Space Industries กับแนวคิดการย้ายโรงงานอุตสาหกรรมไปอยู่บนอวกาศ

ดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ความคิดในการเคลื่อนย้ายอุตสาหกรรมหนักออกไปจากโลกดูเหมือนจะมีโอกาสเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที ซึ่งการจัดเก็บภาษีทรัพยากรจากดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือดาวเคราะห์น้อยแทนการใช้ทรัพยากรที่เรามีเหลืออยู่บนโลกที่เริ่มลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นใจว่ามนุษย์จะอยู่รอดต่อไปได้ในอนาคต จากรายงานของ DiscoverMagazine

“ระบบพลังงานแสงอาทิตย์สามารถรองรับอุตสาหกรรมทั้งหมดมากกว่าที่เรามีในโลก” ฟิล  เมทซ์ นักวิทยาศาสตร์ด้านดาวเคราะห์ที่มหาวิทยาลัยเซ็นทรัลฟลอริดา บอกกับ DiscoverMagazine “ เมื่อคุณไปสู่อารยธรรมที่กว้างใหญ่กว่าที่โลกเรามี ซึ่งสามารถรองรับอุตสาหกรรมทุกอย่างบนโลกเราได้”

เมื่อทรัพยากรบนโลกลดน้อยลงจำนวนประชากรก็เพิ่มมากขึ้น อย่างน้อยมันก็คือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังแหล่งผลิตแห่งใหม่ของ บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

ตัวอย่างเช่น Planetary Resources Inc. ได้สรรหาเงินทุนหลายสิบล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการขุดเจาะบนดาวเคราะห์น้อย แต่ปัญหาด้านการเงินทำให้ บริษัท ต้องชะลอการสำรวจดาวเคราะห์น้อยดวงแรกออกไปอย่างไม่มีกำหนด

Billionaire Blue Origin และ CEO ของ Amazon Jeff Bezos ก็มีทุกอย่างเช่นเดียวกัน

“ เหตุผลที่เราต้องไปยังอวกาศในทัศนะของผมคือเพื่อช่วยโลก” เบโซส กล่าวในระหว่างการประกาศการลงจอดบนดวงจันทร์ของ บริษัทด้านอวกาศของเขาเมื่อเดือนที่แล้ว

“ ปัญหาระยะยาวที่สำคัญมากคือพลังงานบนโลกเรากำลังจะหมด” เบโซสกล่าวในงาน “ นี่เป็นแค่ตัวเลขทางคณิตศาสตร์ และมันจะเกิดขึ้นจริง ๆ “

Blue Origin ของมหาเศรษฐี เจฟฟ์ เบซอส
Blue Origin ของมหาเศรษฐี เจฟฟ์ เบซอส

แม้แต่องค์การนาซ่ายังได้เลือกที่จะลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในแนวคิดเทคโนโลยีที่สามารถช่วยเราสำรวจดาวเคราะห์น้อยในเทคโนโลยีของการขุดเจาะ

ไม่เพียง แต่ทรัพยากรทางกายภาพเท่านั้นที่จะสามารถเป็นทางออกสำหรับโลกเราที่มีภาระมากเกินไปในขณะนี้ สถานีพลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศสามารถส่งลำแสงพลังงานที่ไร้ขีด จำกัดกลับคืนสู่โลกได้เช่นกัน และเป็นแผนการที่จีนกำลังดำเนินการเพื่อนำไปใช้จริง

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีความคิดเหมือนกัน: กลุ่มนักวิทยาศาสตร์มารวมตัวกันเพื่อลงนามในข้อเสนอเรียกร้องให้ระบบสุริยะนั้นได้รับการปกป้องจากการรุกรานของมนุษย์

“ ถ้าเราไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้เราจะเดินหน้าต่อไปในแนวทางที่ทำลายระบบสุริยะของเรา และในอีกไม่กี่ร้อยปีเราจะต้องเผชิญกับวิกฤติที่รุนแรงยิ่งกว่าที่เรามีบนโลกนี้มากนัก” มาร์ติน เอลวิส นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์อาวุโส ที่ สมิธโซเนียน กล่าว “ เมื่อคุณใช้ประโยชน์จากระบบสุริยจักรวาลเราก็ไม่มีเหลือทางเลือกอีกต่อไปแล้ว”

ก่อนที่การสร้างการผลิตในอวกาศและการขุดจะกลายเป็นความจริง ยังมีงานอีกมากที่ต้องทำเนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นเพียงเท่านั้น โดยเมื่อ 5 ปีก่อนบริษัท Startup ในแคลิฟอร์เนียอย่าง Made In Space กลายเป็นบริษัทแรกที่พิมพ์วัตถุ 3 มิติด้วยแรงโน้มถ่วงที่เป็นศูนย์

Made In Space กับการพิมพ์ 3 มิติบนแรงโน้มถ่วงเป็นศูนย์
Made In Space กับการพิมพ์ 3 มิติบนแรงโน้มถ่วงเป็นศูนย์

โดยบริษัทเดียวกันนี้ได้ทำสัญญาครั้งสำคัญกับ NASA ในปี 2018 เพื่อพัฒนา “ระบบการผลิตโลหะไฮบริดสำหรับการสำรวจอวกาศ” โดยจะเป็นการพิมพ์ชิ้นส่วนโดยใช้โลหะเกรดอากาศยานเช่นไทเทเนียมและอลูมิเนียม

อย่างไรก็ตามความพยายามเหล่านี้ยังคงเป็นหนทางที่ยาวไกล ที่การขุดดาวบนเคราะห์น้อยสามารถรองรับอารยธรรมมนุษย์ทั้งหมดได้ในห้วงอวกาศ เราไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าประเทศไหนจะเป็นเจ้าของทรัพยากรเหล่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความไม่สบายใจทางการเมืองระหว่างประเทศ

แต่ด้วยเวลาที่กำลังจะหมดลง – การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและทรัพยากรที่ถูกทำลายอย่างรวดเร็วกำลังบังคับให้เรามองข้ามโลกที่เป็นบ้านเกิดของเรา และหวังว่าเราจะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ก่อนที่มันจะสายเกินไปนั่นเอง

References : 
http://blogs.discovermagazine.com

โลกไร้มลพิษ! กับแนวคิดการย้ายโรงงานอุตสาหกรรมไปอยู่นอกโลก

แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝันเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ความคิดในการเคลื่อนย้ายอุตสาหกรรมหนักออกไปจากโลกดูเหมือนจะเข้าใกล้ความเป็นจริงมากกว่าที่เคยมีมา

การจัดเก็บภาษีทรัพยากรจากดาวเคราะห์ดวงอื่น แทนการใช้ทรัพยาการที่มีเหลืออยู่น้อยนิดบนโลกเรา อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นใจว่ามนุษย์จะอยู่รอดต่อไปได้อีกนานแสนนาน ท่ามกลางทรัพยากรธรรมชาติที่กำลังถูกนำไปใช้อย่างรวดเร็ว

“พลังงานแสงอาทิตย์สามารถรองรับอุตสาหกรรมในขนาดที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เรามีในโลก” ฟิลเมทซ์ นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ ที่มหาวิทยาลัยเซ็นทรัลฟลอริดา บอกกล่าวว่า “ เมื่อเราก้าวไปสู่อารยธรรมที่ใหญ่กว่าระดับที่โลกสามารถรองรับได้ ดังนั้นสิ่งที่อารยธรรมที่มนุษย์เราได้สร้างมาหลายล้านปีนั้น สามารถทำมันได้เช่นกันบนดาวดวงอื่น”

การลงทุนในอวกาศ

เมื่อทรัพยากรบนโลกลดน้อยลงแถมจำนวนประชากรก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของการเกิดขึ้นของ บริษัท มากมาย ที่กำลังพยายามที่จะเป็นผู้บุกเบิกเพื่อทำการรวบรวมทรัพยากรนอกอวกาศ

ตัวอย่างเช่น Planetary Resources Inc. ได้รวบรวมเงินทุนหลายสิบล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการขุดบนดาวเคราะห์น้อย แต่ปัญหาด้านการเงินทำให้ บริษัท ต้องชะลอการสำรวจดาวเคราะห์น้อยดวงแรกออกไปอย่างไม่มีกำหนด

Blue Origin และ CEO ของ Amazon Jeff Bezos ก็สนใจในเรื่องเหล่านี้เช่นเดียวกัน

“ เหตุผลที่เราต้องไปยังอวกาศในทัศนะของผมคือเพื่อช่วยโลก” เบโซสกล่าวในระหว่างการประกาศการลงจอดบนดวงจันทร์ของ บริษัท อวกาศของเขาอย่าง Blue Origin เมื่อเดือนที่แล้ว

“ ปัญหาระยะยาวที่สำคัญมากคือพลังงานบนโลกของเรากำลังหมดไปเรื่อย ๆ ” เบโซสกล่าวในงาน “ ซึ่งเป็นแค่สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในยุคของลูกหลานของเรา.”

Blue origin ของ มหาเศรษฐี เจฟฟ์ เบซอส
Blue origin ของ มหาเศรษฐี เจฟฟ์ เบซอส

แม้แต่องค์การนาซ่ายังได้เลือกที่จะลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในแนวคิดเทคโนโลยีที่สามารถช่วยเราสำรวจในการขุดเจาะบนดาวเคราะห์น้อย

ไม่เพียง แต่ทรัพยากรที่เป็นรูปแบบทางกายภาพเท่านั้นที่จะสามารถเป็นทางออกสำหรับดาวเคราะห์ที่มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากเกินไปอย่างโลกเราได้ สถานีพลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศสามารถส่งพลังงานที่ไร้ขีดจำกัดได้เช่นเดียวกัน 

กรีนพีซ 2.0

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีความคิดเหมือนกัน: กลุ่มนักวิทยาศาสตร์มารวมตัวกันเพื่อลงนามในข้อเสนอเรียกร้องให้มากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ของระบบสุริยะได้รับการปกป้องจากการบุกรุกของมนุษย์

“ ถ้าเราไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้เราจะเดินหน้าต่อไปแบบไม่ยั้งคิดและในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้าเราจะต้องเผชิญกับวิกฤติที่รุนแรงยิ่งกว่าที่เรามีบนโลกนี้มากนัก” มาร์ติน เอลวิสนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์อาวุโส ได้นำเสนอบอกสำนักข่าวเดอะการ์เดียน“ เมื่อคุณเริ่มใช้ประโยชน์จากระบบสุริยจักรวาลสุดท้ายมันก็ไม่มีเหลืออีกแล้ว”

จุดเริ่มต้น

ก่อนที่การผลิตในอวกาศและการขุดเจาะดาวเคราะห์ต่าง ๆ จะกลายเป็นความจริง ยังมีงานอีกมากที่ต้องทำเนื่องจากตอนนี้้นักวิทยาศาสตร์ได้ทำเพียงขั้นตอนเริ่มต้นเพียงเท่านั้น เมื่อห้าปีก่อน  Made In Space ในแคลิฟอร์เนีย ได้กลายเป็น บริษัทแรกที่พิมพ์วัตถุ 3 มิติด้วยแรงโน้มถ่วงเป็นศูนย์ได้สำเร็จ

ซึ่ง Made In Space  ได้ทำสัญญาสำคัญกับ NASA ในปี 2018 เพื่อพัฒนา “ระบบการผลิตโลหะไฮบริดสำหรับการสำรวจอวกาศ” ความคิดคือการพิมพ์ชิ้นส่วนโดยใช้โลหะเกรดอากาศยานเช่นไทเทเนียมและอลูมิเนียมนั่นเอง

และหน่วยงานที่ญี่ปุ่นอย่าง JAXA เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการทำการลงจอดยานอวกาศ Hayabusa2 บนดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็ก และได้มีการวางระเบิดที่พื้นผิวเพื่อการเก็บตัวอย่างของหินบนดาวเคราะห์ดังกล่าว

อย่างไรก็ตามความพยายามเหล่านี้ยังคงเป็นหนทางที่ยาวไกลในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ทำร้ายโลกเราไปอยู่นอกอวกาส แต่เนื่องด้วยเวลาที่กำลังจะหมดลง  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและทรัพยากรที่ถูกทำลายอย่างรวดเร็วกำลังบังคับให้เรามองข้ามดาวโลกที่เป็นบ้านเกิดของเราทุกคน และหวังว่าเราจะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไปนั่นเองครับ

References : 
https://futurism.com/billionaires-dead-serious-space-factories

ประวัติ Jeff Bezos แห่ง Amazon ตอนที่ 10 : From Zero to No.1

จากจุดเริ่มต้นของความฝันในวัยเด็กคนนึง ที่ฝันอยากจะเป็นผู้ประกอบการมาตั้งแต่เล็ก การเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้สมบูรณ์มากนัก ไม่เกินเลยที่จะกล่าวได้ว่า เจฟฟ์ เบสซอส นั้นแทบจะเริ่มต้นจากศูนย์ แต่ด้วยความอัจฉริยะ และการมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำในที่สุดมันก็นำพาเขามาถึงจุดที่สูงสุดในโลกธุรกิจจนได้ นั่นคือการพา amazon ก้าวขึ้นสู่บริษัททีมีมูลค่ามากที่สุดในโลก และที่สำคัญเขายังกลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกอีกด้วย

และมันมีอีกหนึ่งความฝันของเจฟฟ์ ที่เขาอยากทำก็คือ การพยายามทำให้มนุษย์เดินทางสู่อวกาศได้อย่างปลอดภัยและใช้ต้นทุนต่ำลง มันเป็นอีกความฝันตั้งแต่วัยเยาว์ของเขา ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างบริษัทอย่างบลูออริจิน

มันเป็นส่วนประกอบเล็ก ๆ ของความพยายามอันยิ่งใหญ่ ท้าทาย และเป็นเรื่องยากในแง่ของเทคโนโลยี และใช้เงินทุนสูงมาก เขาปรารถนาที่จะทำให้การเดินทางสู่อวกาศมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเหนือกว่าทุกโครงการที่หน่วยงานของรัฐบาลทำอยู่

เขาตั้งชื่อยานอวกาศลำแรกของบริษัทว่า กอดดาร์ด ตามชื่อของ โรเบิร์ต ฮัตซิงส์ กอดดาร์ด นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันผู้ประดิษฐ์จรวดเชื้อเพลงเหลวได้เป็นคนแรกในปี 1926 ตอนนั้นกอดดาร์ดก็ถูกล้อเลียนเพราะความฝันอันยิ่งใหญ่ของเขาในการส่งคนขึ้นไปบนอวกาศเช่นกัน

อีกหนึ่งความฝันด้านอวกาศในบริษัทบลูออริจิน
อีกหนึ่งความฝันด้านอวกาศในบริษัทบลูออริจิน

ถึงตอนนี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเจฟฟ์ เบซอส นั้นเป็นผู้ประกอบการที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน amazon สามารถนำหน้าคู่แข่งก็เพราะวิสัยทัศน์ ของ เจฟฟ์ เบซอส เขามองว่า internet จะมอบบริการที่มีเอกลักษณ์พิเศษให้แก่ลูกค้า ไม่ใช่เพียงแค่ระบบสั่งซื้อหนังสือออนไลน์ มีเพียงผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์เท่านั้นจึงจะมองเห็นคุณสมบัติต่างๆ  ที่ช่วยให้บริษัททิ้งห่างคู่แข่งได้ตลอดเวลาแบบที่เขาทำ

ถึงแม้เขาจะกลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่เจฟฟ์ เบซอสนั้นไม่เหมือนผู้บริหารดอทคอมจำนวนมากที่เข้าสู่วงการทีหลังเขา เพราะเขามองว่าการสร้างบริษัทอันยอดเยี่ยมมีความสำคัญมากกว่าการสร้างฐานะที่มั่งคั่งร่ำรวย ถึงเขาจะรวยระดับหมื่นล้านเหรียญไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังประกาศให้ผู้คนรู้กันว่าเขายังขับรถยี่ห้อฮอนด้าและอาศัยอยู่ในห้องพักเล็ก ๆ ในเมืองซีแอตเทิล แม้ภายหลังเขาจะย้ายไปอยู่ในบ้านหลังงามริมทะเลสาบวอชิงตันใกล้ ๆ กับคฤหาสน์ของบิลล์ เกตส์

กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เจฟฟ์ เบซอส นั้นเป็นแบบอย่างของผู้บริหารสายพันธุ์ใหม่ที่ผงาดขึ้นมาพร้อมกับบริษัทเทคโนโลยีซึ่งพลิกโฉมวงการธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง เจฟฟ์ นั้นมีความกระตือรือร้นที่แพร่ระบาดไปสู่คนอื่น ๆ ในบริษัทได้อย่างง่ายดาย

เขามีความสามารถอันน่าทึ่งในการโน้มน้าวพนักงาน ให้เชื่อว่าการทำงานที่ amazon ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานเท่านั้น แต่เป็นภารกิจในฝันที่ช่วยเติมเต็มความหมายให้กับชีวิต เขามักถูกเรียกว่าเป็นผู้นำที่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง ซึ่งผู้นำลักษณะแบบเขานั้นจะคิดว่าตัวเองมีดีมากพอจนคิดค้นหลักการทำธุรกิจของตัวเองขึ้นมา แต่พวกเขาไม่เหมือนคนที่หมกมุ่นอยู่กับตัวเองรายอื่น ๆ ตรงที่สามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้

เจฟฟ์ เบซอส สามารถโน้มน้าวผู้ร่วมงานให้เห็นถึงภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของ amazon
เจฟฟ์ เบซอส สามารถโน้มน้าวผู้ร่วมงานให้เห็นถึงภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของ amazon

เจฟฟ์ เบซอส นั้นยังเป็นผู้นำที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีช่วยให้เขามองออกว่าคุณสมบัติอะไรที่จะทำให้บริษัทเจริญรุ่งเรืองหรือล้มเหลว เขาเข้าใจถึงเทคโนโลยี ปัญหา และทางออก ทั้งยังสามารถรับฟังและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ได้ 

ความมุ่งมั่นของเจฟฟ์ เบซอส นั้นสร้างความแตกต่างให้บริษัทได้อย่างแท้จริง การทำเรื่องเดิมซ้ำ ๆ จนกว่าจะทำถูกต้อง แต่หากบางเรื่องไม่มีวี่แววว่าจะสำเร็จ เขาก็ยินดีที่จะล้มเลิกความคิดนั้นเสีย แม้แต่เครื่อง Kindle ที่เขามองว่ามีความสำคัญต่ออนาคตของบริษัทก็ยังต้องใช้เวลาพัฒนาถึง 3 ปี และใช้ความพยายามอีกหลายปีกว่าจะเป็นที่นิยม

ในซิลิกอน วัลเลย์ เราเรียกความเชื่อกึ่งลิทธิที่มีต่อตัวบริษัทว่า วิสัยทัศน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ CEO ชั้นยอดทุกคนต้องมี แน่นอนว่า เจฟฟ์ เบซอส เองก็มีเช่นกัน ถึงแม้บ้างครั้งนั้นการร่วมงานกับเขาจะเป็นเรื่องยากก็ตาม และพนักงานสำคัญที่สุดของ amazon ส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่า บ้างครั้งเขาก็เป็นคนที่ทำงานด้วยยากเหมือนกับสตีฟ จ๊อบส์ จริง ๆ  ซึ่งนั่นแหละที่เป็นสาเหตุให้เราเห็นว่า ผู้นำระดับท็อปนั้นมักมีลักษณะนิสัยไม่ต่างกัน ซึ่งดูจากผลงาน amazon ตอนนี้สิ ที่กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก และที่สำคัญมันยังทำให้ เจฟฟ์ เบซอส กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกด้วย ซึ่งมันพิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่เจฟฟ์ เบซอส ทำให้ amazon นั้นมันยิ่งใหญ่แค่ไหน

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Jeff Bezos จาก Blog Series ชุดนี้

เรื่องราวของ เจฟฟ์ เบซอส นั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เขามีความฝันตั้งแต่เล็กว่าจะเป็นผู้ประกอบการมาตั้งแต่เยาว์วัย และในที่สุดเขาก็สามารถทำตามความฝันของเขาได้สำเร็จ มันไม่แค่สำเร็จเหมือนนักธุรกิจอื่นๆ  แต่ตอนนี้เขาสามารถสร้างบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกได้สำเร็จ

ซึ่งมันเป็นจุดสูงสุดของนักธุรกิจทุกคนในโลกที่จะก้าวไปได้ และเขาทำได้สำเร็จแล้ว มันพิสูจน์ได้ว่า พื้นฐานทางด้านวิศวกรของเขา ความอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก รวมกับความมุ่งมั่น และ โฟกัสกับทุกสิ่งที่เขาทำ มันได้แสดงให้เห็นและให้ทุกคนประจักษ์ในความสามารถของเขาแล้ว

มันเป็นความเหมือนที่ นักธุรกิจระดับท็อป ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ๊อบส์ , มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก หรือ แจ๊ค หม่า มีเหมือน ๆ กัน คือ ความมุ่งมั่น การโฟกัส กับสิ่งที่ทำ เราจะเห็นได้จากหลาย ๆ Series ที่ผมได้เขียนมาว่า ผู้คนเหล่านี้มักจะทำงานกับผู้อื่นได้ยาก เพราะเป้าหมายของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่กว่าที่เราจะคาดคิดถึง มันจึงเป็นที่มาของนิสัยที่คล้าย ๆ กันของนักธุรกิจระดับท็อปเหล่านี้

การเริ่มต้นจากแทบจะศูนย์ ครอบครัวแตกแยก ไม่รู้จักแม้กระทั่งพ่อตัวเองของ เจฟฟ์ เบซอส นั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่มีมาตั้งแต่เล็กของเขาเลยด้วยซ้ำ มันทำให้เราได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ , กีฬา หรือการแข่งขันในด้านในก็ตาม การเริ่มต้นจากศูนย์จนกลายเป็นที่หนึ่งของโลกนั้นมันสามารถเกิดขึ้นได้ ดังที่เจฟฟ์ เบซอส นั้นพิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วกับ amazon

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : My name is Jeff Bezos *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

ประวัติ Jeff Bezos แห่ง Amazon ตอนที่ 9 : Amazon Web Service

แม้ Kindle นั้นจะเป็นหนึ่งในนวัตกรรมสำคัญที่ เจฟฟ์ เบซอส ได้สร้างขึ้นมาและพา amazon ขึ้นสู่บริษัทนวัตกรรม แบบเดียวที่ สตีฟ จ๊อบส์ ทำกับ apple ได้สำเร็จ แต่ความพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ของ amazon จากบริษัทค้าปลีกให้กลายเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีนั้น มันยังไม่สำเร็จเสียทีเดียว โครงการใหม่ ๆ เช่น Search Engine อย่าง A9.com  ล้มเหลวและถูกปิดตัวลงไปหลังจากออนไลน์ได้ไม่นาน โครงการ BlockView โดน StreetView ของ google แซงหน้าไป บริการค้นหาในเล่ม (Search Inside Book) น่าสนใจแต่ไม่สามารถช่วยให้ amazon ผงาดขึ้นมาได้

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่ เจฟฟ์ และ amazon เจอคือ บรรดาวิศวกรที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกกำลังหนีตาย จากวัฒนธรรมองค์กรที่เริ่มล้าหลังของ amazon แห่กันไปหา google รวมถึง startup เปิดใหม่แห่งอื่นใน ซิลิกอน วัลเลย์ ซึ่งหาก เจฟฟ์ เบซอส ต้องการพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าแท้จริงแล้ว amazon เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีอย่างที่เขามักกล่าวอยู่เสมอ เขาต้องอาศัยการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่

ทิม โอไรล์ลี นักเผยแพร่การใช้เว๊บและผู้จัดพิมพ์หนังสือคอมพิวเตอร์ ได้บินมาซีแอตเทิลเพื่อมาพูดคุยกับ เจฟฟ์ เบซอส โดย โอไรล์ลี นั้นได้กล่าวกับ เจฟฟ์ ว่า amazon ทำตัวเหมือนเว๊บปลายทางโดดเดี่ยวและไม่ยอมข้องแวะกับใคร เขาอยากให้ amazon เปิดเผยข้อมูลของ amazon ให้แก่สังคมภายนอก

ทิม โอไรลีย์ ผู้เปิดแนวคิดให้ amazon สร้าง API ให้นักพัฒนาภายนอก
ทิม โอไรลีย์ ผู้เปิดแนวคิดให้ amazon สร้าง API ให้นักพัฒนาภายนอก

โอไรล์ลี ได้สร้างเครื่องมือที่เรียกว่า amarank ซึ่งเป็นเครื่องมืออันซับซ้อนมาให้เจฟฟ์ ได้ดู โดยเครื่องมือดังกล่าวนั้นจะทำการเข้าเยี่ยมชมเว๊บไซต์ amazon ทุก ๆ สองสามชั่วโมง และคัดลอกการจัดอันดับหนังสือของสำนักพิมพ์โอไรล์ลีมีเดีย รวมถึงหนังสือของคู่แข่ง แต่มันเป็นกระบวนการที่ช้าอืดอาดมาก เพราะใช้เทคนิคแบบเก่า และรูปแบบการทำงานคล้าย ๆ hack ข้อมูลจากหน้าจอ amazon.com

โอไรล์ลี แนะนำว่า amazon ควรที่จะพัฒนาชุดเครื่องมือออนไลน์ที่เรียกว่า ส่วนต่อประสานประยุกต์ ( application programming interface) หรือ API เพื่อให้บุคคลภายนอกติดตามข้อมูลเรื่องราคา ผลิตภัณฑ์ และอันดับการขายได้อย่างง่ายดาย

เจฟฟ์ เบซอส เริ่มเห็นโอกาสบางอย่างจากการพบกับ โอไรล์ลี ครั้งนี้  เขาคิดถึงเรื่องของความสำคัญของการเป็นแพลตฟอร์ม และการพัฒนา API เพื่อให้คนภายนอกได้ใช้งานเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

เขาจึงสั่งดำเนินการให้ทีมงานสร้า API ชุดใหม่เพื่อให้นักพัฒนาเชื่อต่อเข้าเว๊บ amazon ได้ ซึ่งมันจะทำให้ เว๊บไซต์อื่นสามารถเผยแพร่รายการสินค้าจากแคตตาล็อกของ amazon ได้ รวมถึงแสดงราคา และ คำอธิบายประกอบสินค้าอย่างละเอียด ทั้งยังอนุญาติให้ใช้ระบบชำระเงินและตะกร้าสินค้าของ amazon ได้อีกด้วย

ตัวเจฟฟ์ เบซอส เองนั้นก็ได้ยอมรับหลักคิดใหม่เกี่ยวกับการเปิดกว้างขึ้นของเว๊บ amazon ได้เริ่มมีการจัดประชุมนักพัฒนาครั้งแรกขึ้น และได้เชิญบุคคลภายนอก ที่เดิมเคยคิดจะเจาะเข้ามาระบบของ amazon ให้มาร่วมพัฒนา API กับ amazon เสียเลย  ซึ่งมันทำให้นักพัฒนากลายมาเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งของ amazon ecosystem และเจฟฟ์ นั้นได้ตั้งชื่อโครงการนี้อย่างเป็นทางการว่า บริการ amazon web service (AWS) 

จากแนวคิด API พัฒนาจนกลายมาเป็น Amazon Web Service ( AWS)
จากแนวคิด API พัฒนาจนกลายมาเป็น Amazon Web Service (AWS)

และมันทำให้ในปัจจุบันนั้น บริการ amazon web service หรือ AWS กลายเป็นธุรกิจขายโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคอมพิวเตอร์ เช่น การจัดเก็บข้อมูล ฐานข้อมูล หรือระบบการคำนวณแบบสมรรถนะสูง มันทำให้บริษัทเกิดใหม่อย่าง Pinterest หรือ Instragram สามารถกำเนิดขึ้นมาได้ โดยมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นไม่สูงมากนัก 

หรือแม้กระทั่งบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Netflix ก็ใช้บริการของ amazon เพื่อทำการสตรีมภาพยนต์ส่งให้ลูกค้า และ AWS เองก็จำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำรายได้ในอนาคตของบริษัทเทคโนโลยีเกิดใหม่ ซึ่งมันก็กลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของ amazon ที่ไม่ได้พึ่งพาแค่ อีคอมเมิร์ซอีกต่อไป

ให้บริการตั้งแต่บริษัท startup ขนาดเล็กไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix
ให้บริการตั้งแต่บริษัท startup ขนาดเล็กไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix

ต้องบอกว่าการเกิดขึ้นของ AWS นั้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้าน บริการเว๊บเซอร์วิส ที่เข้าถึงง่าย และราคาไม่แพงของ amazon ช่วยให้เกิดบริษัทตั้งใหม่ด้าน internet อีกเป็นพัน ๆ แห่ง ซึ่งไม่สามารถที่จะตั้งขึ้นมาได้เลยหากไม่มีบริการดังกล่าว

นอกจากนี้ บริการ AWS ของ amazon ยังส่งผลให้บริษัทขนาดใหญ่เช่า super computer ในระบบ cloud ได้ จนนำไปสู่ยุคใหม่แห่งนวัตกรรมแขนงต่าง ๆ เช่น การเงิน น้ำมันและก๊าซ สุขภาพ และวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงเลยที่จะพูดได้ว่า AWS ช่วยฉุดเทคโนโลยีทั้งหมดขึ้นมาหลังจากป่วยเรื้อรังจากยุคดอทคอม และกำหนดนิยามใหม่ของคลื่นลูกถัดไปในเรื่องการประมวลผลระดับองค์กรธุรกิจขึ้นมาใหม่

และการปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจเป็นภาพลักษณ์ของ amazon นั่งเอง AWS นั้นขยายขอบข่ายความเป็นสรรพสินค้าออกไปอีก อีกทั้งยิงมีสินค้าอื่นๆ  ที่ดูจะแตกต่างออกไปด้วย amazon จึงได้ฉีกหนีคู่แข่งไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นวอลมาร์ต และบริษัทค้าปลีกที่เป็นคู่แข่งรายอื่น ๆ amazon ได้สร้างเสน่ห์ใหม่ ๆ ให้บริษัทสามารถดึงดูดเหล่าวิศวกรอัจฉริยะให้เข้ามาทำงานได้อีกครั้ง และที่สำคัญหลังผ่านความล้มเหลวและความขมขื่นภายในมานานนับปี ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตอนนี้ amazon ได้กลายเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีแล้ว อย่างที่เจฟฟ์ เบซอส นึกฝันอยากให้เป็นเสมอมา

–> อ่านตอนที่ 10 : From Zero to No.1 (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : My name is Jeff Bezos *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Jeff Bezos แห่ง Amazon ตอนที่ 8 : Kindle

การสร้างสิ่งใหม่ หรือ นวัตกรรมใหม่ ๆ นั้นเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะกับบริษัทด้านเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึง amazon เพราะเทคโนโลยีนั้นก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว การแข่งขันที่สำคัญของบริษัททางด้านเทคโนโลยีคือ ต้องแข่งกับเวลา และ นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ต้องออกมาจากบริษัท เพราะ มีคู่แข่งมากหน้าหลายตาโดยเฉพาะใน ซิลิกอน วัลเลย์ ที่กำลังสร้างนวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ ๆ ที่พร้อมจะมา disrupt บริษัทยักษ์ใหญ่ได้อยู่ตลอดเวลา

ไม่มีใครรู้ว่า kindle มันเริ่มมาจากความคิดตอนไหน ของ เจฟฟ์ เบซอส แต่มันมีหนังสือเล่มนึงที่ เจฟฟ์ และ ผู้บริหาร amazon โหมอ่าน และ ถกเถียงกันอย่างเมามันในเรื่องกลยุทธ์ของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ หนังสือเล่าที่ว่าคือ The Innovator’s Delimma ที่เขียนขึ้นโดย เคลย์ทัน คริสเทนเซ็น อาจารย์มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด

หนังสือที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอย่างหนึ่งของเจฟฟ์ และทีมงาน amazon
หนังสือที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอย่างหนึ่งของเจฟฟ์ และทีมงาน amazon

เนื้อหาในหนังสือเป็นเรื่องที่กล่าวถึง เหตุผลที่บริษัทใหญ่หลายแห่งล้มเหลว ไม่ใช่เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ แต่เพราะลังเลจะโอรับตลาดใหม่ ซึ่งดูมีอนาคตที่อาจะทำลายธุรกิจดั้งเดิมของตน อีกทั้งตลาดใหม่นั้นยังไม่อาจตอบสนองความจำเป็นที่ต้องเติบโตให้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ  ตัวอย่างเช่น ไอบีเอ็ม ไม่ยอมเปลี่ยนจากเมนเฟรมเป็นมินิคอมพิวเตอร์ ซึ่ง ผู้เขียนนั้นได้ความเห็นว่า บริษัทที่สามารถแก้สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนักนวัตกรรม (innovator’s dilemma) ได้ จะประสอบความสำเร็จเมื่อสามารถ ตั้งหน่วยงานอิสระขึึ้นในองค์กร เพื่อให้มารับผิดชอบเรื่องการสร้างธุรกิจใหม่ และมีอิสระ โดยการใช้เทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด

และ วันหนึ่งในปี 2004 เจฟฟ์ เบซอส ได้เรียก สตีฟ เคสเซล ผู้ที่เรียกได้ว่า จงรกภักดีต่อ เจฟฟ์ มากที่สุดคนหนึ่งใน amazon มารับหน้าที่นี้ ซึ่งตอนนั้น เคสเซล นั้นเป็นผู้ดูแลธุรกิจหนังสือของ amazon อยู่ แต่หน้าที่ใหม่ของเขาที่เจฟฟ์ นั้นมอบหมายให้ คือ ไปคุมงานด้านดิจิตอลของ amazon ที่ตอนนั้นยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดีนัก  และหน้าที่สำคัญของ เคสเซล คือ “ฆ่าธุรกิจตัวเองซะ” คือทำยังไงก็ได้ให้ทุกคนที่ขายหนังสือปรกติตกงาน 

เคสเซล นั้นได้ตั้งหน่วยงานอิสระขึ้นมาใหม่ใน amazon ในชื่อสุดเก๋ว่า Lab126 ซึ่งรวมรวมเอาวิศวกรสุดเจ๋ง และฉลาดเป็นกรดในซิลิกอน วัลเลย์เข้ามาทำงานด้วยกัน และต้องต่อสู้กับจินตนาการอันกว้างไกลไร้ขีดจำกัดของ เจฟฟ์ เบซอส ซึ่งต้องการให้เครื่องอ่านอิเล็กทรอนิกส์ชิ้นใหม่ ใช้งานได้ง่ายจนแม้แต่คุณยายก็ใช้งานเองได้

Lab126 หน่วยงานที่รวบรวมอัจฉริยะ เพื่อสรรสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้กับ amazon
Lab126 หน่วยงานที่รวบรวมอัจฉริยะ เพื่อสรรสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้กับ amazon

ช่วงเดือนแรกมีการกำหนดแนวทางที่สำคัญ คือ การสำรวจเทคโนโลยีหน้าจอขาวดำที่กินไฟน้อย ที่ชื่อ E-Ink ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำงานได้ดีแม้จะอยู่ในแสงแดดจ้า และถนอมสายตามาก ซึ่งต่างจากระบบแอลซีดี และถือว่าเป็นโชคดีไม่ใช่น้อยสำหรับ amazon ที่เทคโนโลยีดังกล่าวนั้น บังเอิญสมบรณ์พร้อมใช้งานพอดี หลังจากผ่านการพัฒนามานับทศวรรษ

โปรเจคดังกล่าวมีการตั้งชื่อว่า Kindle ซึ่งจงใจใช้ความหมายของการเริ่มจุดไฟ ทั้งยังเป็นคำที่ใช้ได้ทั้งรูปคำนามและคำกริยา มันจึงเป็นชื่อแบรนด์ที่ทรงพลังอย่างมากต่อ amazon ซึ่งการออกแบบ kindle นั้นเริ่มต้นด้วยการศึกษากายภาพของการอ่านอย่างแท้จริง เช่น วิธีที่คนพลิกหน้าหนังสือ และ ถือหนังสือไว้ในมือ  และพยายามจำแนกแยกแยะกระบวนการที่ไม่มีใครใส่ใจอย่างจริงจังมานานหลายร้อยปี

Kindel version แรก  ๆ ในขณะทำการวิจัยอยู่
Kindel version แรก ๆ ในขณะทำการวิจัยอยู่

เจฟฟ์ เบซอส นั้นต้องการได้การออกแบบที่เรียบง่าย มีเอกลักษณ์ และที่สำคัญเจฟฟ์ ต้องการให้มันมีแป้นพิมพ์ เพราะในขณะนั้นแบล็คเบอร์รี่ กำลังเป็นดาวรุ่งที่สำคัญของตลาดมือถือ ทำให้ลูกค้าติดการใช้งานแบบแป้นพิมพ์

แต่ตลอดการพัฒนาพบปัญหามากมายทั้งเรื่องการออกแบบตัวเครื่อง ปัญหาเรื่องจอ E-Ink เกิดปัญหาเรื่อง contrast ต่ำและหน้าจอสลัวเมื่อใช้งานบ่อย ส่วนตัวชิปที่จะใช้ของ Intel ตระกูล XScale ได้ขายกิจการการส่วนดังกล่าวไปให้บริษัท Marvell รวมถึงการฟ้องร้องเรื่องเทคโนโลยีไร้สายระหว่าง ควอลคอมม์และบรอดคอม ที่ผลิตส่วนประกอบเซลลูลาร์เพื่อใช้ใน kindle ทำให้โครงการต้องเลื่อนการออกจำหน่ายออกไป

และอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือ amazon ต้องการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เป็นจำนวนมาก ผู้เล่นในตลาดก่อนหน้าอย่าง ร็อกเกตบุ๊ค รวมถึงโซนี่รีดเดอร์ นั้นมีรายการหนังสือให้เลือกแสนจำกัด แทบจะไม่มีหนังสือให้อ่านสำหรับลูกค้ารายแรก ๆ เป้าหมายของเจฟฟ์ คือ ต้องมีหนังสือดิจิตอล หนึ่งแสนเล่ม โดยร้อยละ 90 ต้องเป็นหนังสือขายดีระดับ Best Seller ของ นิวยอร์กไทมส์ พร้อมให้ดาวน์โหลดเมื่อเปิดจำหน่าย Kindle

โซนี่ แม้จะออกผลิตภัณฑ์มาก่อน แต่มีหนังสือให้เลือกไม่มากนัก
โซนี่ แม้จะออกผลิตภัณฑ์มาก่อน แต่มีหนังสือให้เลือกไม่มากนัก

และในที่สุดหลังจากความพยายามอยู่นานถึง 3 ปี Kindle ได้ออกวางขายครั้งแรกในปี 2007 โดยเครื่องรุ่นแรกนั้นสามารถที่จะเก็บหนังสือได้ถึง 200 เล่ม และมี หนังสืออีบุ๊คพร้อมขายถึง 90,000 เล่ม 

แต่ด้วยความที่ Kindle รุ่นแรกนั้นมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียด แถมราคาก็สูงถึง 400 เหรียญ ส่วนตัวหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นั้น ราคาก็ไม่ต่ำเลย โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10 เหรียญ เป็นการลดราคาจากหนังสือเล่มปรกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 

แต่ Kindle นั้นได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญ หลังจากออกวางขาย คำถามในหมู่สำนักพิมพ์ก็เปลี่ยนจาก ผู้คนอยากอ่านอีบุ๊กจริงหรือไม่ ไปเป็น ผู้คนยังอยากอ่านหนังสือกระดาษอยู่อีกหรือ ซึ่งเจฟฟ์ เบซอส มุ่งมั่นที่จะพลิกโฉมวงการหนังสือด้วย Kindle นวัตกรรมตัวใหม่ที่เขาสร้างมากับมือ

เจฟฟ์ เปิดตัว Kidle อย่างเป็นทางการในปี 2007 และได้เปลี่ยนวงการหนังสือไปอย่างสิ้นเชิง
เจฟฟ์ เปิดตัว Kidle อย่างเป็นทางการในปี 2007 และได้เปลี่ยนวงการหนังสือไปอย่างสิ้นเชิง

และในปี 2010 สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่บางแห่งก็มีรายได้จากการขายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์คิดเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมด ถึงแม้จะขายในราคาเพียงครึ่งนึงของหนังสือปกแข็งปรกติก็ตาม  นั่นหมายความว่าหลังจาก Kindle ออกวางขายในตลาดได้เพียง 3 ปี หนังสือ 20% ของสำนักพิมพ์ล้วนอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แทบจะทั้งสิ้น

เราจะเห็นได้ว่าเจฟฟ์ นั้นมองว่าอีบุ๊กมีความสำคัญต่ออนาคตของ amazon ประมาณ 3 ใน 4 ของ อีบุ๊กที่ขายได้ทั่วโลกนั้นล้วนมาจาก amazon แทบจะทั้งสิ้น มันเริ่มเห็นผลแล้วว่านวัตกรรมที่เขาสร้างมานั้น สามารถเปลี่ยนแปลง amazon ได้อย่างไร แต่แม้ว่า Kindle นั้นจะเป็นสินค้าสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของเจฟฟ์ เบซอส ที่เคยนำเสนอมา แต่มันก็ไม่ใช่สินค้าเพียงชิ้นเดียว เขายังทะเยอทะยานต่อไป และพยายามมองหาแนวทางใหม่ ๆ ในการทำเงินจากสินค้าที่จับต้องไม่ได้อยู่ตลอดเวลา ความทะเยอทะยานของเขายังคงไร้ขีดจำกัดอยู่เช่นเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

–> อ่านตอนที่ 9 : Amazon Web Service

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : My name is Jeff Bezos *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ