีมอย่างเชลซีที่สภาพไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ในตอนนี้ได้ อย่างที่เคยชนะมาใน community shield ก่อนเปิดฤดูกาล  แต่เช่นเคยเหมือนไม่เข็ดสำหรับการควบคุมอารมณ์ของนักเตะอาเซน่อลอย่าง Gabrieal นั้นถือว่าเสียท่าให้กับ คอสต้าไปเต็ม ๆ ในเกมส์นี้แบบไม่น่าเสีย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นตัวจุดชนวน เผลอหลุดไปชั่ววูปทำให้ทีมเสียหายอย่างมหาศาล ซึ่งคิดว่าตอนแรกนัดนี้ผมหวังไว้อย่างแย่คงน่าจะเก็บ 1 แต้มกลับบ้านมาได้ เช่นเดียวกับเกมส์ยุโรปกลางสัปดาห์ การเหลือผู้เล่น 10 คน นั้นก็ไม่สามารถเอาตัวรอดจากเกมส์ดังกล่าวได้ ต้องบอกว่าตอน 11 คนเท่ากันนั้น เกมส์ถือว่าเล่นได้สนุกมาก ผลัดกันรุกรับ แต่พอเกมส์เปลี่ยนจากการขาดผู้เล่น ก็เป็นฝ่ายเชลซีที่เป็นฝ่ายคุมเกมส์อยู่ฝ่ายเดียว และเล่นเพื่อเน้นผลสกอร์ และสามารถทำไปได้อย่างไม่ยากเย็น

สัปดาห์นี้ถือว่าเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของนักเตะอาเซน่อลในการควบคุมอารมณ์ในการเล่น จะเห็นได้ว่า เหมือนเหตุการณ์เดิมวนลูปมาซ้ำในเกมส์กับเชลซี ซึ่งสไตล์การเล่นของอาเซน่อลนั้นหากเหลือผู้เล่นน้อยกว่านั้นเป็นกาารยากอย่างยิ่งที่จะทำเกมส์เข้าไปสู้กับคู่ต่อสู้ได้ จึงหวังว่าคงไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในฤดูกาลนี้ หวังว่าเวนเกอร์คงจะกำชับลูกทีมอย่างดีต่อจากนี้ในเรื่องของการควบคุมอารมณ์ ซึ่งหลังจาก ที่แมนซิตี้ นั้นแพ้เป็นนัดแรกไปแล้ว ก็ถือว่า การลุ้นแชมป์ในปีนี้ยังเปิดกว้างอยู่ ยังไม่หมดหวังไปซะทีเดียวสำหรับไอปืนใหญ่ อาเซน่อล

Image Reference : telegraph