ไทยติด 1 ใน 5 ประเทศผลิต Rare Earth มากที่สุดในโลก

ราคา Rare Earth  ได้ลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ / จีนได้ผลักดันให้โลหะเหล่านี้  เริ่มเข้าสู่จุดที่สนใจในปีนี้

ะสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงหนึ่งในประเทศยักษ์ใหญ่ที่ไม่ได้ผลิต Rare Earth ซึ่งไม่ได้ทำการผลิตมาตั้งแต่บริษัท Molycorp ซึ่งเคยเป็นผู้ผลิต Rare Earth แห่งเดียวในอเมริกาเหนือยื่นฟ้องล้มละลายในปี 2558

แต่ในขณะที่สหรัฐอเมริกาพลาดการผลิตธาตุหายากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 4 ประเทศนอกเหนือจากประเทศจีนผลิต Rare Earth เมื่อปีที่แล้ว ตามข้อมูลล่าสุดจากการสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐและหลายคนเชื่อว่าความต้องการมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

มีการคาดการณ์ว่าตลาดจะมีมูลค่า 10.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2563“ เติบโตประมาณ 12.4% จากปี 2557 ถึง 2563”

เราควรจะทราบว่าประเทศใดสามารถผลิต Rare Earth ได้มากที่สุด และนี่คือ Top 5 ประเทศที่ทำการผลิต Rare Earth ในปี 2017 ตามการสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ

1. ประเทศจีน

การผลิตของเหมือง: 105,000 ตัน

จีนครองการผลิต Rare Earth เป็นเวลาหลายปี ในปี 2560 ผลผลิตอยู่ที่ 105,000 ตันไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน จากการสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา“ ซึ่งในเดือนกันยายน 2560 จีนส่งออก Rare Earth  39,800 ตันเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับการส่งออกจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2559”

แม้ว่าจีนจะมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรม Rare Earth ของโลก แต่จีนก็ประสบปัญหาเกี่ยวกับการขุดที่ผิดกฎหมายมานานแล้ว โดยมีรายงานว่าประเทศจีนมีการปราบปรามการทำเหมืองแร่ที่ผิดกฎหมายเกิดขึ้นในหลายจังหวัดของจีนและเป็นผลมาจากการที่ราคา Rare Earch พุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตามภายในสิ้นปีจีนได้ปรับลดราคาและระงับการดำเนินงานในบางส่วนเพื่อตอบสนองความต้องการที่ลดลง

2. ออสเตรเลีย

ปริมาณการผลิต: 20,000 ตัน

การผลิตธาตุหายากในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในปี 2560 ปริมาณการผลิตอยู่ที่ 20,000 ตันเทียบกับ 15,000 ตันในปี 2558

ประเทศนี้เป็นประเทศที่มีทรัพยากรมากเป็นอันดับหกของโลก แต่ Rare Earth นั้นได้ถูกขุดในประเทศตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งทาง Geoscience Australia กล่าวว่า ประเทศมีแนวโน้มที่จะเพิ่มกำลังการผลิตและตอนนี้มีการใช้แร่ธาตุเข้มข้นจากภายในออสเตรเลีย เพื่อสร้างสารประกอบในประเทศมาเลเซียแทน

บริษัทยักษ์ใหญ๋่อย่าง Lynas ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศออสเตรเลีย (ASX: LYC ) กำลังดำเนินงานเหมือง Mount Weldและโรงงานผลิตในประเทศและ Northern Minerals (ASX: NTU ) ได้เปิดเหมืองแร่หายากแห่งแรกของออสเตรเลียเมื่อปีที่แล้ว เราจะเห็นว่ามีผลกระทบต่อจำนวนการผลิตในปี 2561 มากเท่าใด

3. รัสเซีย

การผลิตของเหมือง: 3,000 ตัน

การผลิต Rare Earth ของรัสเซียก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2560 หนุนโดยการลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ของประเทศ ในการผลิตเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในปี 2560 ผลผลิตธาตุหายากของรัสเซียอยู่ที่ 3,000 ตันซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 2,800 ตันในปีก่อน

แม้จะมีการผลิตได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง คาดว่าการผลิตในรัสเซียจะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปด้วยการพัฒนาบริเวณที่พบ Rare Earth ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ประเทศนี้มีสัดส่วนการผลิตอยู่ประมาณร้อยละ 1 ของการผลิตทั่วโลก

4. บราซิล

ปริมาณการผลิต: 2,000 ตัน

ย้อนกลับไปในปี 2012 Rare Earth มูลค่ากว่า  8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐถูกค้นพบในบราซิล จนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่ามีการค้นพบน้อยมาก  เมื่อปีที่แล้วการผลิต Rare Earth ในประเทศลดลงเล็กน้อยจาก 2,200 ตันในปี 2559 เป็น 2,000 ตันในปี 2560

5. ประเทศไทย

การผลิตของเหมือง: 1,600 ตัน

การผลิตธาตุดินหายากของประเทศไทยยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ 1,600 MT ในปี 2560 ปัจจุบันปริมาณสำรอง Rare Earth ยังไม่เป็นที่ทราบกัน แต่ประเทศไทยก็ยังคงเป็นผู้ผลิตที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่นอกเหนือจากประเทศจีน

References : 
https://investingnews.com/daily/resource-investing/critical-metals-investing/rare-earth-investing/rare-earth-producing-countries/

Rare Earth น้ำมันแห่งศตวรรษที่ 21

Rare Earth เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตชิปเซ็ต คอมพิวเตอร์และบรรดาเหล่าอุปกรณ์ไฮเทคอีกมากมาย รวมถึงอาวุธ และมันเป็นสินค้าสำคัญอีกอย่างนึงยังไม่ได้ถูกขึ้นบัญชีเพิ่มภาษีนำเข้าโดยสหรัฐ จากสงคราม Trade War ครั้งนี้ เนื่องจากสหรัฐมีความจำเป็นต้องนำเข้าแร่ดังกล่าวจากจีนถึงถึง 80% จากปริมาณนำเข้าทั้งหมด

ธาตุโลหะหายากหรือที่เรียกภาษาอังกฤษว่า Rare Earth Element หรือ Rare Earth Metal คือธาตุ 17 ธาตุที่จริงๆ พบได้ในดินทั่วไปไม่ยากนัก แต่มักจะมีลักษณะกระจัดกระจาย โดยที่ทั้ง 17 ธาตุยังมีลักษณะคล้ายคลังกันอีก ซึ่งมันทำให้ส่งผลต่อการสกัดธาตุออกจากกันในระบวนการถลุงแร่นั้นต้องใช้ทั้งเทคนิคขั้นสูงและสร้างของเสียทางเคมีออกมาอย่างมหาศาล

และด้วยสาเหตุนี้ทำให้ชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐที่เคยเป็นผู้ผลิตและส่งออกแร่หายากในยุคทศวรรษที่ 60-80 ยอมถอยให้กับจีนที่มีแรงงานราคาถูก และไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเสียเท่าไหร่นัก

สำหรับสินแร่หายากที่นำมาใช้ในทางอุตสาหกรรมมีอยู่ 5 ประเภท คือสแคนเดียม (Scandium) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมัน โพรมีเทียม (Promethium) ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ แลนทานัม (Lanthanum) ใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และกล้องถ่ายรูป อิตเทรียม (Yttrium) ใช้ในการผลิตโทรทัศน์และเตาอบไมโครเวฟ และเพรซีโอดีเมียม (Praseodymium) ซึ่งใช้อุตสาหกรรมผลิตใยแก้วนำแสงและเครื่องยนต์ของเครื่องบิน

แรงงานราคาถูก รวมถึงของเสียออกจากโรงงานเยอะ ทำให้จีนกลายเป็นเจ้าตลาดธาตุโลหะหายากพวกนี้
แรงงานราคาถูก รวมถึงของเสียออกจากโรงงานเยอะ ทำให้จีนกลายเป็นเจ้าตลาดธาตุโลหะหายากพวกนี้

ความยากเห็นในการได้มาซึ่งธาตุโลหะหายากนี้ก็ดูจะบ่งว่ามันมีความสำคัญไม่น้อยต่อโลกยุคปัจจุบัน ที่กำลังนำโดยเทคโนโลยี รวมถึงอุปกรณ์ไฮเทค Gadget ต่าง ๆ  โดยธาตุโลหะเหล่านี้ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ของอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีทั้งหลายในปัจจุบันเช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน เลนส์กล้องถ่ายรูป ทีวีจอแบน เครื่องยิงแสงเลเซอร์สารพัด แบตเตอร์รี่รถยนต์แบบลิเธี่ยม แผงโซล่าร์เซลล์ กังหันลม แม่เหล็ก เซรามิค ระบบนำวิถีของจรวดมิสไซล์ เป็นต้น

ซึ่ง ณ ขณะนี้ จีนกลายเป็นเป็นผู้ผลิตธาตุโลหะหายากกว่า 90% ในโลก จีนได้ขยายการผลิตธาตุโลหะหายากส่วนใหญ่ของโลกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ดังที่เติ้ง เสี่ยว ผิง ประกาศในขณะเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 1992 ว่า “ตะวันออกกลางมีน้ำมัน แต่จีนเรามีธาตุโลหะหายาก” และอัตราส่วนแบ่งตลาดก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาเป็นกว่า 90% ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการครองตลาดแทบจะเบ็ดเสร็จของจีนในการผลิตธาตุโลหะหายากเหล่านี้

แม้สถานการณ์ดังกล่าวดูเหมือนจะทำให้จีนมีอำนาจในตลาดอย่างมหาศาล จนในปี 2010 จีนตัดสินใจจำกัดการส่งออก “ธาตุโลหะหายาก” จริงๆ เป็นครั้งแรก โดยขู่จะตัดการส่งออกแร่หายากให้กับญี่ปุ่น เพื่อกดดันให้ญี่ปุ่นปล่อยตัวกัปตันเรือชาวจีนที่ขับเรือชนเรือยามฝั่งของญี่ปุ่น และการข่มขู่ดังกล่าวก็เหมือนจะได้ผลเมื่อญี่ปุ่นปล่อยตัวกัปตันเรือในทันที

ซึ่งเมื่อเทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้ ในสงคราม Trade War ระหว่างจีนกับสหรัฐ จีนอาจใช้ Rare Earth เพื่อเป็นมาตรการตอบโต้ในช่วงเวลาที่สงครามการค้ากำลังดุเดือดมากขึ้น ซึ่งหากจีนใช้ Rare Earth เป็นตัวต่อรอง ด้วยการระงับการส่งออกหรือเพิ่มภาษีในอัตราที่สูงมาก ก็จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศเช่นกัน แต่ก็อาจเป็นผลดีให้จีนเริ่งพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้แร่ชนิดนี้ เพื่อเพิ่มระดับความต้องการภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น

ซึ่งทางฝั่งอเมริกาเอง ก็ได้เตรียมรับมือกับแผนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยช่วงที่เกิดสงครามการค้า สหรัฐก็ได้เริ่มทำการรื้อฟื้นอุตสาหกรรม Rare Earth ในประเทศ หรือมองหาทางเลือกอื่นในการนำเข้าจากเวียดนามหรือเม็กซิโก  แถมยังมีแหล่งผลิตอีกมากมายทั่วโลก และมีช่องทางในการหลีกเลี่ยงการผูกขาดของจีนในอีกหลายทางนั่นเอง

References : 
https://thediplomat.com/2013/01/the-new-prize-china-and-indias-rare-earth-scramble/?allpages=yes&fbclid=IwAR1XnaGBNxA3gaY57PFLHSQTjrTqqshS70QEaKI4GsimDpWmFSIuMRVZazU