โจเซฟ พูลิตเซอร์ ผู้ปฏิวัติวงการหนังสือพิมพ์โลก

เราอาจจะเคยได้ยิน รางวัล พูลิตเซอร์ ซึ่งเป็นการตั้งขึ้นเพื่อมอบแก่ผู้ได้รับเกียรติสูงสุดระดับชาติในวงการสิ่งพิมพ์ การบรรลุความสำเร็จทางวรรณกรรม และการประพันธ์ ซึ่งเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการสิ่งพิมพ์ของอเมริกา

แต่การที่ได้รับเกียรติให้ชื่อชื่อตัวเองในรางวัลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ก็ต้องมีที่มาที่ไปที่หลายคนสงสัย ว่า โจเซฟ พูลิตเซอร์ คือใคร?

ในช่วงยุคแรก ๆ ของการก่อตั้งประเทศอเมริกานั้น หนังสือพิมพ์ ถือเป็นสื่อที่สำคัญที่สุด สำหรับใช้ในการสื่อสารกับคนหมู่มาก ในตอนนั้นยังไม่มีวิทยุ หรือ โทรทัศน์ เหมือนที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ จึงทำให้หนังสือพิมพ์นั้นเป็นสื่อที่มีอิทธิพลสูงสุด

แต่สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ในยุคแรก ๆ นั้น มีรูปแบบการเสนอที่น่าเบื่อ โดยส่วนใหญ่จะได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่าง  ๆและนำเสนอแต่เรื่องของชนชั้นสูงเท่านั้น รวมถึง อวยเหล่านักการเมืองต่าง ๆ ที่เป็น สปอนเซอร์ให้หนังสือพิมพ์นั้น ๆ เท่านั้น

จนการมาถึงของ โจเซฟ พูลิตเซอร์ ผู้อพยพชาวฮังการี ที่เริ่มต้นจากการเป็นชนชั้นล่างของสังคมอเมริกา โดย พูลิตเซอร์นั้นได้อพยพ มาอยู่ที่เมือง เซ็นต์ หลุยส์ และได้เริ่มอาชีพ นักหนังสือพิมพ์ โดยเริ่มปฏิวัติวงการ โดยเขียนข่าว เพื่อตอบสนองชนชั้นแรงงานอพยพ ที่กำลังเข้ามาบทบาทในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา

จากการทำข่าวของเค้า ที่เน้น ตีแผ่ เรื่องการคอร์รัปชั่น ซึ่งไม่มีใครที่จะกล้านำเสนอในขณะนั้น ต้องบอกว่าเป็นการปฏิวัติ วงการหนังสือพิมพ์ ของเมือง เซ็นต์ หลุยส์ เลยก็ว่า ได้  จากการเขียนข่าวของเค้า ทำให้เค้าได้ไต่เต้าขึ้นไปเรื่อย ๆ จนมีบทบาทกับสำนักพิมพ์เป็นอย่างมาก

ST Louis post dispatch

หนังสือพิมพ์ ST Louis post dispatch

เมื่อสะสมเงินได้ก้อนนึง เค้าจึงนำไปซื้อกิจการสำนักพิมพ์ ที่ใกล้จะเจ๊งของเมือง เซ็นต์ หลุยส์  2 ฉบัย แล้วมารวมกันกลายเป็น เซนหลุยส์โพสต์-ดิสแพตช์ แล้วทำข่าวแบบที่เค้าถนัด จนเป็นที่ถูกใจของเหล่าผู้อพยพ และชนชั้นแรงงานในสมัยนั้น แต่ ด้วยความที่เซ็นต์ หลุยส์ เป็นเมืองที่เล็กเกินไปสำหรับเค้า เค้าจึงเดินทางไปยังเมืองที่เป็นมีอุตสาหกรรมทางด้านสิ่งพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดอย่าง New York

The New York World

หนังสือพิมพ์ The New York World

โจเซฟ พูลิตเซอร์ใช้วิธีการเดียวกันคือได้ทำการเข้าซื้อหนังสือพิมพ์ที่ใกล้จะเจ๊งอย่าง New York World ที่กำลังขาดทุนปีละกว่า 40,000 เหรียญสหรัฐ และปรับปรุงมาทำข่าวในแนวทางที่เค้าทำแบบที่เคยทำใน เซ็นต์ หลุยส์ จนประสบความสำเร็จ ด้วยกลยุทย์ง่าย ๆ อย่างเช่น การพาดหัวด้วยตัวหนา และมาเน้นเรื่องราวที่ทำให้ผู้คนสนใจ เรื่องราวเกี่ยวกับความอื้อฉาวและเรื่องราวที่ตื่นเต้นเร้าใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นการคิดนอกกรอบจากหนังสือพิมพ์อื่น ๆ ในสมัยนั้น จนเค้ากลายเป็นเจ้าของสื่อใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาในที่สุด

References : wikipedia.org

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

Facebook Live API นวัตกรรมเปลี่ยนโลก

จับตามองการก้าวเดินของ facebook มาซักพักหนึ่งแล้วต้องบอกว่าการออก facebook live api นั้นถือว่าเป็นก้าวย่างที่น่ากลัวมาก ๆ ของ facebook เลยก็ว่าได้ในการที่จะล้ม google

หากเรามองเรื่องนวัตกรรมนั้น facebook แทบจะ focus อยู่แค่ผลิตภัณฑ์ตัวเดียวทำให้สามารถรีดเอาประสิทธิภาพในงานด้าน R&D ได้มากที่สุด เพราะ focus หลักอยู่ที่ผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียวเท่านั้น ก็คือ social network ซึ่งแตกต่างจาก google ในช่วงหลังที่เริ่มแตกกระจายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่นอกเหนืองานที่ตัวเองถนัดอย่างการ search และ web product ทำให้พักหลัง google ออกผลิตภัณฑ์ออกมาไม่ค่อยจะปังอย่างที่ควรจะเป็น ถึงแม้ google จะมีธุรกิจต่างๆ  มากมายในมือ แต่ถ้าดูจากงบการเงินจริง ๆ รายได้หลักส่วนใหญ่ก็มาจาก search ล้วน ๆ ซึ่ง facebook ก็ค่อย ๆ กัดกินส่วนแบ่งการตลาดโฆษณา online ในส่วนนี้ไปเรื่่อย ๆ

ถ้าเราพูดถึงนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกที่ชัดเจนในรอบล่าสุดนั้นก็ต้องยกให้ iphone ที่ได้ทำการเปิดตัวในปี 2007 ทำให้มนุษย์ก้าวเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของการเชื่อมต่อข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ผ่านมือถือ เปลี่ยนแนวความคิดการใช้งานมือถือจากดั้งเดิมที่ใช้เน้นไปในเรื่องของ voice ก้าวผ่านมาเป็นยุคของ data ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และได้ทำลายยักษ์ใหญ่ที่ปรับตัวไม่ทันอย่าง nokia ลงได้อย่างราบคาบ

การเกิดขึ้นของ facebook live นั้นคือการทดลองตลาด ว่าการที่ทุกคนสามารถ live ได้จากทุกที่และ share ให้เพื่อนได้รับรู้นั้นมี impact ต่อมนุษย์เรามากเพียงใด ซึ่งการเปิดตัวก็เป็นไปได้อย่างสวยงาม มีผลตอบรับที่ดีมาก ๆ และ facebook ก็จะเริ่มย่างก้าวเข้าสู่หลักไมล์สำคัญของบริษัท คือการเปิด facebook live api ให้สามารถ live ได้จากทุก device และทุกที่ในโลกใบนี้ ซึ่งก็จะส่ง impact อย่างมหาศาลกับมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ การรับสื่อในยุคหน้านั้นอาจจะเปลี่ยนไปในทันที จากสื่อเก่า ๆ อย่าง ทีวี หรือ วิทยุ อาจจะตายหายไปจากระบบ ซึ่งในปัจจุบันเด็กยุคใหม่ก็แทบจะไม่เสพสื่อทางทีวีกันแล้วทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าสู่ระบบ internet กันทั้งหมดซึ่งมี content จำนวนมหาศาลให้เราสามารถเลือกเสพได้อย่างไม่จำกัด ไม่ต้องถูกยัดเยียดในการเสพเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ facebook ได้ทำลายธุรกิจ สื่อหนังสือพิมพ์ หรือ นิตยสาร ที่ต่างปิดตัวกันถ้วนหน้าหากไม่มีการปรับตัวเข้าสู่ยุค digital และขณะนี้ facebook กำลังเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่กว่าเดิมมาก ๆ คือตลาด live TV ซึ่งถือเป็นก้าวใหญ่ที่สำคัญก้าวหนึ่งเลยก็ว่าได้ที่จะสามารถล้ม google ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ facebook ไม่ได้ไปแย่งตลาดโฆษณา online ของ google เท่านั้น แต่กำลังเข้าไปกินเค้กที่ใหญ่กว่ามาก คือตลาดโฆษณาทางทีวี ซึ่งมูลค่าของงบโฆษณากว่า 40% ของงบโฆษณาทั้งหมดของทุกสื่อ หรือ มากกว่าเกือบสองเท่าของงบโฆษณาทาง online ที่ google เป็นเจ้าตลาดอยู่ในขณะนี้

มอง google ในตอนนี้นั้น ก็ชักจะเริ่มคล้าย microsoft ในอดีตที่พอองค์กรเริ่มใหญ่เทอทะ จะขยับตัวก็เริ่มจะลำบาก ไม่เหมือน facebook ที่เหมือนหนุ่มกลัดมันที่พร้อมจะเขย่าบัลลังก์ google อยู่ตลอดเวลา ที่แน่ๆ หลังจากนี้เป็นต้นไป เราจะพบความเปลี่ยนแปลงในการเสพสื่อของมนุษย์เราที่จะเปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะสื่อหลักอย่าง TV เดิมทีนั้นเราเปลี่ยนแปลงแค่การเสพสื่อผ่านการอ่านข่าวหรือข้อมูลต่าง ๆ  แต่ต่อจากนี้เป็นต้นไป การเสพสื่อที่เป็น live นั้นจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเมื่อมีการเกิดขึ้นของ facebook live api ทุก content ที่เป็น live จะมุ่งเข้าสู่ facebook เพราะอะไร ?  เดิมนั้นการวัดเรทติ้งต้องอาศัยการวัดโดยประมาณจากองค์กรหลัก ๆ ตัวอย่างเช่น neilsen แต่ต่อไปนั้นกลุ่ม target ของการถ่ายทอดสดจะชัดเจนขึ้น เราสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจนผ่าน facebook และรู้ได้แบบ realtime ว่ามีผู้ชมจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งจะส่งผลต่องบโฆษณาทางทีวีเดิม ก็จะเทเข้ามาสู่ facebook แทนเพราะสามารถวัดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเที่ยงตรงที่สุด Google นั้นอาจจะมี Youtube Live มาก่อนหน้า แต่ facebook มีความได้เปรียบอย่างมากในเรื่องของฐานผู้ใช้ใน social network ซึ่งแทบจะเป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานต่อการดำรงชีวิตมนุษย์โดยส่วนใหญ๋ไปเรียบร้อยแล้วในขณะนี้ ก้าวย่างก้าวนี้ของ facebook ถือว่าสำคัญต่ออนาคตของ facebook เป็นอย่างมาก และเราอาจจะได้เห็น facebook ล้มยักษ์ใหญ่อย่าง google ได้ในเร็ว ๆ วันนี้ก็อาจเป็นได้

Img Ref : fbookmedia.files.wordpress.com