COVID-19 กับการสูญเสียความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของอเมริกา

รัฐบาลสหรัฐใช้จ่ายหลายพันล้านดอลลาร์ทุก ๆ ปีมากกว่ารัฐบาลอื่น ๆ ในโลก เพื่อพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย และหวังจะใช้มันเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ที่คาดเดาไม่ได้อย่างเช่นที่กำลังเกิดขึ้นกับการแพร่ระบาดของ COVID-19

ต้องบอกว่านี่คือความล้มเหลวของนโยบายวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาสมัยใหม่ นโยบายที่ย้อนกลับไปถึงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังสงครามผู้กำหนดนโยบายเรียกร้องให้รัฐสภามีส่วนร่วมในการเสริมสร้างศักยภาพและความคิดทางวิทยาศาสตร์ของประเทศ 

ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือยุคทองของประเทศ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของการสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับการวิจัยขั้นพื้นฐานและการศึกษาเพื่อเติมเต็ม ห้องปฏิบัติการวิจัยเชิงลึกที่ใช้ในอุตสาหกรรม ด้วยจุดแข็งที่รวมกันเหล่านี้ทำให้ประเทศมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างรวดเร็วและวางรากฐานทางเทคโนโลยีสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่ของประเทศทั้งในด้านโทรคมนาคม ด้านการทหารและสุขภาพ  

โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง แต่สหรัฐฯยังคงทำงานอย่างหนักกับ นโยบายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบเดิม ๆ  แม้อเมริกาจะประสบความสำเร็จในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการวิจัยเชิงวิชาการในโลก

แต่ในขณะเดียวกันความสามารถของประเทศในการเปลี่ยนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นโซลูชั่นที่ใช้งานได้จริงนั้นดูเหมือนจะล้มเหลวไม่เป็นท่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการแพร่ระบาดของ COVID-19 

สหรัฐฯ ใช้เวลาในการวิจัยด้านสุขภาพของมนุษย์มากกว่าเรื่องของเกษตรกรรมและพลังงานรวมกัน แต่ดูเหมือนว่ามันยังไม่เพียงพอในการเตรียมตัวไว้สำหรับ COVID-19 ไม่ใช่เพราะเรื่องงบประมาณที่น้อยเกินไปอย่างแน่นอน แต่เพราะมันไม่ได้ถูกใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ  มี 3 บทเรียนที่น่าสนใจที่จะกล่าวถึงในบทความนี้

1. ไม่เพียงแค่ให้ทุนวิจัยอย่างเดียว

ต้องบอกว่าจำนวนเงินที่สหรัฐอเมริกาใช้จ่ายในงานวิจัยโดยเฉพาะเรื่องของวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ที่อยู่นอกระบบงานวิจัยทางด้านการทหารแล้วนั้น ระบบของอเมริกาถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ทุนสนับสนุนการวิจัย แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหา 

มหาวิทยาลัยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยระดับชาติมากที่สุดพร้อมกับหน่วยงานภาครัฐและห้องปฏิบัติการที่ไม่แสวงหากำไรอื่น ๆ สถาบันเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ด้วยแรงจูงใจที่ส่งเสริมการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ และผลงานที่ตีพิมพ์ออกมา 

ดังนั้นในขณะที่สหรัฐฯให้เงินสนับสนุนงานวิจัยจำนวนมากในด้านต่าง ๆ เช่น ภูมิคุ้มกันวิทยาและโรคติดเชื้อ แต่ใช้เวลาน้อยมากในการแปลการค้นพบเหล่านั้นเป็นการเตรียมการสำหรับการแพร่ระบาด ซึ่งความจริงแล้วนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นทั้งคู่

ด้วยการตระหนักถึงความต้องการในการแก้ปัญหาสหรัฐอเมริกาจึงเริ่มให้การสนับสนุนความท้าทายที่ยิ่งใหญ่และศูนย์วิจัยที่มุ่งเน้นปัญหาเฉพาะด้าน เช่น การพัฒนาในด้านพลังงานแสงอาทิตย์ที่ถูกกว่า หรือแบตเตอรี่รุ่นต่อไป 

ซึ่งความคิดริเริ่มเหล่านี้เป็นขั้นตอนในทิศทางที่ถูกต้องสำหรับนวัตกรรมของประเทศโดยเฉพาะนวัตกรรมที่ส่งผลด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเงินทุนของรัฐบาลส่วนใหญ่มักจะไหลไปที่นักวิชาการ และนักวิจัยภาครัฐไม่กี่กลุ่ม ซึ่งแน่นอนว่าผลงานของพวกเขาเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการค้นพบและเผยแพร่ในวารสารและการนำเสนอในที่ประชุมทางวิชาการเพียงเท่านั้น

2. หลีกเลี่ยงการระดมทุนเพื่อการวิจัยในระดับอุตสาหกรรม

บริษัท ขนาดใหญ่ไม่ได้สนใจในการระดมทุนในนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์ในขั้นต้น รัฐบาลสหรัฐล้มเหลวในการตอบสนอง การสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับการวิจัยภาคเอกชนนั้นลดลงไปจากยุครุ่งเรืองในช่วง 50 ปีก่อนเป็นอย่างมาก

ซึ่งผลที่ได้คือผู้คนในอุตสาหกรรมที่รู้วิธีการใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงกับการวิจัยที่ล้ำสมัยและการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลน้อยกว่าที่เคยเป็นมา และเนื่องจากองค์กรวิจัยของรัฐได้แยกตัวออกจากภาคอุตสาหกรรมจึงมีวิธีการตรวจสอบและปรับขนาดเทคโนโลยีที่สำคัญน้อยมาก เช่น การพัฒนาวัคซีนในโรคระบาด

ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลยังไม่พร้อมที่จะสนับสนุนรูปแบบการวิจัยในอุตสาหกรรมที่สดใสที่สุดในวันนี้ นั่นก็คือ Startup บริษัทเอกชนจะถูกแยกออกจากการเข้ารับเงินทุนวิจัยส่วนใหญ่อย่างเด็ดขาด ส่วนใหญ่จะเป็นการระดมทุนในภาคเอกชนด้วยกันเอง

ทำให้บริษัท Startup ที่เพิ่งเริ่มต้นจะมีความเสียเปรียบเพราะกฎการระดมทุนถูกสร้างขึ้นสำหรับบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง 

โครงการวิจัยขั้นสูงของหน่วยงานทางด้านกลาโหมอย่าง DARPA เป็นหนึ่งในไม่กี่หน่วยงานของรัฐที่มีความยืดหยุ่นในการระดมทุนการวิจัยที่ดีที่สุด  

ตัวอย่าง บริษัทอย่าง Moderna Therapeutics เป็นหนึ่งในหลาย ๆ บริษัท ที่พัฒนาวัคซีนที่เกิดจากงานวิจัยที่ได้รับทุนจาก DARPA ในระยะเริ่มต้น แต่ถึงกระนั้น DARPA ก็ยังต้องการการเชื่อมต่อที่ดีกว่ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม 

Darpa ที่มีงานวิจัยสุดล้ำออกมามากมาย แต่สำหรับวงการทหารเพียงเท่านั้น
Darpa ที่มีงานวิจัยสุดล้ำออกมามากมาย แต่สำหรับวงการทหารเพียงเท่านั้น

โดยทาง DARPA กำลังพัฒนาวิธีการสำหรับผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์เพื่อทำงานร่วมกับนักวิจัยของ DARPA และเชื่อมโยงการวิจัยในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่เทคโนโลยีชีวภาพไปจนถึงเทคโนโลยีทางด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์

3. มุ่งเน้นไปสู่สิ่งที่สำคัญสำหรับอนาคต

การที่ระบบยังคงยึดติดอยู่กับลำดับความสำคัญและแนวทางการวิจัยของศตวรรษที่ผ่านมา มันไม่สามารถปรับโฟกัสได้เร็วพอสำหรับปัญหาที่มีความสำคัญสำหรับอนาคตของประเทศ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความปลอดภัยของข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย หรือ การแพร่ระบาดของโรค

ตัวอย่างผลงานการวิจัยของสหรัฐในปัจจุบันมันแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยเงินทุกดอลลาร์สหรัฐฯ จะใช้ไปกับการวิจัยทางชีววิทยาและการแพทย์เพียงแค่ 15 เซ็นต์เพียงเท่านั้น

ในการวิจัยทางเคมีและฟิสิกส์แม้จะมีศักยภาพมหาศาลสำหรับการคิดค้นในการดักจับคาร์บอนการเก็บพลังงานหรือพลังงานฟิวชั่น ซึ่งได้ทำการวิจัย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ต้องการโซลูชั่นเหล่านี้ทันที เช่นเดียวกับ งานวิจัยทาด้านชีววิทยาและการแพทย์ ที่ต้องการสิ่งที่เป็นโซลูชั่นที่สามารถใช้งานได้ทันที เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นนั่นเอง

ต้องบอกว่า Covid-19 เป็นวิกฤตที่น่ากลัว นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่ในการทบทวนอีกครั้งว่าการวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจะสามารถช่วยเหลือสังคมได้อย่างไรในอนาคต

สำหรับการทุ่มเทงบประมาณไปจำนวนมหาศาลขนาดนี้ของอเมริกา แต่เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นจริงกลับไม่สามารถจะช่วยเหลือประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อสถานการณ์ทางด้าน COVID-19 ของอเมริกานั้น ยังวิกฤติอยู่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ณ ปัจจุบัน อย่างที่เราได้เห็นกันนั่นเองครับ

References : https://www.technologyreview.com/2020/06/17/1003322/how-the-us-lost-its-way-on-innovation

แค่นี้ขี้ประติ๋ว สีจิ้นผิง ประกาศกร้าว ศึกนี้พร้อมสู้กันอีกนาน

เนื่องจากข้อพิพาททางการค้าทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาเปรียบย้อนไปในภาพยนตร์จีนแบบคลาสสิกที่เกี่ยวกับ “สงครามต่อต้านอเมริกาและช่วยเหลือชาวเกาหลี” ของสงครามเกาหลีในปี 1950 ซึ่งเป็นสงครามที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีของชาวจีน

นี่เป็นหนึ่งในสัญญาณหลายอย่างในประเทศจีนที่บ่งบอกถึงสิ่งที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าตอนนี้จะเป็นข้อขัดแย้งทางการค้าที่ยืดเยื้อกับสหรัฐ และทางจีนเต็มใจที่จะยอมรับ  เงื่อนไขที่โดนัลด์ทรัมป์เรียกร้องเพื่อยุติการทะเลาะวิวาทกันทางการค้าที่มีมากว่า 2 ปี

สีจิ้นผิง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ และผู้นำสูงสุดของจีน กำลังเตรียมการที่จะนำประเทศของเขาสู่ความขัดแย้งทางการค้าที่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์พลังงานและความเกี่ยวข้องกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก เช่น เดียวกับเมื่อคราวที่เหมาเจ๋อตงส่ง “อาสาสมัคร” ของจีนไปสู้รบกับกองกำลังสหรัฐในช่วงสงครามเกาหลีในช่วงปี 1950 เป็นเวลากว่าสี่ปี 

เช่นเดียวกับการตัดสินใจของเหมาเพื่อเข้าสู่ความขัดแย้งของเกาหลี เมื่อหกสิบปีก่อนกองทหารที่มีอาวุธที่ไร้ประสิทธิภาพของเหมาต้องเผชิญกับกองกำลังทหารอเมริกันที่เหนือกว่าในเรื่องเทคโนโลยีในสงครามเกาหลี 

ทุกวันนี้เศรษฐกิจของจีนขึ้นอยู่กับการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามากกว่าสหรัฐอเมริกาที่จะส่งออกไปยังประเทศจีน หลังจาก 30 ปีของการเติบโตใกล้ตัวเลขสองหลักจนเศรษฐกิจของจีนก้าวขึ้นมาจนใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

แต่ในขณะที่กองกำลังจีนที่กำลังจนตรอกต่อสู้กับสหรัฐในสงครามเกาหลีในท้ายที่สุด ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับกองกำลังติดอาวุธของอเมริกา

ทหารจีนที่ส่งไปช่วยรบในสงครามเกาหลี ต้องล้มตายเป็นจำนวนมากด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่าของสหรัฐ
ทหารจีนที่ส่งไปช่วยรบในสงครามเกาหลี ต้องล้มตายเป็นจำนวนมากด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่าของสหรัฐ

แต่ในศึก Trade War ครั้งนี้ สีจิ้นผิง แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถควบคุมการต่อสู้ในศึกครั้งนี้ให้สามารถประสบความสำเร็จได้ และ กองกำลังจากจีนจะไม่มีทางซ้ำรอยเดิมในเหตุการณ์สงครามเกาหลี อย่างแน่นอน

โดยเจ้าหน้าที่จีนเชื่อว่าพวกเขามีข้อได้เปรียบที่แตกต่างกันสองอย่างเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามในช่วงสงครามการค้า สิ่งแรกคือ การควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ ที่ สีจิ้นผิงนั้น ต้องการเพียงแค่นิ้วมือของเขาและรัฐบาลที่ควบคุมโดยพรรค, ฝ่ายนิติบัญญัติ, สื่อและระบบธนาคารของจีน ซึ่งเขาควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ ต่างจากทรัมป์ ที่สามารถควบคุมได้แค่ใน Twitter ของเขาเพียงเท่านั้น

สีจิ้นผิง นั้นสามารถควบคุมทุกอย่างในประเทศจีนได้แบบเบ็ดเสร็จเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ
สีจิ้นผิง นั้นสามารถควบคุมทุกอย่างในประเทศจีนได้แบบเบ็ดเสร็จเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ

พรรคคอมมิวนิสต์จีนมี “ทีมชาติ” ของนายหน้าธนาคารและ บริษัท ยักษ์ใหญ่ในการจัดการเพื่อ “ซื้อ” แบบทุ่มตลาดในจีนเมื่อมีความจำเป็น เมื่อดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้ร่วงลงเกือบ 6% มาอยู่ที่ 2,906 จุดในวันนี้หลังจากการเพิ่มขึ้นของสงครามการค้าครั้งล่าสุดของนายทรัมป์ การตอบสนองของรัฐบาลจีนโดยเหล่าทีมชาติของพวกเขาสามารถเสก ให้วันรุ่งขึ้น ดัชนีคอมโพสิตเซี่ยงไฮ้ ดีดตัวขึ้นได้ทันที เพราะพวกเขาพร้อมจะรบในศึกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ข้อได้เปรียบที่สองของ สีจิ้นผิง คือความรู้สึกเดือดดาลในอดีตที่เกี่ยวข้องกับความไม่พอใจในอดีตต่ออำนาจจากต่างประเทศที่ก่อนหน้านี้เขามองว่าจีนนั้น “ถูกกลั่นแกล้ง” และ “ถูกทำให้ดูต่ำต้อย” เกินไปเมื่อเทียบกับสภาพความเป็นจริงของจีนในปัจจุบัน

เมื่อความต้องการการเจรจาการค้าของทรัมป์เริ่ม  รั่วไหลในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วความโกรธเคืองที่คนจีนหลายคนรู้สึกได้ ฟรีดริชวู ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางแห่งสิงคโปร์ สรุปความรู้สึกของหลาย ๆ คนเมื่อเขาอธิบายว่าสิ่งที่ทรัมป์ และ สหรัฐต้องการนั่นก็คือ “การบังคับให้จีนนั้นยอมรับความพ่ายแพ้”

“ซึ่งมันเหมือนการดูถูกจีนในยุคปัจจุบัน ภาพแบบนั้นมันต้องมองย้อนกลับไป ถึงศตวรรษที่ 19 เมื่ออำนาจของตะวันตกและญี่ปุ่นกำหนดเงื่อนไขทั้งหมดในสนธิสัญญาไม่เท่าเทียมกันที่น่าอับอายต่อราชวงศ์ชิงของจีนที่กำลังอ่อนแออยู่ในขณะนั้น” 

ดูเหมือนว่าศึกนี้ คงจะไม่จบลงง่ายๆ  อย่างแน่นอน การควบรวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จของ สีจิ้นผิง นั้น ต้องเรียกได้ว่า มีพลังมากกว่าที่ ทรัมป์มีเยอะ แม้อเมริกาจะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็จริง แต่ทรัมป์ ยังมีแผลเบื้องหลังที่คอยทิ่มแทงเขา หากสงครามครั้งนี้ ทรัมป์แพ้ มันส่งผลโดยตรงต่อ ตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้าอย่างแน่นอน ต้องเรียกว่าศึกครั้งนี้มีการเดิมพันสูง กับอนาคตทางการเมืองของทั้งทรัมป์ และ สีจิ้นผิง เลยก็ว่าได้

References : 
https://www.ft.com/content/52a6731c-7882-11e9-be7d-6d846537acab