ประวัติ Reader’s Digest หนังสือขวัญใจนักอ่านทั่วโลก

ในปี 1922, วิลเลียม รอย เดอวิตต์ วอลเลซ (William Roy Dewitt Wallace) ได้ก่อตั้งนิตยสารฉบับหนึ่งตามความใฝ่ฝันของเขา ในขณะที่เขากำลังฟื้นตัวจากบาดแผลจากกระสุนที่ได้รับในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

โดยวอลเลซ มีความคิดที่จะรวบรวมตัวอย่างของบทความที่ชื่นชอบในหลาย ๆ เรื่องจากนิตยสารรายเดือนต่าง ๆ และในบางครั้งก็ทำการกลั่นกรองและนำมาเขียนใหม่และทำการรวมเรื่องน่าสนใจเหล่านี้ให้กลายเป็นนิตยสาร

โดย วอลเลซ นั้นได้ตกผลึกแนวคิดธุรกิจของตัวเองขึ้นมา โดยเขาคิดจะทำนิตยสารที่พร้อมสรรพทุกด้านทุกมุม มีความหลากหลายและเป็นบทความที่อ่านได้ง่าย เข้าถึงผู้คนได้จำนวนมาก

และเขากับภรรยา ไลลา เบลล์ แอชีสัน (Lila Bell Acheson)  ได้ร่วมกันปั่นต้นฉบับ และทำการตั้งสำนักงานใหญ่ของ Reader’s Digest กันที่โรงรถบนถนน Eastview Avenue ในพลีแซนต์วิลล์

และได้ทำการออกฉบับแรกสุดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1922 โดยปกแรกสุดนั้นได้ทำการตีพิมพ์ออกมาจำนวน 5,000 เล่ม ขายในราคาเล่มละเพียง 25 เซ็นต์ และเพียงฉบับแรกก็ได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลามจากเหล่าหนอนหนังสือทั่วประเทศอเมริกา

Reader's Digest ฉบับแรกในปี 1922
Reader’s Digest ฉบับแรกในปี 1922

นับตั้งแต่ก่อตั้ง บริษัท Reader’s Digest  มีจุดยืนอย่างแข็งแกร่งในเรื่องของความเป็นอนุรักษ์นิยม และต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยมุมมองเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองและสังคมผ่านการสะท้อนตัวตนของผู้ก่อตั้งอย่างวอลเลซได้เป็นอย่างดี

ขึ้นสู่จุดสูงสุด

พวกเขาใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปี Reader’s Digest ก็สามารถคืนทุนทั้งหมดได้สำเร็จ และชดใช้หนี้สินที่พวกเขาทั้งคู่ได้กู้มาทำหนังสือได้จนหมดสิ้น และในปี 1926 มีผู้สมัครสมาชิกถึง 30,000 ราย ก่อนที่ตัวเลขจะพุ่งขึ้นไปสูงถึง 290,000 รายในปี 1929

โดยหนังสือในฉบับนานาชาติครั้งแรกถูกตีพิมพ์ในสหราชอาณาจักรในปี 1938 เมื่อครบรอบ 40 ปี Reader’s Digest มีฉบับต่างประเทศถึง 40 ฉบับใน 13 ภาษาและยังมีเวอร์ชั่นอักษรเบรลล์ และ ณ จุดหนึ่งมันได้กลายเป็นนิตยสารที่มียอดขายสูงที่สุดในหลาย ๆ ประเทศ เช่น แคนาดา, เม็กซิโก , สเปน , สวีเดน , เปรู และประเทศอื่น ๆ ด้วยยอดขายรวมระหว่างประเทศ กว่า 23 ล้านเล่ม 

เข้าสู่ประเทศไทย

สำหรับคนไทยรู้จักหนังสือ Reader’s Digest ที่แปลเป็นภาษาไทย ในนาม “Reader’s Digest สรรสาระ” ที่เข้ามาบุกตลาดคนไทยเมื่อปี 1995 และเล่มแรกที่ออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนเมษายน 19969 ขนถึงปัจจุบันมียอดจำหน่ายต่อเดือนสูงถึง 116,314 ฉบับ 

จุดเริ่มต้นของ Reader’s Digest ในไทย เกิดจากความมั่นใจของบริษัทแม่ที่อเมริกาคาดว่าในอนาคต ตลาดนักอ่านในไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือญี่ปุ่นมาแล้ว 

ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการบุกตลาดไทย
ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการบุกตลาดไทย

และจากตัวเลขยอดขายที่ทำได้ระดับแสนเล่มภายในระยะไม่ถึง 2 ปี นับว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียววในประเทศไทย ซึ่งเป็นการทำตลาดโดยใช้การส่งจดหมายไปตามที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งในจดหมายนั้นจะมีทั้งใบตอบรับสมาชิก ใบชิงโชครางวัลต่างๆ โดยผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกก็สามารถมีสิทธิ์ชิงรางวัลได้ ด้วยวิธีการทำตลาดดังกล่าวในไทยนี้ถือว่ายังใหม่อยู่มากและก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศไทย

แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อกระแส Digital Disruption

กลุ่มนักลงทุนเอกชน บริษัท โฮลดิงส์ แอลแอลซี ที่ซื้อรีดเดอร์ส ไดเจสท์ มาในปี ค.ศ. 2007 ด้วยมูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.8 หมื่นล้านบาท) ก่อให้เกิดหนี้สินราว 800 ล้านดอลลาร์สหัรฐ (ราว 2.4 หมื่นล้านบาท) 

ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากที่ทุกสื่อเจอกัน ก็คือผลมาจากชาวอเมริกาเหนือนั้นได้หันไปบริโภคข่าวสารทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากกว่าสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งสุดท้าย เป็นผลให้บริษัทถูกฟ้องล้มละลายในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2007 เนื่องจากขาดทุนในการใช้จ่ายด้านการโฆษณาและมีภาระหนี้สินที่มากขึ้นจากการซื้อกิจการครั้งนั้น

แต่ท้ายที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี  2014 Mike Luckwell นักลงทุนจากอังกฤษก็เข้ามาซื้อกิจการ Reader’s Digest ในสหราชอาณาจักรไปและได้ทำการลงทุนเพิ่มเติม โดยตอนนี้ Reader’s Digest กำลังพยายามปรับตัวให้เข้าสู่โลกออนไลน์ ( https://www.rd.com)อย่างที่เราได้เห็นจนถึงทุกวันนี้นั่นเองครับ

References : 
https://en.wikipedia.org
http://info.gotomanager.com
https://www.mikeluckwell.com
https://stanglibrary.files.wordpress.com/2014/09/rd000.jpg

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 3 : Boredom Leads to Great Things

ถ้าเปรียบเทียบชีวิตของอีลอน มัสก์ ตอนเด็ก สมัยที่อาศัยอยู่ในเมือง พริทอเรีย ของแอฟริกาใต้ เขาแทบดูจะไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองนี้เลยด้วยซ้ำ อาจจะกล่าวได้ว่าเมืองแห่งนี้มันเหมือนคุกสำหรับกักขัง อีลอน มัสก์ ให้เขาแทบจะต้องเก็บตัวอยู่คนเดียว แต่เมืองแห่งนี้มันได้หล่อหลอมนิสัยบางอย่างของเขา ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมาย นั่นคือ นิสัยรักการอ่าน

อดีตนายก รัฐมนตรี ผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ อย่าง วินสตัน เชอร์ชิล  เมื่อเขาหันเหชีวิตเข้าสู่การเมือง ครั้งแรกเขาลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้เชอร์ชิลเพิ่งมีอายุ 25 ปี และไม่มีใครรู้จัก เขาจึงได้หันกลับมาสู่ปืนและปากกาอีกครั้งหนึ่ง ในปีนั้นเอง สงครามบัวร์ได้เริ่มปะทุขึ้น สงครามดังกล่าวเป็นการรบระหว่างกองทัพอังกฤษและชาวดัตช์ผู้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแอฟริกาใต้

ฉนวนสงครามเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบแหล่งแร่มีค่า เช่น ทองคำและเพชร รัฐบาลอังกฤษจึงได้มีความคิดที่จะเข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว เขามองเห็นช่องทางในการที่จะทำในสิ่งที่ตนรักคือการเขียนหนังสือ เขาจึงตกลงกับหนังสือพิมพ์ Morning Post เพื่อที่จะติดตามข่าวเรื่องนี้ เขาได้นั่งรถไฟไปกับกองทหารอังกฤษ แต่ขบวนรถไฟดังกล่าวถูกโจมตีอย่างหนักจากทหารชาวบัวร์ เมื่อเกิดวิกฤตเช่นนี้เขาได้ประกอบวีรกรรมคือรับอาสาฝ่ากระสุนปืนของพวกบัวร์ไปเคลื่อนย้ายตู้รถไฟที่ขวางทางอยู่ ทำให้ขบวนรถที่เต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บสามารถผ่านออกจากสนามรบไปได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ดีทหารอังกฤษอีก 52 นาย รวมทั้งตัวเขาเองถูกจับเป็นเชลยทั้งหมด

เขาถูกคุมขังประมาณ 1 เดือนด้วยความอัดอั้นตันใจ แม้เขาจะไม่ได้ถูกทรมานใดๆ แต่การต้องมาทนอยู่เฉยๆ เป็นเหมือนการทำให้เขาเสียเวลาในการแสวงหาชื่อเสียงไปโดยเปล่า โดยที่เขายังไม่รู้ว่าขณะเดียวกันนั้น หนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวถึงเขา และคนอังกฤษกำลังสวดมนต์อ้อนวอนขอให้พระเจ้าคุ้มครองให้แก่วีรบุรษเชอร์ชิลผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการคุมขัง

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1899 เขาได้หลบหนีออกมาจากที่คุมขัง ท่ามกลางกองกำลังพลของทหารชาวบัวร์จำนวนมากมายมหาศาล เขาสามารถหนีกลับมาที่กองทัพอังกฤษได้อย่างปลอดภัย และเมื่อกองทหารอังกฤษบุกเข้ายึดกรุงพริทอเรีย เชอร์ชิลก็ได้เป็นผู้ขี่ม้านำหน้าใครๆ เข้าไปฉีกธงของพวกบัวร์ที่ปักไว้หน้าคุกที่เคยกักขังเขาไว้ทิ้ง

เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ
เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ

หลังจากนั้นเขาได้เดินทางกลับมายังประเทศอังกฤษ และได้รับการต้อนรับอย่างใหญ่โตในฐานะวีรบุรุษของชาติ เขาได้เข้าสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง และประสบความสำเร็จ โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนราษฎร นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตบนเส้นทางการเมืองอันยาวนานและยิ่งใหญ่ของเขานั่นเอง

ซึ่งจะว่าไปแล้ว เส้นทางชีวิตของ วินสตัน เชอร์ชิล ในเมืองพริทอเรีย มันก็แทบจะคล้ายกับ อีลอน มัสก์ ประสบพบเจอตอนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองพริทอเรีย แห่ง แอฟริกาใต้

ในวัย 6 ขวบ ในงานปาร์ตี้ครั้งนึงที่บ้านของญาติเขาในเมือง พริทอเรีย ด้วยความที่ มัสก์ นั้นได้ถูกห้ามจากแม่ของเขาไม่ให้ไปงานปาร์ตี้ที่บ้านญาติของเขา

เขาไม่เห็นด้วยกับการ กระทำดังกล่าว เขาจึงได้วางแผนที่จะหนีไปจากบ้าน เพื่อไปยังงานปาร์ตี้ ซึ่งความคิดแรกของ มัสก์นั้น เขาก็อยากที่จะปั่นจักรยานไปแทนที่จะเดินซึ่งเป็นระยะทางที่ยาวไกล 

แต่ เมย์ แม่ของมัสก์ ได้หลอกกับเขาว่า การที่จะขับรถจักรยานได้นั้นต้องมีใบขับขี่ และตำรวจจะจับหากยังดื้อด้านที่จะขับรถจักรยานออกไปข้างนอก ซึ่ง มัสก์ นั้นมีทางเลือกเดียวที่ต้องเดินข้ามเมือง พริทอเรีย ที่ต้องใช้ระยะทางกว่า 10 ไมล์ ( 16 km) เพื่อไปยังที่จัดปาร์ตี้

มันเป็นเส้นทางเดียวกับที่ เชอร์ชิล หนีออกจากคุก ซึ่งเชอร์ชิล นั้นได้แต่เฝ้ามองทิศผ่านดวงดาว เพื่อหนีออกไปจาก พริทอเรีย ให้ได้ แต่มัสก์ เด็กน้อยวัย 6 ขวบ ที่ตอนนั้นถือได้ว่าเป็นนักอ่านตัวยง

มัสก์ ได้อ่านสัญญาณจราจร บนถนน เพื่อเดินทางไปยัง ปาร์ตี้ให้ได้ เขาเดินผ่านตึกยุคโบราณที่มีอยู่เต็มเมืองพริทอเรีย ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 4 ชม. กว่าจะถึงสถานที่จัดงานปาร์ตี้ดังกล่าว

และมันเป็นจังหวะที่ เมย์ แม่ของเขาเห็นเข้าพอดี ซึ่งมัสก์ นั้นไม่ได้รับอนุญาติให้มางานดังกล่าว ทางเดียวที่เขาทำได้ในตอนนั้นคือ หนี!!! และมัสก์ ก็หนีโดยการปีนต้นไม้ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นทางเลือกที่หนูน้อยมัสก์ คิดออก ณ ขณะนั้น 

มัสก์ อยู่บนต้นไม้ ไม่ยอมลงมา จนแม่เขาต้องสัญญาว่า จะไม่ทำโทษมัสก์ กับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาลงมาพร้อมความรู้สึกเบื่อหน่าย และต้องกลับบ้าน เหมือนที่เขาต้องทำทุก ๆ ครั้ง เพราะที่ พริทอเรีย มันคือ คุกดี ๆ สำหรับมัสก์ นั่นเอง

ที่ พริทอเรีย มัสก์ แทบจะไม่มีเพื่อน เวลาส่วนใหญ่ในการใช้ชีวิตที่แอฟริกาใต้ คือ เล่นกับลูกพี่ลูกน้องของเขา หรือ อ่านหนังสือ หรือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำก็คือ การดูทีวี เพราะเขาเกลียดรายการทีวีที่นี่เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มัสก์มีนิสัยเบื่อง่ายเป็นอย่างมาก

อีลอน มัสก์ ในสมัยเด็ก มักอยู่แต่กับญาติพี่น้องเท่านั้น
อีลอน มัสก์ ในสมัยเด็ก มักอยู่แต่กับญาติพี่น้องเท่านั้น

แต่สิ่งนึงที่เขาชอบที่สุด ก็คือ การอ่านหนังสือ มัสก์อ่านทุกอย่างที่อ่านได้เพื่อเป็นการแก้เบื่อของเขาในการใช้ชีวิตที่นี่ เขาสามารถใช้เวลากับหนังสือเล่มโปรดกว่า 10 ชม.ต่อวัน เขาอ่านหนังสือได้มากมาย บางครั้งสามารถอ่านหนังสือเล่มใหญ่ ๆ ได้ 2 เล่มภายในวันเดียวเลยด้วยซ้ำ

เขามักจะไปฝังตัวอยู่ที่ร้านหนังสือเป็นประจำ มันเหมือนโลกทั้งใบของเขา คือ โลกของการอ่านหนังสือนี่เอง  บางครั้งการไปฝังตัวที่ร้านหนังสือของเขานานจน เจ้าของร้านต้องมาไล่ให้เขากลับบ้าน แม้กระทั่งยามที่ทานอาหารมือค่ำ หากมีอาหารที่ไม่น่าสนใจนัก เขาก็มักจะพกหนังสือมานั่งอ่านบนโต๊ะอาหารด้วย

หนังสือที่เขาชอบนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของฮีโร่ ที่มากอบกู้โลก หรือ หนังสือที่เกี่ยวข้องกับการผจญภัย มีหลาย ๆ เล่มที่น่าสนใจ มัสก์ ได้อ่านมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น The Lord of the Rings by J.R.R Tolkien , everything by Jules Verne , the Foundation Series by Isaac Asimov หรือ everything by Robert Heinlein และอีกมากมาย

หนังสืออย่าง everything by Jules Verne นั้นทำให้ มัสก์ สนใจเรื่องฟิสิกส์ รวมถึงเรื่องของสิ่งที่เป็นอนาคต เช่น เรือดำน้ำ , ยานอวกาศ  การเดินทางไปในอวกาศ ซึ่งล้วนแล้วเป็นที่มาในความสนใจของเขาที่สุดท้ายแล้วมาสร้างบริษัท SpaceX แทบจะทั้งสิ้น

หนังสือของ Jules Verne ทำให้มัสก์ เริ่มหันมาสนใจฟิสิกส์
หนังสือของ Jules Verne ทำให้มัสก์ เริ่มหันมาสนใจฟิสิกส์

ซึ่งหลายปีต่อมา เขาก็ชอบอ่าน ประวัติ บุคคลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น Benjamin Franklin หรือแม่กระทั่งประวัติ ของ สตีฟ จ๊อบส์ เขาสนใจเรื่องจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเหล่านี้

การ์ตูนก็เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนสนใจ ซึ่งมัสก์ เอง ก็เหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป เขาไล่อ่านการ์ตูน หลาย  ๆ เรื่องตั้งแต่ Batman ไปจนถึง Iron Man ซึ่งสุดท้าย หลายๆ สื่อได้ยกเขาเปรียบเสมือน Iron Man ในโลกแห่งความจริงเลยด้วยซ้ำ

ซึ่งหลังจากอ่านการ์ตูน จนไม่มีอะไรจะให้เขาอ่านแล้วนั้น เขาก็เริ่มสนใจไปอ่านหนังสืออย่าง Encyclopedia Britannica ซึ่งแม่ของเขายังตกใจว่า มัสก์ นั้นสามารถจดจำเนื้อหาส่วนใหญ่ของ encyclopedia หลังจากอ่านจบ พี่สาวของเขา ทอสก้า ให้ฉายากับ มัสก์ว่า “genius boy” เพราะทึ่งในความสามารถในการจดจำทุกสิ่งทุกอย่างของมัสก์

มัสก์ สามารถ จดจำข้อมูลมหาศาลใน encyclopedia ได้
มัสก์ สามารถ จดจำข้อมูลมหาศาลใน encyclopedia ได้

ครูของมัสก์นั้นก็คิดไม่ต่างจากพี่สาวของเขา  แม้มัสก์จะเป็นคนเงียบ แต่ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ และเป็นคนที่รักคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก

แต่ตัวมัสก์เองนั้นก็ไม่ได้เป็นที่รักของเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเสียทีเดียว เพราะเขาต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองว่า เขานั้นฉลาดกว่าใครเพื่อน และความฉลาดของเขานั้น เขาก็ต้องการจะช่วยเพื่อน ๆ ด้วย แต่ส่วนใหญ่เพื่อน ๆ จะไม่ค่อยเข้าใจกับความหวังดีของมัสก์ในลักษณะนี้ มันทำให้เขาดูแปลกในสายตาเพื่อน ๆ ตั้งแต่เด็ก

เขาไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนสักเท่าไหร่ มักจะไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนเสียมากกว่า ในขณะที่เพื่อน ๆ ต่างเล่นสนุกกัน ซึ่ง นิสัยเหล่านี้นั้น จะเห็นได้ว่าจะคล้ายกับเหล่านักธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ๊อบส์ หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

มันเป็นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตได้ลำบากมาก ๆ สำหรับเด็กน้อยยอดอัจฉริยะ อย่าง อีลอน มัสก์ ซึ่งชีวิตในวัยเด็กก็ส่งผลสำคัญต่อมัสก์ ในวัยเด็กเป็นอย่างมาก มันเป็นชีวิตที่น่าเบื่อของเขามาก ๆ กับการใช้ชีวิตในแอฟริกา เขามักถูกรังแกจากเพื่อนร่วมชั้นอยู่เสมอ แต่มันไม่มีทางเลือกสำหรับเด็ก ที่ต้องตื่นเช้าและไปโรงเรียน เขาเกลียดชีวิตในวัยเด็กของตัวเองเป็นอย่างมาก

และมันได้ส่งผลต่อชีวิตในครอบครัวของเขา การที่เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมาก บางครั้งทำให้ไม่ค่อยเชื่อฟังสิ่งที่พ่อแม่พูด เขามักจะถามหาเหตุผลในทุก ๆ เรื่อง คำว่า Why? นั้นคือประโยคที่เขามักพูดกับแม่เขาบ่อย ๆ เพราะเขาเป็นคนที่รู้เยอะมากจากการอ่าน บางครั้งหากพ่อแม่สอนอะไรผิด ๆ เขาก็มักจะสวนกลับไปทันที และ ไม่มีท่าทีรดราวาศอก เขาจะเถียงจนกว่าแม่เขาจะยอมแพ้ไปเท่านั้น

จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ มัสก์ คือ การได้พบเจอกับโลกใหม่คือคอมพิวเตอร์ เขาได้พยายามสะสมเงินเพื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเครื่องแรกของเขาอย่าง Commodore VIC-20 ซึ่งแน่นอนสำหรับเด็ก ๆ มันใช้สำหรับเล่นเกมส์นั่นเอง

Commodore VIC-20 คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของมัสก์
Commodore VIC-20 คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของมัสก์

มัสก์ ต้องการสร้างเกมส์ของตัวเอง เขาจึงได้พยายามเรียนรู้ที่จะทำการฝึกเขียนโปรแกรม เขาจึงได้ไปลงเรียนในคลาส computer programming ซึ่งในปี 1983 ในขณะที่เขาอายุได้ 12 ปีนั้น เขาสามารถสร้างเกมส์และขายไปยัง นิตยสารที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้ถึง 500 เหรียญ เขาติดต่อผา่น mail ง่าย ๆ ไปยังนิตยสารเพื่อต้องการขายเกมส์ที่เขาสร้างขึ้นมา ซึ่งเกมส์แรกที่เขาสร้างขึ้นคือ “Blaster” 

เป็นการเอาแนวคิดเกมส์อาเขต ที่เขาชอบอย่าง Asteroids และ Space Invaders มารวมร่างกัน ซึ่งจากผลงานชิ้นแรก นั้นทำให้เขาเป็นที่ยอมรับจากนิตยสาร และเขาก็สามารถสร้างเกมส์อื่น ๆ ขายได้อีกในภายหลัง

BLASTER เกมส์แรกที่ทำรายได้ให้มัสก์
BLASTER เกมส์แรกที่ทำรายได้ให้มัสก์

ตอนอายุได้ 17 ปี มัสก์ ต้องการที่จะออกจากแอฟริกา ไปยัง แคนาดา หนึ่งในเหตุผลหลักคือ เขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปเกณฑ์ทหาร มัสก์นั้นอยากเข้าเรียนมหาลัยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

เขาต้องการหนีจากแอฟริกาใต้ มานานมากแล้ว ที่นี่เปรียบไปก็ไม่ต่างจากคุกสำหรับคนอย่างเขา ความหลงไหลในคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาเป็นแรกผลักให้เขาต้องออกจากแอฟริกา แคนาดานั้นเป็นแค่ ที่พักชั่วคราวเท่านั้น เพราะเขามีบรรพบุรุษเป็นชาวแคนาดา 

ตอนนี้เขาเริ่มเติบโตขึ้นอีกขั้นแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมที่จะไปแสวงโชค ที่ดินแดนแห่งเสรีภาพ เป้าหมายอันแรงกล้าของเขาคือ  ซิลิกอน วัลเลย์ สถานที่บ่มเพาะผู้ประกอบการหน้าใหม่ มันชัดเจนว่าเขามีจิตวิญญาณที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ได้ บวกกับความฉลาดเป็นกรด เขาแค่ต้องเรียนให้จบมหาลัยเท่านั้น และตอนนี้ตั๋วเดินทางไปแคนาดามันพร้อมแล้ว ซึ่ง มันจะเป็นการเดินทางจากบ้านไปอย่างไม่มีวันหวนกลับสำหรับชายที่ชื่อ อีลอน มัสก์

–> อ่านตอนที่ 4 : What Do I Do Now?

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol