ลักเซมเบิร์ก ประเทศแรกที่ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะใช้ฟรี

ลักเซมเบิร์ก จะกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ให้บริการขนส่งสาธารณะทุกอย่างฟรี ซาเวียร์ เบ็ทเทลนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ และพรรคร่วมรัฐบาลประกาศว่าพวกเขาตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยให้ประชาชนมาใช้บริการขนส่งสาธารณะที่รัฐบาลจะให้ใช้ฟรี ซึ่งการออกนโยบายใหม่นี้ทางรัฐบาลหวังว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรที่ติดขัดที่สุดในโลกประเทศหนึ่งได้

ลักเซมเบิร์ก มีผู้ใช้บริการกว่า 400,000 คนที่เดินทางมาทำงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ในปีนี้ลักเซมเบิร์กเริ่มให้บริการรถรับส่งฟรีแก่ทุกคนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี รวมถึงนักเรียนระดับมัธยมศึกษาสามารถนั่งรถรับส่งฟรีระหว่างโรงเรียนและที่บ้านได้ ปัจจุบันลักเซมเบิร์กมีจำนวนรถยนต์สูงสุดเมื่อเทียบกับอัตรส่วนประชากรในสหภาพยุโรป

ตามรายงานของเดอะการ์เดียน ในขณะนี้เหล่าผู้เดินทางต้องจ่ายเงิน 2 ยูโรสำหรับการเดินทาง ซึ่งครอบคลุมการเดินทางเกือบทั้งหมดในประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ โดยทางรัฐบาลได้กล่าวว่ามีแผนที่จะปรับปรุงการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้สัญจรไปมา ซึ่งจะคำนวณตามระยะทางที่ใช้ในการเดินทาง โดยในปี 2020 ตั๋วทั้งหมดจะถูกยกเลิกเพื่อประหยัดในการเก็บค่าโดยสารและการตรวจสอบการซื้อตั๋วนั่นเอง

References : 
https://www.archdaily.com/908252/luxembourg-becomes-first-country-to-make-all-public-transit-free

ไม่มีสัจจะในหมู่ XXX

หลังจากข่าวการ Confirm การตอบรับเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐของ ภูมิใจไทย ทำให้กระแสใน Social Network เทมาด่าพรรคภูมิใจไทยกันเป็นขบวนนะครับ เนื่องจากวาจาที่เคยลั่นไว้ก่อนการเลือกตั้งต่างๆ  นา ๆ ว่าจะไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจและจะไม่ร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐอย่างแน่นอน

ซึ่งท่าทีล่าสุดของพรรคภูมิใจไทยถือเป็นการแสดงความชัดเจนครั้งแรก เพราะหลังจากการเลือกตั้งที่ผ่านมากว่า 3 เดือน พรรคภูมิใจไทยไม่เคยให้ความชัดเจนเลยว่า จะร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคใด

แม้เคยกล่าวไว้ว่าจะให้คำตอบเมื่อวันที่ 9 พ.ค. เพื่อรอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อย่างเป็นทางการก่อน แต่เมื่อถึงกำหรดวันดังกล่าวก็ไม่มีท่าทีใดๆ และบอกว่ารอให้ถึงปลายเดือนพฤษภาคม ก่อนการประชุมสภา แต่แล้วก็ยังเงียบ จนกระทั่งในวันนี้ ที่มีการประกาศเลือกข้างอย่างชัดเจน ไม่ให้ผู้คนสงสัยกันอีกต่อไป

แม้คะแนนเสียงของพรรคภูมิใจไทย จะได้ระดับกลาง ๆ 50 กว่าเสียงเท่า ๆ กันกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ต้องบอกว่าสองพรรคนี้ ในการเลือกตั้งครั้งเรียกได้ว่ามีอำนาจต่อรองล้นเหลือในมือ เนื่องจากรวมกันก็ร้อยกว่าเสียง ไม่ต่างจากพรรคที่ได้ชัยชนะอย่างเพื่อไทย หรืออันดับสองอย่างพลังประชารัฐเลย

มันคือเกมส์การต่อรองทางการเมืองที่สนุกที่สุดครั้งนึงเลยก็ว่าได้สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการหักเหลี่ยม เฉือนคมกันเอง แม้กระทั่งภายในพรรคตัวเองก็ยังมีให้เห็น ต้องเรียกได้ว่า การเมืองนั้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์แทบจะทั้งสิ้น

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อเรื่องการอ้างของเหล่านักการเมืองทั้งหลาย ที่บอกว่าเข้ามาทำประโยชน์เพื่อประชาชน เพราะปัญหาใหญ่คือ เมื่อเข้าสู่การเมืองนั้น ขาข้างนึงก็ได้เข้าสู่ผลประโยชน์ที่มีมากมายมหาศาล จากงบประมาณแผ่นดิน ที่พวกเราเสียภาษีกันไปทั้งนั้น ซึ่งมันหอมหวนเสียจนทำให้คนดี ๆ หลายคนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือมานับต่อนับแล้ว

เพราะฉะนั้น เรื่องสัจจะวาจาในเหล่านักการเมืองนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราได้เห็นบทเรียนมานับต่อนับแล้วจากในอดีตที่ผ่านมาว่า คำพูด ของเหล่านักการเมืองนั้น เป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ไม่มีคำว่าสัจจะในมวลหมู่นักการเมืองนั่นเองครับผม

Image References : https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2019/03/%E0%B8%A0%E0%B8%9B-7%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84.jpg

เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เอาอีกแล้วเหรอ

ยอมรับอย่างสัจจริง ผมไม่ชอบนโยบายนี้เลย กับนโยบาย ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนจะนำมาเป็นนโยบายก็ตาม มันไม่ได้ช่วยเหลือค่าครอบชีพให้ชาวแรงงานเลยแม้แต่นิดเดียว มันกลับกลายเป็นทำให้ค่าครองชีพเราสูงขึ้นโดยใช่เหตุไปเปล่า ๆ ผมยังจำได้ดีกับการขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทในยุคสมัยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันไม่คุ้มเลยกับการขึ้นค่าแรงเพียงน้อยนิด ซึ่งแลกกับการขึ้นค่าครองชีพอย่างมโหฬาร อย่างเห็นได้ชัดเจน

นโยบา่ยนี้ มองเผิน ๆ เหมือนจะเป็นสิ่งที่ดี ชาวแรงงานจะได้รับผลประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่เปล่าเลยคนที่ฉกฉวยผลประโยชน์จากนโยบายแบบนี้กลับกลายเป็นพ่อค้าแม่เค้า ต่างหากที่จ้องที่จะขึ้นราคาข้าวของต่าง ๆ ทันที หากนโยบายแบบนี้ผ่านไปได้ ครั้งที่แล้วที่ขึ้นมาแบบยกแผง 300 บาทนั้น ทำให้ผลกระทบตกกับอาชีพอื่นๆ  ที่รายได้ไม่ขึ้นตาม % ที่ขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งบริษัทปรกตินั้นก็ขึ้นเงินเดือนไม่เกิน 6-10% ของฐานเงินเดือน แต่การที่ปรับค่าแรงขึ้นแบบ 30-50% นั้น กลายเป็นค่าครองชีพขึ้นไปทันที 30-50% เช่นกัน

ถ้ามองกันให้ดีชาวแรงงานก็แทบจะไม่ได้ขึ้นอะไรกับเค้า เพราะแลกกับการซื้อข้าวของที่แพงขึ้น แต่ คนที่ประกอบอาชีพอื่นนั้นได้รับผลกรรมตามไปด้วย เพราะต้องแบกรับค่าครอบชีพ ที่สวนทางกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่ทันกับค่าครองชีพ และการที่บอกว่าทางพาณิชย์ จะควบคุมราคานั้น ก็ไม่เคยเห็นผลสำเร็จของการควบคุมราคาเลย ผมคิดว่า พ่อค้าแม่ค้านั้นได้ขึ้นราคาข้าวของนำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเราทุกคนก็ต้องทำใจยอมรับมัน เมื่อค่าแรงขึ้น

แต่รอบนี้ที่เห็นการมาเรียกร้องแบบขึ้นค่าแรง เพิ่มกว่า 100% หรือ 2 เท่าของค่าแรงเดิมนั้น เป็นผลที่จะตามมาน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะ ข้าวของต่าง ๆ ผมคิดว่าเค้าจะขึ้นราคาแน่นอน อาจจะไม่ถึง 100% แต่คิดว่าต้องขึ้นมามากพอสมควร เพราะมันมักจะมากับนโยบายแบบนี้เสมอไป ซึ่งไม่คุ้มเลย เดี่๋ยวการทานข้าวตามสั่งทั่วไป ก็ขึ้นมาระดับ 40-50 บาท แล้วทั้งนั้น จะเห็นได้ว่า effect จากนโยบายนี้นั้น เป็นผลกระทบที่กว้างขวางมากเกินกว่าที่ชาวแรงงานจะเข้าใจได้ ซึ่งเปรียบได้กับการที่อยู่ดี ๆ เงินเดือนที่มีอยู่ก็ลดลงไปเฉย ๆ นั่นเอง ในทุก ๆ อาชีพ

ความจริงนโยบายแบบนี้ควรกำหนดกฏหมายที่ชัดเจน ในเรื่องการขึ้นค่าครองชีพ ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ได้ผลกับชาวแรงงานจริง ๆ ว่ารายได้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ว่า รายได้เพิ่มขึ้น แต่ไปซื้อของที่แพงขึ้น ซึ่งความเป็นอยู่ก็คงไม่ต่างจากเดิมมากนัก  ซึ่งลองย้อนกลับไปก่อนที่จะขึ้นค่าแรงเป็น 300 ผมมองว่า เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ แม้รายได้จะไม่เยอะ แต่เรามีคุณภาพชีวิต ที่ดีกว่านี้อย่างแน่นอน

Image Ref : https://www.facebook.com/MatichonOnline/

เมื่อธุรกิจต้องเจ๊งเพราะเสียภาษีตามกฏหมาย

ได้มีโอกาสอ่านกระทู้ใน pantip ที่มีท่านเจ้าของธุรกิจท่านหนึ่งมา post ไว้ ในกระทู้ “ธุรกิจผมกำลังจะเจ๊งเพราะทำตามกฏหมาย” แล้วก็สะเทือนใจกับวัฒนธรรมทางด้านการเสียภาษีของคนไทยเป็นอย่างมากปรกตินั้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐเก็บนั้นมักจะได้จากห้างร้านหรือธุรกิจที่มีการจดทะเบียนอย่างถูกกฏหมาย โดยเฉพาะเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง 7eleven , Macro , Lotus , Big C หรือห้างใหญ่ ๆ ทั่วฟ้าเมืองไทยเราก็สามารถจัดเก็บภาษีจากส่วนตรงนี้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย คิดว่าคงจะหลีกเลี่ยงได้ยากสำหรับธุรกิจที่มีขนาดใหญ่และจดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย

ในกระทู้ นั้นแสดงให้เห็นว่า เจ้าของกระทู้นั้นพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องตามกฏหมายโดยเจ้าของกระทู้เปิดร้านค้าส่งขายของ ซึ่งต้องมีการตัดราคากันค่อนข้างสูง และ ตัวเลข margin กำไรนั้นค่อนข้างน้อย เมื่อตัวเองโดนสรรพากรบังคับให้จ่ายค่าภาษีมูลค่าเพิ่มก็ทำให้แทบจะไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ทันที

โดยที่สรรพากรนั้นทำการสุ่มตรวจโดยไม่บังคับใช้กับทุก ๆ ร้านที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับร้านของเจ้าของกระทู้ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งได้อีกต่อไปเนื่องจาก Vat 7% ที่เป็นต้นทุนที่ต้องแบกรับเพิ่มเติม ซึ่งนี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของความไม่เท่าเทียมของสังคมไทยในเรื่องการเสียภาษี  ซึ่งมีคนที่ได้ประโยชน์จากตรงจุดนี้เป็นจำนวนมาก

ถ้าเรามองพิจารณากันให้ละเอียดจะพบว่า หากรัฐบาลสามารถเก็บภาษีตามกฏหมายได้ทุกบาททุกสตางค์ จากทุกกลุ่มชนชั้นในประเทศไทย ตัวอย่างเช่น พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ หรือ รถเข็นขายของต่างๆ

เหล่าหาบเร่แผงลอย ที่บางคนรวยเป็นเศรษฐี

เหล่าหาบเร่แผงลอย ที่บางคนรวยเป็นเศรษฐี

ซึ่งตรงส่วนนี้นั้น มีมูลค่ามหาศาลในระบบเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะ ในห้างใหญ่ ๆ เท่านั้นที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ความจริงถึงเวลาที่เราต้องมาเก็บเงินภาษีจากส่วนนี้ให้จริงจังได้แล้วเสียที ไม่ควรที่จะมีมาตรการลดหย่อน เพราะเป็นการเอาเปรียบผู้เสียภาษีคนอื่นๆ  มาโดยตลอด

ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่าหากเราสามารถเก็บได้หมดนั้น เดิมทีที่เราสามารถเก็บภาษีเข้ารัฐเพื่อมาใช้เป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศจากประมาณ 2 ล้านล้าน บาท อาจจะเพิ่มกลายเป็น 3-4 ล้านล้าน บาทเลยก็ได้ทำให้ประเทศเราสามารถพัฒนาไปได้อีกเยอะ จะสร้างรถไฟความเร็วสูงก็อาจจะไม่ต้องกู้เงินมาก็ได้

เราแค่ตามเก็บภาษีจากทุกคนให้เสมอภาคกัน รัฐก็จะได้ทั้งภาษีเงินได้จาก Vat และ ภาษีเงินได้บุคคล หรือ นิติบุคคล ที่รายย่อยทั้งหลายต้องเข้าสู่ระบบที่ถุกต้องตามกฏหมาย ผมมองว่าประเทศเราคงพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้อีกมากหากสามารถสร้างความเท่าเทียมกันทางด้านภาษีนี้สำเร็จ

Img Ref : prosoftmyaccount.com
References : http://m.pantip.com/topic/34266620

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol