The Innovators ตอนที่ 6 : Rockefeller vs Carnegie vs Morgan

เมื่อ นิโคลา เทสลา ได้พัฒนวิธีใหม่ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าขึ้นมา และมันเป็นสิ่งท้าทายสำหรับ J.P Morgan และ Edison ที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมา ซึ่งตอนนี้มันต้องมีเพียงรูปแบบเดียวเท่านั้นที่จะสามารถใช้งานไปทั่วโลกได้ มันต้องมีผู้ชนะและผู้แพ้สำหรับศึกครั้งนี้

Morgan นั้นอยากให้ Edison กำจัดคู่แข่งออกไป ไม่ว่าวิธีการใดก็ตาม แม้จะใช้วิธีสกปรกอย่างไร ก็ขอให้เอาชนะให้ได้ เขาต้องพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าไฟฟ้ากระแสตรงนั้นปลอดภัยที่สุด และ ไฟฟ้ากระแสสลับเต็มไปด้วยอันตราย

แต่ดูเหมือนว่า จะไม่มีอะไรที่จะมาหยุดยั้งความร้อนแรงของไฟฟ้ากระแสสลับของ เทสลาได้เลย มันเริ่มแพร่กระจายไปยังวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และที่สำคัญมันสามารถที่จะขยายตลาดได้เร็วกว่าไฟฟ้ากระแสตรงของ Edison เป็นอย่างมาก

Edison ได้สร้างเครื่องประหารแบบใหม่โดยใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ เพื่อแทนการแขวนคอที่ใช้มายาวนานตั้งแต่สมัยยุคกลาง มันคือเก้าอี้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ มันคือเก้าอี้ไฟฟ้าตัวแรกของโลก มันจะแสดงให้โลกเห็นว่า ไฟฟ้ากระแสสลับนั้นทำให้ถึงตายได้

หลังจากนั้นได้มีการประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า เป็นครั้งแรกของโลก Edison ได้เชิญสู่เพื่อเข้ามาเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์สำคัญในครั้งนี้ ทุกคนจะต้องกลัวไฟฟ้ากระแสสลับ ซึ่งมันเป็นการประหารที่น่าสยดสยองอย่างมาก

เก้าอีไฟฟ้าของ Edison
เก้าอีไฟฟ้าของ Edison

แต่มันกลายเป็นประชาชนนั้นไม่ได้มองถึง เทสลา เลย พวกเขามองแค่ว่าใครเป็นคนสร้างเจ้าเก้าอี้ไฟฟ้าตัวนี้มาเท่านั้น ซึ่งคน ๆ นั้นก็คือ Thomas Edison นั่นเอง มันทำให้ชื่อเสียงของเขายิ่งแย่ลงไปอีก และมันพ่วงให้ J.P Morgan นั้นเสื่อมเสียไปด้วย เพราะเขาเป็นคนลงทุนเงินทั้งหมด

มันทำให้ความฝันของ Morgan นั้นกำลังจะพังทลายลง กับอุตสาหกรรมใหม่อย่าไฟฟ้า และที่สำคัญมันทำให้ Rockefeller นั้นได้รับผลดีตามไปด้วย เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยประวิงเวลาไม่ให้คนหันไปใช้ไฟฟ้าทั้งหมด

แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่กำลังเปลี่ยนอุตสาหกรรมไฟฟ้า นั่นคือ โรงไฟฟ้าจากน้ำตก ไนแองการ่า มันคือการเปลี่ยนพลังจากสายน้ำให้กลายเป็นไฟฟ้า และ มันต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าขนาดยักษ์ครั้งนี้ ซึ่งดูเหมือน Morgan นั้นจะสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจดังกล่าว เพราะเขายังไม่ยอมแพ้กับอุตสาหกรรมไฟฟ้า

โครงการยักษ์ที่ไนแองการ่า
โครงการยักษ์ที่ไนแองการ่า

ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับ ที่บิดาของเขาอย่าง Junious Morgan นั้นได้เผอิญเสียชีวิตจากการประสบอุบัติเหตุ ซึ่งมันทำให้ทรัพย์สินมาตกที่ J.P Morgan ทันที และตอนนี้เงินมันก็เพียงพอที่เขาจะไปลงทุนในโปรเจคใหญ่ของบริษัทไฟฟ้าน้ำตกไนแองการ่า ซึ่งจะมีการประมูล โดยตอนนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใช้ไฟฟ้ากระแสตรง หรือ ไฟฟ้ากระแสสลับ

มันเป็นโปรเจคที่ใหญ่มาก ๆ โรงไฟฟ้าน้ำตกไนแองการ่านั้น จะสามารถรองรับความต้องการไฟฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริการได้ทั้งหมด ซึ่งการที่ Morgan จะชนะการแข่งขันนี้ได้ ก็ต้องกำจัดคู่แข่งที่สำคัญของเขา เทสลา เสียก่อน

มันถึงเวลาที่ J.P Morgan ต้องเล่นบทโหดในฐานะพ่อมดการเงิน บริษัทของ Westinghouse ที่เป็นผู้ลงทุนหลักของ เทสลา กำลังพบกับปัญหาเรื่องการเงิน  Morgan จึงใช้ความรู้ทางด้านการเงินพยายาม ดิสเครดิต ฝั่งของ Westinghouse เพราะเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อ Wallstreet  มันทำให้เกิดปัญหาทันทีกับ Westinghouse ผู้คนต่างเทขายหุ้นออกมา มันทำให้ Westinghouse แทบจะเกือบล้มละลาย เมื่อไม่สามารถหาเงินทุนมาได้ เขาจึงต้องยอมแพ้ต่อ J.P Morgan 

เทสลา จึงตัดสินใจยกระบบไฟฟ้ากระแสสลับของเขาให้กับ Westinghouse ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ Westinghouse รอดพ้นจากวิกฤติมาได้ เพราะมันทำให้เรื่องสิทธิบัตรที่ เทสลา ถือไว้นั้นหมดไป และสามารถดึงดูดนักลงทุนกลับมาได้ทันที

ในขณะนั้น จะมีการจัดงาน World Fair ที่เมือง ชิคาโก ผู้จัดงานต้องการให้ทั้งเมืองเต็มไปด้วยแสงสว่าง Westinghouse จึงแก้เผ็ด Morgan ด้วยการประมูลด้วยราคาที่ต่ำกว่า Morgan มาก และมันทำให้เขาได้งานยักษ์ใหญ่ครั้งนี้ไป

ระบบไฟฟ้าที่แสดงในงาน นั้นใช้ไฟฟ้ากว่า 200,000 ดวง มันทำให้ทุกคนในงานตกใจเป็นอย่างมาก กว่า 27 ล้านคนที่เข้ามางานนี้จากทั่วโลก ได้เห็นการใช้ไฟฟ้ากระแสสลับของนิโคลา เทสลา และ Westinghouse มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยของไฟฟ้ากระแสสลับ

งาน World Fair ที่ชิคาโก ทำให้ทั่วโลกได้เห็นพลังของไฟฟ้ากระแสสลับ
งาน World Fair ที่ชิคาโก ทำให้ทั่วโลกได้เห็นพลังของไฟฟ้ากระแสสลับ

และมันยังส่งผลกระทบไปถึงงานที่โรงงานไฟฟ้าไนแองการ่า อีกด้วย มันจะกลายเป็นโรงไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และผลก็ยังคงเหมือนเดิม เมื่อ Westinghouse นั้นสามารถเอาชนะการประมูลไปได้อีกครั้ง มันทำให้ Morgan นั้นพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ฝันของเขากำลังพังทลาย

แต่ในวิกฤตินั้นย่อมมีโอกาสอยู่เสมอ เขาหันมาใช้วิธีใหม่ มันเป็นบทเรียนที่บิดาเขาเคยสอนไว้ เขาเริ่มพุ่งเป้าไปที่ Westinghouse ก่อน โดยจัดการฟ้องร้องเรื่องสิทธิบัตรของไฟฟ้ากระแสสลับ ที่มีปัญหาอยู่เพราะมันอาจจะมีส่วนนึงที่มาจาก Lab ของ Edison เพราะเทสลา นั้นเดิมเคยเป็นผู้ช่วยของ Edison ซึ่งอาจจะใช้ความรู้ที่ได้จาก Lab ของ Edison ไปพัฒนาไฟฟ้ากระแสสลับ

ซึ่งเมื่อ Westinghouse เจอหมัดนี้ไป ก็ถึงกับไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว เพราะหากมีการฟ้องร้องกัน ต้องใช้เงินจำนวนสูงมากอย่างแน่นอน มันจึงเป็นตัวบีบบังคับเขาให้ยอมแพ้แก่ J.P Morgan 

ส่วนไฟฟ้ากระแสตรงของ Edison นั้นมันถือเป็นความล้มเหลวที่มากที่สุดครั้งนึงของ Edison เลยก็ว่าได้ Morgan จึงได้เริ่มหาวิธีในการยึดบริษัท Edison Electic มาไว้กับตัวเองแทน ด้วยกลยุทธ์ทางด้านการเงินเหมือนเคย

เมื่อสามารถยึดบริษัทได้สำเร็จก็ได้ทำการเปลี่ยนชื่อจากบริษัท Edison Electric ให้กลายมาเป็น General Electric หรือ G.E ที่อยู่ยงคงกระพันมาจนถึงยุคปัจจุบันนั่นเอง มันทำให้ General Electric กลายเป็นบริษัทด้านไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดทันที และเปลี่ยนจากการใช้ไฟฟ้ากระแสตรงของ Edison ให้กลายเป็น ไฟฟ้ากระแสสลับที่จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน

General Electric หรือ G.E. ที่อยู่ยงคงกระพันมาจนถึงปัจจุบัน
General Electric หรือ G.E. ที่อยู่ยงคงกระพันมาจนถึงปัจจุบัน

ถึงตอนนี้ General Electric กำลังจะกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา ตอนนี้ Morgan ได้ควบคุมอุตสาหกรรมไฟฟ้าทั้งหมดได้สำเร็จ ตอนนี้ J.P Morgan จึงก้าวขึ้นมาเทียบเคียงกับ Rockefeller และ Andrew Carnegie ได้สำเร็จแล้ว ฝันของเขากำลังจะเป็นจริงแล้วในอุตสาหกรรมใหม่อย่างไฟฟ้า

แต่เป้าเหมายของ Morgan นั้นยิ่งใหญ๋กว่านั้น เพราะเขามีอิทธิพลในด้านการเงินใน WallStreet ในวิกฤติเศรษฐกิจของอเมริกา Morgan นั้นให้ประเทศกู้เงินกว่า 3,000 ล้านเหรียญ เพื่อไม่ให้การคลังของประเทศเกิดภาวะล้มละลาย เขารักประเทศมากกว่าใครในบรรดาผู้มีอิทธิพลทั้งหมด

Rockefeller นั้นรู้สึกกดดันมากที่สุด เพราะไฟฟ้ากำลังเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมไปแล้ว มันทำให้สถานการณ์ของน้ำมันก๊าซนั้นแย่ลงเรื่อย ๆ เขาต้องหาสิ่งที่มาแทนน้ำมันก๊าซโดยด่วนที่สุด และมันอยู่ใกล้ตัวเขาเพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น

Rockefeller เริ่มสนใจสิ่งที่เหลือจากการกลั่นน้ำมัน ที่ถูกทิ้งมาตลอดหลายปี มันคือของเหลวติดไฟง่าย ที่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสารตัวนี้คือ แก๊สโซลีน ตอนนั้นยังไม่มีใครใช้ประโยชน์จากมัน

Rockefeller จึงได้ว่าจ้างทีมนักวิทยาศาสตร์เข้ามาเพื่อหาประโยชน์จากสารพิษ ชนิดนี้ ตอนแรกนั้นพวกเขาได้นำไปทำผลิตฑ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่าง ขี้ผึ้งสังเคราะห์ หรือ ปิโตรเลียมเจล แต่ Rockefeller นั้นคิดว่า แก๊สโซลีน นั้นน่าจะมีประโยชน์มากกว่านั้น

มันเหมือนโชคชะตาลิขิตให้เขาต้องยิ่งใหญ่เหมือนทุก ๆ ครั้งของ Rockefeller เขาเริ่มใช้เครื่องยนต์ที่หันมาใช้แก๊สโซลีน สำหรับเครื่องจักรของเขาในโรงงานผลิตน้ำมัน ซึ่งมันได้ผลที่ดีอย่างเห็นได้ชัด และสุดท้ายมันได้เริ่มกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการใช้เครื่องยนต์แก๊สโซลีนกับโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วอเมริกา ตอนนี้เขากำลังมองเห็นโอกาสของอุตสาหกรรมน้ำมันใหม่อย่างแก๊สโซลีนเข้าให้แล้ว

นำแก๊สโซลีนมาใช้ในเครื่องจักรโรงงานก่อน หลังจากทิ้งมันมานาน
นำแก๊สโซลีนมาใช้ในเครื่องจักรโรงงานก่อน หลังจากทิ้งมันมานาน

ส่วน J.P Morgan นั้นเขาได้เริ่มมองหาวิธีอื่นในการทำงาน โดยอาศัยโมเดลธุรกิจจากบิดาของเขา เขาได้สร้างกลยุทธ์ทางการเงินที่ก้าวหน้ามาก ๆ ขึ้นมา เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า morganization ซึ่งคือการเข้าครอบครองบริษัทที่แข่งขันกันอยู่ เพื่อให้เหลือบริษัทเดียว เพื่อผลกำไรที่สูงที่สุด

ซึ่งไม่นาน Carnegie และ Rockefeller  ก็ใช้หลักวิธีการเดียวกันนี้ ในการจัดการบริษัท เพื่อผลกำไรสูงสุด มันคือยุคทองของระบบทุนนิยม ตอนนั้นไม่มีคนจากรัฐบาลมาจับตามองพวกเขา จึงไม่มีอุปสรรคใด ๆ ของเหล่าผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ในการจะทำอะไรก็ได้ ความแตกต่างระหว่างคนจน กับคนรวยมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราที่น่าตกใจมาก ๆ 

มันเป็นย่างก้าวที่ผิดพลาดของระบอบเศรษฐกิจอเมริกา มันคือการผูกขาดจากผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ที่แข่งขันกันอยู่ ซึ่งกำลังแข่งกันเพื่อทำกำไร และสร้างความมั่งคั่ง พวกเขากำลังครองครองประเทศนี้อยู่

ประชาชนเริ่มไม่พอใจพวกเศรษฐีเหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ มีนักการเมืองเข้ามาร่วมด้วย เพื่อจะร่างกฏหมายด้านการผูกขาดเพื่อจัดการผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ และตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เหล่าผู้มีอิทธิพลทั้งสาม อย่าง John D.Rockefeller , Andrew Carnegie และ J.P Morgan นั้นต้องร่วมมือกัน พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายอาณาจักรของพวกเขาได้ พวกเขาต้องพักการแข่งขันลงชั่วคราว และหันมาร่วมมือกันเพื่อแผนการครั้งใหญ่

ถึงตอนนี้เรื่องราวกำลังเข้มข้น สุดท้ายทั้งสามผู้ยิ่งใหญ่ก็ต้องมาร่วมมือกันเป็นครั้งแรกเพื่อป้องกันอาณาจักรของพวกเขาไม่ให้พังทลาย แล้วแผนที่ว่านั่นคืออะไร ? และขณะที่ทั้งสามกำลังกอบโกยความมั่งคั่งอยู่ นักประดิษฐ์รุ่นใหม่นาม Henry Ford ที่กลายเป็นตำนาน ก็กำลังมาเปลี่ยนประเทศอเมริกาอีกครั้ง และมันกำลังจะก้าวสู่ยุคใหม่ของประเทศอเมริกาอย่างเต็มตัว มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับประเทศอเมริกา โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 7 : Theodore Roosevelt

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Cornelius Vanderbilt  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : 
https://www.biography.com/people/jp-morgan-9414735
https://en.wikipedia.org/wiki/J._P._Morgan
https://en.wikipedia.org/wiki/Andrew_Carnegie
https://en.wikipedia.org/wiki/John_D._Rockefeller
https://www.biography.com/people/john-d-rockefeller-20710159
https://www.britannica.com/biography/John-D-Rockefeller
https://www.history.com/shows/men-who-built-america

The Innovators ตอนที่ 5 : Thomas Edison vs Nikola Tesla

สถานการณ์หลังจากการนองเลือดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงของโรงงานอุตสาหกรรมในอเมริกา มันทำให้ตอนนี้ Carnegie อยู่ในสภาพหลังพิงฝา มันทำให้ อาณาจักรเหล็กกล้าของเขากำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งมันคือความพยายามที่เขาอุตส่าห์สร้างมาเกือบทั้งชีวิต ตอนนี้มันกำลังจะพังทลายลง

ด้วยความหวังที่เขาจะได้กู้ชื่อเสียงกลับคืนมาให้เร็วที่สุด ทำให้ Carnegie ต้องรีบเดินทางกลับจากสก็อตแลนด์ และตรงไปยังเมืองพิตต์สเบิร์ก ทันที

แม้เฮนรี่ ฟลิกซ์ จะรอดจากการถูกลอบสังหารมาได้ ทำให้เพียงไม่กี่วันหลังจากพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเขาก็ได้กลับเข้าไปทำงานที่ Carnegie Steel อีกครั้ง พร้อมกับความแค้นอย่างเต็มเปี่ยม ที่เขาได้ถูกลอบสังหารจากกลุ่ม Anarchy แต่ Carnegie นั้นรู้ดีว่ามันเป็นเพราะที่เขาอนุญาติให้ เฮนรี่ ฟลิกซ์ ทำทุกอย่าง เหตุการณ์มันจึงบานปลายจนกลายเป็นการนองเลือด

มันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง Carnegie กับ ฟลิกซ์นั้นแย่ลงทันที และมันถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงแล้วเสียที ฟลิกซ์นั้นปฏิเสธที่จะรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอ้างว่า Carnegie เองนั้นก็เป็นเบื้องหลังของการตัดสินใจดังกล่าว

แต่ตอนนี้สิ่งที่ท้าทายที่สุดของ Carnegie ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัญหาภายในอีกแล้ว ตอนนี้ภัยคุกคามใหม่จากภายนอกกำลังเกิดขึ้น J.P Morgan เป็นนักการธนาคาร ที่ร่ำรวยขึ้นมาจากการเข้าไปในอุตสาหกรรมที่มีปัญหา 

และทำการซื้อบริษัทที่ใกล้จะล้มเต็มที แล้วมาบริหารงานใหม่ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นบริษัทที่ทำกำไรอีกครั้ง เขาเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตของสหรัฐอเมริกา และที่สำคัญยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการการเงินในประเทศอเมริกา

Morgan นั้นได้เข้าซื้อหลายบริษัทของอุตสาหกรรมรถไฟที่มีปัญหา  และทำให้มันมีกำไรอีกครั้ง ด้วยการกำจัดคู่แข่งที่ไม่จำเป็นออกไป  J.P Morgan นั้นมีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมในการเข้าซื้อคู่แข่งที่กำลังแข่งขันกัน โดยจะเป็นการเข้าไปยื่นข้อเสนอเพื่อให้ทุกฝ่ายยุติการแข่งขันลง มันทำให้เขานั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ 

J.P Morgan พ่อมดทางการเงิน
J.P Morgan พ่อมดทางการเงิน

ตอนนี้ Andrew Carnegie เริ่มที่จะหวาดกลัวว่าเขาจะเป็นเป้าหมายต่อไปของ Morgan เขาจึงไม่มีทางเลือกมากนัก เขาจึงได้ทำการยกเลิกสัญญากับ เฮนรี่ ฟลิกซ์ ทันทีเพื่อไม่ให้ทุกอย่างมันบานปลายไปมากกว่านี้

หลังจากนั้น Carnegie ก็ได้เริ่มพยายามที่จะฟื้นฟูกิจการเหล็กกล้าของเขาให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ขณะที่ในอีกฝั่งหนึ่ง J.P Morgan ก็ยังคงมองหาบริษัทที่กำลังจะล้ม โดยใช้ทรัพย์สินจากบิดาของเขาที่ได้สร้างไว้

Junius Morgan ผู้ซึ่งเป็นบิดาของ J.P Morgan นั้น เป็นผู้ก่อตั้งหนึ่งในธนาคารเพื่อการลงทุนในสมัยใหม่แห่งแรกของอเมริกา  ซึ่งได้สร้างอาณาจักรทางการเงิน ซึ่งภายหลังได้ถูกเรียกว่า House of Morgan ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาถึง J.P Morgan นั้นมองว่าอุตสาหกรรมทางด้านการเงินนั้นจะเป็นตัวขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา

ตั้งแต่ J.P Morgan ยังเป็นเด็ก เขาได้ถูกสั่งสอนจากบิดาของเขาว่า วิธีการเดียวที่จะทำธุรกิจ นั่นคือการลงทุนด้วยเงินของคนอื่น เพื่อที่จะสร้างผลกำไรให้กับตัวเอง 

Junius Morgan นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ชอบควบคุมทุกสิ่ง แม้กระทั่งลูกของตัวเอง มันทำให้ J.P Morgan ไม่เคยถูกละสายต่อจากบิดาของเขาเลย ตั้งแต่เยาว์วัย แม้จะทำให้ ตัว J.P Morgan นั้นรู้สึกอึดอัด แต่มันเป็นการสั่งสมประสบการณ์มาให้เขาตั้งแต่เยาว์วัย

จนเมื่ออายุได้ 40 ปี  J.P Morgan เริ่มคิดที่จะสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา และมันเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาเริ่มมีปัญหากับ บิดาของเขาอย่าง Junius Morgan เขาเริ่มคิดว่าเขามีดีพอที่จะสร้างธุรกิจด้วยตัวเอง และคิดว่าเขาสามารถทำได้ดีกว่าบิดาของเขาด้วยซ้ำ

เขาไม่ได้แค่เพียงต้องการที่จะซื้อธุรกิจต่าง ๆ เท่านั้น แต่เขายังต้องการสร้างธุรกิจจริง ๆ ขึ้นมาด้วยที่ไม่ใช่แค่เพียงด้านการเงิน ด้วยตัวของเขาเอง เขาเห็นตัวอย่างทั้งจาก Andrew Carnegie และ John D.Rockefeller พวกเขาเหล่านี้สร้างอาณาจักรขึ้นมาโดยเริ่มต้นจากการที่ไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ เขาอยากจะเป็นรายถัดไปที่ทำได้

ซึ่งการที่จะได้เช่นนั้น J.P Morgan ต้องทำการค้นหานวัตกรรมใหม่ที่จะมาช่วยเขาได้ เขาได้เริ่มควานหาไปทั่วประเทศ จนไปเจอหนึ่งในนักประดิษฐ์ที่โด่งดังที่สุดในโลก นั่นก็คือ  Thomas Edison

Morgan มาพบกับนักประดิษฐ์ชื่อก้องโลกอย่าง Thomas Edison
Morgan มาพบกับนักประดิษฐ์ชื่อก้องโลกอย่าง Thomas Edison

Thomas Edison นั้นเป็นนักประดิษฐ์และคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ที่ได้โด่งดังขึ้นมาตั้งแต่สมัยอายุยังน้อย เขาเริ่มสร้างชื่อด้วยการทำให้โทรเลขสมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะหันมาประดิษฐ์เครื่องบอกราคาหุ้น และเครื่องเล่นจานเสียง ซึ่งตลอดชีวิตของเขา เขาได้จดสิทธิบัตรไปกว่า 1,000 ฉบับ

และเมื่ออายุครบ 31 ปี Thomas Edison กำลังจะได้พบกับนวัตกรรม ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา มันเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวอเมริกา และ ชาวโลกไปตลอดกาล 

Edison นั้นมีความสามารถในการมองสิ่งต่าง ๆ และหาทางพัฒนามันขึ้นมา ในแบบที่ไม่มีใครที่จะคิดว่าจะใช้ประโยชน์ จากมันได้ มันมีสิ่งประดิษฐ์หนึ่งที่เตะตา J.P Morgan สิ่ง ๆ นั้นคือ หลอดไฟ และไฟฟ้าที่เป็นแหล่งพลังงานของมัน

หลอดไฟ และไฟฟ้า สิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล
หลอดไฟ และไฟฟ้า สิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล

แสงสว่างจากไฟฟ้า กำลังจะมาปฏิวัติโลก มันกำลังจะมาเปลี่ยนความเป็นอยู่ของมนุษย์ไปตลอดกาล J.P Morgan เล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยี ที่จะเป็นนวัตกรรมครั้งใหม่นี้ และมันถึงโอกาสของเขาที่จะได้สร้างตำนานบทใหม่ขึ้น แบบที่ Rockefeller หรือ Carnegie เคยทำได้สำเร็จมาแล้ว

คนส่วนใหญ่นั้นจะยุ่งอยู่กับการมองโลกภายนอก แทนที่จะหันมามองสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว  ในฐานะนักลงทุนแล้ว ถ้ามองกลับมาอาจจะพบกับบางสิ่งที่ประชาชนต้องการ  แต่นั่นก็ต่อเมื่อนักลงทุนเหล่านี้มีความกล้าที่จะสนับสนุนมัน หรือสร้างมันขึ้นมา ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่ J.P Morgan ได้ลงมือทำ

 Morgan ได้พิจารณาที่จะลงทุนในบริษัทของ Thomas Edison ในหลอดไฟที่เพิ่งถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ เขาจึงได้ทดสอบด้วยการจ้าง Edison ไปติดหลอดไฟที่บ้านของเขา ในนิวยอร์ก 

บางครั้งนั้นการที่จะทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อะไรก็ตาม มันก็ต้องทดลองด้วยตัวเองก่อน หลอดไฟนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความอันตรายจากกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องใหม่มาก ๆ ในสมัยนั้น การที่จะขายให้ผู้อื่นได้นั้น J.P Morgan ก็ต้องทดลองด้วยตัวเองก่อนว่ามันดีจริง และไม่เป็นอันตราย 

บ้านของ J.P Morgan จึงได้กลายมาเป็นสถานที่ทดลองให้กับ Thomas Edison ในการทดลองไฟฟ้า Edison ได้ติดตั้งเครื่องปั่นไฟเล็ก ๆ ไว้ในบ้านของ Morgan เขาได้เดินสายไฟกว่า 4,000 ฟุต ไปรอบบ้านของ Morgan และติดตั้งหลอดไฟที่ใช้ไฟฟ้าไปเกือบ 400 ดวง 

หลังจากที่ได้ลองผิดลองถูกอยู่หลายเดือน ในที่สุดบ้านหลังนี้ ก็พร้อมแล้วที่จะถูกแสดงให้สาธารณชนได้เชยชม มันเป็นเทคนิคการขายที่สร้างสรรค์มาก Morgan ได้เชิญชวนเหล่าเพื่อน ๆ ของเขา รวมถึงบิดาของเขาเพื่อมาชมความมหัศจรรย์ของแสงสว่างจากไฟฟ้าเป็นครั้งแรก และมันจะทำให้เขาและ Edison ขึ้นไปอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมใหม่

มันทำให้หลาย ๆ คนที่เข้ามาชมถึงกับอึ้ง คิดว่ามันเป็นมายากลด้วยซ้ำ เพราะคนเหล่านี้ต่างไม่รู้ว่ามันทำงานยังไง และที่สำคัญไฟฟ้า เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นอีกด้วย มันยิ่งทำให้พวกเขาตื่นตะลึงกับนวัตกรรมใหม่ชิ้นนี้เป็นอย่างมาก

มันเป็นงานที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทุก ๆ คนที่เข้ามาต่างอยากได้ไฟฟ้ามาติดที่บ้าน และเพียงไม่นาน ไฟฟ้ากลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนชั้นสูงในประเทศ ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่ง John D.Rockefeller 

แสงไฟส่องสว่างทั่วนิวยอร์ก มันเป็นภัยคุกคามใหม่ของ Rockefeller
แสงไฟส่องสว่างทั่วนิวยอร์ก มันเป็นภัยคุกคามใหม่ของ Rockefeller

Rockefeller กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในประเทศอเมริกา เนื่องมาจากการขายน้ำมันให้เหล่าผู้คนจุดตะเกียงโดยใช้น้ำมันก๊าซ ไฟฟ้ามันกลายเป็นภัยคุกคามสำหรับเขาแล้ว เขารู้ดีว่า ไฟฟ้ามันมีศักยภาพพอที่จะมาแทนน้ำมันก๊าซ แหล่งรายได้หลักของเขาได้ หากได้รับความนิยม

ถึงตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว ที่ J.P Morgan จะได้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกคนใหม่ เหมือนอย่างที่ Carnegie และ Rockefeller ทำได้สำเร็จ เขามั่นใจว่าไฟฟ้า จะเป็นอนาคตใหม่ของชาวอเมริกา รวมถึงชาวโลก

สำหรับ J.P Morgan แล้วนั้น โอกาสแบบนี้มันแทบจะไม่มีอีกแล้ว มันคุ้มที่จะเสี่ยงเป็นอย่างมาก เขาจึงได้ทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้กับไฟฟ้า แม้บิดาเขาจะเตือนว่ามันเป็นธุรกิจที่เสี่ยงก็ตาม แต่เขาก็ต้องยอมขัดใจบิดาของเขา แม้มันจะยังไม่มีอะไรแน่นอน เพราะยังไม่ถูกนำมาใช้อย่างจริงจัง

มันไม่มีความสำเร็จอะไรที่ไม่มีความเสี่ยง มันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้นำ หรือ นักธุรกิจชั้นยอด นั้นมีความแตกต่างจากคนอื่น ๆ ทั่วไป โดย Morgan ได้ให้เงินแก่ Edison กว่า 22 ล้านเหรียญ (เทียบกับค่าเงินปัจจุบัน) และได้เริ่มสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมาในชื่อ บริษัท Edison Electric Light

มันเป็นความเสี่ยงครั้งสำคัญของ Morgan มันเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ยังไม่มีความแน่นอน แต่ Morgan กลับมาว่ามันเป็นโอกาส ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครมองเห็นมัน 

Edison ได้สร้างโรงปั่นไฟฟ้ากลางแห่งแรกของโลกขึ้นมาในเมืองนิวยอร์ก มันเป็นนวัตกรรมที่ไฮเทค เป็นอย่างมาก มันประกอบด้วยเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ที่สามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับบ้านหลายพันหลังทั่วเมืองนิวยอร์ก

โรงปั่นไฟแห่งแรกในเมืองนิวยอร์ก
โรงปั่นไฟแห่งแรกในเมืองนิวยอร์ก

อนาคตของไฟฟ้านั้นมันไม่ใช่แค่เป็นเพียงแค่แสงสว่างเท่านั้น แต่มันคือพลังงาน ที่สามารถส่งออกไปได้ในระยะไกล ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เกิดขึ้นมาก่อนของโลกเรา คนงานของ Edison ต้องทำงานข้ามวันข้ามคืน เพื่อสร้างเครือข่ายการส่งไฟฟ้าขึ้นมา โดยส่งผ่านทางใต้ดิน พวกเขาต้องวางเส้นลวดทองแดงขนาดใหญ่ ยาวกว่า 1,000 ฟุต เพื่อเชื่อมโรงไฟฟ้าของ Edison เข้ากับบ้านเรือน รวมถึงแหล่งธุรกิจมากมายทั่วเมืองนิวยอร์ก

ซึ่งโรงไฟฟ้า ของ Edison นี่เองที่เป็นต้นแบบของการจ่ายไฟฟ้าในอเมริกา Edison ไม่เคยทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับสิ่งประดิษฐ์เท่าไฟฟ้าครั้งนี้ และในที่สุดมันก็สำเร็จ โรงไฟฟ้าของ Edison ได้ถูกขับเคลื่อน และมันเริ่มต้นสู่ยุคใหม่ของมนุษยชาติอย่างเต็มตัว ทั้งเมืองกำลังสว่างสไวขึ้นมาเป็นครั้งแรก

และไม่นานโรงจ่ายไฟของ Edison ก็ได้ครอบคลุมพื้นที่กว่าครึ่งนึงของเมืองแมนฮัตตัน แม้กระทั่งไฟข้างถนนก็เริ่มหันมาใช้ไฟฟ้า และบ้านเมืองทั่วทั้งนิวยอร์ก ก็กำลังสว่างไปด้วยไฟฟ้า 

ณ ตอนนี้ J.P Morgan และ Thomas Edison กำลังจะพบกับความมั่งคั่งครั้งใหม่ แต่มันเป็นข่าวร้ายของผู้มีอิทธิพลอันดับหนึ่งของอเมริกาอย่าง Rockefeller ยังไม่มีใครสามารถโค่น Rockefeller ลงไปได้

เมื่อโรงจ่ายไฟฟ้าของ Edison เริ่มขยายตัวจนครอบคลุมพื้นที่เพิ่มมากขึ้น มันก็ทำให้ Rockefeller เริ่มตระหนักว่า อาณาจักรน้ำมันก๊าซ ของเขานั้นเริ่มตกอยู่ในความเสี่ยง บ้านทุกหลังที่ Edison เดินสายไฟให้ มันหมายถึง ลูกค้าที่ต้องเสียไปสำหรับ Rockefeller และมันเริ่มแพร่กระจายไปยังวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ 

Rockefeller จึงต้องเริ่มกลยุทธ์ป้ายสีครั้งสำคัญต่อตลาดไฟฟ้า  ด้วยการป่าวประกาศว่ามันเป็นเทคโนโลยีที่อันตราย มันอาจจะทำให้คนตายได้ เขาได้เริ่มเตือนประชาชนเกี่ยวกับไฟดูด และไฟไหม้ที่ยากต่อการควบคุม 

Rockefeller นั้นรู้ดีว่า หากเขาทำให้ประชาชนกลัวได้ มันก็จะทำให้น้ำมันก๊าซยังเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญต่อประชาชนต่อไป ในการให้แสงส่องสว่างอยู่ แต่ Rockefeller กำลังจะกลายเป็นแค่ปัญหาเล็ก ๆ สำหรับ J.P Morgan เพราะคู่แข่งรายใหม่กำลังปรากฏขึ้น

สงครามสำหรับอนาคตของไฟฟ้า กำลังจะประทุขึ้น และ J.P Morgan กำลังจะกลายเป็นคนแรกที่ได้รับความเสียหายจากสงครามครั้งนี้ Edison นั้นกำลังเพิกเฉยต่อคู่แข่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการออกแบบไฟฟ้าของเขา และที่สำคัญ ชายผู้นั้นก็หนึ่งในผู้ร่วมงานใน LAB ของเขาเอง ซึ่งก็คือผู้ช่วยของเขา นิโคลา เทสลา

ผู้ช่วยที่กำลังจะกลายมาเป็นคู่แข่งคนสำคัญอย่าง นิโคลา เทสลา
ผู้ช่วยที่กำลังจะกลายมาเป็นคู่แข่งคนสำคัญอย่าง นิโคลา เทสลา

นิโคลา เทสลา นั้นสนใจไฟฟ้าตั้งแต่อายุยังน้อย เขาจึงได้มาร่วมงานกับ Thomas Edison และเขาก็ได้นับถือ Edison เป็นอย่างมาก ซึ่งเขาได้เริ่มออกแบบระบบไฟฟ้ากระแสสลับ ซึ่งแตกต่างจาก ที่ Edison ได้สร้างระบบไฟฟ้ากระแสตรงขึ้นมา แต่ Edison นั้นไม่ได้สนใจกับแนวคิดนี้เลยเพราะเขาคิดว่ามันไม่ปลอดภัยเมื่อเทียบกับกระแสตรงที่เขาคิดค้นขึ้น

เทสลา จึงได้ซุ่มพัฒนาระบบไฟฟ้ากระแสสลับขึ้นมา และพัฒนามันอย่างต่อเนื่อง แต่มันเป็นกระแสไฟฟ้าแรงดังสูงเมื่อเทียบกับกระแสตรงของ Edison ซึ่งมีความอันตรายสูงกว่า  และที่สำคัญ Edison นั้นแทบไม่ได้ให้ความสนใจใด  ๆ เลยด้วยซ้ำ

เทสลา จึงตัดสินใจลาออกจากการทำงานกับ Edison และไปทุ่มเทพัฒนาไฟฟ้ากระแสสลับด้วยตัวเอง และเริ่มมองหานักลงทุนเพื่อมาสนับสนุนแนวคิดไฟฟ้ากระแสสลับของเขา จนได้มาเจอกับ George Westinghouse ที่เป็นนักประดิษฐ์ที่หันเหมาเป็นนักลงทุน

george-westinghouse ผู้ลงทุนคนสำคัญของ นิโคลา เทสลา
george-westinghouse ผู้ลงทุนคนสำคัญของ นิโคลา เทสลา

Morgan และ Edison นั้นอาจจะทำให้นิวยอร์ก สว่างสไวขึ้นมาได้ แต่ Westinghouse และ เทสลา เชื่อว่าพลังของไฟฟ้ากระแสสลับมีประสิทธิภาพมากกว่า และพวกเขากำลังจะพิสูจน์ให้โลกได้เห็น

และมันเหมือนกับการโชว์มายากลของ Morgan และ Edison เทสลาเองนั้นก็ทำในสิ่งเดียวกัน เพื่อแสดงโชว์ ไฟฟ้ากระแสสลับ ให้เหล่าผู้ชมเห็น และพิสูจน์ให้เห็นว่า ไฟฟ้ากระแสสลับนั้นปลอดภัย  เทสลาได้เดินทางไปทั่วประเทศเพื่อไปโชว์ไฟฟ้ากระแสสลับที่วิ่งผ่านตัวเขา มันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างมากในสมัยนั้น มันยิ่งกว่า การแสดงโชว์ไฟครั้งแรกของ Morgan และ Edison เสียอีก

ไฟฟ้ากระแสสลับที่วิ่งผ่านตัวเขาทำให้คนเชื่อว่ามันปลอดภัย
ไฟฟ้ากระแสสลับที่วิ่งผ่านตัวเขาทำให้คนเชื่อว่ามันปลอดภัย

และมันทำให้มีคำสั่งซื้อเข้ามามากมายทันที เขาคือยักษ์ใหญ่รายใหม่ และเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ Morgan และ Edison ทันที ตอนนั้น Morgan นั้นตกอยู่ในสภาพกระอักกระอ่วนทันที 

มันเริ่มเป็นศึกสงครามระหว่างขั้วของไฟฟ้ากระสลับ และ กระแสตรงทันที และสุดท้ายมันต้องเหลือรอดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น มันทำให้ Edison เกิดความกดดันมาก ๆ ในการแข่งขันครั้งนี้ เพราะไฟฟ้ากระแสสลับกำลังเริ่มเป็นที่นิยมในวงกว้างอย่างรวดเร็ว

J.P Morgan นั้นเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่มีบุคลิกที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก เขามีสายตาที่แข็งกร้าว หัวจิตหัวใจที่มุ่งมั่น ที่สำคัญยังฉลาดเป็นกรด แถมยังชอบสั่งการอีกด้วย Edison จึงต้องเริ่มพิสูจน์ว่าไฟฟ้ากระแสตรงนั้นเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด และเริ่มใช้กลยุทธสกปรกในการโจมตีไฟฟ้ากระแสสลับของ เทสลา 

มีการนำสัตว์มาทดลอง โดยให้ช็อตโดยไฟฟ้า กระแสสลับ ทำให้มีสัตว์ตายไปเป็นจำนวนมาก และเริ่มป่าวประกาศ ทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ไฟฟ้ากระแสสลับเป็นสิ่งที่อันตรายสุด ๆ ประชาชนไม่ควรใช้มันอย่างยิ่ง 

ทดลองกับสัตว์เพื่อโชว์ให้เห็นความน่ากลัวของกระแสสลับ
ทดลองกับสัตว์เพื่อโชว์ให้เห็นความน่ากลัวของกระแสสลับ

แต่มันดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความร้อนแรงของไฟฟ้ากระแสสลับของ เทสลาได้ ระหว่างที่ถูกกดดันโดย J.P Morgan อย่างรุนแรง Edison ก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งที่ถือเป็นโอกาสที่สำคัญของเขา ตอนนั้นเรือนจำของนิวยอร์กกำลังหาวิธีใหม่มาใช้แทนการแขวนคอนักโทษที่ถูกสั่งประหารชีวิต

การแควนขอ เหล่าผู้คนมองว่ามันเป็นความโหดเหี้ยม และใช้มาเนิ่นนานตั้งแต่ยุคกลางแล้ว มันเป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรม และไฟฟ้าอาจจะเป็นทางเลือกใหม่ที่มีประโยชน์ก็ได้ Edison ได้ออกแบบเครื่องสังหารใหม่ ที่จะใช้กับนักโทษประหาร ที่เรียบง่าย แต่มันก้าวหน้ากว่าการแขวนคอมาก และมันจะเปลี่ยนรูปแบบการประหารชีวิตที่มีมาตั้งแต่ยุคกลางไปตลอดกาล

ต้องบอกว่าถึงตอนนี้ ศึกระหว่างสองขั้ว ไฟฟ้ากระแสตรง และ กระแสสลับนั้นกำลังถึงจุดเดือด ใครจะเป็นฝ่ายชนะได้สำเร็จ Edison หรือ เทสลา แล้วการเติบโตที่เริ่มกระจายไปวงกว้างของไฟฟ้าจะส่งผลกระทบต่อ ผู้มีอิทธิพลอันดับหนึ่่งของอเมริกาอย่าง Rockefeller อย่างไร Standard Oil จะถึงจุดจบเลยหรือไม่? อย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 6 : Rockefeller vs Carnegie vs Morgan

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Cornelius Vanderbilt  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : 
https://www.biography.com/people/jp-morgan-9414735
https://en.wikipedia.org/wiki/J._P._Morgan
hhttps://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_Edison
https://www.history.com/topics/inventions/thomas-edison
https://en.wikipedia.org/wiki/Nikola_Tesla
https://www.britannica.com/biography/Nikola-Tesla
https://www.history.com/shows/men-who-built-america

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

The Innovators ตอนที่ 4 : Carnegie vs Rockefeller

Carnegie บริจาคเงินกว่าหลายล้านเหรียญเพื่อช่วยกู้เมือง JohnTown เขาได้เริ่มสร้างอนุสรณ์ต่าง ๆ ขึ้นทั่วประเทศ เพื่อชดเชยสิ่งที่เขารู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งในความผิดพลาดที่ร้ายแรงครั้งนี้ มันยังเป็นภาพหลอกหลอนเขาอยู่เสมอกับเหตุการณ์ที่ JohnTown

เขาได้เริ่มสร้างอนุสรณ์ในนิวยอร์ก อย่าง Carnegie Hall ซึ่งมันคือ เวทีศิลปะการแสดงใหม่ของนิวยอร์ก สำหรับคนชั้นสูงและเหล่าคนดัง งานเปิดตัวนั้น John D.Rockefeller เข้ามาร่วมงานด้วย ซึ่งการที่มีชื่อของ Carnegie ในเรื่องการสร้าง Hall ดังกล่าวนั้น มันทำให้การแข่งขันของทั้งคู่ขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่ง

Carnegie Hall สัญลักษณ์กลางเมืองนิวยอร์ก
Carnegie Hall สัญลักษณ์กลางเมืองนิวยอร์ก

ตลอดอีก 10 ปีผ่านไป ทั้งคู่ส่งของขวัญตอบโต้กันในวันคริสมาสต์ ตัวอย่างเช่น Rockefeller ส่งเสื้อกระดาษราคาถูกไปให้ Carnegie เพื่อตอกย้ำถึงภูมิหลังในการเป็นผู้อพยพที่ยากจน ขณะที่ Carnegie ก็ตอบโต้ด้วยการส่ง วิสกี้ อย่างดีไปให้ Rockefeller ที่เป็นคนเคร่งศาสนาและไม่ดื่มเหล้า 

ขณะที่อาณาจักรน้ำมันของ Rockefeller กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหล็กก็เป็นที่นิยมอย่างมากในการก่อสร้าง และธุรกิจของ Carnegie ก็กำลังไปได้สวย เหล็กกล้าของ Carnegie ช่วยทำให้เมืองต่าง ๆ ในอเมริกา เริ่มขยายขึ้นไปในแนวดิ่ง ถ้า Carnegie อยากแซงหน้า Rockefeller นั้น เขาต้องทำกำไรให้ได้มากกว่านี้และเขาอาจจะต้องชดใช้ในความพยายามของเขา และสูญเสียทุกอย่างจากความทะเยอทะยานของเขาที่มีมากเกินไป 

การที่จะก้าวแซง Rockefeller ได้นั้น Carnegie จะทำเพียงธุรกิจเหล็กกล้าเพียงเดียวมันคงไม่ได้ เขาต้องหาวิธีการสร้างกำไรให้สูงสุดด้วย และเขาก็เริ่มหันหาตัวช่วย หลังจากความพยายาหลายปีของเขาไม่สำเร็จเสียที เขาจึงได้หันไปหาโรงเหล็กกล้าแห่งนึงที่กำลังมีปัญหานอกเมือง พิตต์สเบิร์ก

เขาต้องการสร้างโรงเหล็กใหม่ ที่มีขนาดใหญ่โตที่สุด เท่าที่เขาเคยสร้างมา เขาจึงได้ทำการลงทุนไปกว่าหลายล้านเหรียญ เปลี่ยนโรงเหล็กที่มีปัญหานี้ ให้กลายเป็นโรงเหล็กที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่เขาเคยสร้างมา โรงเหล็กที่ชื่อว่า Homestead Steel Works นั้น กลายเป็นสิ่งก่อสร้างของ Carenegie ที่ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยสร้างมานับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจเหล็กกล้า

โรงงานเหล็กที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ Carnegie เคยสร้างมา Homestead Steel work
โรงงานเหล็กที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ Carnegie เคยสร้างมา Homestead Steel work

ต้นทุนด้านแรงงานนั้นเป็นต้นที่สำคัญ โดยเฉพาะสำหรับโรงงานเหล็กกล้าอย่าง Homestead Steel Works การที่เขาจะได้กำไรเพิ่มมากขึ้นนั้น เขาจำเป็นต้องลดต้นทุน ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีเครื่องจักร หรือ หุ่นยนต์ เหมือนในปัจจุบัน การจะลดต้นทุนนั้นมีทางเดียว คือ ลดค่าแรงลง และเพิ่มเวลาทำงานให้กับเหล่าแรงงานทั้งหลาย 

แต่เนื่องด้วยภาพลักษณ์ที่เสียไปในกรณี อุตบัติภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่เมือง JohnTown มันทำให้ Carnegie ไม่อยากสูญเสียภาพลักษณ์อีกแล้ว การมีปัญหากับแรงงาน มันคงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน 

เขาจึงต้องใช้มือดีอย่าง เฮนรี่ ฟลิกซ์ จอมโหดคนเดิม มาจัดการเรื่องดังกล่าวแทน  โดยมอบตำแหน่งประธานให้กับ ฟลิกซ์ แล้วตัว Carnegie นั้นก็หนีไปอยู่สก๊อตแลนด์ เพื่อให้ เฮนรี่ ฟลิกซ์ นั้นสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่

จอมโหดคนเดิมกลับมาแล้ว
จอมโหดคนเดิมกลับมาแล้ว

ฟลิกซ์ ก็เริ่มใช้ทุกวิถีทางกับคนงานที่ Homestead Steel คนงานต้องทำงาน 12 ชม.ต่อวัน และ 6 วันต่อสัปดาห์ มันเป็นสภาพการทำงานที่สุดโหด ตอนนั้นมันยังไม่มีกฏหมายแรงงาน ซึ่งมันเปิดช่องให้เหล่าเจ้าของธุรกิจ จะทำอย่างไรกับแรงงานก็ได้

ต้องบอกว่า การทำงานในโรงเหล็ก 12 ชม.ต่อวันนั้นมันแทบจะเป็นเรื่องทีทำได้ยาก จึงมีคนงานหลายกลุ่มที่เริ่มรวมตัวกันเรียกร้อง เหล่าคนงานเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า และต้องการค่าแรงที่สูงขึ้นกว่าเดิม 

แต่ฟลิกซ์นัั้นกลับเร่งการผลิต ให้คนงานต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งหากมีการประท้วงหรือบอยคอต ขึ้นมานั้น ฟลิกซ์ ก็ยังมองว่ามันอาจจะทำให้เขามีเหล็กกล้าพอที่สต๊อคไว้อยู่ และในที่สุดมันก็ถึงจุดเดือดของคนงาน

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในโรงงานเริ่มเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และในที่สุดมันก็ทำให้มีคนงานเสียชีวิต มันเป็นเหตุให้เกิดการรวมตัวกันของคนงานที่เริ่มจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว 

ฟลิกซ์ ที่ได้รับความเห็นชอบจาก Carnegie จึงประกาศให้เหล่าคนงานทราบโดยทั่วกันว่าบริษัทจะไม่ร่วมเจรจาด้วย และจะไม่มีการปรับปรุงสภาพการทำงานเด็ดขาด  มันทำให้เหล่าคนงานเหล็กกว่า 2,000 คน มาปิดกั้นอยู่ข้างหน้าโรงงาน เพื่อป้องกันฟลิกซ์ ไม่ให้หาใครมาแทนพวกเขา

คนงานรวมกลุ่มกันเพื่อปิดโรงงาน
คนงานรวมกลุ่มกันเพื่อปิดโรงงาน

ฟลิกซ์ นั้นได้ว่าจ้างทหารรับจ้างไว้จัดการเรื่องพวกนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันเริ่มกลายเป็นสงครามเต็มตัวระหว่างเหล่าคนงานกับเฮนรี่ ฟลิกซ์ ทั้งสองฝ่ายต่างมีอาวุธ ตอนนี้การผลิตเหล็กกล้าต้องหยุดลงแล้ว 

เดิมทีนั้น ฟลิกซ์ต้องการให้นำทหารรับจ้างที่มีอาวุธครบมือเหล่านี้ มาใช้เพื่อขู่เท่านั้นและหวังว่าเหล่าคนงานจะถอยไปเอง แต่เขาได้คิดผิดมหันต์ ตอนนี้เหล่าคนงานกว่า 2,000 พร้อมที่จะสู้ พวกเขาไม่มีทางถอยโดยเด็ดขาด

เหล่าทหารรับจ้างเริ่มยิงด้วยกระสุนจริง โดยไม่เกรงกลัวใด  ๆเพราะพวกเขามาจากที่อื่น ไม่ใช่คนพื้นเพแถวนั้น อยู่แล้ว และไม่ได้รู้จักกับเหล่าคนงานเหล่านี้ด้วยซ้ำ บทสรุปคือมันเต็มไปด้วยการนองเลือด มีผู้เสียชีวิต 9 คน และมีอีกจำนวนมากที่บาดเจ็บสาหัส แต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้ จนในที่สุดผู้ว่าการรัฐเพนซิลวาเนีย ต้องส่งทหารตัวจริงมาคลี่คลายสถานการณ์

ภาพจำลองความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
ภาพจำลองความวุ่นวายที่เกิดขึ้น

ประชาชนต่างโกรธกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทุกคนต่างโทษไปที่เฮนรี่ ฟลิกซ์ ที่เป็นฉนวนให้เกิดการนองเลือดครั้งนี้ และต้องมีคนรับผิดชอบกับเรื่องดังกล่าว มันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเรียกร้องความเป็นธรรม ต่อนายจ้างที่ไร้คุณธรรมของอุตสาหกรรมที่กำลังรุ่งเรืองของอเมริกา

มันทำให้ชื่อเสียงของ Carnegie นั้นย่ำแย่ลงไปอีก เพราะมันเป็นโรงงานของเขา เขาต้องเป็นส่วนนึงที่ต้องรับผิดชอบกับเรื่องดังกล่าว มันทำให้ความโกรธของประชาชนที่มีต่อเขาเพิ่มมากขึ้น

มันทำให้เกิดการรวมตัวของคนกลุ่มนึงที่ไม่ชอบความเป็นธรรมแบบนี้ ซึ่งกลุ่มนี้มีชื่อว่า anarchy  ซึ่งจะนิยมใช้ความรุนแรงในการตอบโต้กลับไม่ว่าที่ไหนที่พวกเขามองเห็นความอยุติธรรม และตอนนี้พวกเขากำลังหันเหความสนใจไปที่การสังหารหมู่ใน Homestead Steel ของ ซึ่งพวกเขาก็ได้เข้าไปลอบยิงประธานบริษัท Carnegie Steel อย่าง เฮนรี่ ฟลิกซ์ หวังคร่าชีวิต เพื่อล้างแค้น แต่มันก็ไม่สำเร็จ เฮนรี่ ฟลิกซ์ รอดจากการสังหารมาได้อย่างหวุดหวิด 

ตอนนี้ Andrew Carnegie กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอาณาจักรเหล็กกล้าของเขา หลังมีความพยายามที่จะฆ่าประธานบริษัทของเขาอย่าง เฮนรี่ ฟลิกซ์  ซึ่งในขณะที่ศึกระหว่าง Andrew Carnegie กับ John D.Rockefeller กำลังจะถึงจุดแตกหัก ภัยคุกคามใหม่ มันกำลังจะเกิดขึ้น J.P. Morgan หนุ่มนักการเงินชื่อดัง กำลังร่วมมือกับนักประดิษฐ์ยอดอัจฉริยะอย่าง Thomas Edison ที่กำลังสร้างบางสิ่งบางอย่างที่จะกลายเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกใบนี้ไปตลอดกาล แล้วสิ่ง ๆ นั้นคืออะไร สุดยอดอัจฉริยะอย่าง Thomas Edison จะทำสิ่งใดที่เปลี่ยนโลกเราได้ แล้ว J.P Morgan มาเกี่ยวอะไรด้วย โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : Thomas Edison vs Nikola Tesla

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Cornelius Vanderbilt  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

The Innovators ตอนที่ 1 : Cornelius Vanderbilt

สำหรับ Blog Series ชุดนี้จะเป็นการเล่าเรื่องของ บุคคลที่ยิ่งใหญ่ใน ยุคเริ่มก่อตั้งอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Cornelius Vanderbilt , John D. Rockefeller , Andrew Carnegie , J.P. Morgan ,Thomas Edison จนมาถึง Henry Ford ซึ่งพวกเค้าเหล่านี้ ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น จนสามารถทำให้อเมริการยิ่งใหญ่ได้ถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก แต่ละท่านแทบจะทำธุรกิจ แตกต่างกัน แต่มันผ่านช่วงเวลาต่างๆ  ช่วงเวลาที่ตกต่ำของคนหนึ่ง ก็จะสู่ความรุ่งโรจน์ของอีกคน มันเป็น ประวัติที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับการก่อร่างสร้างตัวของประเทศอเมริกาหลังสิ้นสุดสงครามกลางเมือง

ก่อนอื่นต้องขอย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1865 เพียงไม่นานหลังสิ้นสุดสงครามกลางเมือง ประธานาธิบดีลินคอร์น ได้ถูกลอบสังหาร ประเทศอเมริกาถูกแบ่งแยก มีผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองมากกว่า 600,000 คน แต่หารู้ไม่ว่าประเทศอเมริกากำลังที่จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่

เหล่าผู้มีความคิดสร้างสรรค์ เหล่าอัจฉริยะ ที่กำลังจะเปลี่ยนโลกและอเมริกาแบบที่ไม่เคยมีใครได้พบเห็นมาก่อน  และเพียง 5 ทศวรรษ นับจากวันที่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองของอเมริกา เหล่าอัจฉริยะ ที่เป็น Innovators ต้นแบบของอเมริกันชน กำลังจะมาเปลี่ยนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของอเมริกา ให้ก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่จวบจนถึงปัจจุบัน

และมันเป็นครั้งแรกของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่า ที่ผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดในการนำพาอเมริกา ไม่ได้เป็นนักการเมืองอีกต่อไป เขาเป็นคนที่สามารถสร้างตัวเองขึ้นมาด้วยตัวตนของตัวเอง  และสามารถเปลี่ยนย่านที่ยากจนของนิวยอร์ก ให้กลายเป็นอาณาจักรใหม่ขนาดใหญ่ของเขาจนได้ในที่สุด ซึ่งเขาผู้นั้นคือ Cornelius Vanderbilt

เมื่ออายุได้เพียง 16 ปี Vanderbilt ได้ซื้อเรือโดยสารลำเล็ก ๆ ลำหนึ่งด้วยราคา 100 เหรียญเพื่อมาเริ่มต้นธุรกิจ แต่เพียงไม่นาน เขาก็ได้รู้จักในฐานะนักธุรกิจตัวยง ที่ต้องใช้ทุกวิถีทางในการเอาชนะคู่แข่ง ในยุคนั้นต้องบอกว่าการจะก้าวขึ้นมาจากชนชั้นล่าง ให้กลายมาเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น มันเต็มไปด้วยทั้งโอกาส และที่สำคัญคือการแข่งขัน ที่สูงมาก เพื่อถีบตัวเองให้มาเป็นชนชั้นสูงของอเมริการให้ได้

เริ่มสร้างตัวจากการขนส่งทางเรือ
เริ่มสร้างตัวจากการขนส่งทางเรือ

Vanderbilt นั้นมีจิตใจที่แข็งแกร่ง และชอบการแข่งขัน เขาไม่เคยที่จะยอมใครง่าย ๆ ในทุกเรื่อง ๆ ซึ่งเรือสินค้าทีเขาได้ซื้อมาเพียง 100 เหรียญนั้นเพียงไม่นาน มันได้กลายเป็นกองเรือขนส่งสินค้าจำนวนมาก ทำให้ Vanderbilt ได้โดดเด่นขึ้นมาในแถบนิวยอร์กด้านการขนส่ง จึงถึงกับได้รับฉายาว่า “ผู้บัญชาการกองเรือ”

ซึ่งตลอด 40 ปีให้หลัง มันทำให้ Vanderbilt ได้สร้างอาณาจักรการขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาได้สำเร็จ และหลังจากได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจก่อนสงครามกลางเมือง เขาก็ได้คิดทำสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ การเข้ามาสู่ธุรกิจขนส่งทางรถไฟ มันไม่ใช่ทางรถไฟธรรมดา แต่มันเป็นเป็นทางรถไฟข้ามประเทศ เพราะอเมริกามีพื้นที่ใหญ่โตมหาศาล 

แต่เขามองว่า การสร้างทางรถไฟ จากตะวันออก ไปสู่ทางด้านตะวันตกของอเมริกานั้น มันจะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางข้ามรัฐ ลงไปได้หลายเดือน มันทำให้เกิดอิสระต่อผู้คน แถมยังสามารถขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และราคาถูกที่สุด ตั้งแต่อเมริกา ก่อตั้งประเทศมา 
เขาได้สร้างทางรถไฟกว่า 50,000 ไมล์ เพื่อเชื่อมต่อรัฐต่าง ๆ ของประเทศให้สามารถขนส่งผู้คน หรือสินค้าระหว่างกันได้

ทิ้งธุรกิจขนส่งทางเรือมาลุยกับขนส่งทางรถไฟแบบเต็มตัว
ทิ้งธุรกิจขนส่งทางเรือมาลุยกับขนส่งทางรถไฟแบบเต็มตัว

เขาได้มองเห็นอนาคตทางธุรกิจใหม่ของเขา โดยเขาได้ทำการขายกองเรือทั้งหมดของเขา และนำเงินทั้งหมดมาทุ่มหมดหน้าตักกับกิจการรถไฟ ซึ่งในที่สุดกิจการใหม่ของเขาก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อสิ้นสุดสงครามกลางเมือง มันทำให้ Vanderbilt กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาทันที ซึ่งตอนนั้นมีทรัพย์สินกว่า 68 ล้านเหรียญ หรือเทียบเท่ากับ 75,000 ล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน

แต่แม้จะมีเงินมากเพียงใด หลังสิ้นสุดสงคราม ก็ไม่อาจจะบรรเทาความเจ็บปวดของ Vanderbilt  ได้ เพราะเขาได้เสียลูกชายคือ George Vanderbilt ในช่วงสงครามกลางเมืองอันเลวร้ายของอเมริกา มันเป็นความสูญเสียอย่างมากของ Vanderbilt ผู้พ่อ และเขาก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของเขาต่อไป ซึ่งมันทำให้ธุรกิจการขนส่งทางด้านรถไฟของเขานั้นตกอยู่ในความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง

George นั้นเป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่เขาเชื่อใจ และเขาก็ได้ใช้ความพยายามหลายปีในการเฝ้าฟูมฟัก George เพื่อให้มาดูแลธุรกิจต่อจากเขา แต่สุดท้ายเมื่อ George นั้นไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว มันทำให้ Vanderbilt ต้องให้ William ลูกชายอีกคนที่ไม่เอาไหนมาช่วยดูแลกิจการต่อ

เขาเสียใจอย่างมากหลังจากสูญเสียลูกชายในสงครามกลางเมือง
เขาเสียใจอย่างมากหลังจากสูญเสียลูกชายในสงครามกลางเมือง

และกิจการมันก็เริ่มทรุดลงหลังจากการเข้ามาของ William คู่แข่งนั้นไม่ได้มองว่า Vanderbilt นั้นน่ากลัวอีกต่อไป แต่แม้คู่แข่งนั้นจะเห็นถึงจุดอ่อน แต่ Vanderbilt มองมันเป็นโอกาส และที่สำคัญ มันถึงเวลาที่เขาจะได้สอน William ว่าการต่อสู้ทางธุรกิจนั้นมันเป็น เช่นไร

Vanderbilt นั้นเป็นเจ้าของสะพานข้ามทางรถไฟ ที่มีเพียงเส้นเดียวที่จะมุ่งหน้าสู่มหานครนิวยอร์ก ซึ่งมันมุ่งตรงไปยังท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในขณะนั้น และที่นั่นยังเป็นสถานที่ที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศอีกด้วย และนี่จะเป็นอาวุธเด็ดที่สำคัญที่เขาสามารถที่จะเอาชนะคู่แข่งที่กำลังคิดจะมาแย่งชิงอาณาจักรขนส่งทางรถไฟที่ยิ่งใหญ่ของเขาได้

ซึ่งเมื่อไม่มีสะพานนี้ รถไฟสายอื่น ๆ ของคู่แข่งก็ไม่สามารถที่จะเข้าออกเมือง นิวยอร์ก ได้ มันเป็นกลยุทธ์ที่เหนือชั้นมากในการตัดขาดคู่แข่งไม่ให้เข้ามาสู่นิวยอร์ก และที่สำคัญมันยังทำให้ นิวยอร์ก ถูกตัดขาดจากเมืองอื่น ๆ ซึ่งนี่เป็นกลยุทธ์ที่ Vanderbilt ต้องการบีบให้คู่แข่งตายไปในที่สุด

การปิดสะพานครั้งนี้ของ Vanderbilt ทำให้สินค้าจำนวนมาก ไม่สามารถไปยัง นิวยอร์กได้ และมันทำให้ค่อย ๆ บีบให้คู่แข่งของเขาตายไปในที่สุด ซึ่งเหล่าบริษัทรถไฟคู่แข่งก็ต้องขายหุ้นทั้งหมดออกมา ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนถึง wallstreet ทำให้ผู้คนเทขายหุ้นอย่างหนัก และเมื่อมันร่วงจนถึงจุดต่ำสุด Vanderbilt ก็ได้กว้านซื้อหุ้นเหล่านั้นทั้งหมด และมันทำให้ Vanderbilt กลายเป็นเจ้าของเครือข่ายบริษัทรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาทันที

ไล่ซื้อหุ้นใน wall street เพื่อยึดทั้งหมด
ไล่ซื้อหุ้นใน wall street เพื่อยึดทั้งหมด

และไม่นานหลังจากได้ควบรวมกับกิจการของคู่แข่ง Vanderbilt ก็ได้ขยายอาณาจักรเส้นทางรถไฟของเขา จนครอบคลุมทั่วอเมริกา มันยังได้ช่วยสร้างงานกว่า 180,000 ตำแหน่ง และอาณาจักรของเขาก็ได้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจอเมริกาไปในที่สุด

มันไม่ใช่แค่เพียงการขนส่ง แต่มันยังส่งผลต่อ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วประเทศอเมริกาเฟื่องฟูขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ของอเมริกา

และ Vanderbilt อยากที่จะสร้างสัญลักษณ์บางอย่างเพื่อประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเขา ซึ่งเป็นที่มาของการสร้าง สถานี รถไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น ซึ่งก็คือ ชุมทาง Grand Central กลางมหานครนิวยอร์ก

คนงานหลายพันคน ถูกจ้างเข้ามาเพื่อสร้าง Grand Central ภายในระยะเวลา 2 ปี มันเป็นการก่อสร้างสถาปัตยกรรมที่มีความทะเยอทะยานที่สุดเท่าที่อเมริกาเคยมีมา มันทำให้ Grand Central กลายเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดของมหานครนิวยอร์ก และกลายเป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 22 เอเคอร์ และมันได้มาเปลี่ยนภูมิทัศน์ของนิวยอร์กไปตลอดกาล

สร้างสถานี Grand Central เพื่อเป็นสัญลักษณ์
สร้างสถานี Grand Central เพื่อเป็นสัญลักษณ์

ถึงตอนนี้ต้องเรียกได้ว่า Vanderbilt นั้นได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดเท่าที่สามารถทำได้แล้ว แต่ความทะเยอทะยานของเขายังไม่มีหมด และนี่มันเป็นสาเหตุสำคัญให้เขาตกอยู่ในความเสี่ยง ตอนนั้นเขาสามารถที่จะยึดส่วนแบ่งของเส้นทางรถไฟได้ถึง 40% ของเส้นทางทั้งหมดในประเทศอเมริกาแล้ว แต่ความทะเยอทะยานของเขานั้น มันทำให้เขาอยากได้มันทั้งหมด

ตอนนั้นมีเส้นทางสายหนึ่งที่  Vanderbilt ต้องการเป็นอย่างมากคือเส้นทางจาก ชิคาโก้ ไปยังเมือง นิวยอร์ก ซึ่งตอนนั้นไม่ได้เป็นของ Vanderbilt ซึ่งตอนนั้นเจ้าของเส้นทางนี้คือบริษัท ERIE เขาจึงได้สั่งทีมงานเข้าไปกว้านซื้อหุ้นของ ERIE ให้มากที่สุด

ซึ่งทางผู้บริหารของ ERIE ก็รู้ทันเกมส์ของของ Vanderbilt ในการเข้ากว้านซื้อหุ้นในตลาดวอลล์สตรีท จึงได้ใช้ไม้เด็ดเพื่อเล่นงาน Vanderbilt โดยทำการปั๊มใบตั๋วหุ้นขึ้นมาเพิ่มเพื่อให้จำนวนหุ้นของ ERIE สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  ซึ่งในตอนนั้น ERIE นั้นมีสิทธ์ในการเพิ่มใบตั๋วหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งไม่ได้เป็นการผิดกฏแต่อย่างใด

ซึ่งมันทำให้ Vanderbilt ต้องซื้อหุ้นของ ERIE ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งแผนนี้มันถูกเรียกว่าการลดมูลค่าหุ้นลง ซึ่งในตอนนั้นไม่มีใครคาดถึง แต่ในปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย ในสมัยนั้นมันเป็นแผนที่เรียบง่ายแต่แสนชาญฉลาดเป็นอย่างมากในการเล่นงาน  Vanderbilt

และมันเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายครั้งแรกของ Vanderbilt กว่าเขาจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว เขาเสียเงินไปกว่า 7 ล้านเหรียญในการซื้อหุ้นของ ERIE ทางผู้บริหาร ERIE แก้เผ็ดด้วยการนำข้อมูลที่เขาสามารถหลอก Vanderbilt ได้ไปบอกกับสื่อ มันทำให้เรื่องกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น มันเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายที่สุดของ Vanderbilt เลยก็ว่าได้ที่ถูกลูบคมได้ถึงเพียงนี้

แต่มันเหมือนเป็นการปลุกเสือร้ายอย่าง Vanderbilt ให้ลุกขึ้นตื่น ตอนนี้เขามองไปยังสิ่งใหม่แทน มันไม่ใช่การขยายเส้นทางรถไฟอีกต่อไป แต่มันต้องเป็นการขนส่งสินค้าใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเขา

เขามองว่าเขาต้องควบคุมแหล่งสินค้าใหม่ที่จะทำให้ขบวนรถไฟของเค้าเต็มอยู่ตลอดได้ เขาก็สามารถที่จะยึดครองอุตสาหกรรมรถไฟทั้งหมดได้ ซึ่งตอนนั้นเขาก็รู้ดีว่าเขาต้องหันไปทางไหน

ตอนนั้น น้ำมันกำลังมาปฏิวัติชีวิตของชาวอเมริกัน น้ำมันดิบ กำลังถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำมันก๊าซ มันเป็นแหล่งพลังงานราคาถูกที่สุดสำหรับความสว่างสไว และแสงไฟของชาวอเมริกา ซึ่งรูปแบบแสงแบบใหม่นี้ มันกำลังเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวอเมริกันไป

ชาวอเมริกันกำลังจะได้พบกับความสว่างสไวผ่านน้ำมันก๊าซ
ชาวอเมริกันกำลังจะได้พบกับความสว่างสไวผ่านน้ำมันก๊าซ

ต้องบอกว่าในช่วงก่อนหน้านั้น ไม่มีแหล่งแสงไฟให้ความสว่างให้กับชาวอเมริกา เมื่อพระอาทิตย์ตก ความมืดก็จะตามมา  น้ำมันก๊าซ มันได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล และ Vanderbilt รู้ว่ามันถึงเวลาที่เขาจะได้กอบโกยอีกครั้ง 

Vanderbilt เห็นถึงความต้องการน้ำมันก๊าซ ที่พุ่งสูงขึ้นทั่วประเทศ เพื่อจะได้สนองความต้องการนั้น ผู้ผลิตน้ำมันก๊าซ ก็จะต้องหาวิธีใหม่ในการขนส่งน้ำมันของพวกเขา  ถ้า Vanderbilt สามารถครอบครองการส่งน้ำมันก๊าซ ได้ เขาก็จะกลับมาเป็นสุดยอดของการขนส่งทางรถไฟได้อีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เขาต้องทำก็คือ หาผู้ส่งน้ำมันนั่นเอง

ตอนนั้น Cleveland เมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรไม่ถึง 50,000 คน แต่มันตั้งอยู่เหนือบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก Vanderbilt จึงรีบเดินทางไปพบเจ้าของแหล่งผลิตน้ำมันใน Cleveland จนไปพบกับ John D. Rockefeller ที่ตอนนั้นทำธุรกิจผลิตน้ำมันอยู่แต่กำลังประสบกับปัญหาบางอย่างในการจัดการธุรกิจของเขา

ตอนนั้น Rockefeller อายุได้เพียง 27 ปี กำลังเริ่มต้นกับการสร้างธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน แต่บริษัทของเขาประสบกับปัญหา จนเกือบจะล้มละลายไปแล้ว  แต่ Vanderbilt มองว่าชายคนนี้จะเป็นผู้ที่มีประโยชน์กับเขา จึงได้มีการเจรจาขนส่งน้ำมันกับ Rockefeller  และได้เชิญ Rockefeller ไปพบกับเขาที่นิวยอร์ก

John d. Rockefeller ในวัยหนุ่ม กำลังสร้างธุรกิจน้ำมัน
John d. Rockefeller ในวัยหนุ่ม กำลังสร้างธุรกิจน้ำมัน

สำหรับ Rockefeller แล้วนั้นการพบกับ Vanderbilt ในครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสเดียวและโอกาสที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา มันอาจจะช่วยรักษาบริษัทของเขาไม่ให้ล้มละลายได้

แต่เรื่องเหลือเชื่อที่สุดก็เกิดกับ Rockefeller เมื่อเขาพลาดขบวนรถไฟที่จะพาเขาจาก Cleveland ไปยัง นิวยอร์ก แต่รถไฟขบวนที่เขาพลาดนั้นได้เกิดตกรางและทำให้มีผู้เสียชีวิตแทบจะทั้งขบวน

มันเป็นโชคชะตานำพา หรือ เรื่องบังเอิญอย่างไร ไม่มีใครทราบได้ แต่การรอดชีวิตมาได้ส่งผลอย่างมากต่อชายหนุ่ม ผู้กำลังก่อร่างสร้างตัวจากธุรกิจใหม่อย่างธุรกิจน้ำมัน เขาเชื่ออย่างศรัทธาว่าพระผู้เป็นเจ้ามีเหตุผลในการไว้ชีวิตเขา และต่อจากนี้ไปเขาก็เชื่อว่าทุกอย่างถูกกำหนดโดยพระเจ้าแล้ว ชายผู้มีนามว่า Rockefeller กับการไปพบปะครั้งสำคัญกับ Vanderbilt  มันจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด รวยที่สุด เท่าที่ประวัติศาสตร์อเมริกาเคยมีมาได้อย่างไร โปรดอย่างพลาดติดตามในตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 2 : John D. Rockefeller