AI World Order กับระเบียบโลกใหม่หลังยุคปัญญาประดิษฐ์

ต้องบอกว่าจีน และ สหรัฐอเมริกาได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำอย่างแข็งแกร่งในด้านปัญญาประดิษฐ์ เมื่อเทียบกับประเทศส่วนอื่น ๆ ของโลก ซึ่งเป็นเวทีสำหรับระเบียบโลกสองขั้วในรูปแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ อีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา หรือ ญี่ปุ่น แม้พวกเขาจะมีห้องปฏิบัติการวิจัย AI ที่แข็งแกร่ง และมีบุคลากรที่มีความสามารถสูง แต่สิ่งที่พวกเขาขาดไปก็คือข้อมูล

แน่นอนว่า เมื่อเทียบเคียงกับ อเมริกา หรือ จีน นั้น ประเทศทั้งสองมี Ecosystem และ เรื่องของการสะสมข้อมูล ที่ดูเหมือนจะเป็นจุดสำคัญที่สุดในการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้าน AI การปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพของ AI ด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาลของทั้งจีนและอเมริกานั้น ทั้งสองประเทศกำลังบ่มเพาะบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ที่จะมาครองตลาดโลก และทำการดึงดูดความมั่งคั่งจากผู้บริโภคทั่วโลก

แน่นอนว่า ระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของ AI ในโรงงานการผลิตทั่วโลก จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการตัดทอนข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังพัฒนา ที่มักถูกย้ายฐานการผลิตเข้ามาเพียงชั่วคราว เพราะค่าแรงที่ถูก

แต่ในอนาคตนั้น ดูเหมือนว่า โรงงานที่ใช้หุ่นยนต์แบบอัตโนมัติ มีแนวโน้มที่จะย้ายฐานการผลิตเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น ในตลาดที่มีขนาดใหญ่ ทำให้บางประเทศที่มีข้อได้เปรียบในจุดนี้ เช่น จีน เกาหลีใต้ หรือ สิงคโปร์นั้น สามารถที่จะไต่ระดับขึ้นไปสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง

และพลังของระบบอัตโนมัติ หรือ AI นี่เองที่จะทำให้ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนมัน และทำให้ช่องว่างระหว่าง สิ่งที่มี และ ไม่มี ในระดับโลกอาจจะขยายวงกว้างขึ้น

ซึ่งจะทำให้ระเบียบโลกใหม่หลังยุค AI นั้น จะผลักดันให้เกิดยุทธศาสตร์แบบ Winner-Take-all ซึ่งจะสร้างความมั่งคั่ง ให้กับบริษัทไม่กี่แห่งในจีนและอเมริกาในอนาคต

มันถือว่าเป็นภัยคุกคามที่แท้จริง ที่เกิดจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ที่ช่องว่างระหว่างประเทศที่ร่ำรวย กับ ประเทศที่ยากจน นั้นจะทิ้งห่างกันมากยิ่งขึ้น และมันจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อ ทั้งเรื่องของสังคม การเมือง ปัญหาการว่างงาน ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ต่อเนื่องกันไปหมด หากชาติไหนไม่คิดจะสร้างเทคโนโลยีดังกล่าวมาสู้

ต้องบอกว่า ความปั่นป่วนในตลาดแรงงาน นั้น จะส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรง เป็นเวลา หลายศตวรรษ ที่มนุษย์ ได้เติมเต็มชีวิตแต่ละวันของเราด้วยการทำงาน แลกหยาดเหงื่อ แรงกาย เพื่อสร้างรายได้ หาที่พักพิง และอาหาร

มันเป็นคุณค่าที่สำคัญ และเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึก มานานแสนนาน จากการทำงานเพื่อแลกเปลี่ยนเพื่อสิ่งเหล่านี้ มันเป็นเรื่องของ Value ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าจากการทำงาน และการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กำลังจะท้าทายค่านิยมเหล่านี้ ที่เรายึดถือกันมานานแสนนาน มากยิ่งขึ้น

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ กับภัยคุกคามจากเทคโนโลยีเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมาก ๆ และดูเหมือนโรงงานอุตสาหกรรมหลาย ๆ แห่งแม้ในประเทศไทยเอง ที่เป็นการลงทุนจากต่างชาติที่มาอาศัยแรงงานราคาถูกนั้น ดูจะเป็น model ที่ไม่ยั่งยืนสำหรับทุก ๆ ประเทศที่เป็นฐานการลงทุนเหล่านี้

ซึ่งก็น่าคิดนะครับว่า ประเทศไทยของเรานั้นจะอยู่ในจุดไหน และเตรียมความพร้อมมากน้อยเพียงใด หลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระเบียบโลก AI ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้นั่นเองครับ

References : https://www.thegeniusworks.com/2020/03/chinas-new-world-order-ai-and-the-trust-economy-synthetic-life-and-authenticity-how-to-explore-the-tech-trends/
https://www.trtworld.com/video/bigger-than-five/the-big-idea-artificial-intelligence-and-the-new-world-order-bigger-than-five/5c88fee49202fc243c75000a
https://www.cfr.org/event/artificial-intelligence-race-and-new-world-order

Geek Monday EP23 : Starbucks กับการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการ Boost Performance

Starbucks ไม่เพียงแค่ทำธุรกิจผ่านเมล็ดกาแฟมากมายเพื่อปรนเปรอ แฟน ๆ ที่คลั่งไคล้ ของพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขายังมีข้อมูลจำนวนมากที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ในหลากหลายวิธีเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและธุรกิจของพวกเขา 

ด้วยตัวเลขของการทำธุรกรรม 90 ล้านครั้งต่อสัปดาห์ในร้านค้า 25,000 แห่งทั่วโลก ยักษ์ใหญ่ด้านกาแฟอย่าง Starbucks มีหลายวิธีในการใช้เทคโนโลยีอย่าง Big Data และ Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ Starbucks ลงทุนเพื่อช่วยในการทำการตลาด การขาย และการตัดสินใจทางธุรกิจโดยตรงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานด้านธุรกิจของ Starbucks ให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคตนั่นเอง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/2IO5wTL

ฟังผ่าน Apple Podcast :   https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast :  http://bit.ly/2BasL6d

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/2IMyOBX

ฟังผ่าน Youtube :   https://youtu.be/kyhVzYL6LvQ

BIOWEAPONS กับแนวคิดอาวุธฆ่าคนด้วย DNA

ในอนาคตเราอาจต้องจัดการกับอาวุธชีวภาพที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้นซึ่ง ตามรายงานใหม่จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โดยนักวิจัยเคมบริดจ์ยืนยันว่ารัฐบาลโลกล้มเหลวในการเตรียมอาวุธในอนาคตจากเทคโนโลยีขั้นสูงเช่นปัญญาประดิษฐ์ หรือ การจัดการทางพันธุกรรม หรือแม้กระทั่งเชื้อโรคที่ออกแบบมาเพื่อฆ่าคนของเผ่าพันธุ์นั้น ๆ โดยเฉพาะ

รายงานดังกล่าวนั้น ก็เพื่อสำหรับการสร้างกลุ่มอิสระในการประเมินความเสี่ยงของเทคโนโลยีในอนาคตต่าง ๆ ที่จะมีบทบาทสำคัญที่จะเป็นอาวุธในสงครามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และแน่นอนว่าเพื่อป้องกันความสูญเสียร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นกับมนุษยชาติ

“ตอนนี้เทคโนโลยีมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในราคาที่ถูกลง ทำให้ความสามารถในการทำลายล้างได้รวดเร็วและเป็นอันตรายมากขึ้น” ผู้เขียนรายงานกล่าว “ ในกรณีที่เลวสุด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาวุธชีวภาพ สามารถสร้างขึ้นเพื่อกำหนดเป้าหมายกลุ่มชาติพันธุ์ที่เฉพาะเจาะจงตามรายละเอียดจีโนมของเผ่าพันธุ์นั้น ๆ ได้”

ซึ่งในที่สุดนักวิจัยสรุปว่าเราไม่สามารถรอให้อาวุธเหล่านั้นกลายเป็นความจริงขึ้นมา ก่อนที่จะไม่สามารถทำอะไรเพื่อหยุดยั้งไม่ให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติโดยการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในอนาคต

References : 
https://www.telegraph.co.uk

AI กำลังจะกลายเป็นผู้จดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ใหม่

นักวิทยาศาสตร์และนักกฎหมายจากสหราชอาณาจักรกำลังต่อสู้กับสำนักงานสิทธิบัตรในสามประเทศ ซึ่งเป็นผู้ที่สมควรได้รับเครดิตสำหรับสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ถูกคิดค้นโดยอัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและวิศวกรชาวอเมริกัน Stephen Thaler ได้สร้างอัลกอริทึม AI ที่มีชื่อว่า Dabus AI ที่ได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรในสหราชอาณาจักร, ยุโรปและสหรัฐอเมริกาใน ‘ ‘ชื่อ’ Dabus ซึ่ง Thaler ได้ถกเถียงถึงประเด็นที่ว่าอัลกอริทึมนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่สำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ตามรายงาน ข่าวจาก BBC

แต่สำนักงานสิทธิบัตรได้ตีเรื่องนี้กลับไปเนื่องจากสิทธิบัตรตามกฎหมายในแบบดั้งเดิม นั้นเป็นของมนุษย์ ซึ่งมันกลายเป็นความขัดแย้งที่ไม่ธรรมดาที่แสดงให้เห็นว่าระบบกฎหมายของมนุษย์เราไม่ได้เตรียมไว้สำหรับรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า Dabus AI สมควรได้รับเครดิตตามกฎหมายในฐานะนักประดิษฐ์ของภาชนะบรรจุอาหารรูปแบบใหม่  ซึ่งสิทธิ์ทางกฎหมายในการสร้างนั้นไม่ควรตกเป็นของใครก็ตามที่สร้างอัลกอริทึมตัวนี้แต่เพียงผู้เดียวเหมือนในอดีต

และยังมองว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง Dabus AI ไม่มีสิทธิ์ตามกฎหมายในการจดสิทธิบัตรสำหรับสิ่งประดิษฐ์ของอัลกอริทึมอีกด้วย

ถึงกระนั้นปัญหาในกรณีของพวกเขาก็คือแม้กระทั่งระบบ AI ที่ดีที่สุดในโลกก็เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีชีวิตหรือมีความรู้สึกและพวกเขาก็ไม่ได้ทำสิ่งที่เรียกว่า “การสร้างสรรค์” อย่างที่มนุษย์ทำ

โฆษกหญิงจากสำนักงานสิทธิบัตรยุโรปบอกกับ BBC ว่า มีความลังเลใจที่จะให้สิทธิบัตรแก่ AI เพราะการทำเช่นนั้นน่าจะเป็นการสร้างแบบอย่างทางกฎหมายที่คาดไม่ถึงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ 

ข้อกำหนดสำหรับการสร้างสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังทุกสิทธิบัตร นั้นหมายถึงการให้สิทธิบัตรในมือของนักประดิษฐ์แทนของให้มันตกเป็นเครื่องมือของบริษัท แต่การจัดการสิทธิบัตรมันไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่ออนาคตของ AI   

“สถานะปัจจุบันของการพัฒนาเทคโนโลยีแสดงให้เห็นว่าในอนาคตอันใกล้นี้ , AI คือ  เครื่องมือที่ถูกใช้โดยมนุษย์”  โฆษกหญิง บอกกับ BBC “ การเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะมีผลกระทบไกลเกินกว่ากฎหมายสิทธิบัตร คือ สิทธิของผู้สร้างสรรค์ภายใต้กฎหมายลิขสิทธิ์ นั้นรวมถึงความรับผิดทางแพ่ง แน่นอนว่า สำนักงานสิทธิบัตรยุโรป นั้นตระหนักถึงการอภิปรายในวงกว้างเกี่ยวกับว่า AI จะมีคุณสมบัติที่จะเป็นนักประดิษฐ์หรือไม่”

ซึ่งต้องยอมรับว่านี่เป็นเรื่องทางกฎหมายที่ซับซ้อน ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะแยกแยะเรื่องดังกล่าวได้ เขาไม่ได้คาดหวังว่า Dabus จะได้รับสิทธิบัตรในชั่วข้ามคืน แต่ความจริงที่ว่าข้อโต้แย้งนี้แทนที่จะเป็นปัญหาก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงว่ากฎหมายนั้นมีแนวโน้มที่จะเดินตามหลังเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั่นเอง 

References : 
https://www.bbc.com