Changpeng Zhao (CZ) จากศูนย์สู่มหาเศรษฐี Crypto ภายในหนึ่งปีกับการก่อตั้ง Binance

นับตั้งแต่มีการเสนอเหรียญ BNB ครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2018 BNB โทเค็น ของ Binance ได้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นจากประมาณ 10 เซนต์เป็น 448 ดอลลาร์ ทำให้มีมูลค่าตลาด 74 พันล้านดอลลาร์ Zhao วัย 44 ปี ซึ่งสวมเสื้อฮู้ดสีดำ เหมือนกับที่ Mark Zuckerberg และ Steve Jobs ใส่ ได้กลายเป็นมหาเศรษฐี crypto ระดับแนวหน้า

ผู้ชายที่เอาแต่ใจ เขาได้ขายบ้านของเขาในเซี่ยงไฮ้ในปี 2014 เพื่อซื้อ Bitcoin ทั้งหมดแม้ว่า Zhao จะรวยด้วย crypto แต่เขาไม่มีรถยนต์ เรือยอทช์ หรือนาฬิกาหรูๆ ในทางกลับกัน เขามักจะใช้แล็ปท็อปอย่างฟุ่มเฟือย โดยส่วนใหญ่ที่เขาซื้อคือแล็ปท็อปครั้งละห้าหรือหกเครื่องเพียงเพราะเขา “ทำลายมันอย่างรวดเร็ว”

Zhao เกิดในมณฑลเจียงซูประเทศจีน พ่อแม่ของเขาทั้งคู่เป็นนักการศึกษา พ่อของเขาซึ่งเป็นศาสตราจารย์ ถูกตราหน้าว่าเป็น “ผู้มีปัญญาของชนชั้นนายทุน” และถูกเนรเทศชั่วคราวหลังจากเกิด Zhao ได้ไม่นาน 

ในที่สุดครอบครัวก็อพยพไปแวนคูเวอร์ แคนาดาในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ในช่วงวัยรุ่น Zhao ได้ช่วยค่าใช้จ่ายในครัวเรือน โดยทำงานที่ McDonald’s และทำงานกะข้ามคืนที่ปั๊มน้ำมัน

หลังจากศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัย McGill ในเมืองมอนทรีออลแล้ว Zhao ใช้เวลาทั้งในโตเกียวและนิวยอร์ก ในการสร้างระบบสำหรับการจับคู่คำสั่งการค้าในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว

จากนั้นจึงได้ไปทำงานที่ Tradebook ของ Bloomberg ซึ่งเขาได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการซื้อขายล่วงหน้า แต่ถึงแม้หลังจากที่นักเขียนโค้ดวัย 27 ปีได้รับการเลื่อนตำแหน่งสามครั้งในเวลาน้อยกว่าสองปีให้คุมทีมในนิวเจอร์ซีย์ ลอนดอน และโตเกียว Zhao ก็เริ่มหมดความอดทน

ดังนั้นในปี 2005 เขาลาออกและย้ายไปเซี่ยงไฮ้เพื่อเริ่มต้นบริษัทระบบการค้าของตนเองชื่อ Fusion Systems

เริ่มต้นกับ Bitcoin

จากนั้นในปี 2013 Zhao ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Bitcoin จาก Bobby Lee ซึ่งเป็น CEO ของ BTC China และนักลงทุนของเขาในเกมโป๊กเกอร์ 

Lee แนะนำให้เขาแปลง 10 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าสินทรัพย์ของเขาเป็น bitcoin โดยบอกว่ามีโอกาสสูงที่มันจะเติบโต 10 เท่า ซึ่งหมายความว่าโดยพื้นฐานแล้วหมายถึงการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของเขาเป็นสองเท่า

นั่นทำให้เขาสนใจ แต่เนื่องจากไม่มีเนื้อหาด้านการศึกษาเกี่ยวกับ Bitcoin ในตอนนั้น เขาจึงค้นคว้าโดยดาวน์โหลดเอกสารออนไลน์และเข้าไปดูในฟอรัม bitcointalk.org ซึ่งจากภูมิหลังทางเทคโนโลยี เขาเข้าใจแนวคิดนี้ค่อนข้างเร็วและชอบแนวคิดของ Bitcoin เพราะมันไร้พรมแดนและดูแลโดยเครือข่าย

เขาเริ่มเข้าไปร่วมกับโครงการ crypto ที่โดดเด่น เขาเข้าร่วม Blockchain.info ในฐานะสมาชิกคนที่สามของทีมกระเป๋าเงินดิจิตอล 

ในฐานะหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเป็นเวลาแปดเดือน เขาทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เผยแพร่ลัทธิ Bitcoin ที่มีชื่อเสียงเช่น Roger Ver และ Ben Reeves เขายังทำงานที่ OKCoin ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีมาเป็นเกือบหนึ่งปี ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายแบบสปอตระหว่างคำสั่งและสินทรัพย์ดิจิทัล

Zhao ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เผยแพร่ลัทธิ Bitcoin ที่มีชื่อเสียงเช่น Roger Ver (CR:Finance Magnates)
Zhao ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เผยแพร่ลัทธิ Bitcoin ที่มีชื่อเสียงเช่น Roger Ver (CR:Finance Magnates)

ตลอดเวลานั้น Zhao กำลังคิดที่จะเริ่มต้นสร้างแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลของเขาเอง เขาคิดว่าหากไม่มีการเชื่อมต่อกับสถาบันการเงิน ความเสี่ยงและการเข้ามาแทรกแซงด้านกฎระเบียบที่ Roger Ver อดีตเพื่อนร่วมงานของเขาเตือนเขาจะลดลง

จนกระทั่งปี 2017 ICO บูมและปริมาณการซื้อขายเริ่มทะยานพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงตัดสินใจครั้งสำคัญ เงินทุนจำนวน 15 ล้านดอลลาร์ที่เขาระดมทุนได้จากการขายโทเค็น 200 ล้านดอลลาร์ของ Binance เป็นทุนเริ่มต้นของเขาในการสร้างฝันครั้งใหม่

แพลตฟอร์ม Binance มีเหรียญ BNB ของตัวเอง ซึ่งผู้ใช้สามารถซื้อ ขาย และถือครองได้ ซึ่งวันนี้เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกโดยมีมูลค่าตลาดเกือบ 74 พันล้านดอลลาร์

โดย Binance อนุญาตให้ผู้ใช้แลกเปลี่ยนสกุลเงิน โดยเสนอทางเลือกที่หลากหลายสำหรับสกุลเงินดิจิทัลเพื่อการลงทุน Binance ยังมีกระเป๋าเงินดิจิตอลเข้ารหัสสำหรับผู้ค้า ซึ่งผู้ใช้สามารถจัดเก็บ ส่ง และรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ของพวกเขาได้

Zhao มักจะย้ายที่อยู่เสมอ ไล่มาตั้งแต่ดินแดนอาทิตย์อุทัย และจากนั้นไปยังไต้หวัน และได้มาลงเอยที่ฐานที่มั่นปัจจุบันที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ปริมาณการซื้อขายของ Binance ไม่ได้ถูกครอบงำโดยจีนอีกต่อไป 

ปี 2020 Binance มีรายรับมากกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐและมีมูลค่าการซื้อขายรวมถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนเมษายน ปี 2019 Binance ยังได้เข้าซื้อ CoinMarketCap และเปิดตัวบัตรเดบิตสกุลเงินดิจิทัลของตนเอง

Binance กำลังเผชิญกับการตรวจสอบด้านกฎระเบียบ

แม้ว่า Binance จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่กฎระเบียบในจีนนั้นค่อนข้างขัดขวางความก้าวหน้าหลังจากที่รัฐบาลสั่งห้ามการซื้อขายในปี 2017 ซึ่ง Binance ตอบโต้ด้วยการย้ายไปต่างประเทศและขยายไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม Binance อยู่ภายใต้การตรวจสอบกฎระเบียบที่เข้มงวดเมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากทางการทั่วโลกพยายามที่จะปราบปรามอุตสาหกรรม crypto ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ในสหราชอาณาจักร Financial Conduct Authority (FCA) ได้สั่งห้ามหน่วยงานอังกฤษของ Binance ไม่ให้ดำเนินกิจกรรมที่มีการควบคุมใดๆ ซึ่งจากข้อมูลของ FCA นั้น Binance เป็นหนึ่งในบริษัท crypto หลายแห่งที่ถอนใบสมัครออกจากระบบการออกใบอนุญาตชั่วคราวของสหราชอาณาจักรเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการต่อต้านการฟอกเงิน

Financial Conduct Authority (FCA) จากอังกฤษทำการแบน Binance (CR:The Crypto Times)
Financial Conduct Authority (FCA) จากอังกฤษทำการแบน Binance (CR:The Crypto Times)

หน่วยงานกำกับดูแลในญี่ปุ่น แคนาดา และอิตาลี ต่างก็กดดันบริษัทดังกล่าว โดยเตือนว่าบริษัทไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการในประเทศต่างๆ

หลังจากการถูกกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลจากประเทศต่าง ๆ หลายครั้ง Zhao ได้แสดงความตั้งใจที่จะร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลระดับโลกและ “ปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเต็มที่” เพื่อปกป้องผู้ใช้และอุตสาหกรรม crypto

“เราจำเป็นต้องเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับใบอนุญาตทุกที่ที่เราดำเนินการ” Zhao กล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมเมื่อปีที่ผ่านมา

เขาเสริมว่าหากหน่วยงานกำกับดูแลคาดหวังว่า Binance จะมีสำนักงานใหญ่ Binance จะจัดตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโครงสร้างบริษัทที่สามารถเข้าใจได้ง่าย

แล้ว Binance จะเป็นอย่างไรต่อไป?

ในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC Zhao ยังกล่าวอีกว่าเขาเต็มใจที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง CEO เนื่องจากบริษัทพยายามที่จะกลายเป็นสถาบันการเงินที่มีการควบคุม

ในขณะที่เขาไม่มีแผนที่จะยกเลิกบทบาทของเขาในทันที เขาเปิดเผยว่า Binance มีแผนในการสืบทอดตำแหน่งของเขาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เรากำลังจะเปลี่ยนเป็นสถาบันการเงินที่มีการควบคุมอย่างเต็มที่ในอนาคต” Zhao กล่าว พร้อมเสริมว่าเขาจะ “เปิดกว้างมาก” ในการหา CEO ทดแทนที่มีประสบการณ์ด้านการกำกับดูแลมากขึ้นในระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น

การวางแผนฉุกเฉินของ CEO เริ่มต้นในวันที่ 0 เช่นเดียวกับบทบาทอื่นๆ Zhao รู้สึกว่าซีอีโอไม่ควรอยู่เกินสิบปี เราอาศัยอยู่ในโลกที่มีพลวัต เราต้องการความคิดใหม่ แม้กระทั่งตำแหน่งประธานาธิบดีก็ทำหน้าที่เพียงแค่สี่ปีเท่านั้น

“ผมไม่จำเป็นต้องเป็น CEO และผมจะไม่จากไป ผมจะหาวิธีที่จะช่วยเหลือชุมชนที่อยู่เบื้องหลังรอยสักโลโก้ที่ปลายแขนของผมเสมอ ผมภูมิใจที่ได้เป็นสมาชิกของระบบนิเวศ #binance ให้มันเติบโตต่อไป– Zhao Changpeng ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Binance กล่าวในกระทู้ผ่านทาง Twitter

สำหรับตอนนี้ Binance ตั้งเป้าที่จะตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคหลายแห่งทั่วโลก และจะขอใบอนุญาตทุกที่ที่มี

ล่าสุด Binance ยังได้ประกาศว่าพวกเขากำลังเริ่มว่าจ้างเพื่อเพิ่มทีมการปฏิบัติตามกฎระเบียบเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริษัท 1,600 ถึง 1,700 ตำแหน่ง Zhao เน้นว่าความสำคัญสูงสุดของเขาคือการจ้างผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับ

Binance ยังเพิ่มการจ้างงานในสิงคโปร์ด้วยตำแหน่งงานว่างมากกว่า 50 ตำแหน่ง ตั้งแต่การพัฒนาธุรกิจ การเงิน และการดำเนินงาน

“เรามีเงินสดเพียงพอ ดังนั้นเราจึงสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเรามีผลกำไรและเรามีการเจริญเติบโตที่ดีเพียงพอ” Zhao กล่าว

บทสรุป

จากเรื่องราวของ Binance เราจะเห็นได้ว่า เทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนขนาดใหญ่อย่าง Binance นั่นก็คือการที่ต้องตกอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐของแต่ละประเทศ

ตัวอย่างในประเทศไทยเอง เราก็มีปัญหามากมายกับการควบคุม ตัวอย่างล่าสุดก็คงเป็นเรื่องภาษี ซึ่งมีหลายคนที่ให้ความเห็นว่าจะหนีจากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนของไทยไปที่ Binance

แต่ถ้าดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การหนีออกไปก็ไม่ใช่ทางออกระยะยาวเลยซะทีเดียว เพราะดูเหมือนว่าสุดท้ายทุกแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน หากคิดจะเติบโตระยะยาวได้ และสามารถสร้างฐานลูกค้าจำนวนมหาศาลได้อีกมากมาย สุดท้ายพวกเขาก็ต้องโค้งคำนับให้กับหน่วยงานด้านกำกับดูแลในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

** ตัวเลขราคา มูลค่าต่าง ๆ อัพเดท ณ วันที่ 07/01/2022 **

References : https://www.forbes.com/sites/jonathanburgos/2021/09/06/crypto-billionaire-changpeng-zhao-to-cease-some-binance-services-in-singapore-amid-regulatory-scrutiny/
https://infomediang.com/changpeng-zhao-binance-founder/
https://en.wikipedia.org/wiki/Changpeng_Zhao
https://vulcanpost.com/757584/zhao-changpeng-binance-ceo-22nd-richest-man-singapore/
https://coinmarketcap.com/currencies/binance-coin/
https://www.forbes.com/sites/pamelaambler/2018/02/07/changpeng-zhao-binance-exchange-crypto-cryptocurrency/

Bitcoin Story ตอนที่ 5 : Digital Silk Road

Jed McCaleb ได้ย้ายไปที่ Nosara ซึ่งเป็นเมืองชายหาดในคอสตาริกาเพียงไม่ถึงสองเดือนหลังจากที่เริ่มเปิดเว๊บ Mt. Gox  เพียงสิบวันหลังจากนั้นเป็นครั้งแรกที่ในเว๊บไซต์มีการซื้อขายกันถึง 1,000 Bitcoins และประมาณสิบวันหลังจากนั้นก็มีการซื้อขายมากกว่า 10,000 Bitcoins ซึ่งเรียกได้ว่า Mt. Gox นั้นเติบโตอย่างร้อนแรงเลยทีเดียว

ซึ่งหมายความว่าการแลกเปลี่ยนเงินสกุล Bitcoin มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ดอลลาร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง Jed ทำรายได้ 0.5 เปอร์เซ็นต์จากการเทรดทุกครั้งซึ่งถือเป็นค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อย แต่การไหลเวียนของเงินเข้าและออกโดยเฉพาะจาก PayPal ทำให้เขาต้องปวดหัว

Jed ประสบปัญหากับการที่ลูกค้าของเขาใช้บัตรเครดิตหรือ PayPal เครือข่ายการชำระเงินแบบเดิมทั้งหมดช่วยให้ลูกค้าสามารถเรียกเงินคืนจากร้านค้าได้ แม้ว่าจะทำธุรกรรมเหล่านี้จะทำเสร็จไปแล้วก็ตาม

นี่เป็นหนึ่งในประเด็นที่ Cypherpunks ต้องการแก้ไขในการสร้างเงินดิจิทัล เนื่องจากความไม่พอใจเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินคืนให้กับบริษัทบัตรเครดิต ซึ่งในโลก Bitcoin เองไม่อนุญาตให้มีการย้อนกลับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไปแล้ว

แต่ถ้า Jed ขาย Bitcoins ผ่าน PayPal ให้กับคนที่โต้แย้งการชำระเงินด้วย PayPal แล้ว Jed อาจสูญเสียเงิน PayPal และไม่สามารถรับ Bitcoins กลับคืนมาได้ ซึ่งในช่วงหนึ่งเดือน แรก Jed ยอมรับว่าเขาไม่สามารถป้องกันสิ่งนี้ได้

ในการตามล่าหาใครบางคนที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระงานที่ Mt. Gox Jed เริ่มแชทออนไลน์กับผู้ใช้ชื่อ MagicalTux ซึ่งในไม่ช้า Jed ก็ได้รู้จักเขาในชื่อ Mark Karpeles ซึ่งเป็นผู้ใช้ที่ออนไลน์เกือบตลอดเวลาเพราะที่นี่เป็นที่เดียวที่เขารู้สึกสบายใจในโลก

ตอนที่เขาได้พบกับ Jed ทางออนไลน์ Mark อาศัยอยู่ในโตเกียวมานานกว่าหนึ่งปีและตั้ง บริษัท เว็บโฮสติ้งของตัวเองโดยให้เช่าพื้นที่เซิร์ฟเวอร์ เขาเรียนรู้เกี่ยวกับ Bitcoin จากลูกค้าชาวฝรั่งเศสในเปรูซึ่งต้องการวิธีที่ง่ายกว่าในการชำระค่าใช้จ่ายที่ Mark เรียกเก็บจากเขา

เมื่อ Mark เข้าสู่ Bitcoin ในปลายปี 2010 เขาพบว่ามันได้ดึงดูดชุมชนออนไลน์ที่เหนียวแน่นและเป็นมิตรอย่างผิดปกติซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เขารู้สึกสบายใจ เขาจะมีส่วนร่วมในการแชทไม่รู้จบทุกชั่วโมงเกี่ยวกับทุกอย่างตั้งแต่ระบบการชำระเงินของญี่ปุ่นที่คลุมเครือไปจนถึงตัวตนของ Satoshi ซึ่ง Mark มั่นใจว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่น

ในขณะที่ราคาของ Bitcoin เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 30 เซนต์ต่อเหรียญในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2010 Jed ได้โทรหาทนายความในนิวยอร์กเพื่อถามเกี่ยวกับผลกระทบด้านกฎระเบียบในการดำเนินธุรกิจของ Mt. Gox ทนายความกล่าวว่ายังไม่มีความชัดเจนว่ารัฐบาลจะมีมุมมองอย่างไรต่อ Bitcoin ในขณะนั้น 

ในฟอรัมมีการถกเถียงกันอย่างหนักหน่วงว่า Bitcoin จะถือเป็นเงินหรือไม่ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคาร แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรทนายความบอกกับ Jed ว่าในที่สุดเขาอาจจะต้องลงทะเบียนเป็นธุรกิจส่งเงินซึ่งจะต้องใช้ใบสมัคร,ใบอนุญาติมากมายและค่าใช้จ่ายทางกฎหมายอีกมากโข

Jed หันไปหา Mark เพื่อขอคำแนะนำ ซึ่งในเอกสาร 4 หน้าที่ Jed รวบรวมไว้เพื่อส่งให้กับนักลงทุนที่มีศักยภาพ เอกสารดังกล่าวเน้นย้ำว่า Mt. Gox จะเติบโตอย่างรวดเร็วและคืนทุนในเวลาอันสั้น

ธุรกิจนี้มีมูลค่า 2 ล้านดอลลาร์จากการประมาณการของ Jed: “Mt. Gox สร้างรายได้ด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำมากและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนมหาศาล” เอกสารกล่าว Jed บอกกับ Mark ว่าเขาคิดจะหาเงินประมาณ 200,000 ดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการจ้างทนายความเพื่อช่วยจัดการกับสถานการณ์ด้านกฎระเบียบ

Mt. Gox ยังต้องเจอเรื่องปวดหัวอย่างต่อเนื่อง เพราะในเดือนมกราคม  ผู้ใช้ชื่อ Baron สามารถแฮ็กเข้าสู่ Mt. Gox ทำบัญชีและขโมย Bitcoins มูลค่าประมาณ 45,000 ดอลลาร์ รวมถึงเงินสกุลเงินดิจิทัลอีกประเภทหนึ่งที่ Jed ใช้ในการโอนเงิน

เหตุการณ์ดังกล่าวตอกย้ำความเชื่อของ Jed ที่มีต่อ Mt. Gox ว่ากำลังตกเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์และเขาไม่มีทั้งเวลาและความเชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยที่จะปกป้องมันอย่างเพียงพอ

เมื่อ Mark และ Jed ทำข้อตกลงเสร็จสิ้นราคาของ Bitcoin ก็พุ่งสูงกว่า 1 ดอลลาร์ดึงดูดความสนใจของสื่อใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ยังดึงดูดการโจมตีครั้งใหญ่อีกครั้ง ณ จุดนี้จากจำนวน 21 ล้าน Bitcoins ทั้งหมดหนึ่งในสี่ถูกปล่อยออกไปทั่วโลกโดยมีมูลค่าประมาณ 5 ล้านดอลลาร์ที่อัตราแลกเปลี่ยนราว ๆ 1 ดอลลาร์ ต่อ 1 Bitcoin ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนธุรกรรมรายวันก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สาเหตุของการเพิ่มขึ้นนี้เกิดจากการเพิ่มขึ้นของธุรกิจอื่นซึ่งเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ถึงรากฐานของความไว้วางใจที่ Bitcoin พยายามสร้างขึ้น

การใช้ Bitcoin ในโลกจริงไม่ได้ก้าวหน้ามากนัก แต่ผลิตภัณฑ์ที่มีให้สำหรับ Bitcoin ได้ขยายตัวอย่างมากในช่วงสองสามวันก่อนที่ราคาของ Bitcoin จะพุ่งขึ้นจากประมาณ 50 เซนต์เป็นสูงกว่า 1 ดอลลาร์เป็นครั้งแรก เมื่อมีโพสต์หนึ่งในฟอรัม Bitcoin กล่าวถึงการประกาศการค้า Bitcoin ในระลอกใหม่

“มีใครเห็น Silk Road หรือยัง? มันเหมือนกับ amazon.com ที่ไม่ระบุตัวตน ผมไม่คิดว่าพวกเขามีเฮโรอีนอยู่ที่นั่น แต่พวกเขากำลังขายของอย่างอื่น”

การโพสต์เกิดขึ้นโดยผู้ที่ไปโดยใช้ชื่อ altoid ในชีวิตจริงเขาคือ Ross Ulbricht นักโต้คลื่นสูง 6 ฟุต 2 ที่วางแผนสำหรับ Silk Road มาหลายเดือนแล้ว

สำหรับ Ross เด็กอายุยี่สิบหกปีที่รักความสนุกสนานและมีการศึกษาดี การสร้าง Silk Road เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในเดือนกรกฎาคม 2010 เมื่อเขาขายบ้านราคาถูกในเพนซิลเวเนียที่เขาได้มาในขณะที่เขาเรียนจบซึ่งได้เงินราว ๆ 30,000 เหรียญจากการขาย

Ross Ulbricht ผู้นำพา Bitcoin เข้าสู่ด้านมืด
Ross Ulbricht ผู้นำพา Bitcoin เข้าสู่ด้านมืด (CR:The Inertia)

ในขั้นต้นเขาเรียกโครงการนี้ว่าโบรกเกอร์ใต้ดิน แต่ในไม่ช้าเขาก็ตั้งชื่อที่น่าดึงดูดกว่านั่นคือ Silk Road ในการสร้างเส้นทางสายไหมสำหรับยาเสพติดซึ่งเป็นส่วนที่ง่ายในการขายแบบใต้ดิน

ส่วนที่ยากกว่าคือการหาทางขายยาทางออนไลน์โดยไม่อยู่ภายใต้การจับตามองของเจ้าหน้าที่ เครื่องมือที่จำเป็นอย่างแรกที่เขาค้นพบคือซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า Tor ซึ่งทำให้ผู้คนสามารถปิดบังตำแหน่งและตัวตนของพวกเขาได้เมื่อท่องเว็บ

นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ตั้งค่าเว็บไซต์หลังม่านแบบไม่เปิดเผยตัวตน ในขณะที่ Tor ถูกสร้างขึ้นโดยหน่วยสืบราชการลับของกองทัพเรือสหรัฐเพื่อให้ผู้ต่อต้านและผู้สอดแนมมีช่องทางในการสื่อสาร ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการพัฒนาโดย David Chaum และนักเข้ารหัสคนอื่น ๆ

เว็บไซต์ภายใน Tor ส่วนใหญ่สามารถเข้าชมได้โดยผู้ที่ใช้เว็บเบราว์เซอร์ Tor เท่านั้น ที่อยู่เว็บที่ Ross โพสต์บนฟอรัม Bitcoin สำหรับ Silk Road คือ http: //tydgccykixpbu6uz.onion

เครื่องมือสำคัญที่สองที่ Ross ค้นพบคือ Bitcoin ด้วย Tor เพียงอย่างเดียวลูกค้าที่ต้องการซื้อยาเสพติดของ Ross สามารถเข้า Silk Road ได้โดยไม่ถูกติดตาม แต่สมมติว่าลูกค้าไม่ต้องการชำระเงินด้วยการส่งเงินสดทางไปรษณีย์ ทางเลือกอื่น ๆ ทั้งหมดสำหรับการชำระเงินดิจิทัลนั้นสามารถติดตามได้อย่างง่ายดายจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ

Ross เห็นว่า Bitcoin แก้ปัญหานี้ได้ หากผู้ซื้อจ่ายค่ายาด้วย Bitcoin บัญชีแยกประเภทของ Bitcoin blockchain จะบันทึกการเคลื่อนไหวของเหรียญ แต่ที่อยู่ของ Bitcoin ที่ปลายทั้งสองข้างซึ่งเป็นตัวอักษรและตัวเลขจะไม่รวมชื่อของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม ซึ่งข้อมูลระบุตัวตนเดียวเกี่ยวกับผู้ซื้อคือที่อยู่ไปรษณีย์ที่เขาขอให้รับยา และนี่เป็นเรื่องง่ายที่ทำโดยการจัดหาตู้ไปรษณีย์ที่ไม่ระบุชื่อเพื่อส่งยาเสพติด

ภายในโลกของ Bitcoin มีข้อสันนิษฐานทั่วไปว่าผู้ที่ต้องการซื้อสินค้าผิดกฎหมายน่าจะเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่มีแรงจูงใจในการใช้ Bitcoin 

เมื่อ Silk Road เปิดให้ทุกคนที่มีเว็บเบราว์เซอร์ Tor เป็นเว็บไซต์ที่เรียบง่ายโดยมีรูปเห็ดของ Ross อยู่ข้างๆ ราคาในรูปแบบของ Bitcoin ที่ด้านบนมีชายคนหนึ่งในผ้าโพกหัวขี่อูฐสีเขียวซึ่งจะเป็นภาพเครื่องหมายการค้าของเว็บไซต์

Tor ที่เป็น Web Browser ที่ใช้ในการปกปิดตัวตน
Tor ที่เป็น Web Browser ที่ใช้ในการปกปิดตัวตน

ภายในไม่กี่วันมีคนลงทะเบียนและคำสั่งซื้อแรกเข้ามาสำหรับยาเสพติดของ Ross หลังจากนั้นไม่นานผู้ขายรายแรกก็เข้าร่วมเสนอขายสินค้าผิดกฎหมายของตนเอง ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์มีการทำธุรกรรมยี่สิบแปดรายการ นั่นทำให้ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของ Ross นั้นเห็นได้ชัดจากข้อความที่เขาโพสต์บนฟอรัม Bitcoin จากชื่อหน้าจอใหม่ของเขา: silkroad

“เรากำลังทำอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่สามารถสั่นคลอนโลกได้ Bitcoin และ Tor เป็นการปฏิวัติและเว็บไซต์อย่าง Silk Road เป็นเพียงจุดเริ่มต้น” เขาเขียนในฟอรัม

การตอบสนองของ Silk Road ในฟอรัม Bitcoin ในตอนแรกนั้นแทบไม่มีคนสนใจ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่พูดถึง แต่มันได้รับความสนใจมากขึ้นบนกระดานข้อความที่แฮกเกอร์ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดอย่าง 4chan

และในไม่ช้าสมาชิก Silk Road ใหม่ก็หลั่งไหลเข้ามา พร้อมกับคำสั่งซื้อ เมื่อกลางเดือนมีนาคมไซต์มีสมาชิกมากกว่า 150 คน ซึ่งนั่นเป็นจำนวนที่มากกว่าที่ Ross พร้อมที่จะรับมือ เขาต้องกลับไปหาเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเขาเรื่อง Coding ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อหาวิธีจัดการกับการ Traffic ทั้งหมด เมื่อเว็บไซต์ล่มลงในวันที่ 15 มีนาคม

หนึ่งในผู้ที่เยี่ยมชมไซต์ในขณะที่ออฟไลน์ชั่วคราวเป็นผู้จัดรายการวิทยุเสรีนิยมยอดนิยมในมลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ Free Talk Live ซึ่งกำลังออกอากาศสดในเวลานั้น Ian Freeman และ cohost ของเขาได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ Bitcoin เมื่อต้นปีโดย Gavin Andresen

ผู้จัดรายการ Free Talk Live ได้แสดงความสนใจ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ค่อยมั่นใจกับ Bitcoin ซักเท่าไหร่ เขาคิดว่าใครจะมีแรงจูงใจในการใช้สิ่งนี้? อย่างไรก็ตามมุมมองของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมากไม่ถึงสองเดือนต่อมาเมื่อพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Silk Road

“ทันใดนั้นความสนใจของผมก็พุ่งปรี๊ด” Freeman กล่าวออกอากาศ

Freeman และ cohost ของเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออธิบายว่า Bitcoin และ Silk Road ทำงานอย่างไรและพวกเขาถกเถียงกันถึงความเป็นไปได้ที่ Silk Road เป็นกับดักที่ CIA สร้างขึ้นมา

แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เห็นพ้องกันว่า Silk Road เป็นสิ่งใหม่โดยใช้ประโยชน์จาก Bitcoin เพื่อเปิดใช้งานประเภทของธุรกรรมที่เป็นไปตามเจตนาและวัตถุประสงค์ทั้งหมดซึ่งเป็นไปไม่ได้มาก่อนหน้านี้ นั่นคือการซื้อขายยาเสพติดออนไลน์ ยิ่งไปกว่านั้นการรับโคเคน หรือ LSD ไปส่งที่บ้านหรือกล่องจดหมายที่เช่านั้นกำลังเริ่มเป็นที่นิยมอย่างมาก

Silk Road สร้างกระแสใหม่ให้กับ Bitcoin และได้รับความสนใจจากบุคคลสำคัญ ๆ อย่างจริงจัง เมื่อถึงกลางเดือนพฤษภาคมราคาของ Bitcoin พุ่งไปใกล้แตะ 10 ดอลลาร์

ต้องขอบคุณ Silk Road ที่ Bitcoin ถูกใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนของจริงที่ผิดกฎหมายเป็นครั้งแรก ตอนนี้ Bitcoin สามารถตอบสนองความหมายบางอย่างของสกุลเงินซึ่งถือเป็นแรงบันดาลใจอย่างแท้จริงตลอดปี 2009 และ 2010

แต่การโจมตีที่แท้จริงเริ่มขึ้นในวันที่ 1 มิถุนายน เมื่อเว็บไซต์ซุบซิบ / ข่าว Gawker เผยแพร่เรื่องราวเชิงลึกเกี่ยวกับ Silk Road จากการสัมภาษณ์ผู้ที่ซื้อและรับ LSD จากเว็บไซต์ ตอนนี้มีรายการสิ่งผิดกฏหมายที่แตกต่างกัน 340 รายการ รวมถึงเฮโรอีน และกัญชาอัฟกานิสถาน

ในช่วงไม่กี่วันหลังจากที่เรื่องนี้เผยแพร่ทางออนไลน์มีผู้คนใหม่กว่าพันคนลงทะเบียน Silk Road ทุกวัน และ ราคาของ Bitcoin บน Mt. Gox พุ่งขึ้นทะลุ 10 ดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในวันรุ่งขึ้นหลังจากเรื่องที่เผยแพร่โดย Gawker และเพิ่มสูงขึ้นเป็น 15 ดอลลาร์ ในสองวันต่อมา

การเติบโตของตลาดมืดเป็นสิ่งที่ชาว Cypherpunks ในสมัยก่อนต้องการเปิดใช้งานโดยการสร้างสกุลเงินที่ไม่ระบุตัวตน ในปี 1990 Cypherpunks บางคนได้พูดถึง “เส้นทางสายไหมดิจิทัล” ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันอยู่ที่นี่แล้วมันทำให้เกิดความรู้สึกที่หลากหลายมากขึ้นในชุมชน Bitcoin

Gavin พยายามแยกตัวออกจาก Silk Road และ Jeff Garzik โปรแกรมเมอร์ที่อาศัยอยู่ใน North Carolina ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในซอฟต์แวร์ Bitcoin ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเขียนถึง Gawker เพื่ออธิบายว่า Bitcoin นั้นไม่ระบุตัวตนน้อยกว่าที่คนส่วนใหญ่เชื่อเนื่องจากบันทึกธุรกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นบน blockchain

ในการสนทนากับนักพัฒนารายอื่น Garzik รู้สึกกังวลน้อยลงที่ผู้ใช้ Silk Road จะถูกจับและกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความสนใจเชิงลบทั้งหมดที่ Silk Road จะนำมายังชุมชนของ Bitcoin หากพวกเขายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นนี้

ความกลัวที่เลวร้ายที่สุดของคนอย่าง Garzik เกิดขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายนเมื่อวุฒิสมาชิก ชัค ชูเมอร์ แห่งนิวยอร์กจัดงานแถลงข่าว โดยเขาได้ประกาศว่าธุรกิจ Silk Road เป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลและเรียกร้องให้อัยการปิด Silk Road โดยด่วน

เขาอธิบายว่า Bitcoin เป็น“รูปแบบการฟอกเงินออนไลน์ที่ใช้เพื่ออำพรางแหล่งที่มาของเงินและเพื่ออำพรางว่าใครเป็นคนขายและซื้อยา”

–> อ่านตอนที่ 6 : Free State?

Credit แหล่งข้อมูลบทความ