หากเงินเดือนเป็นเรื่องเปิดเผย

เรื่องของเงินเดือนนั้นมักจะเป็นเรื่องลึกลับในองค์กร ที่ถูกบอกกล่าวกันมาว่า หากเรามีการทราบเงินเดือนซึ่งกันและกันในบริษัทนั้นอาจจะทำให้เกิดปัญหาในทีมขึ้นมาได้ทันที แต่นี่กลับกลายเป็นความเสียเปรียบอย่างนึงของมนุษย์เงินเดือน ที่องค์กรกำลังเอาเปรียบอยู่ผ่านวิธีการบอกไม่ให้เราไปรับรู้เงินเดือนของคนอื่น ๆ 

ลองกลับกัน ถ้าทุกคนรู้รายได้ของเพื่อนร่วมงานทุกคน มันก็จะเหมือนวงการฟุตบอลที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือ พอเพื่อนร่วมทีมเราได้เยอะ ก็จะมีการขอปรับเยอะขึ้นไปเรื่อย ๆ ทำให้เงินเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างสถานการณ์ค่าตัวรวมถึงค่าเหนื่อยนักฟุตบอลในยุคปัจจุบัน ซึ่งใครจะคิดว่านักเตะอย่าง Theo Walcott จะมีรายได้ถึง 100,000 กว่าปอนด์ได้

เพราะความที่นักบอลเค้ารับรู้รายได้กันหมด ที่สำคัญยังมีการประกาศผ่านสื่อเรียกได้ว่าเรื่องรายได้ไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับเลยสำหรับนักฟุตบอลหรือนักกีฬาต่าง ๆ  เพราะฉะนั้นเหล่าพนักงาน (นักกีฬา) ก็จะไม่มีใครยอมใคร ก็ต้องมีการเรียกค่าเหนื่อยให้เต็มที่เหมือนกัน โดยมีการเอาเพื่อนมาเปรียบเทียบด้วย ซึ่งถามว่าดีมั๊ยสำหรับลูกจ้าง (นักบอล) ต้องบอกว่าโครตดีเลยแหละ ที่ทำให้ค่าเหนื่อยแพงขึ้นมหาศาลมาก ๆ 

แต่สุดท้ายมันก็ต้องมี Limit ที่องค์กรสามารถจ่ายได้ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่องค์กรเสียเปรียบมากในขณะนี้  แต่อย่างไรก็ตามนั้นมันก็ต้องมีเหตุมีผลอย่างน้อยก็ต้องผันตรงกับรายได้ของบริษัทอยู่แล้วเช่นกัน ซึ่งยังไงค่าใช้จ่ายเหล่านี้มันก็ไม่มีทางเฟ้อไปกว่าความสามารถของเจ้าของทีมที่จะจ่ายจริง ๆ อยู่ดี (ขอไม่นับรวมเหล่าเศรษฐีที่มา take over นะครับ เอาเฉพาะทีมที่ทำธุรกิจฟุตบอลจริง ๆ ตัวอย่างเช่น ลิเวอร์พูล , แมนยู ในตอนนี้) ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับธุรกิจนั่นเองว่าทำรายได้มากน้อยเพียงใด

คราวนี้ลองหันกลับมามองที่เหล่ามนุษย์เงินเดือนล่ะ เช่นกัน ถ้าทุกอย่างมีการเปิดเผยค่าแรงพนักงาน มันก็จะคล้ายกับวงการฟุตบอล และค่าเหนื่อยพวกเราต้องเฟ้ออย่างแน่นอน และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แบบเดียวกับนักบอล (จนกว่าบริษัทจะจ่ายไหวจริง ๆ ) ซึ่งนั่น เราจะได้เห็นมูลค่าที่แท้จริงของเราที่เป็นพนักงานจริง ๆ ว่าเราควรจะมีเงินเดือนหรือค่าเหนื่อยในระดับไหนกันแน่ และบริษัทสามารถจ่ายให้เราจริง ๆ เท่าไหร่นั่นเอง

ซึ่งโดยปรกติส่วนใหญ่แล้วเราจะรู้มูลค่าตัวเราจริง ๆ ก็ต่อเมื่อตอนที่เรายื่นใบลาออกแล้วได้งานใหม่เท่านั้น มูลค่าที่แท้จริง ๆ ของเราถึงจะปรากฏ เพราะสุดท้ายถ้าคุณเก่งจริง บริษัทก็ต้องสู้เท่าที่เค้าจะสู้ได้จริง ๆ เพื่อไม่ให้เสียคุณไปนั่นเอง

แล้วถึงวันที่เรื่องของเงินเดือน ค่าเหนื่อย ควรเป็นเรื่องเปิดเผยได้หรือยัง เป็นคำถามที่น่าสนใจนะครับ แล้วเพื่อน ๆ มีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรกันบ้างเอ่ย?

References Image : https://gagadget.com/media/post_big/apple_EWycVrJ.jpg

เมื่อธุรกิจต้องเจ๊งเพราะเสียภาษีตามกฏหมาย

ได้มีโอกาสอ่านกระทู้ใน pantip ที่มีท่านเจ้าของธุรกิจท่านหนึ่งมา post ไว้ ในกระทู้ “ธุรกิจผมกำลังจะเจ๊งเพราะทำตามกฏหมาย” แล้วก็สะเทือนใจกับวัฒนธรรมทางด้านการเสียภาษีของคนไทยเป็นอย่างมากปรกตินั้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐเก็บนั้นมักจะได้จากห้างร้านหรือธุรกิจที่มีการจดทะเบียนอย่างถูกกฏหมาย โดยเฉพาะเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง 7eleven , Macro , Lotus , Big C หรือห้างใหญ่ ๆ ทั่วฟ้าเมืองไทยเราก็สามารถจัดเก็บภาษีจากส่วนตรงนี้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย คิดว่าคงจะหลีกเลี่ยงได้ยากสำหรับธุรกิจที่มีขนาดใหญ่และจดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย

ในกระทู้ นั้นแสดงให้เห็นว่า เจ้าของกระทู้นั้นพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องตามกฏหมายโดยเจ้าของกระทู้เปิดร้านค้าส่งขายของ ซึ่งต้องมีการตัดราคากันค่อนข้างสูง และ ตัวเลข margin กำไรนั้นค่อนข้างน้อย เมื่อตัวเองโดนสรรพากรบังคับให้จ่ายค่าภาษีมูลค่าเพิ่มก็ทำให้แทบจะไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ทันที

โดยที่สรรพากรนั้นทำการสุ่มตรวจโดยไม่บังคับใช้กับทุก ๆ ร้านที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับร้านของเจ้าของกระทู้ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งได้อีกต่อไปเนื่องจาก Vat 7% ที่เป็นต้นทุนที่ต้องแบกรับเพิ่มเติม ซึ่งนี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของความไม่เท่าเทียมของสังคมไทยในเรื่องการเสียภาษี  ซึ่งมีคนที่ได้ประโยชน์จากตรงจุดนี้เป็นจำนวนมาก

ถ้าเรามองพิจารณากันให้ละเอียดจะพบว่า หากรัฐบาลสามารถเก็บภาษีตามกฏหมายได้ทุกบาททุกสตางค์ จากทุกกลุ่มชนชั้นในประเทศไทย ตัวอย่างเช่น พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ หรือ รถเข็นขายของต่างๆ

เหล่าหาบเร่แผงลอย ที่บางคนรวยเป็นเศรษฐี

เหล่าหาบเร่แผงลอย ที่บางคนรวยเป็นเศรษฐี

ซึ่งตรงส่วนนี้นั้น มีมูลค่ามหาศาลในระบบเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะ ในห้างใหญ่ ๆ เท่านั้นที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ความจริงถึงเวลาที่เราต้องมาเก็บเงินภาษีจากส่วนนี้ให้จริงจังได้แล้วเสียที ไม่ควรที่จะมีมาตรการลดหย่อน เพราะเป็นการเอาเปรียบผู้เสียภาษีคนอื่นๆ  มาโดยตลอด

ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่าหากเราสามารถเก็บได้หมดนั้น เดิมทีที่เราสามารถเก็บภาษีเข้ารัฐเพื่อมาใช้เป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศจากประมาณ 2 ล้านล้าน บาท อาจจะเพิ่มกลายเป็น 3-4 ล้านล้าน บาทเลยก็ได้ทำให้ประเทศเราสามารถพัฒนาไปได้อีกเยอะ จะสร้างรถไฟความเร็วสูงก็อาจจะไม่ต้องกู้เงินมาก็ได้

เราแค่ตามเก็บภาษีจากทุกคนให้เสมอภาคกัน รัฐก็จะได้ทั้งภาษีเงินได้จาก Vat และ ภาษีเงินได้บุคคล หรือ นิติบุคคล ที่รายย่อยทั้งหลายต้องเข้าสู่ระบบที่ถุกต้องตามกฏหมาย ผมมองว่าประเทศเราคงพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้อีกมากหากสามารถสร้างความเท่าเทียมกันทางด้านภาษีนี้สำเร็จ

Img Ref : prosoftmyaccount.com
References : http://m.pantip.com/topic/34266620

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol