ประวัติ Jho Low ตอนพิเศษ : The Fall of Najib Razak

ในช่วงปลายเดือนเมษายน ปี 2018 เป็นเวลาที่ชาวมาเลเซียรอคอย เพราะนั่นเป็นการนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งครั้งสำคัญของประเทศมาเลเซีย เหลือเพียงแค่ 11 วัน ที่จะมีการเลือกตั้งระดับประเทศครั้งสำคัญของมาเลเซีย

มันเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 14 ของประเทศมาเลเซีย ที่สถานการณ์ในตอนนั้น มีผู้สมัครจากพรรคหลัก ๆ อยู่สองพรรค คือ กลุ่มพรรคแนวร่วมรัฐบาลแห่งชาติ หรือ “BN” ที่สนับสนุน Najib Razak และ กลุ่มแนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน “ปากาตัน ฮาราปัน” หรือ PH ที่นำโดยอดีตนายกมหาเธร์ โมฮัมหมัด

ซึ่งต้องบอกว่า พรรคแนวร่วมรัฐบาล หรือ “BN” นั้น เป็นพรรคเก่าแก่ที่นำโดย UMNO ที่มีนายกรัฐมาตรี Najib Razak เป็นแกนนำหลัก พวกเขาไม่เคยแพ้การเลือกตั้ง มาตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ

แต่เรื่องราววุ่น ๆ ของศึกแย่งชิงอำนาจครั้งนี้มันก็เกิดขึ้นตั้งแต่ การยื่นใบสมัครเพื่อรับการเลือกตั้ง เทียน ฉัว ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำของพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน PH ซึ่ง ถูกปฏิเสธการสมัครเข้าเลือกตั้ง เนื่องจากปัญหาด้านเอกสาร ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีการสกปรก ที่รัฐบาลที่มีอำนาจอยู่ในตอนนั้นใช้เล่นงานพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน

และเมื่อถึง 9 วันก่อนการเลือกตั้ง ได้มีการหาเสียงไปทั่วทั้งประเทศมาเลเซีย มีการจัดเตรียมป้ายหาเสียงมากมาย ในหัวเมืองใหญ่ ๆ หลาย ๆ เมืองของมาเลเซีย แต่ดูเหมือน คณะกรรมการการเลือกตั้งของมาเลเซียนั้น จะวางตัวไม่เป็นกลาง เมื่อสั่งให้พรรคแนวร่วมฝ่ายค้านดึงป้ายหาเสียงออก โดยใช้อำนาจเพื่อสั่งการให้ทำลายป้ายหาเสียงของคู่แข่ง โดยเฉพาะป้ายที่มีรูปของอดีตนายกมหาเธร์ นั้น จะถูกกรีดนำรูปหน้าของมหาเธร์ออกไป

พรรคแนวร่วมฝ่ายค้านหาเสียงแบบเต็มที่ แม้จะถูกกีดกันใด ๆ จากอำนาจรัฐ
พรรคแนวร่วมฝ่ายค้านหาเสียงแบบเต็มที่ แม้จะถูกกีดกันใด ๆ จากอำนาจรัฐ

และการแข่งขันระหว่างทั้งสองแนวร่วมนั้น ก็ดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ เหล่าผู้นำของพรรคนั้น ต้องลงไปตามเขตเลือกตั้ง เพื่อทำการหาเสียงให้กับผู้สมัครของพวกเขา Najib Razak นั้นยังเชื่อมั่นในตัวเองว่าด้วยบุคลิกส่วนตัวของเขา จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของพรรคดีขึ้น แม้เรื่องของ 1MDB จะฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแล้วก็ตามที แต่เหล่าสาวกของเขา ก็ยังเชื่อมั่นในตัว Najib อยู่

ฝั่งของ มหาเธร์ นั้นก็ออกมาปราศัยเพื่อต้องการให้ประเทศเปลี่ยนแปลงเสียที โดยกล่าวหา Najib ว่าเป็นผู้นำที่ไม่ได้ต่อสู้เพื่อประเทศ เหมือนผู้นำคนอื่น ๆ ในอดีตที่ผ่านมา แต่ล้วนเป็นการต่อสู้เพื่อทรัพย์สินของตัวเองแทบจะทั้งสิ้น ซึ่งมหาเธร์ นั้นต้องการแสดงความรับผิดชอบเพราะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ Najib ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี

และเพียงแค่ 8 วันก่อนการเลือกตั้ง ทาง กกต ของมาเลเซียก็ได้ทำเรื่องเซอร์ไพรซ์อีกครั้งด้วยการประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันพุธที่ 9 พฤษภาคม ปี 2018 ซึ่งปรกติการเลือกตั้งในวันพุธมันแทบจะไม่มีประเทศไหนจัดขึ้นอยู่แล้ว เพราะเป็นวันทำงานปรกติ มันเป็นเกมการเมืองของฝ่ายมีอำนาจที่ไม่ต้องการให้คนมาลงคะแนนเสียงเยอะ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าประชาชนชาวมาเลเซีย นั้นไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และพวกเขาต้องทำบางอย่างเพื่อโต้ตอบ

เหล่าประชาชนชาวมาเลเซีย รู้สึกว่ากำลังถูกท้าทาย พวกเขารู้สึกโกรธแค้น การกระทำของเหล่าผู้ที่มีอำนาจ พวกเขาต้องหยุดงาน แน่นอนว่าบางคนไม่มีเงินพอที่จะกลับบ้านเพื่อไปเลือกตั้งเสียด้วยซ้ำ

ในสังคมออนไลน์ มีแต่คนก่นด่า เรื่องดังกล่าว ที่มาจัดการเลือกตั้งในวันทำงาน และเป็นวันพุธ ซึ่งไม่ใกล้กับวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ดูเหมือนว่า Najib กำลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจกลับมา เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาแพ้ในรอบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในเรื่อง 1MDB จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอย่างแน่นอน

ซึ่งประชาชนชาวมาเลเซีย ต้องการให้ประเทศเปลี่ยน พวกเขาจึงได้เปิดกองทุนขอรับเงินบริจาคผ่าน Social Media เพื่อไปมอบให้กับผู้ที่ขัดสน ที่จะใช้ในการเดินทางกลับบ้านเพื่อไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งนี้ให้ได้ ซึ่งเมื่อแคมเปญดังกล่าวสิ้นสุดลง การระดมทุนครั้งนี้ ช่วยให้ชาวมาเลเซีย 2,800 คนได้กลับบ้านเพื่อไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

เทียน ฉัว หลังจากที่เขาถูกปฏิเสธลงสมัครรับการเลือกตั้งในครั้งแรก แล้วผิดหวัง เขาจึงได้ขอยื่นอุธรณ์ ต่อศาลสูงสุดของมาเลเซีย แต่ก็ถูกปฏิเสธว่าไม่ใช่เขตอำนาจของศาลที่จะตัดสินเรื่องดังกล่าว สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจที่หันไปสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคอิสระแทนเพื่อไม่ให้คะแนนเสียงของเขานั้นตกไปอยู่กับพรรคแนวร่วมรัฐบาลแห่งชาติของ Najib Razak

แน่นอนว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเรื่องราวของ 1MDB ก็กำลังฉาวโฉ่อยู่พอดี ซึ่ง Najib นั้นได้ตั้ง Arul Kanda ขึ้นมาเป็น CEO ของกองทุน 1MDB และให้เขาช่วยทำการกลบเกลื่อนร่องรอยของกองทุน 1MDB ที่หลุดฉาวโฉ่ออกมา

ในช่วงเลือกตั้งนั้น Arul Kanda ได้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วทั้งประเทศมาเลเซีย เพื่ออธิบายความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติหรือ 1MDB รวมถึงโจมตีพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม แต่สถานที่ส่วนใหญ่ที่ Arul Kanda ไปนั้น ต่างถูกประชาชนโห่ไล่

ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2018 สองวันก่อนการเลือกตั้ง มีการประท้วงเกิดขึ้นตามเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีประชาชนชาวมาเลเซียอาศัยอยู่ เมื่อบัตรเลือกตั้งของพวกเขายังไม่ส่งมาถึงมือ ทั้งที่การเลือกตั้งจะจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า ซึ่งชาวมาเลเซียในต่างประเทศ กล่าวหา กกต. ว่าตั้งใจส่งบัตรเลือกตั้งล่าช้า

ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาเหล่านี้ ต่างกังวลว่า บัตรเลือกตั้งที่ได้รับล่าช้านั้น เมื่อเขาส่งบัตรกลับไปจะถึงทันเวลาหรือเปล่าเพราะเหลือเพียงแค่ 2 วันก็จะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่ของประเทศแล้ว

ซึ่งต้องบอกว่า การที่จะส่งคะแนนเสียงของพวกเขาให้ไปถึงได้ทันเวลานั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ๆ ด้วยความที่ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ และประชาชนชาวมาเลเซียตระหนักถึงสิทธิ์ของพวกเขาเป็นอย่างมาก จึงไม่ได้อยากให้มีคะแนนที่เสียไปเปล่า ๆ แม้แต่คะแนนเดียว

สำหรับผู้ที่ได้รับบัตรแล้ว ก็มีบางส่วนยินดีที่จะเดินทางกลับประเทศไปเพื่อพบบรรยากาศการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ และแน่นอนว่า พวกเขายินดีที่จะพาบัตรเลือกตั้งของเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เดินทางมาด้วยนั้น ส่งไปให้ถึงมือของกกต ให้สำเร็จ เพื่อทุกคะแนนเสียงที่มีคุณค่าของชาวมาเลเซียที่มีอยู่ทั่วโลก

ในคืนวันสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง อดีตนายกมหาเธร์ ได้ออกปราศัยครั้งสำคัญ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนชาวมาเลเซียออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เพราะเสียงทุกเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

ฟากฝั่งของ พรรคแนวร่วมแห่งชาติ ของ Najib ก็ขึ้นเวทีปราศัยใหญ่เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมาก ๆ ที่ สีหน้าท่าทางของ Najib นั้นดูท่าทีมีความกังวลเป็นอย่างมาก ดูเหมือน Najib นั้นจะรู้ตัวว่าความนิยมของพรรคตนนั้นเริ่มตามหลัง กลุ่มแนวร่วมพรรคฝ่ายค้านที่นำโดย อดีตนายกมหาเธร์ เสียแล้ว

ในการปราศัยครั้งสุดท้าย Najib พยายามพูดถึงนโยบาย ประชานิยมแบบสุดโต่งเพื่อหวังดึงคะแนนเสียง ไม่ว่าจะเป็น การลดภาษี การยกเลิกค่าทางด่วน และอื่น ๆ อีกมากมายที่ล้วนแล้วแต่เป็นนโยบายประชานิยม แต่กลับกัน การปราศัยครั้งสุดท้ายของอดีตนายกมหาเธร์นั้น พยายามเข้าถึงอารมณ์ของประชาชนเพื่อเอาชนะในศึกที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ให้จงได้

และในที่สุดก็มาถึงวันเลือกตั้งจริง ๆ วันที่ 9 พฤษภาคม ปี 2018 ต้องบอกว่าเป็นบรรยากาศการเลือกตั้งที่ประชาชนชาวมาเลเซียไม่เคยพบเจอมาก่อน เพราะผู้คนต่างหลั่งใหลกันมาเข้าคูหาเลือกตั้ง ในหลาย ๆ คูหานั้น ผู้คนต่อแถวยาวออกไปถึงข้างนอกถนน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครอารมณ์เสียที่จะมารอใช้สิทธิ์การเลือกตั้งครั้งนี้เลย ทุกคนต่างมีรอยยิ้ม และมีความสุข และต่างคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้กำลังจะเปลี่ยนโชคชะตาของประเทศมาเลเซีย

ซึ่งแม้จะมีการร้องเรียนเรื่องการทุจริตเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัตรปลอม หรือ เรื่องการสวมสิทธิ์เลือกตั้ง แต่ต้องบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ มีคนมากมายที่มาเป็นอาสาสมัคร เพื่อสังเกตการณ์ การนับคะแนน เพราะพวกเขาต้องการให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุด และไร้ข้อครหาใด ๆ

ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีประชาชนเข้ามาใช้สิทธิ์กว่า 12 ล้านคน แม้จะเป็นการเลือกตั้งในวันทำงาน แต่ผู้คนต่างหลั่งไหลกันมาลงคะแนนกันอย่างมากมาย และนี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศนี้

หลังจากปิดคูหาเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งก็เริ่มนับคะแนนทันที เมื่อนับคะแนนไปได้ถึงประมาณ 1 ทุ่ม ทุกอย่างมันเหมือนจะดูดีสำหรับ Najib Razak เพราะคะแนนเริ่มออกสตาร์ท แบบนำห่าง แต่พอถึง เวลา 2-3 ทุ่ม พรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน ก็เริ่มที่จะตีตื้น เอาชนะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ประชาชนแห่กันมารวมตัวรอลุ้นผลคะแนน
ประชาชนแห่กันมารวมตัวรอลุ้นผลคะแนน

มีการสลับกับขึ้นนำอยู่ตลอดเวลาของทั้งสองฝั่ง ต้องเรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับการเลือกตั้งของมาเลเซีย ที่พรรคแนวร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรค UMNO นั้นมักจะชนะแบบขาดลอยอยู่เสมอ ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่บีบหัวใจเหล่าประชาชนชาวมาเลเซียอย่างมากในคืนนั้น

แต่หลังจากช่วง 3 ทุ่มครึ่งเป็นต้นไป พรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน ก็คะแนนทิ้งนำห่างออกไปเรื่อย ๆ ส่วนผู้สมัครอิสระที่ เทียน ฉัว ให้การสนับสนุนหลังจากที่เขาหมดสิทธิ์ลงเลือกตั้ง ก็ได้รับชัยชนะ แม้จะเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ที่เป็นเด็กหนุ่มและลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งแรกก็ตามที

ที่ทำการพรรค UMNO ใจกลางเมืองหลวงกรุงกัวลาลัมเปอร์ นั้นดูเงียบเหงา แม้จะมีผู้สนับสนุน Najib อยู่บ้าง แต่ดูเหมือนพวกเขากำลังสิ้นหวัง พวกเขาต่างเฝ้ามองดูผลคะแนนทางโทรศัพท์มือถือ ไม่มีการเฉลิมฉลองใด ๆ เพราะปรกติแล้วพรรค UMNO จะประกาศชัยชนะจากสำนักงานใหญ่ของพรรค ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังแพ้ศึกใหญ่ครั้งนี้

แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็ยังคงไม่ประกาศผลออกไป และพยายามถ่วงเวลาให้มากที่สุด ซึ่งการเลือกตั้งปรกตินั้น ในช่วงเวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม ก็จะมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นสิ่งที่ผิดปรกติอย่างมาก

เหล่าสมาชิกอาวุโสของพรรค UMNO เริ่มมีการไปรวมตัวกันที่บ้านพักของ Najib Razak และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขากำลังประชุมกันเรื่องอะไร ทำให้บรรยากาศตอนนั้นมันน่าอึดอัดมาก ๆ สำหรับประชาชนชาวมาเลเซีย มีข่าวลือแพร่สะพัดว่า Najib จะให้ทหารเข้ามาจัดการไม่ให้พรรคแนวร่วมฝ่ายค้านสามารถตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

ในช่วงดึก ทหารเริ่มออกมา และเมืองปุตราจายา ถูกปิดตาย ถนนสำคัญหลาย ๆ สายถูกปิด มีประชาชนเริ่มออกมาประท้วงให้ประกาศผลการเลือกตั้ง โดยเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน มีผู้คนเริ่มออกมาเดินขบวนประท้วงบนท้องถนนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

มันเป็นการออกมาชุมนุมกันได้ไม่ได้มีการนัดหมาย เพราะประชาชนต่างต้องการรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น และทำไมยังไม่มีการประกาศผลการเลือกตั้งเสียที ซึ่งเมื่อถึงตีหนึ่ง ผลการเลือกตั้งก็ยังคงไม่มีการประกาศออกมา ผู้คนก็เลยสรุปกันเองว่า ชัยชนะในวันนั้นเป็นของพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน ของอดีตนายกมหาเธร์

ผู้คนเริ่มเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีรถสลายการชุมนุมของทหารเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งทหารได้สั่งให้มีการสลายการชุมนุม แต่ด้วยจำนวนประชาชนที่เข้ามามีเยอะมาก ทำให้พวกเขาไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

และเมื่อถึงเวลา 4:40 น. ในเช้าวันถัดไป ในที่สุด คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ได้ออกมาประกาศผลการเลือกตั้งในที่สุด พรรคแนวร่วมฝ่ายรัฐบาล (BN) ของ Najib นั้นได้ตำแหน่งไป 79 ที่นั่ง ส่วนพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านของมหาเธร์นั้นได้ไป 104 ที่นั่ง เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศมาเลเซีย ที่ได้รัฐบาลชุดใหม่ที่ไม่ได้มาจากการนำของพรรค UMNO

และในวันต่อมา ประชาชนชาวมาเลเซีย ต่างมารอพิธีสาบานตนต่อกษัตริย์ของมาเลเซีย เพื่อประกาศให้มีรัฐบาลชุดใหม่ในประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการ แต่ดูเหมือน ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีพิธีสาบานตน ทำให้มีข่าวลือสะพัดมากมาย ว่ารัฐบาลชุดเก่ายังไม่ยอมถอย และอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ ประชาชนต่างออกมารอ และรวมกลุ่มกันทั่วทั้งเมืองหลวงของมาเลเซีย

แต่ในที่สุด เมื่อเวลา 3 ทุ่ม ของวันที่ 10 พฤษภาคม 2018 ผู้นำพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านอย่าง มหาเธร์ โมฮัมหมัด ก็ได้เข้าสู่พิธีสาบานตน เพื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการ และถือเป็นการปิดฉากอำนาจของ Najib Razak ที่มีมาอย่างยาวนาน พร้อมด้วยเรื่องฉาวโฉ่ที่ดังกระฉ่อนไปทั่วโลกในกองทุน 1MDB ไปได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับ

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

เครดิตข้อมูลจาก : iFlix Documentary (บังกิต 11 วันพลิกชาติ)

References Image : https://qz.com/1320081/ex-malaysian-prime-minister-najib-razak-arrested-in-1mdb-corruption-investigation/

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 15 : Out Of Control

ในเดือนมิถุนายนปี 2014 ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี ใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย กรุงเทพ Rewcastle-Brown พยายามมองหาชายชาวสวิสในวัย 40 ปี ซึ่งมันแทบไม่มีรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับชายลึกลับที่ต้องการติดต่อเธอ เพราะเธอรู้เพียงแค่ชื่อของเขาเท่านั้น

Xavier Justo ได้แนะนำตัวเองในฐานะ Justo ทำให้ Rewcastle-Brown นั้นตกใจ เนื่องจากการพบกันครั้งนี้เป็นการนัดผ่านคนกลาง ซึ่งเธอคิดว่า Justo นั้นดูน่าจะอันตรายกว่านี้ ซึ่งเธอมองไม่เห็นทีท่าว่าเป็นพฤติกรรมของคนที่จะทำอันตรายจาก Justo

“ผู้คนที่เราติดต่อด้วยนั้นโหดเหี้ยมและมีอิทธิพลสูงอย่างมาก” Justo กล่าวกับ Rewcastle-Brown 

Justo กำลังหาทางเลือกอื่นเพื่อรับเงินที่เขาเชื่อว่าสมควรได้รับ เขามองหาคนที่ยินดีที่จะจ่ายค่าเอกสารของ PetroSaudi ที่เขาได้ Copy ออกมาจาก Server เมื่อ 2 ปีก่อนหน้า

ต้องบอกว่าการได้มาเจอกับ Rewcastle-Brown นั้นเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะหลังจากที่ Justo ออกจาก PetroSaudi ในปี 2011 เขาก็ได้เดินทางไปยังสิงค์โปร์ เพื่อชมการแข่งขัน F1 Night Race ซึ่งที่นั่นเขาควรจะได้พบกับ Tarek Obaid หัวหน้าผู้บริหารของ PetroSaudi เพื่อเจรจาต่อรองเรื่องไฟล์ต่าง ๆ ที่เขามี

แต่เพื่อนเก่าของเขาดันไม่มาปรากฏตัว อย่างไรก็ตามในช่วงการเดินทางกลับนั้น เขาได้บังเอิญไปพบกับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับมหาธีร์ โมฮัมเหม็ด อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของมาเลเซีย และได้ทำการแลกนามบัตรกันไว้

และแทบจะไม่มีความคืบหน้าอะไรเกิดขึ้นกว่า 2 ปี แต่ในช่วงฤดูร้อนปี 2014 บุคคลปริศนาที่เขาได้พบเจอก่อนกลับที่มีความใกล้ชิดกับ มหาธีร์ นั้น ได้ส่ง Connection ให้เขาไปเจอกับ Rewcastle-Brown ซึ่งในตอนนั้นกำลังขุดหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 1MDB

ข้อมูลจาก Server ที่ถูกดูดลงไปในฮาร์ดไดรฟ์ขนาดพกพา ซึ่งบรรจุไปด้วยข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ 1MDB และ PetroSaudi แต่ Justo มีเงื่อนไขสำคัญก็คือ Rewcastle-Brown ต้องจ่าย 2 ล้านเหรียญ ถ้าเธอต้องการข้อมูลดังกล่าว

แม้ Rewcastle-Brown นั้นจะมีน้องเขยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น ชีวิตที่เธออยู่ที่มาเลเซีย ด้วยการประกอบอาชีพนักข่าวและบล็อกเกอร์นั้น เธอไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น

Justo ยืนกราน “ไม่มีเงินสด ไม่ตกลง”

แน่นอนว่ามันเป็นข้อมูลที่สุด Exclusive ตัว Rewcastle-Brown เองก็อยากได้มันมาก ๆ หลังจากได้พบกันในครั้งนี้ เธอต้องกลับไปหาคนที่สามารถจ่ายมันได้ ซึ่งต้องใช้เวลาจริง ๆ กว่า 7 เดือนในการหาผู้มีอุปการคุณมาช่วยจ่ายเพื่อแลกกับข้อมูลดังกล่าว

ส่วนตัว Low นั้นดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินจากผู้บริหาร PetroSaudi เกี่ยวกับความต้องการเงินของ Justo แต่อย่างใด ตัว Low เองนั้นก็ยังแทบจะไม่ระแคะระคาย ที่จะมีการพบกันระหว่าง Rewcastle-Brown และ Justo ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการสั่นคลอนสถานะของเขาครั้งสำคัญ ซึ่งถ้าเขารู้ แน่นอนว่าเงินเพียงแค่ 2 ล้านดอลลาร์เพื่อจ่ายปิดปาก Justo นั้นคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของ Low อย่างแน่นอน

ต้องบอกว่าในขณะนั้น Low กำลังอยู่ในช่วง in love เพราะไปตกหลุมรักนางแบบสาวชื่อดังอย่าง Miranda Kerr เรียกได้ว่ากับ Kerr นั้น Low โชว์ป๋าอย่างเต็มที่ มีการทุ่มเงินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินส่วนตัว รวมถึงได้สั่งซื้อเรือยอชท์ใหม่ Equanimity เพื่อพา Kerr ออกทริปไปยังน่านน้ำรอบ ๆ ประเทศอิตาลี รวมถึงไม่พลาดที่จะซื้อชุดเครื่องประดับของ Lorraine Schwartz ไม่ว่าจะเป็น ต่างหูเพชร , สร้อยคอ ,สร้อยข้อมือ หรือ แหวน ซึ่ง Low ได้สั่งมาเพื่อมอบให้กับ Kerr บนเรือยอชท์สุดหรูของเขาขณะออกทริปนั่นเอง

Miranda Kerr นางแบบสาวที่ Low ตกหลุมรักอย่างหนัก
Miranda Kerr นางแบบสาวที่ Low ตกหลุมรักอย่างหนัก

แต่ความมั่งคั่งทั้งหมดที่ตัว Low แสดงออกมานั้น มันก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล แม้จะเพิ่งได้รับเงิน 5 พันล้านดอลลาร์จาก 1MDB แต่การที่จะต้องจ่ายเงินค่าคอมมิชชั่นจำนวนมากให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องและสมรู้ร่วมคิด และพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อรักษาวิถีชีวิตแบบเศรษฐีเงินล้านของเขา

ในใบแจ้งหนี้ 2 ล้านดอลลาร์ สำหรับเครื่องประดับล่าสุดของ Kerr นั้น Low ต้องบุกเข้ากองทุนอีกครั้ง ในขณะที่ Low เป็นลูกค้าคนสำคัญของ Schwartz ทำให้เขาสามารถยืดระยะเวลาในการจ่ายเงินได้ แต่เมื่อพิจารณาจากจำนวนเงินของเขาที่ได้รับจาก 1MDB ล่าสุด ดูเหมือนว่า Low จะเริ่มสะดุดกับการจ่ายเงินเสียแล้ว

เขาต้องการเงินเพิ่ม คราวนี้เป็นรายของ Deutsche Bank ที่เริ่มสนใจ จะเข้ามาร่วมทำธุรกรรมกับ 1MDB หลังจากพิจารณาจากผลกำไรของ Goldman ที่ทำได้จากกองทุน 1MDB ซึ่ง Low นั้นต้องการที่กู้ยืมเงินเพิ่มเติมจาก Deutsche Bank อีก 725 ล้านดอลลาร์

ซึ่งแม้จะมีคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของกองทุนที่มีลักษณะไม่ชอบมาพากล แต่ Mohammed Al Housseiny ผู้บริหารสูงสุดของ Aabar ก็ได้มาช่วยให้กระบวนการดังกล่าวของธนาคาร Deutsche Bank ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งเมื่อ Deutsche Bank ได้ส่งเงินกู้งวดแรกจำนวน 725 ล้านดอลลาร์ ให้แก่ Aabar แม้มันจะผิดแปลกอยู่บ้างที่ปรกตินั้น ธนาคารจะส่งเงินสดจำนวนมากเหล่านี้ไปยังผู้กู้โดยตรงซึ่งก็คือ กองทุน 1MDB แต่ Deutsche เห็นการมีส่วนร่วมอย่างชัดเจนจากกองทุนอาบูดาบี ทำให้วพกเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก คิดถึงแต่เพียงผลประโยชน์ที่จะได้รับเพียงเท่านั้น

และ กระบวนการยักยอก ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะผู้รับเงินที่แท้จริงแล้วนั้น เป็นบริษัทที่มีชื่อคล้าย ๆ กับ Aabar ที่ Al Husseiny จัดตั้งขึ้นโดยใช้บัญชีธนาคาร UBS ในสิงคโปร์ ซึ่งอีกสองวันต่อมา เงินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ก็ถูกถ่ายโอนไปยังบริษัท เชลล์ที่ถูกควบคุมโดย Fat Eric อีกเช่นเคย

ซึ่งก็เหมือนเคยด้วยผลประโยชน์ มันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ บริษัท เชลล์ ของ Low ก็ได้ส่งเงิน 13 ล้านดอลลาร์ไปยัง Densmore ซึ่งเป็น บริษัทในหมู่เกาะบริติช เวอร์จิน ของ Otaiba ซึ่งมีบัญชีที่ BSI ในสิงคโปร์ ส่วน Khadem Al Qubaisi ที่เป็นหัวหน้าของ Al Husseiny ได้รับเงินไปอีก 15 ล้านดอลลาร์

ในเดือนกันยายนปี 2014 อดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมเหม็ด ที่มีอายุ 89 ปี ซึ่งยังคงเป็นบุคคลสำคัญในพรรค UMNO ได้รับข้อมูลที่รั่วไหลออกมา รวมถึง email จาก 1MDB ที่แสดงให้เห็นว่า Jho Low มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งการตัดสินใจลงทุน รวมถึงความไม่ชอบมาพากลของเงินทั้งหลายที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ

มหาเธร์ นั้นยังมีอำนาจอย่างสูงในพรรค UMNO และเขาเริ่มมีส่วนร่วมกับเรื่องดังกล่าวหลังจากได้เห็นหลักฐานต่าง ๆ ที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งเขามีความตั้งใจที่จะทำการบีบบังคับให้นายกรัฐมนตรี Najib Razak ลาออก เพราะหนี้ก้อนโตของกองทุนเหล่านี้ เสี่ยงต่อการนำพามาเลเซียไปสู่ภาวะวิกฤติได้แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในประเทศอาร์เจนติน่า

ฝั่งของ Rewcastle-Brown ก็ได้เขียนบทความในหัวข้อ “การใช้จ่ายของ Jho Low และเงินเพื่อการพัฒนาของมาเลเซีย” ซึ่งชี้ประเด็นถึงเหตุผลว่า ทำไมกองทุนของประเทศต้องโกหกถึงบทบาทลับ ๆ ของ Low

Rewcastle-Brown กำลังไล่บี้ Low อย่างหนักเช่นเดียวกัน
Rewcastle-Brown กำลังไล่บี้ Low อย่างหนักเช่นเดียวกัน

และฝั่งของการตรวจสอบบัญชีก็เริ่มโกลาหล เพราะความกังวลของ Deloitte บริษัทตรวจสอบบัญชีชื่อดัง ก็ได้เรียกร้องให้มีการส่งเงินกลับจำนวนกว่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ จากบริษัทในหมู่เกาะเคย์แมน ที่มองว่ามีธุรกรรมที่มีความผิดปรกติเป็นอย่างยิ่ง

ด้วยการใช้จ่ายอย่างดุเดือดของ Low เขาคิดว่าจะสามารถปกปิดมันได้ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมใหม่ ๆ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ สาธารณชนเริ่มรู้สิ่งที่ Low ทำแล้ว และที่สำคัญ คนที่มีอำนาจและอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งอย่าง มหาเธร์ โมฮัมเหม็ด กำลังมาเล่นเรื่องดังกล่าวด้วย ทำให้มันได้กลายเป็นสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังแท้จริงสำหรับ Low เพราะเขาจะหาเงินจากไหนมาจ่ายจำนวน กว่า 2.3 พันล้านดอลลาร์

และฝั่งของธนาคาร Deutsche Bank ก็ต้อน Low ไปอีกมุมเวที นายธนาคารชาวเยอรมัน เริ่มสงสัยเกี่ยวกับการลงทุนที่เกาะเคย์แมน ซึ่งเป็นหลักประกันในการกู้ยืม ซึ่งหากธนาคารเยอรมันขอเงินคืน กองทุนจะไม่สามารถหาเงินสดมาจ่ายได้อย่างแน่นอน

มาถึงตอนนี้ Low เริ่มที่จะจนมุม หลังจากถูกไล่บี้จากหลาย ๆ ฝ่าย ทั้งผู้มีอิทธิพลอย่าง มหาเธร์ นักข่าวที่เกาะติดเรื่องนี้ ขุดคุ้ยเรื่องนี้อย่างเต็มที่อย่าง Rewcastle-Brown ฝั่งตรวจสอบบัญชีอย่าง Deloitte ก็ไล่บี้จนดูเหมือนว่า Low จะไม่มีทางไปแล้ว และต้องยอมรับความจริงที่ว่า เงินทั้งหมด มันไม่เหลืออยู่แล้วเสียที แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับ Low ถึงตอนนี้ใกล้จะถึงคราวสิ้นสุดของการหลอกลวงระดับโลก โดยชายที่ชื่อ Jho Low เสียแล้ว เขาจะจนมุมจริง ๆ หรือ ไม่ แล้วเขาจะหาทางออกอย่างไรจากสถานการณ์ที่บีบคั้นเช่นนี้ โปรดอย่าพลาดติดตามต่อตอนหน้าครับผม

–> อ่านตอนที่ 16 : Butterfly Effect

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

References : http://khalifahmailonline.com/2018/06/10/sebaik-ph-menang-pru-ini-tindakan-yang-cuba-dibuat-jho-low-terhadap-tun-mahathir/