กำไรที่แท้จริงของ Amazon.com

ต้องบอกว่า bill gate นั้นเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ที่มีสถิติยาวนานที่สุดเลยก็ว่าได้ คือรวยมาตั้งแต่เปิดบริษัท Microsoft ได้ไม่นาน เค้าก็ก้าวขึ้นสู่บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเนื่องจาก Windows นั้นเป็นระบบปฏิบัติการหลักของคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ซึ่ง ในช่วงแรกนั้นกิน Market Share กว่า 90%

แม้จะวางมือมานาน แต่เนื่องจากปริมาณหุ้นที่ Bill Gate ถือค่อนข้างมาก ซึ่งช่วงแรก ๆ นั้น Bill Gate ไม่ได้แบ่งหุ้นไปให้นักลงทุน เหมือนกิจการใหม่ ๆ อย่าง facebook , google  ที่หุ้นได้ถูกกระจายไปยังนักลงทุนมากมาย เพื่อให้กิจการสามารถเติบโตได้ ซึ่งต่างจาก Bill Gate ที่มีมูลค่าหุ้นจำนวนสูงมากอยู่ก็ทำให้เค้าสามารถครองตำแหน่งผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในหลาย ๆ ปีทีผ่านมา

ส่วน Jeff Bezos นั้นมาจากไหน ทุก ๆ คนน่าจะรู้จัก Amazon.com เป็นอย่างดีที่สามารถครองใจขาช็อป ออนไลน์ ชาวอเมริกัน ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

Jeff Bezos นั้นเริ่มต้น amazon.com ในช่วงยุค ปี 1997 ซึ่งถือเป็นคลื่น internet ยุคแรก ๆ ที่สามารถสร้างบริษัท ให้ยืนยงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันได้ ซึ่งตอนแรกนั้น Bezos ตั้งใจทำแค่ร้านหนังสือ online เท่านั้น แต่เนื่องจาก model ดังกล่าวสามารถทำซ้ำกำสินค้าชนิดใดก็ได้ จึงเป็นที่มาของ Amazon.com ที่ขายสินค้าแบบสากเบือ ยัน เรือรบ  หาทุกอย่างได้จาก Amazon.com แม้กระทั่งสินค้าในตลาดสด ก็สามารถซื้อได้จาก Amazon

แต่ช่วงแรก ๆ ของ Amazon ก็ยังไม่สามารถทำกำไรได้ อาศัยเงินจากนักลงทุนเพื่อมาอัด แคมเปญ กระตุ้นยอดขาย และสร้าง Promotion ให้กับลูกค้าจนติดใจ ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างพฤติกรรมให้กับลูกค้า ที่แต่เดิมนั้นต้องไปซื้อของตามห้าง สรรพสินค้า

ซึ่งตอนนี้ บรรดาห้างร้านต่างๆ  ของอเมริกา ก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้กันแล้วเนื่องจากโดน amazon กิน market share ไปหมด เพราะได้ของที่ราคาถูกกว่า และไม่ต้องเดินทางให้เปลืองค่าใช้จ่าย สั่ง online ของมาส่งตรงถึงหน้าบ้าน ซึ่งพฤติกรรมนี้ คนไทยก็น่าจะเริ่มปรับเปลี่ยนหลังจากการเข้ามาของ Lazada.com ที่แทบจะเลียนแบบ model เดียวกับ Amazon.com มาใช้ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แต่ทว่า แม้ Amazon จะดำเนินกิจการมาถึง 20 ปี ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ขายเฉพาะหนังสือ ตั้งแต่ ปี 1997 นั้น ส่วนของ Ecommerce ของ Amazon.com นั้นไม่สามารถทำกำไรได้เลย   โดยเพิ่งจะสามารถทำกำไรในช่วงไม่กี่ปีหลังเท่านั้น เนื่องจากสงคราม Ecommerce ที่ร้อนระอุ ต้องใช้เงินทุกมหาศาลเป็นจำนวนมากในการ Subsidize ราคา เพื่อให้ถูกกว่าคู่แข่ง แลกกับจำนวนฐานลูกค้าในมือ ที่เพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็ว รวมถึงการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลกลายเป็นบริษัท top ของโลก ที่มีหลายได้มากกว่าแสนล้านเหรียญต่อปี

แต่หากมามองที่กำไรกันแล้วนั้น เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า Amazon มีกำไรจากการทำ Ecommerce น้อยมาก ๆ กำไรแทบจะปริ่ม ๆ แม้กระทั่งในอเมริกาเองที่บริษัทสามารถผูกขาดได้แล้ว ก็ยังไม่สามารถทำกำไรได้อย่างมากมายอย่างที่คิด แต่กลับกลายเป็นว่า หน่วยธุรกิจ ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก อย่าง AWS นั้น ที่ทำ Cloud Data Center รวมถึง Cloud Service ที่มี Developer ใช้งานอยู่ทั่วโลกนั้น เป็นตัวทำกำไรให้กับ Amazon มากกว่าธุรกิจหลักอย่าง Ecommerce

จากผลประกอบการในปี 2016 นั้นจะเห็นได้ชัดเจนว่า AWS ทำกำไรได้ถึง สามพันกว่าล้านเหรียญ จากรายได้ที่มีเพียง หมื่นสองพันล้านเหรียญ เท่านั้น ต่างจาก ธุรกิจหลักอย่าง Ecommerce ถ้ารวมถึงในระดับ International ด้วยนั้น จะเห็นได้ว่า รวมแล้วสามารถทำกำไรได้เพียง หนึ่งพันกว่าล้านเหรียญเท่านั้น ทั้งที่มีรายได้กว่าแสนล้านเหรียญ ส่วนนี้เป็นจุดที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า amazon จะทำกำไรเพิ่มจาก ธุรกิจ Ecommerce ได้อย่างไร

แม้ว่าตลาดอเมริกานั้นจะครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยังไม่สามารถทำกำไร ได้เท่าที่ควร คิดว่าคงเป็น model ระยะยาว จากฐานลูกค้าที่มีมหาศาลมากกว่า ที่อาจจะสร้างรายได้ รวมถึงกำไรในระยะยาวให้กับ Amazon ได้ จึงเป็นที่ตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก จากผลประกอบการล่าสุด ที่สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นได้จากปีที่แล้ว ทำให้หุ้นขึ้นมาจนทำให้มูลค่าหุ้นของ Jeff Bezos นั้นกลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกแทน Bill Gate ไปในที่สุด

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol