Tadao Kashio หนึ่งในสุดยอดนักประดิษฐ์ของญี่ปุ่นผู้ก่อตั้ง Casio Computer

ในยุคปี 1970 และ 80 แบรนด์ที่อยู่ในไฮไลท์ สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คือ Casio ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์ เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ นาฬิกาดิจิตอล ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ผลิตโดยบริษัทแห่งนี้เป็นหลักแทบจะทั้งสิ้น

แม้กระทั่งทุกวันนี้ Casio ก็เป็นชื่อที่พบบ่อยที่สุดใน บริษัท เครื่องใช้ไฟฟ้า ต้องบอกว่าเกือบ 90% ของนักศึกษาวิศวกรรมใช้เครื่องคิดเลขของ Casio และนั่นคือวิธีที่พวกเราส่วนใหญ่รู้จักชื่อนี้ 

Casio Computer ก่อตั้งขึ้นโดย Tadao Kashio ในปี 1946 เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เชิงพาณิชย์ ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ชิบุยะ ใจกลางกรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น 

ผลิตภัณฑ์ของ Casio นั้นรวมถึงเครื่องคิดเลข โทรศัพท์มือถือ นาฬิกาดิจิตอล เครื่องดนตรี ในปี 1957 บริษัทได้ทำการเปิดตัวเครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาดกะทัดรัดเครื่องแรกของโลก

สำหรับ Tadao Kashio นั้นเกิดในครอบครัวธรรมดา ๆ ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 1917 Tadao มีวัยเด็กที่ลำบาก ยากเข็ญมาก ๆ  เขาได้เห็นวันที่เลวร้ายที่สุดในช่วงปีแรก ๆ ของชีวิตของเขา

แต่สภาพความเป็นอยู่ของเขานั้น ไม่ได้ขัดขวางเขาจากความเป็นเลิศทางด้านวิชาการ Tadao เป็นนักเรียนที่ดีที่สุดในชั้นเรียนของเขา เขาเข้าร่วม บริษัทผลิตกระป๋องน้ำมันรีไซเคิล หลังจากสำเร็จการศึกษาในชั้นมัธยม 

ต่อมาเขาเข้าร่วม บริษัท ที่ทำโรงงานผลิตเหรียญกล้าหาญให้กับเหล่าทหาร ที่ไปออกรบในสงครามโลกครั้งที่ 2  เขาทำงานเป็น ช่างกลึง และไม่เคยล้มเหลวในการสร้างความประทับใจให้ผู้จัดการของเขาด้วยทักษะของเขา 

ทำให้ในท้ายที่สุด ผู้จัดการโรงงานก็สนับสนุนให้เขาได้ไปศึกษาต่อและขอให้เขาเข้าเรียนในโรงเรียนของคนงานของวาเซดะ (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยวาเซดะ) เขามีโอกาสเพิ่มพูนความรู้ระดับมืออาชีพของเขาที่นั่น และที่นี่เองที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของเขาด้วยความรู้ที่เขาได้รับจากวิทยาลัยวาเซดะ

หลังจากนั้นเขาก็กลับมาช่วยงานที่โรงงาน และแสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศของเขาอีกครั้ง และยังคงสร้างความประทับใจให้กับผู้จัดการของเขา หลังจากได้รับประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เขาได้เริ่มประดิษฐ์ หม้อโคมไฟ เครื่องปั่นจักรยาน และกระทะ เขาเริ่มได้รับความนิยมอย่างมากในท้องถิ่นของเขา เนื่องจากเขาเริ่มได้รับสัญญาในการสร้างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในปี 1946 ญี่ปุ่นกำลังประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เกิดจากสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากสำเร็จการศึกษา Kashio ก็ได้เริ่มตั้ง บริษัทของตัวเขาเองเพื่อผลิตรีเลย์ไฟฟ้าอย่างง่าย 

บริษัท ที่ในตอนนั้นถูกเรียกว่า  Kashio Seisakujo มันดันกลายเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นบริษัท Casio ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ เขาเริ่มธุรกิจนี้กับ Shigeru พ่อของเขา และพี่น้องสามคน – Kazuo, Toshio และ Yuki 

ผลิตภัณฑ์แรกของบริษัท คือ ท่อ Yubiwa ซึ่งมีไว้สำหรับเสียบบุหรี่ไว้กับนิ้ว ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับความนิยมจากผู้ใช้เพราะให้ความสะดวกสบายแก่พวกเขา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมีความตึงเครียดและความเครียดมากมายในญี่ปุ่นและนั่นเป็นสาเหตุที่การใช้บุหรี่เพิ่มขึ้นและผลิตภัณฑ์ตัวแรกของบริษัทก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

ท่อ Yobiwa กับผลิตภัณฑ์ตัวแรกของบริษัท
ท่อ Yobiwa กับผลิตภัณฑ์ตัวแรกของบริษัท

ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าครบวงจรตัวแรกของ บริษัท เปิดตัวในปี 1957 ซึ่งเป็นเครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด พ่อของเขาเป็นประธานบริษัทจนถึงปี 1960 และต่อมา Tadao กลายได้มาเป็นประธานต่อจากพ่อเขา 

ด้วยความเป็นผู้นำของ Tadao ทำให้ Casio กลายเป็นที่รู้จักทั่วโลกในด้านผลิตภัณฑ์ เช่นนาฬิกาดิจิตอล เครื่องบันทึกเงินสด โทรทัศน์ และอุปกรณ์อื่น ๆ สำหรับธุรกิจและการใช้งานส่วนตัว ซึ่งทำให้บริษัทเติบโตจนกลายเป็นกิจการระดับโลกมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์โดยมีพนักงานหลายพันคนทั่วโลก

ในปี 1980 เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่ราคาไม่แพงของ Casio และเครื่องดนตรีอย่างคีย์บอร์ดในบ้านที่มีราคาย่อมเยา ของ Casio ก็เริ่มมีชื่อเสียง หลังจากนั้น Casio ก็ได้ผลิตนาฬิกาข้อมือ และได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เพราะเป็นหนึ่งในนาฬิกาดิจิตอลและอนาล็อกที่ดีที่สุด Casio เป็นบริษัทแรกที่ผลิตนาฬิกาที่แสดงเขตเวลาและอุณหภูมิ รวมถึง Casio ยังมีส่วนร่วมในการผลิตกล้องดิจิตอลในยุคบุกเบิกอีกด้วย

Tadao กับการพาบริษัทขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้านอิเล็กทรอนิกส์
Tadao กับการพาบริษัทขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้านอิเล็กทรอนิกส์

Tadao ใช้เวลาตลอดชีวิตในฐานะประธานบริษัท Casio ในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเขาเป็นหนึ่งในนักอุตสาหกรรมที่โด่งดังที่สุด เพราะเขาก่อตั้งบริษัทไฟฟ้าเมื่อญี่ปุ่นอยู่ในจุดต่ำสุดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

และบริษัทของเขานี่เองที่เป็นหนึ่งในผู้กอบกู้เศรษฐกิจญี่ปุ่นให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้สำเร็จ หลังการพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง และทำให้ญี่ปุ่นก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจโดยเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรมอย่างที่เราได้เห็นในทุกวันนี้

Casio เป็นผลมาจากความพยายามอันยิ่งใหญ่ของ Tadao แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตและประเทศของเขา ปัจจุบัน Casio ได้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก ที่ขายเครื่องคิดเลข นาฬิกา และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่น ๆ 

ซึ่งเรื่องราวของ Tadao และ Casio นั้น สอนให้เราได้รู้ว่า ไม่ใช่สถานการณ์ที่กำหนดความสำเร็จของคุณ แต่เป็นความมุ่งมั่นและพลังของคุณต่างหากที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้แบบที่ Tadao ทำให้เราเห็นแล้วนั่นเองครับ

References : https://astrumpeople.com/tadao-kashio-biography/
https://www.independent.co.uk/news/people/obituary-tadao-kashio-1496820.html
https://www.nytimes.com/1993/03/06/world/tadao-kashio-75-co-founded-and-led-casio-computer-co.html
https://astrumpeople.com/tadao-kashio-biography/


MQ-9 Reaper โดรนที่น่ากลัวที่สุดในโลก ผู้ปลิดชีพ ยอดแม่ทัพ Soleimani แห่งอิหร่าน

ในปฏิบัติการสังหาร Soleimani นายพลของอิหร่าน เชื่อว่าได้รับการจัดการโดย CIA ผ่าน Drone อากาศยาน MQ-9 Reapers ที่เคลื่อนจากฐานทัพอากาศ Creech ในเนวาดา และได้รับการสนับสนุนจาก CIA ใน Langley รัฐเวอร์จิเนีย

จากข้อมูลของกองทัพอากาศสหรัฐฯ Reaper นั้นเป็น “เครื่องบินอเนกประสงค์ที่ใช้ในหลายภารกิจ ซึ่งสามารถทำระดับความสูงได้หลายระดับ และระยะการเดินทางที่รอบรับการบนในระยะไกล ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ระยะไกลที่ใช้เป็นหลักในการปฏิบัติตามกลยุทธ์ทางการทหารของอเมริกา

ประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นคนสั่งการให้สังหาร Soleimani ขณะที่กำลังเดินทางใกล้สนามบินนานาชาติแบกแดด โดยการโจมตีดังกล่าวยังได้สังหาร Abu Mahdi al Muhandis รองผู้บัญชาการของกองกำลังเคลื่อนที่ของอิรักที่ได้รับการสนับสนุนจากอิรัก และเป็นผู้ก่อตั้ง Kataib Hezbollah กลุ่มก่อการร้ายที่สังหารผู้รับชาวเหมาสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

เมื่อถูกถามว่ากองทัพอากาศเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้หรือไม่ ทางโฆษกของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พ.ต.ท. โทมัส แคมป์เบล บอกกับ WashingtonExaminer : “เราไม่มีอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากแถลงการณ์เมื่อวานนี้” คำสั่งของกระทรวงกลาโหมไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในการโจมตี CIA บอกกับ WashingtonExaminer 

Soleimani  ยอดนายพลแห่งอิรัก ที่ถูกสังหาร
Soleimani ยอดนายพลแห่งอิหร่าน ที่ถูกสังหาร

เสียงพึมพำเงียบ ๆ ของ Reaper นั้นเหมาะสำหรับการใช้โจมตี ตามที่อดีตนักบินกองทัพอากาศที่เกษียณไปแล้วอย่าง John Venable กล่าว

“MQ-9 Reaper มีความแม่นยำ และด้วยความสามารถในการโจมตี ทำให้มันเป็นอาวุธที่เหมาะกับภารกิจ ISR [เฝ้าระวัง ข่าวกรอง ลาดตระเวน] เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีการคุกคามต่ำ” Venable บอกกับ WashingtonExaminer  “ ทางการสหรัฐใช้โดรนในการติดตาม Soleimani รวมถึงติดตามการเคลื่อนไหวของ Muhandis ทั้งในและรอบ ๆ กรุงแบกแดด ซึ่งความสามารถของ Reaper ทำให้สหรัฐฯไม่ใช่แค่ใช้มันเพื่อสังเกตการเพียงเท่านั้น แต่เพื่อกำจัดเป้าหมายเหล่านั้นด้วย ”

พล.ท. เดวิด เดอทูลา นายพลเกษียณจากกองทัพอากาศบอกกับ WashingtonExaminer :  “MQ-9 Reaper เป็นระบบอาวุธที่สมบูรณ์แบบสำหรับงานนี้ “การตอบโต้ครั้งนี้เป็นการการตอบสนองที่เหมาะสมหลังจาก 18 เดือนของการเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีโดยทรัมป์ที่ดำเนินการเนื่องจากการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของอิหร่านอย่างก้าวร้าวโดยทรัมป์ได้ขีดเส้นเตือนอิหร่านไว้ก่อนหน้านี้ และเมื่อพวกเขาล้ำเส้น ทรัมป์ก็พร้อมที่จะปกป้องบุคลากรและผลประโยชน์ของอเมริกา “

Reaper ผลิตโดย General Atomics ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2007 ด้วยราคาประมาณ 16 ล้านเหรียญจึงเป็นตัวเลือกที่ประหยัด สามารถปฏิบัติการทางอากาศด้วยระเบิดและขีปนาวุธที่หลากหลาย Reaper นั้นมีขนาดเล็กกว่าเครื่องบินจู่โจมทั่วไปโดยมีปีกกว้าง 66 ฟุตและมีน้ำหนักเพียง 4,900 ปอนด์ โดยทั่วไปจะทำงานที่ระดับความสูงประมาณ 25,000 ฟุตและใช้เครื่องยนต์ใบพัดทำให้ยากต่อการมองเห็นและได้ยินในสนามรบ ด้วยระยะทาง 1,200 ไมล์มันสามารถเดินทางไกลได้ในขณะที่นักบินอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์

Reaper มีอุปกรณ์ทางทหารที่ทันสมัยที่สุดในโลก ระบบถ่ายภาพประกอบด้วยเซ็นเซอร์อินฟราเรดกล้องถ่ายภาพสีและขาวดำและเครื่องค้นหาระยะเลเซอร์และอุปกรณ์การกำหนดเป้าหมายสำหรับการโจมตีที่มีความแม่นยำสูง

มีการใช้ Reapers ในอัฟกานิสถาน อิรัก เยเมน ลิเบีย และอีกหลายประเทศ มีรายงานการสังหารครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2007 เมื่อมีการยิงขีปนาวุธเฮลล์ไฟกับผู้ก่อความไม่สงบในอัฟกานิสถาน 

ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

ต้องบอกว่าข่าวการสังหารนายพลของอิหร่าน ในมุมมองของเทคโนโลยีนั้นน่าสนใจมาก ๆ อย่างที่ผมได้เคยเขียนไปในหลาย ๆ Blog เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังมีบทบาทสำคัญในวงการทหาร

แน่นอนว่าผลพวงจากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในวงการทหารหลาย ๆ เทคโนโลยีล้วนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจด้วย เราจะเห็นได้จากหลาย ๆ เทคโนโลยีที่เกิดจากแวงวงทหารเช่น อินเทอร์เน็ตเป็นต้น ซึ่งหลายชาติมหาอำนาจในโลกที่เป็นยักษ์ใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจก็ล้วนแล้วแต่มีเทคโนโลยีทางด้านการทหารที่แข็งแกร่งมาก่อน ตัวอย่างเช่น อเมริกา ญี่ปุ่น หรือ เยอรมัน ที่กลายเป็นยักษ์ใหญ่วงการยานยนต์โลกก็ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานสำคัญมาจากการผลิต ยุทธโธปกรณ์ในสงครามโลกครั้งที่สองแทบจะทั้งสิ้น

และในข่าวใหญ่ครั้งก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางด้านการทหารของอเมริกานั้น ไปไกลมาก ๆ พวกเขายังมีอาวุธลับอีกมากมาย ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ ผมก็ยังมองว่า ไม่มีชาติใดในโลกนี้ที่จะสู้พวกเขาได้

และถามว่าทำไมพวกเขาจึงลงทุนไปมากมายกับเทคโนโลยีด้านการทหาร ก็เพราะความมั่นคงที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่อเมริกามอง พวกเขาแม้จะแพ้ทางด้านเศรษฐกิจ แต่ด้านความมั่นคง พวกเขาไม่เคยแพ้ใคร และ สุดท้ายเมื่อเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ ตัวชี้วัดว่าชาติใดจะเป็นมหาอำนาจของโลกตัวจริง มันอยู่ที่เทคโนโลยีทางด้านการทหารนั่นเองครับ

–> ฟัง podcast World War III เมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการชี้ขาดชัยชนะของสงครามยุคใหม่ : http://bit.ly/2MUHdph

References : https://www.washingtonexaminer.com/policy/defense-national-security/worlds-most-feared-drone-cias-mq-9-reaper-killed-soleimani https://www.researchgate.net/figure/MQ-9-Reaper-UAV-drone-and-its-zoom-camera_fig113_335455327

Zippo แบรนด์ไฟแช็คที่เป็นมากกว่าแค่ไฟแช็ค

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับแบรนด์ Zippo บริษัท ที่สร้างขึ้นในสหรัฐอเมริกาที่เป็นแบรนด์ที่มีคนรู้จักมากที่สุดแบรนด์หนึ่ง ซึ่งจากสถิติพบว่า 98 จาก 100 คนของชาวอเมริกา จะรู้จักแบรนด์ Zippo โดยอัตโนมัติ ซึ่งในแง่ของการรับรู้แบรนด์นั้น ถือเป็นสถิติที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามความสำเร็จในระดับนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ข้ามคืน เป็นเวลา 85 ปีแล้วที่ผู้ก่อตั้ง George G. Blaisdell เริ่มก่อตั้ง บริษัท และต้องขอบคุณความมุ่งมั่นในระดับคุณภาพของเขา และการทำงานอย่างหนัก ที่ทำให้ Zippo สามารถมีชื่อเสียงทั่วโลกได้ ด้วย ไฟแช็ค windproof (กันลม) ที่ออกแบบและสร้างขึ้นในสหรัฐอเมริกา

ทุกอย่างเริ่มต้นที่แบรดฟอร์ดคันทรีคลับ ในเมืองแบรดฟอร์ด รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตและพิพิธภัณฑ์ Zippo เมื่อ Blaisdell กำลังเฝ้าดูเพื่อนคนหนึ่งของเขากำลังจุดบุหรี่ด้วยไฟแช็ค และในขณะที่การจุดไฟแช็คแบบเดิม ๆ นั้น มันต้องใช้สองมือคอยป้องไว้เพื่อไม่ให้ลมพัดเข้ามาทำให้ไฟดับ

เมื่อ Blaisdell เห็นปัญหาดังกล่าว จึงคิดไอเดียเพื่อเตรียมการออกแบบที่จะแก้ปัญหาที่ยุ่งยากนี้ ให้เป็นสิ่งที่ใช้งานง่ายขึ้น ต้นแบบของเขาจึงยังทำการออกแบบปล่องไฟ เพื่อปกป้องเปลวไฟในสภาพที่ไม่เหมาะ เช่นในสถานที่ที่ลมแรง ทำให้ไฟแช็กสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งสิ่งนี้นี่เองที่นำไปสู่ไฟแช็ค Zippo ตัวแรกที่ผลิตในปี 1933

 George G. Blaisdell ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Zippo
George G. Blaisdell ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Zippo

ซึ่งจากจุดเริ่มต้น Blaisdell ก็กล้าที่จะรับประกันการใช้งานแบบไม่มีเงื่อนไขสำหรับ Zippo ทุกรุ่น ซึ่งผลิตภัณฑ์ตัวแรกนั้นเข้าสู่ตลาดในราคาขายปลีกที่ 1.95 ดอลลาร์ เท่านั้น และในช่วง 85 ปีที่ผ่านมาไม่มีลูกค้ารายใดที่ต้องใช้เงินเพื่อซ่อมแซมสินค้าของ Zippo เลยแม้แต่ครั้งเดียว

เช่นเดียวกับชาวอเมริกันส่วนใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งต้องบอกว่าสงครามโลกครั้งที่สองมีผลต่อ Zippo เป็นอย่างมาก ในฐานะผู้รักชาติตัวยง Blaisdell ได้ทุ่มเทการผลิตทั้งหมดให้กับกองทัพสหรัฐฯ การผลิตที่ทำให้ไฟแช็คมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะต้องยอมรับว่าบุหรี่ ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างนึงในภาวะสงคราม เนื่องด้วยความเครียดของเหล่าทหารที่ต้องใช้บุหรี่และไฟแช็คเป็นที่พึ่งอยู่เสมอ

และเมื่ออเมริกาเข้าสู่สงคราม ความคิดริเริ่มนี้ที่ต่อมาได้สร้างนวัตกรรมที่มีคุณค่าบางอย่างสำหรับ Zippo กล่าวคือ การสร้างไฟแช็คแบบกล่องเหล็กสำหรับเหล่าทหารที่อยู่ในแนวหน้า ชาวอเมริกันหลายล้านคนถือไฟแช็คเหล่านี้เข้าสู่การต่อสู้ในช่วงหลายปีของสงครามโลก ทำให้ Zippo กลายเป็นแบรนด์ที่รู้จักในระดับโลกในที่สุด

ผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ zippo กลายเป็นแบรนด์ที่รู้จักในระดับโลก
ผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ zippo กลายเป็นแบรนด์ที่รู้จักในระดับโลก

หลังสงครามถึงเวลาแล้วที่ Blaisdell จะขยายกิจการของเขาในช่วงหลังสงครามอันสงบสุขและเศรษฐกิจของอเมริกาที่ดีขึ้นในช่วงเวลานั้น ในปี 1947 เขาได้เริ่มสร้างโรงงานผลิตที่แยกต่างหากที่ก่อตั้งขึ้นที่ Niagara Falls รัฐออนแทรีโอ นอกจากนี้เขาได้ทำการสลักที่ก้นของไฟแช็ค Zippo ทุกชิ้น โดยทุก ๆ ชิ้นจะได้รับรหัสวันที่ประทับซึ่งบ่งบอกถึงเดือนและปีที่ผลิตไฟแช็กแต่ละชิ้นซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับนักสะสมที่ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้

ต่อมาในปี 1956 Zippo ได้เปิดตัวไฟแช็ก windproof แบบใหม่ ที่มุ่งไปที่ตลาดผู้หญิงและเพื่อที่ผลักดันให้แบรนด์ของพวกเขาออกมาจากภาพลักษณ์ของสงครามที่โหดร้าย ที่อยู่ในหัวใจของพลเมืองอเมริกันทั้งหมด มาอย่างยาวนาน

Zippo ได้เริ่มสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ดูเข้ากับแบรนด์ ไล่ตั้งแต่ เครื่องมือวัดเทปในกระเป๋าเหล็กที่พับเก็บได้ในปี 1962 ต่อมาก็ได้เพิ่มพวงกุญแจมีดพกและไฟฉายพกพา ZipLight ที่กลายเป็นสินค้ายอดฮิตติดลมบนของชาวอเมริกา

ซึ่งการเติบโตและความสำเร็จของพวกเขายังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุคของ Blaisdell ในปี 1978 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกสาวสองคนของเขา Harriett B. Wick และ Sarah B. Dorn ต้องสืบทอดธุรกิจต่อใน ยุค 70 และ 80 กิจการของ Zippo ก็ยังขยายตัวมาอย่างต่อเนื่อง

วัฒนธรรมใหม่ ๆ ยังช่วยเพิ่มชื่อเสียงของแบรนด์ผ่านสื่อใหญ่ ๆ อย่างภาพยนต์ ทีวี และสื่อรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย ไฟแช็ค Zippo นั้นได้ถูกนำเสนอในภาพยนตร์กว่า 2,000 เรื่อง รวมถึงรายการทีวีอีกมากมาย  เหล่านี้รวมถึงซีรียส์ หรือ หนังยอดฮิตอย่าง I Love Lucy และ The X-Men  ที่ทำให้ Zippo กลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อสะท้อนบุคลิกของตัวละครได้อย่างดีเยี่ยม

วันนี้ฐานแฟนคลับของไฟแช็ค Zippo มีอยู่อย่างกว้างขวาง ปัจจุบันมีการคาดการณ์ว่ามีนักสะสม Zippo ประมาณ 4 ล้านคนทั่วโลก มีวิดีโอที่เกี่ยวกับ Zippo 34,000 รายการบน YouTube ผู้ติดตามโซเชียลมีเดียมากกว่าสองล้านคน และผู้ใช้แอปพลิเคชัน Zippo บน iPhone มากกว่า 18 ล้านคน 

ปัจจุบันมีพิพิธภัณฑ์ / ร้านค้า บนพื้นที่กว่า 15,000 ตารางฟุต ตั้งอยู่บนถนนไม่ห่างจากโรงงานผลิตดั้งเดิมของ Zippo ซึ่งมีผู้เยี่ยมชมหลายพันคนจากทั่วโลกในทุก ๆ ปี และ ในปี 2012 แบรนด์ได้เฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ด้วยการผลิตไฟแช็คครบ 500 ล้านชิ้น ของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่

พิพิธภัณฑ์ของ Zippo ที่เมืองแบรดฟอร์ด
พิพิธภัณฑ์ของ Zippo ที่เมืองแบรดฟอร์ด

ต้องบอกว่า Zippo เป็นแบรนด์อเมริกันที่เป็นอันหนึ่งในใจของทุกคนจริง ๆ ซึ่งมาจากคุณภาพการผลิตที่มีมาตรฐาน โดยไฟแช็คใน ๆ ทุกชิ้นก็ยังคงได้รับการตรวจสอบคุณภาพก่อนออกจากโรงงานผลิต ด้วยมาตรฐานสูง มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของบริษัท

และสิ่งสำคัญอีกอย่างนึงของเหล่าพนักงานของ Zippo ก็คือ พวกเขานั้นอยู่กันแบบบรรยากาศในครอบครัว เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่มีพนักงานหลายช่วงอายุ ซึ่งเหล่าพนักงานที่มีประสิทธิภาพเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นพนักงานที่มีความสามารถในการผลิตทดสอบและซ่อมไฟแช็คในอันดับต้น ๆ ของอเมริกา 

ณ ปัจจุบัน Zippo ยังไม่แสดงสัญญาณของการชะลอตัวลงของการเติบโตของพวกเขาเลย มีการผลิตสินค้ามากกว่า 12 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งจากเรื่องราวทั้งหมดนี้ ก็ยืนยันได้ว่ารูปแบบและการวางรากฐานดั้งเดิมของ Blaisdell ผู้ก่อตั้ง ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนนั้น ยังคงมีความมั่นคง และคงคุณภาพแบบแนวคิดตั้งต้นของ Blaisdell ที่ได้สร้างไฟแช็คที่มาตรฐานสูง ไม่เปลี่ยนแปลง มาจวบจนถึงปัจจุบันอย่างที่เราได้เห็นนั่นเองครับ

References : https://www.z-republic.com/history-great-brand-zippo-lighter/ https://hiconsumption.com/the-complete-history-of-the-zippo-lighter/ https://en.wikipedia.org/wiki/Zippo https://www.zippo.com/pages/then-now

World of Warship ด้วยกัปตันเรือ AI

คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยที่จะพูดได้ว่า หากเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ขึ้นมาจริง ๆ มนุษย์ คงไม่ได้รบกับมนุษย์ด้วยกันเอง เหมือน สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 อย่างแน่นอน สงครามครั้งใหม่หากเกิดขึ้นจริง ๆ นั้น AI จะเข้ามามีส่วนร่วมในการรบในหลายรูปแบบ ซึ่งความได้เปรียบของแต่ละชาติ ไม่ใช่เพียงแค่มีกองกำลังที่มากกว่าเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต อีกต่อไป

ข่าวล่าสุดจาก BAE Systems ผู้พัฒนา อาวุธยุทโธปกรณ์ ที่เกี่ยวข้องกับเรือรบนั้น ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ โดยจะให้กัปตัน นั้นสามารถบังคับเรือรบ ได้บนแผ่นดิน ผ่านเทคโนโลยี Augmented Reality (AR)  ร่วมกับ AI

โดยราคาของตัว Remote Access ตัวนี้นั้น อยู่ที่ประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ หากเรือรบลำใดที่ต้องการจะติดตั้งระบบดังกล่าว

ซึ่งโปรเจคดังกล่าว จะทำการย้าย command rooms จากภายในเรือรบที่ออกแล่นไปในทะเล ย้ายมาบังคับกันบนฝั่ง คล้าย ๆ การขับโดรน ของกองทัพอากาศ  ที่เราได้เห็นการใช้งานจริงมาแล้วในกองทัพสหรัฐอเมริกา

ซึ่งการย้ายมาบนฝั่ง นั้น จะทำให้ลดความเสี่ยง ต่อลูกเรือ ในระหว่างการรบจริง ๆ  โดยสามารถที่จะเข้าถึงการบังคับในทุก ๆ ส่วนของเรือ ผ่าน Augmented Reality (AR)

ซึ่งส่วนของ AI นั้นก็จะมาช่วยเหลือในการตัดสินใจให้ ทำได้เร็วมากยิ่งขึ้น ผ่านระบบการแนะนำโดย AI ซึ่งมีการ Learning จากแผนการรบในอดีตมาแล้ว รู้ถึงจุดแข็งจุดอ่อน ของกลยุทธ์การรบในแต่ละวิธี ทำให้มีโอกาสชนะข้าศึกสูงกว่าการตัดสินใจโดยกับตันเรือที่เป็นมนุษย์

จะเกิดอะไรขึ้นกับสงครามยุคต่อไป

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้นำการรบในอนาคต จะกลายมาเป็น AI ที่คอย วิเคราะห์แผนการรบที่ดีที่สุด ก่อนที่จะส่ง อาวุธ หรือ ทหารเข้าไปรบ จริง ๆ มันคงไม่เกิดเหตุการณ์แบบสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างที่อ่าว omaha beach ในวัน D-Day ของสงครามโลกครั้งที่ 2  ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการวางแผนการรบที่ผิดพลาดของ เหล่าเสนาธิการทหารฝ่ายพันธมิตร

ความสูญเสียอย่างมากมายที่ omaha beach ส่วนนึงจากการผิดพลาดของการวางแผนการรบ

ความสูญเสียอย่างมากมายที่ omaha beach ส่วนนึงจากการผิดพลาดของการวางแผนการรบ

การผิดพลาดดังกล่าวนั้น ทำให้เสียกำลังพลไปอย่างมากมาย ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ในอนาคตนั้น หากมีการวิเคราะห์ผ่าน AI หรือ Machine Learning  โดยการ Training Data ที่ดีมากพอ สุดท้าย Strategy ที่ดีที่สุดในการรบนั้น ก็ไม่ได้มาจากสมองมนุษย์อย่างเราๆ  แน่นอน นายพล AI จะเป็นคนสั่งการมนุษย์เองว่าให้รบยังไง ถึงจะชนะสงครามได้

References : sputniknews.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

 

 

 

Movie Review : The Imitation Game

Review
เป็นหนังที่ผมคาดหวังไว้ค่อนข้างสูงเหมือนกันสำหรับเรื่องนี้ เนื่องจากชอบผลงานโดยส่วนตัวของ Benedict Cumberbatch ชอบบทบาทของเค้าในหลาย ๆ เรื่องในช่วงหลัง ๆ โดยเฉพาะการรับบท Juliam Assange ใน The fifth Estate สำหรับ The Imitation Game นั้นเป็นหนึงในหนัง Series Oscar 2015 ของผม ที่ได้พยามยามไล่ดูให้หมด

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กล่าวถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Hitler ขยายอำนาจไปทั่วทั้งยุโรป และ key สำหรับอย่างหนึ่งที่ใช้ในการชนะสงครามครั้งนี้คือ การถอดรหัสของ Enigma machine ที่ทางเยอรมันใช้ในการสื่อสารโดยการเข้ารหัสเพื่อสั่งการรบไปยังจุดต่าง ๆ ทั่วยุโรป ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีเครื่อง Super Computer เหมือนสมัยนี้ทำให้การ Break ชุดรหัสที่ได้ทำการ Encrypt ไว้นั้นยากมาก ๆ สำหรับในสมัยนั้น

โดยส่วนตัวจะชอบหนังที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองเป็นทุกเดิมอยู่แล้ว ไล่ดูมาแทบทุกเรื่องซึ่งมีการเล่าในมุมที่แตกต่างกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หยิบ เรื่องของการถอดรหัส Enigma Machine มาเล่าโดยผ่านตัวละครอย่าง Alan Turing ที่รับบทโดย Benedict Cumberbatch เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถอดมาจากเรื่องจึง จึงเหมือนเป็นการเล่าประวัติของ Alan Turing ตั้งแต่เด็ก ๆ จนเรียนมหาลัย โดยตัดฉากกลับมาในยุคปัจจุบัน (ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2) หนังสามารถดำเนินเรื่องได้ดีพอควร มีในส่วนของ Drama เข้ามาเพื่อสร้างสีสันให้กับหนัง  โดยรวมก็ถือได้ว่าเป็นหนังสงครามโลกที่น่าประทับใจเรื่องนึงเลยทีเดียว

เก็บตกจากหนัง

  • การ Break Enigma Machine ได้นั้นถือว่าเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่ทำให้ สัมพันธมิตรสามารถชนะสงครามได้
  • หนังมีการเล่าเรื่องสลับไปมาระหว่างอดีต กับ ปัจจุบัน (สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2)
  • เราจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนั้นเหล่า hacker สามารถ break ตัว encryption ต่าง ๆ ได้บ่อย ๆ ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก

 

ระดับความมันส์

7/10

 

สรุป
“เป็นหนังสงครามโลกครั้งที่สองที่น่าจะหามาดูครับ”