South Korea ตอนที่ 7 : The Glory of Korea

ประเทศเกาหลีใต้ ได้ถือกำเนิดมาในสภาพรัฐที่สิ้นหวัง ทั้งยากจน บอบช้ำจาก การถูกล่าอาณานิคม แถมยังถูกสงครามทำลายอย่างย่อยยับ ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีเพียงน้อยนิด ประเทศที่ถูกแบ่งเหลือเพียงครึ่งเดียว แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นแรงผลักดันให้ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ สามารถที่จะประสบความสำเร็จ ได้อย่างเหลือเชื่อ ในเวลาเพียงแค่ชั่วอายุคนเพียงเท่านั้น ความสามัคคี และรักชาติ นำพาเกาหลีใต้พลิกฟื้นประเทศ จนกลายเป็นประเทศที่ล้ำหน้าที่สุดในโลกประเทศนึงในปัจจุบัน

มันไม่เหมือนประเทศอย่างจีน หรือ สิงคโปร์ ความสำเร็จของเกาหลีใต้นั้น มันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง ทั้งเรื่องการเมือง และ สังคม รวมถึงความเป็นประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งของเกาหลีด้วย

ผลงานด้านศิลปะและวัฒนธรรม ก็ไม่น้อยหน้าประเทศไหนในโลก  สังคมของเกาหลีใต้ กำลังได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น และยังคอยพัฒนาอย่างต่อเนื่องแบบไม่หยุดยั้ง เรายังไม่ได้เห็นจุดสูงสุดของประเทศเกาหลีใต้ในเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน เพราะพวกเขากำลังพัฒนาด้วยอัตราเร่ง แบบไม่ได้ชะลอความรวดเร็วลงไปเลย

ด้วยบุคลิก และ ลักษณะทางสังคมที่มีความยืดหยุ่นนั้น ทำให้คนในสังคมเกาหลีใต้อยู่ร่วมกันได้ท่ามกลางความขัดแย้งและแตกต่าง มันก็เหมือนกับทุกประเทศที่ผู้คนต่างมีอุดมการณ์ไม่ว่างทางการเมือง ศาสนา หรือ จารีต ประเพณีต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน

แต่เกาหลีใช้จุดนี้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่าจะถ่วงความเจริญก้าวหน้า นิสัยหลาย ๆ อย่างของชาวเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นความแน่วแน่ และทุ่มเทอย่างไม่ลดละเพื่อเป้าหมาย ก็สามารถช่วยให้คนเกาหลีสร้างความเจริญก้าวหน้าในหลาย ๆ ด้านได้อย่างรวดเร็ว จนเป็นที่อิจฉาของทุก ๆ ชาติ

แต่มันก็ต้องแลกด้วยอะไรหลายอย่าง คนเกาหลีใต้ ต้องทำงานหนักกว่าใครเพื่อน เรียนหนักกว่าใครเพื่อน จิตวิญญาณที่รักการแข่งขัน ที่อยู่กับพวกเขาตลอดชีวิต ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยเกษียณ มันแลกด้วย ความสุขที่ลดลงไปของชาวเกาหลี

แม้ตอนนี้พวกเขาจะประสบความสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว กลายเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาแล้วเทียบเท่า อเมริกา ญี่ปุ่น หรือ ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปได้สำเร็จแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนพวกเขายังไม่หยุดที่จะก้าวต่อไป

คนเกาหลียังคงมีชั่วโมงการทำงานที่มากที่สุดเหมือนเคย การลงทุนกับเรื่องการศึกษาที่บ้าคลั่ง ดูเหมือนจะเกิดพอดีไปเสียด้วยซ้ำ การแย่งชิงตำแหน่งงานในบริษัทที่มีชื่อเสียงที่สุด นิสัยชอบการแข่งขัน เหล่านี้นั้น กระตุ้นเร้าให้เกิดการพัฒนาแบบต่อเนื่องอย่างไม่ทีท่าว่าจะลดน้อยลงไปเลย

เกาหลีใต้กับความเจริญที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
เกาหลีใต้กับความเจริญที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย

ซึ่งการแข่งขันกันอย่าบ้าคลั่ง มันส่งผลต่อเกาหลีใต้อย่างใหญ่หลวง ตั้งแต่แต่ทศวรรษ 1960-1980 แม้จะทำให้เกิดความเครียดที่สูงกับชาวเกาหลีบ้างก็ตาม แต่มันไม่ได้มีการต่อต้านจากสังคมแต่อย่างใด มันเหมือนทุกคนในประเทศพร้อมยอมรับในจุดนี้

การแข่งขัน มาตั้งแต่เด็ก ค่าเรียนต่าง ๆ ที่สูงขึ้นทุกปี เงินที่จ่ายไปกับเครื่องสำอางค์ แบรนด์หรู ๆ รวมถึงเรื่องการศัลยกรรมพลาสติก สิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยยกระดับสถานะทางสัมคมของคนเกาหลีแทบจะทั้งสิ้น ทุกคนต่างทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อนำเสนอตัวตนที่เยี่ยมที่สุดสู่สังคมภายนอก 

แม้คนเกาหลีนั้นจะก้าวผ่านสงครามกลางเมือง และความอดอยาก ยากจน มาแล้ว ก่อนที่จะเปลี่ยนจากดินแดน ผู้ถูกล่า และเป็นเบี้ยล่างมาตลอด ให้กลายมาเป็น ประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตย ที่มีการเมืองที่เสถียรภาพแห่งหนึ่งของโลก และความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี ที่ไปไกลกว่าใครเพื่อน มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ประเทศแห่งนี้ ควรจะหยุดพักผ่อน แล้วหันมาจิบแชมเปญสักแก้ว แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายประเทศสุดแสนมหัศจรรย์อย่างเกาหลีใต้นั้น ก็ยังมีอีกสิ่งนึงที่ต้องพิชิตให้ได้ ซึ่งก็คือ การบาลานซ์ ความสมดุล ระหว่างความสุขและความพึงพอใจของประชาชนชาวเกาหลี กับการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วดังที่เราได้เห็นจาก Blog Series ชุดนี้ 

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวประเทศเกาหลีใต้ จาก Blog Series ชุดนี้

ห้าสิบปีที่แล้ว เกาหลีคือประเทศยากจนที่บอบช้ำจากสงคราม  แทบจะไม่คงเหลือประเทศในฐานะรัฐ ๆ หนึ่ง และเกาหลีใต้ได้ผ่านพ้นวิกฤติมาได้อย่างมั่นคงจนได้กลายเป็นแม่แบบให้กับประเทศกลังพัฒนาทั่วโลก รวมถึงไทยเองด้วยก็ตามที

แม้ตอนนี้พวกเขายังคงไม่พอใจกับการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว อย่างที่ได้ตั้งความหวังไว้ ยังมีแรงกดดันอยู่ต่อเนื่อง ในการก้าวขึ้นสู่ขั้นต่อไป เทียบกับมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลก พวกเขาได้สร้างมาตรฐาน ที่ดูเหมือนชาติอื่นจะอิจฉา ทั้ง ด้านการศึกษา ด้านเทคโนโลยี ไม้เว้นแม้แต่เชื่อเสียง และ รูปร่างหน้าตา พวกเขาในตอนนี้ ก้าวขึ้นไปอยู่แถวหน้าของโลกได้สำเร็จ

วัฒนธรรมอย่าง K-Pop ที่ฉีกกฏเกณฑ์ ทุกอย่าง ทำให้โลกตะวันตก สามารถยอมรับนับถือวัฒนธรรมของโลกตะวันออกได้ แบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน มันเป็นกำแพงที่สูงชัน แต่เกาหลีสามารถที่จะก้าวผ่านกำแพงนั้นไปได้สำเร็จ ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย สำหรับคนเกาหลีใต้

ข้อคิดสำคัญสำหรับเรื่องของประเทศเกาหลีใต้ ก็คือ ไม่ว่าบ้านเมืองจะเละเทะ ถูกย่ำยีเพียงใด เหมือนประเทศไทย ที่อยู่กับทศวรรษ แห่งความหยุดนิ่ง ความแตกแยกที่รุนแรงภายในประเทศ แต่ประเทศเรายังเจออะไรเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเขาชาวเกาหลีใต้ได้เคยเจอมา

เพราะฉะนั้น ประเทศเราก็ยังมีโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าได้ ไม่ต่างจากประเทศอย่างเกาหลี หากทุกคนในชาติ นั้นลืมเรื่องความขัดแย้ง และสร้างมันเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า ด้วยความสามัคคีของคนในชาติ มันก็สามารถให้เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของชาติให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วแบบที่เกาหลีเคยทำมาแล้วได้อย่างแน่นอน 

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Foundation *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

South Korea ตอนที่ 2 : Fighting DNA

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของประเทศเกาหลี คือ จิตวิญญาณของนักสู้ ว่ากันว่า มีแต่เหล่านักสู้เท่านั้้นที่จะอยู่รอดในสังคมของประเทศเกาหลีใต้ได้ ทุกคนต่างต้องแข่งขันกัน ขับเคี่ยวกันในทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ การพยายามอย่างหนักในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย การหางาน การเลือกคู่ครอง ต้องเรียกได้ว่าคนเกาหลีนั้นจะต้องแข่งขันตั้งแต่วัยเด็ก และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลยแม้จะเกษียณจากการทำงานไปแล้วก็ตาม

หลังจากสงครามเกาหลีจบสิ้น แม้มันจะไม่ได้เป็นการจบเลยเสียทีเดียว มันเป็นแค่การเจรจาสงบศึกชั่วคราวมาจวบจนถึงปัจจุบันเพียงเท่านั้น ด้วยความยากจนข้นแค้น เป็นชาติที่ถูกรุกราน และถูกโจมตีอยู่เสมอ มันบีบให้เกาหลีใต้ต้องคิดหาทางให้หลุดพ้นจากสถานภาพอันเลวร้ายนี้

ซึ่งทางออกเดียวที่มีคือ การทุ่มเทพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างเต็มที่เพื่อ จะได้ไปเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

แม้ในปี 1945 มีประชากรชาวเกาหลีใต้เพียง 5% เท่านั้นที่ได้รับการศึกษาระดับมัธยม หรือ สูงกว่า แต่หลังจากที่นายพล ปาร์ค ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1961 นั้น ประชาชนได้ถูกกระตุ้น ให้ทำงานอย่างหนัก และร่วมแรงแข็งขันกัน เพื่อพัฒนาชาติ และยกระดับให้เกาหลีใต้เหนือกว่าประเทศอื่นให้จงได้

ท่านประธานาธิบดี ปาร์ค ต้องการให้เกาหลีเติบโตให้เร็วที่สุด
ท่านประธานาธิบดี ปาร์ค ต้องการให้เกาหลีเติบโตให้เร็วที่สุด

ถึงขั้นที่ว่า มีการ รณรงค์ ให้ โค่นญี่ปุ่น โดยผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรม มีการปลุกจิตวิญญาณนักสู้ของชาวเกาหลี มีการตั้งเป้าหมายของประเทศ ให้ทำลายสถิติการส่งออกผลิตภัณฑ์ ให้ได้ทุก ๆ ปี เพื่อให้เกาหลีใต้นั้น ก้าวสู่การพัฒนาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ มันเป็นการร่วมแรงร่วมใจของชาวเกาหลีทุกคน ไม่ว่าอุตสาหกรรม ยักษ์ใหญ่ แรงงาน หรือ เหล่าชนชั้น กลาง ทุกคนต่างร่วมใจกันพัฒนาให้เกาหลีใต้ ก้าวขึ้นไปเทียบเคียงกับยักษ์ใหญ่อย่างญี่ปุ่นให้ได้

เกาหลีต้องการโค่นญี่ปุ่นลงให้จงได้ ทั้งสองมีประวัติที่ไม่ลงรอยกันมานาน
เกาหลีต้องการโค่นญี่ปุ่นลงให้จงได้ ทั้งสองมีประวัติที่ไม่ลงรอยกันมานาน

ถึงขั้นที่ว่า คนเกาหลีนั้นถูกปลุกฝังตั้งแต่เยาว์วัย ว่า เมื่อเติบโตขึ้นนั้น เขาจะต้องเป็นเหมือนดั่งนักรบ นักรบในอุตสาหกรรม เด็ก ๆ ทุกคนมีหน้าที่ในการสร้างประวัติศาสตร์ในการฟื้นฟูชาติขึ้นมาใหม่ เหล่านักเรียนทุกคน ต้องขยันเรียนมากขึ้น มากกว่าชาติอื่น ๆ ที่เขาร่ำเรียนกัน เพราะเมื่อเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้น เหล่าเด็ก ๆ เหล่านี้ จะต้องอุทิศกำลังทั้งชีวิต เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น เป้าหมายใหญ่ของประเทศในตอนนั้นคือ การขยับตัวเลขการส่งออกของเกาหลีใต้ให้ไต่เต้าขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ ของโลกให้จงได้

มันเป็นเพราะสถานะที่ไม่มั่นคงเลยของเกาหลี พวกเขาได้พลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส พวกเขาต้องรีบสั่งสมอำนาจทางเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุด ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้เกิดมาพร้อมกับความยากจน ทรัพยากรก็น้อยนิด แถมยังมาถูกแบ่งแยกจากเขตอุตสาหกรรมที่มีอยู่เดิมในแถบทิศเหนือ ที่ตอนนี้กลายเป็นของเกาหลีเหนือเป็นที่เรียบร้อย

เกาหลีใต้ถูกโอบล้อมด้วยรัฐที่มีทั้งอำนาจและแข็งแกร่งกว่าในทุก อย่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจีน รัสเซีย หรือ ญี่ปุ่นก็ตาม เหล่าผู้นำจึงต้องพยายามทำทุกอย่าง ให้เกาหลีใต้มีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจมากที่สุด และเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งการค้าขายนั้น ไม่ได้เพียงทำให้เกาหลีใต้มีความมั่งคั่งเพียงเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้ประเทศอยู่อย่างปลอดภัยจากชาติมหาอำนาจรอบข้างด้วยอีกอย่างหนึ่ง

เกาหลีใต้ถูกโอบรอบด้วยชาติมหาอำนาจทั้ง จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น รวมถึง เกาหลีเหนือที่มีความไม่แน่อน
เกาหลีใต้ถูกโอบรอบด้วยชาติมหาอำนาจทั้ง จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น รวมถึง เกาหลีเหนือที่มีความไม่แน่อน

มีอุตสาหกรรมอย่างนึงที่น่าสนใจเป็นอย่างมากคือ อุตสาหกรรมการต่อเรือ ซึ่ง ในช่วงแรกนั้น เกาหลีใต้แทบจะไม่มีอุตสาหกรรมต่อเรืออยู่เลย แต่ท่านผู้นำอย่างปาร์ค นั้นต้องการให้เกาหลีใต้เป็นประเทศอุตสาหกรรมต่อเรืออันดับหนึ่งของโลก และพยายามหาช่องทางทุกวิถีทางให้ยุทธศาสตร์นี้เป็นจริงขึ้นมาได้ และเรื่องเหลือเชื่อก็คือ เป้าหมายนี้สำเร็จได้ในช่วงปี 1980 แต่เสียดายว่าในตอนนั้น ท่านนายพล ปาร์ค ได้เสียชีวิตไปเสียแล้ว ไม่ได้มาเห็นความฝันของท่าน เป็นจริงได้สำเร็จ

นโยบายที่สำคัญของการศึกษาของเกาหลีใต้ ก็คือ ความเสมอภาค รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม ซึ่งมันทำให้การแข่งขันเพื่อเข้าศึกษาในปริญญาตรีของเกาหลีใต้เป็นไปอย่างดุเดือด

งานราชการ งานกฏหมาย การแพทย์ และงานในบริษัทชั้นนำอย่างกลุ่ม แชโบล นั้น สามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กคนนึงได้จากความยากจนข้นแค้น ให้กลายเป็นคนที่มีความมั่งคั่งได้ ซึ่งมันทำให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรง ทุกคนต้องเป็นนักสู้ ต้องมีการทำสิ่งต่าง ๆ ให้เหนือกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ ตั้งแต่แต่ที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งในที่ทำงานก็ตาม 

และมันได้ส่งผลรุ่นต่อรุ่น มายังลูกหลานของพวกเขาด้วย จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ รวมถึงการเอาชนะนั้น ทุกครอบครัวต้องต่อสู้กัน มันเลยได้นำพาเกาหลีใต้ ก้าวไกลมาได้จนถึงปัจจุบัน มันเหมือน DNA ของชาวเกาหลีใต้ ที่ถูกปลูกฝังมารุ่นต่อรุ่น ตั้งแต่ยุคหลังสงครามเกาหลีเลยก็ว่าได้

ซึ่งการศึกษาของเกาหลีนั้น มีการแข่งขันที่สูงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ เหล่าผู้ปกครองพร้อมที่จะทุ่มหมดหน้าตักให้ลูกหลานของตัวเองได้เรียนในโรงเรียนกวดวิชา หรือ ครูสอนพิเศษ

การแข่งขันด้านการเรียนในเกาหลีใต้ นั้นสูงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
การแข่งขันด้านการเรียนในเกาหลีใต้ นั้นสูงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ซึ่งนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 นั้น เหล่าเด็ก ๆ ในเกาหลีใต้จะใช้ช่วงเวลาในช่วงบ่ายและเย็นเรียนพิเศษในวิชาต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการที่ต้องทำการบ้านทั้งของโรงเรียน และ ที่มาจากการเรียนพิเศษด้วย และ มันเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากสำหรับบรรดาผู้ปกครองชาวเกาหลีใต้ ซึ่งสิ่งนี้ได้ส่งผลต่ออัตราการเกิดของเกาหลีใต้ที่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

และการที่ทุกคนต้องลงทุน และ ลงแรงอย่างหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จทางด้านการศึกษานี่เอง มันจึงส่งผลต่อการเรียนในระดับปริญญาตรี ซึ่งหากมีผลการเรียนที่ดีนั้น ก็จะเปิดโอกาสให้สามารถหางานที่ดีได้ แต่ ด้วยจำนวนงานนั้นมีอยู่อย่างจำกัด

มันทำให้วังวนแห่งการแข่งขันนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก ต่างคนต่างถูกบีบให้สร้างความโดดเด่นขึ้นมาให้เหนือคนอื่น ซึ่งมันทำให้ในปัจจุบันนั้น ปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยชั้นน้ำของเกาหลีอย่าง มหาวิทยาลัยโซล นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป

มันทำให้ทุกคนต่างไขว่ขว้า โอกาสที่สูงขึ้นไปอีก โดยเฉพาะมหาลัยชั้นนำระดับท็อป ๆ ของโลก ตัวอย่างเช่นที่ มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด มีจำนวนนักศึกษาเกาหลีใต้สูงเป็นอันดับสามในบรรดานักศึกษาต่างชาติทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้ปกครองที่มีเงินมากพอ ก็จะพยายามส่งลูกหลานไปในประเทศชั้นนำในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ทั้งหมดก็เพื่อแต้มต่อในการสมัครงานของลูกหลานของพวกเขานั่นเอง

แม้ในระดับประเทศ เกาหลีใต้นั้น จะสั่งสมอำนาจทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด คนเกาหลีใต้ถูกปลูกฝังให้มีความสำเร็จจากการศึกษาเป็นบันได้ขั้นแรก ซึ่ง แม้ในขณะที่ประเทศจะติดอันดับประเทศร่ำรวยแล้วในช่วงปี 1990 นั้น แต่จิตวิญญาณแห่งการแข่งขันมันก็ไม่ได้ลดลงเลย 

ต้องแข่งขันแม้กระทั่งตอนทำงาน ยิ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ยิ่งแข่งขันสูง
ต้องแข่งขันแม้กระทั่งตอนทำงาน ยิ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ยิ่งแข่งขันสูง

บริษัททั้งหลายโดยเฉพาะยักษ์ใหญ่อย่าง กลุ่ม แชโบล นั้น ก็ยังคงกระตุ้นให้พนักงานทำงานหามรุ่งหามค่ำต่อไป ทุก ๆ ปี พนักงานชาวเกาหลีนั้นทำงานโดยเฉลี่ย 2,193 ชั่วโมง ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD แุถมบางครั้งยังต้องทำงานนอกเวลาแบบไม่จ่ายค่าแรงอีกด้วย

วงเวียนแห่งการแข่งขันของชาวเกาหลีนั้น ยังคงหมุนอย่างไม่หยุดหย่อน ทุก ๆ ปีจะมีบัณฑิตจบใหม่จำนวน 500,000 คน ในขณะที่บริษัทใหญ่ ๆ หน่วยงานรัฐ มีตำแหน่งรองรับเพียงแค่ 100,000 ตำแหน่งเท่านั้น และมันทำให้ อีก 400,000 คนนั้น ต้องทำงานกับบริษัทขนาดกลางหรือขนาดเล็กที่ไม่มีความมั่นคงแต่อย่างใด บริษัทขนาดเล็กเหล่านี้ ไม่สามารถที่จะต่อการกับบริษัทยักษ์ใหญ่ใน แชโบล ได้เลย 

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล นั้นเป็นสิ่งที่เรียกว่า Fighting DNA ของชาวเกาหลี ที่มีมาตั้งแต่เยาว์วัย มันทำให้ชาติสามารถเจริญรุดหน้าไปได้ก็จริง แต่ก็มีการถกเถียง เรื่องของคุณภาพชีวิตของชาวเกาหลีที่ดูแย่ลงเรื่อย ๆ 

แม้ประเทศจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่คุณภาพชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการทำงานนั้น ย่ำแย่สำหรับชาวเกาหลี
แม้ประเทศจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่คุณภาพชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการทำงานนั้น ย่ำแย่สำหรับชาวเกาหลี

พวกเขาเริ่มที่จะตระหนักว่าการพักผ่อนไม่เพียงพอ และการทุ่มเทแรงกายอย่างไม่มีสิ้นสุดนั้น อาจจะเริ่มส่งผลให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ มันทำให้เกิดความเครียดสูงในหมู่ชาวเกาหลี  และการแข่งขันนี้เอง ที่เป็นปัจจัยให้ประเทศนี้มีอัตรการฆ่าตัวตายที่สูงมาก

ซึ่ง ความเครียด การไร้ความสุขในการทำงาน คุณภาพชีวิต สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ อาจจะเป็นปัจจุัยที่คอยขัดขวางการเกิดขึ้นของนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีในอนาคต

ซึ่ง Fighting DNA นี่แหละเป็นปัจจัยสำคัญ และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ที่ทำให้เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งหมดนี้ ก็ต้องแลกมาด้วยผลเสียทางลบที่ คอยบั่นทอนอารมณ์ และจิตใจของผู้คนชาวเกาหลีเช่นเดียวกัน ซึ่งบางทีนั้น ตอนนี้ในวันที่เกาหลีใต้ได้กลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วสำเร็จ เป้าหมายหลายอย่างของพวกเขาก็ประสบความสำเร็จแล้วแทบจะทั้งสิ้น มันก็อาจจะถึงเวลาที่พวกเขาอาจจะต้องละทิ้งความทะเยอทะยานที่จะเป็นที่หนึ่งลงเสียบ้าง เพื่อแลกกับคุณภาพชีวิตของชาวเกาหลีที่ดีขึ้นกว่าเดิม

–> อ่านตอนที่ 3 : Trendy Korea

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Foundation *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

South Korea ตอนที่ 1 : Foundation

ประเทศเกาหลีใต้ในขณะนี้นั้นได้กลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นแนวหน้าของโลก เป็นประเทศที่ผลิต chip ที่เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่เป็นหัวใจของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิค ทั่วโลกได้มากกว่าใครในโลก มันนับเป็นก้าวย่างที่รวดเร็วมากที่สามารถทำให้ประเทศเกาหลีใต้ก้าวมาถึงจุดนี้ได้

หลาย ๆ คนทั่วโลกยังเข้าใจผิดในหลาย ๆ เรื่องเกี่ยวกับประเทศเศรษฐกิจใหม่แห่งนี้ การร่วมมือ และร่วมใจของคนทั้งชาติ การทำงานอย่างหนัก ความคิดสร้างสรรค์ที่สุดโต่ง ล้วนเป็นสิ่งที่นำพาให้ประเทศเกาหลีใต้มาถึงจุดนี้ได้ 

ซึ่งการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานของประเทศใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งคมนาคม หรือ โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ที่มีหัวใจคือ ระบบ internet Hi-Speed มันช่วยยกระดับประเทศเกาหลีให้เปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วได้อย่างเหลือเชื่อ

ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีเพียงเท่านั้น เกาหลีใต้ ยังเป็นผู้นำทางด้านศิลปะ มีการสร้างงานศิลปะ ระดับ World-Class รวมถึงเรื่องดนตรี ที่ K-Pop นั้นได้กระจายกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ไปทั่วโลก ทุกคนหลงรัก K-Pop แม้กระทั่งชาติมหาอำนาจอย่าง อเมริกาเองก็ตามยังต้องยอมสยบให้กับวัฒนธรรมที่กำลังบุกรุกอย่างบ้าคลั่งของ K-Pop มันไม่ใช่แค่บุกเพียงทวีปเอเชียแล้วแต่ตอนนี้มันกำลังบุกไปทั่วโลก

กระแส K-Pop ที่ได้บุกไปทั่วโลกแล้ว
กระแส K-Pop ที่ได้บุกไปทั่วโลกแล้ว

ซึ่งเมื่อย้อนไปเมื่อร้อยปีที่แล้ว นั้น ประเทศแห่งนี้ ถูกบุกรุก จนแทบจะสูญสิ้นประเทศ จากสงครามต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อนบ้านกันเองอย่างญี่ปุ่น หรือ การถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศในการแบ่งแยก เกาหลีเหนือ – เกาหลีใต้ แต่พวกเขาใช้เวลาเพียงแค่ 2 ชั่วอายุคนเท่านั้น ในการเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศ จากประเทศที่แสนยากจนข้นแค้น GDP ต่อหัว เพียงแค่ 100 เหรียญสหรัฐเท่านั้น จนกลายมาเป็นมหาอำนาจที่มี GDP ต่อหัว สูงถึงกว่า 30,000 เหรียญในปัจจุบัน 

จากการที่ต้องถูกแบ่งประเทศเป็น เกาหลีเหนือ และ เกาหลีใต้ ผลพวงจากยุคสงครามเย็นระหว่างมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง สหภาพโซเวียต และ สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงปี 1950 แม้สงครามของทั้งสองจะจบลงแล้วตั้งแต่ ปี 1953 ก็ตาม แต่มันก็ยังไม่สามารถรวมทั้งสองประเทศให้กลายเป็นหนึ่งได้เหมือนในอดีต

และนี่ก็น่าจะเป็นส่วนสำคัญอย่างนึงที่ถ้าเทียบกับเหล่าประเทศผู้นำ G20 ทั่วโลก มันก็คือ ความขัดแย้งที่ยังคงมีอยู่ระหว่าง เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ มันเป็นแรงผลักสำคัญให้ชาวเกาหลีใต้รีบสร้างเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นมาโดยเร็วที่สุด ความไม่มั่นคงกับปัญหานิวเคลียร์ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ต้องเรียกได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างนึงเลยก็ว่าได้ มันเปรียบเหมือนชาวเกาหลีใต้กำลังอยู่ภายใต้ความมืดมนที่ปกคลุมอยู่ มันเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้มานานหลายทศวรรษแล้ว สำหรับความแตกแยกระหว่างประเทศทั้งสอง

การเร่ง สปีดการพัฒนาของเกาหลีใต้ นั้น แม้ตอนเริ่มต้นดูเหมือนเกาหลีเหนือจะได้เปรียบอยู่บ้าง เนื่องจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในยุครวมประเทศนั้นอยู่ในแถบดินแดนเกาหลีเหนือ แต่ตอนนี้ เกาหลีใต้ได้แซงหน้าไปไกลแล้ว GDP ต่อหัวของ เกาหลีใต้นั้นมากกว่า เกาหลีเหนือกว่า 130 เท่า 

แม้ช่วงทศวรรษ 1950 นั้น เกาหลีใต้จะอยู่ในสภาพที่ยากจนที่สุด  ผลจากสงครามเกาหลี ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เป็นคนไร้บ้าน GDP ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินต่ำกว่าหัวละ 100 เหรียญสหรัฐ รัฐบาลจำเป็นต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากต่างชาติโดยเฉพาะสหรัฐ การเมืองก็เต็มไปด้วยการคอรัปชั่น มองไม่เห็นอนาคตของเกาหลีในปัจจุบันได้เลยด้วยซ้ำ

จุดเปลี่ยนที่น่าสนใจของประเทศเกาหลีใต้ นั้น มาจากการที่ นายพลปาร์ค ซุงฮี ซึ่งได้ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ย่ำแย่ดังกล่าว ตัดสินใจยึดอำนาจในวันที่ 16 พฤษภาคม 1961 และได้คิดริเริ่มวางแผนการในการที่จะทำให้ประเทศเกาหลีใต้กลายเป็นประเทศร่ำรวยให้จงได้

แนวทางการบริหารแบบเผด็จการ มีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นคนที่ได้รับเครดิตสำคัญในการชุบชีวิตเศรษฐกิจของเกาหลีใต้เลยก็ว่าได้ ในช่วงยุค 1950 อันเลวร้ายนั้น เหล่านักธุรกิจที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลก่อนหน้า ต่างร่ำรวยขึ้นจากการกว้านซื้อทรัพย์สินที่เจ้าอาณานิคมญีปุ่นในยุคก่อนหน้าทิ้งไว้

นายพล ปาร์ค ผู้มาพลิกโฉมประเทศเกาหลีใต้
นายพล ปาร์ค ผู้มาพลิกโฉมประเทศเกาหลีใต้

และหนึ่งในบริษัทที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือ บริษัทซัมซุงนั่นเอง โดย ลี บยองซอล ผู้ก่อตั้ง ซัมซุง เป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเกาหลีใต้ช่วงทศวรรษ 1950 นายพลปาร์คนั้น ลีบยองซอล ถูกกล่าวหาอย่างร้ายแรงว่าเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินที่มิชอบ ซึ่งท่านนายพลปาร์คมองว่าเป็นทรัพย์สินของชาติ

แต่ ด้วยไหวพริบและความสามารถในการเจรจาของเขา จึงได้ยื่นข้อเสนอต่อนายพล ปาร์ค โดยจะบริจาค ทรัพย์สินส่วนใหญ่คืนให้กับประเทศ และจะชวนเหล่าผู้ประกอบการให้คล้อยตามแผนเศรษฐกิจที่ท่านนายพลปาร์คได้ร่างไว้

และนี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้นาย ลี บยองซอล ผู้ก่อตั้งซัมซุง ได้รับการแต่งตั้งจากนายพลปาร์คเป็นหัวหน้ากลุ่มอุตสาหกรรมเกาหลี (Federation of Korean Industries) ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่จนมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้

โดยนายพล ปาร์ค นั้นมุ่งวางโครงสร้างพื้นฐานด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมตั้งแต่ปี 1962-1967 และเริ่มมีจำนวนบริษัทเอกชนที่ตบเท้าเข้าร่วมเพิ่มมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ คิม วูซุง ผู้ก่อตั้งบริษัท Daewoo ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้น Daewoo เป็นบริษัทผลิตสิ่งทอ แต่ภายหลังได้เปลี่ยนไปผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ และเรือเดินสมุทร เพื่อให้สอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว

คิม วูซุง ผู้ก่อตั้ง Daewoo (ภาพจาก Getty Image)
คิม วูซุง ผู้ก่อตั้ง Daewoo (ภาพจาก Getty Image)

และเนื่องด้วยรัฐบาลนั้นมีเงินมากมายจากการอัดฉีดของต่างชาติที่นำโดยอเมริกา จึงได้เป็นแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยถูกผ่านธนาคารแห่งชาติเกาหลี เพื่ออัดฉีดให้เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ได้ไปก่อร่างสร้างตัว

นายพลปาร์ค ที่ต่อมาได้กลายเป็นประธานาธิบดีปาร์ค นั้นได้เริ่มนโยบายที่จะส่งเสริมการส่งออก เพื่อให้เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้เรียนรู้ที่จะแข่งขันในระดับสากลได้ แต่ยังคงกำแพงภาษีไว้สูงเพื่อกีดกันการแข่งขันจากต่างชาติ เมื่อต้องแข่งขันในประเทศ ในขณะเดียวกันการส่งเสริมการส่งออกนั้นก็ช่วยให้บริษัทอย่างซัมซุงหรือแอลจี สามารถดำเนินการได้อยา่งมีประสิทธิภาพมีมาตรฐานสากลมากยิ่งขึ้น

ซึ่งเครือข่ายธุรกิจเหล่านี้ ภายใต้การอัดฉีดเงินจากรัฐบาลด้วยดอกเบี้ยต่ำทำให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ถูกเรียกในภายหลังว่า แชโบล โดยใช้แนวคิดคล้าย ๆ กับระบบของประเทศญี่ปุ่น แต่แชโบล นั้นจะเน้นรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางมากกว่า และรัฐบาลจะรับหน้าที่จัดการเรื่องการเงินให้ โดยมีพี่ใหญ่อย่าง ประธานาธิบปาร์ค นั้นเป็นคนคอยคุมกระเป๋าเงินให้

กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ มีอิทธิพลต่อประเทศ ถูกเรียกว่า แชโบล
กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ มีอิทธิพลต่อประเทศ ถูกเรียกว่า แชโบล

ส่วนเรื่องการบริหารงานแบบ แชโบลนั้น ก็เป็นแนวคิดแบบภายในครอบครัวเป็นหลัก กล่าวคือ ลูกชายของประธานบริษัทจะค่อย ๆ ไต้เต้าขึ้นมาจากตำแหน่งล่าง ๆ จนได้รับโอกาสดูแลธุรกิจในเครือในที่สุด โดยทายาทที่มีผลงานดีที่สุดนั้น จะได้รับการสืบทอดตำแหน่งประธานของกลุ่มบริษัททั้งหมดต่อจากพ่อ ซึ่งแชโบลนั้นใช้รูปแบบนี้มาจวบจนถึงปัจจุบัน โดย แชโบลใหญ่ ๆ จะบริหารโดยสืบสายเลือดหรืออาจจะเป็นลูกเขยของเหล่าผู้ก่อตั้งแทบจะทั้งสิ้น 

ซึ่งมันทำให้เศรษฐกิจของเกาหลีถูกครอบครองโดยยักษ์ใหญ่เหล่านี้แทบจะทั้งสิ้น ไม่ต้องพูดถึงการแข่งขันแบบเสรี มันไม่มีเกิดขึ้นในเกาหลีใต้ เหล่าแชโบลยักษ์ใหญ่มักจะแข่งขันอย่างหนักในตลาดต่างประเทศมากกว่า

แต่มันไม่ใช่ชาวเกาหลี ที่ไม่มีทางเลือกมากนัก สินค้าแทบจะทุกอย่างในประเทศผลิตจากแชโบลยักษ์ใหญ่เหล่านี้แทบจะทั้งสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเป็นสินค้า copy จากต่างชาติ หรือ สินค้าที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์มาจากต่างชาติ

และมันทำให้อิทธิพลของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้นั้นครอบคลุมไปทั้งประเทศ ไม่มีวัฒนธรรมการสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เมื่อเรียนจบเหล่านักศึกษาก็จะมุ่งเข้าหาบริษัทยักษ์ใหญ่ของแชโบลแทบจะทั้งสิ้น 

มันมีเพียงธุรกิจสมัยใหม่เท่านั้น ที่พอจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้ เช่นธุรกิจทางด้าน internet ตัวอย่างเช่น NHN เจ้าของ Naver.com หรือ NCSoft บริษัทผลิตเกมส์ชื่อดัง ซึ่ง internet นั้นได้สร้างความเท่าเทียมทางการแข่งขันให้กับเหล่านักธุรกิจรุ่นใหม่ได้พอจะลืมตาอ้าปากได้บ้าง แต่พวกเขาก็ยังคงหลีกเลี่ยงธุรกิจที่จะต้องแข่งขันกับเหล่า แชโบล ยักษ์ใหญ่โดยตรงอยู่ดี

มีเพียงธุรกิจ internet เท่านั้นที่พอจะลืมตาอ้าปากในประเทศเกาหลีใต้ได้
มีเพียงธุรกิจ internet เท่านั้นที่พอจะลืมตาอ้าปากในประเทศเกาหลีใต้ได้

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า จุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศเกาหลีใต้การผสานความร่วมมือระหว่าง รัฐบาล กับเหล่าธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่าง แชโบลนั้น แม้ถ้ามองในปัจจุบันระบบแบบนี้อาจจะไม่เหมาะกับรูปแบบเศรษฐกิจในยุคใหม่ แต่ผลลัพธ์ของเกาหลีใต้นั้นมันทำให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

มันช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากความยากจนได้สำเร็จ ตัวเลขการส่งออกถีบตัวขึ้นสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญ ในปี 1977 เป็นการเติบโตสูงถึง 100 เท่าหากเริ่มนับจากจุดเปลี่ยนครั้งครั้งสำคัญในปี 1964 ซึ่งแนวคิดหลักในการบริหารดังกล่าวนั้น มักจะเปิดให้มีการเล่นพรรคพวก และ เปิดช่องให้โกงแบบไม่น่าเกลียดจนเกินไป แต่มันเป็นวิธีแก้ปัญหาระดับชาติที่ได้ผล มันยกระดับชาติจากประเทศยากจน ที่แทบจะแตกสลายให้มาลุกขึ้นยืนได้สำเร็จ และมันถึงเวลาแล้วที่เกาหลีใต้จะวิ่งแซงประเทศอื่น ๆ ได้เสียที แล้ว วิธีการใด ที่ทำให้ เกาหลีใต้สามารถเร่งสปีดแซงหน้าประเทศต่าง ๆ กลายมาเป็นประเทศมหาอำนาจได้อย่างในปัจจุบัน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปนะครับผม

–> อ่านตอนที่ 2 : Fighting DNA

Credit แหล่งข้อมูลบทความ