The Innovators ตอนที่ 8 : Henry Ford

ในที่สุดก็ก้าวย่างถึงศตวรรษที่ 20 อเมริกา ถึงตอนนี้ อเมริกาได้เป็นผู้นำในเวทีโลก เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ มันกลายเป็นโลกเสรี ที่เต็มไปด้วยโอกาส ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วโลกต่างหลั่งไหลเข้ามา ขับเคลื่อนโดยเหล่าผู้นำทางด้านเศรษฐกิกจ ผู้ที่มีอิทธิพลสูงที่สุด อย่าง J.P Morgan , John D.Rockefeller รวมถึง Andrew Carnegie 

แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากประธานาธิบดี Mckinley ได้ถูกลอบสังหารในเดือนกันยายนปี 1901 ในเมืองบัฟฟาโล Theodore Roosevelt ผู้เป็นรองประธานาธิบดี ต้องขึ้นรับตำแหน่ง ประธานาธิบดีแทน

โดยที่เขาเป็นขั้วที่ตรงข้ามอย่างสุดขั้วกับนักธุรกิจ ผู้มีอิทธิพลที่กำลังยึดครองประเทศทั้ง 3 คน Theodore Roosevelt เป็นผู้นำคนใหม่ที่จะมาจัดการกับการผูกขาดที่อยู่กับประเทศอเมริกามากว่า 30 ปี เขาต้องการกวาดล้างการผูกขาดเหล่านี้ให้สิ้นซาก

เขาได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะประชาชนผู้ที่กำลังถูกกดขี่ข่มเหงจากนายทุนยักษ์ใหญ่เหล่านี้ เขาได้เริ่มฟ้องศาลรัฐบาลกลาง เพื่อจัดการเรื่องการผูกขาดธุรกิจโดยเริ่มต้นจากอาณาจักรรถไฟที่ตอนนี้เจ้าของคือ J.P Morgan ก่อนเป็นอันดับแรก

และในที่สุดการผูกขาดบริษัทรถไฟของ J.P Morgan ต้องพังทลายลง มันเป็นความเจ็บปวด ครั้งแรก ๆ ของ J.P Morgan นับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจมาเลยก็ว่าได้ Theodore Roosevelt นั้นเป็นคนที่ไม่ยอมใครง่าย ๆ และไม่ชอบให้ใครมาบงการ แม้ J.P Morgan จะพยายามที่จะติดต่อขอเจรจาด้วย แต่เขาก็ไม่ยอมเจรจาแต่อย่างใด และตอนนี้ เหล่านักธุรกิจยักษ์ที่เหลือเริ่มที่จะกดดันอย่างหนักแล้ว หลังจากได้เห็นเคสกรณีตัวอย่างของอาณาจักรรถไฟของ J.P Morgan 

ที่สำคัญ Roosevelt นั้นยังถูกเลือกให้ดำรงตำแหน่งในสมัยที่สอง ตอนนี้เขาได้รับสิทธิ์อำนาจเต็มจากประชาชนแล้ว ไม่ใช่เป็นการเข้ามาแบบตัวแทน McKinley ในสมัยแรก เขามีอำนาจชอบธรรมในการจัดการทุกสิ่ง มันถึงเวลาต้องกวาดล้างเหล่าผู้มีอิทธิพลทั้งหมดนี้เสียที 

Theodore Roosevelt ได้รับอำนาจเต็มจากประชาชนมาจัดการธุรกิจผูกขาด
Theodore Roosevelt ได้รับอำนาจเต็มจากประชาชนมาจัดการธุรกิจผูกขาด

ตอนนี้มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกครั้งนึงของประเทศ ทั้ง J.P Morgan , Andrew Carnegie รวมถึง John D.Rockefeller ต้องมาเป็นฝ่ายตั้งรับแทนเสียแล้ว พวกเขาเริ่มถูกบีบให้ป้องกันรักษาอาณาจักรของตนเอง 

และมันเป็นช่วงเวลาหลายปีของการกวาดล้างโดย Roosevelt สุดท้ายเหลือแค่เพียง Standard Oil ของ Rockefeller เท่านั้นที่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือกฏหมายป้องกันการผูกขาดมาได้ แต่เขาก็ไม่สามารถอยู่ในสภาพนี้ได้ตลอดกาล มันถึงเวลาเปลี่ยนเข้าสู่ยุคใหม่ของธุรกิจและอุตสาหกรรมสหรัฐเสียที

แม้จะไม่โดนลงโทษจากศาล แต่ Standard Oil นั้นกลายเป็นบริษัทที่มีคนเกลียดมากที่สุดของอเมริกา มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย มันเป็นตัวอย่างของธุรกิจใหญ่ ๆ ที่มีอำนาจมากเกินไปที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ง่าย ๆ 

ข่าวหน้าหนึ่งทั่วประเทศ บริษัท Standard Oil กลายเป็นบริษัทที่ประชาชนเกลียดมากที่สุด
ข่าวหน้าหนึ่งทั่วประเทศ บริษัท Standard Oil กลายเป็นบริษัทที่ประชาชนเกลียดมากที่สุด

มันเป็นการต่อสู้เรื่องกฏหมายด้านการผูกขาดที่ใหญ่ที่สุดตลอดกาล ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พยานคนสำคัญที่สุดที่จะมาตอบคำถามทั้งหมดให้กับศาลได้ก็คือตัวของ Rockefeller เอง แต่เขาเลือกเดินหนีไปทั่วอเมริกา หลังจากถูกหมายศาลเรียกตัว เขากำลังหนีฝ่ายกฏหมายอยู่

เขาพยายามหนีอยู่หลายเดือน แต่หลานคนแรกของเขาได้ออกมาลืมตัวดูโลกพอดี ในช่วงที่เขาหนี เขาไม่ได้มีโอกาสที่จะมาเจอหลานคนแรกของเขาเลยด้วยซ้ำ ในที่่สุดตัวเขาก็เริ่มทนไม่ไหว มันเป็นปมของเขามาตั้งแต่เด็ก เขาถูกพ่อของตัวเองทอดทิ้งไปตั้งแต่เด็ก เขาจะไม่ยอมให้สิ่งแบบนี้เกิดขึ้นกับลูกหลานเขาอย่างแน่นอน 

ในที่สุดเขาก็ยอมมอบตัวและให้ปากคำในชั้นศาล เกี่ยวกับคดีของ Standard Oil รวมถึงข้อหาเกี่ยวกับคดีในธุรกิจทั้งหมดของเขาด้วย โดยคดีนี้จะเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดของชายที่ชื่อ John D.Rockefeller มันเป็นสิ่งที่จะกำหนดอนาคตของประเทศ Rockefeller ต้องปกป้องอาณาจักรที่เขาสร้างขึ้นมา

ซึ่งมันเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดในชั้นศาล เขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ที่ทางรัฐบาลกล่าวหาเขา เขาพยายามปกป้อง Standard Oil จนถึงนาทีสุดท้าย

และมันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับนักธุรกิจหนุ่มคนใหม่ไฟแรง ในนาม Henry Ford ที่กำลังต่อสู้กับความอยู่รอดของธุรกิจใหม่อย่างการผลิตรถยนต์  เขากำลังสร้างรถยนต์แบบใหม่ขึ้นมา มันจะเป็นรถคันแรกในราคาถูกที่คนทั่วไปสามารถซื้อไปขับได้

Henry Ford นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างรถยนต์ให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้
Henry Ford นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างรถยนต์ให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้

ในตอนนั้นประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง และรถยนต์นั้นถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือย และไม่มีความจำเป็น แต่ Ford นั้นคิดตรงข้าม เขามองว่ารถยนต์นั้นเป็นสิ่งจำเป็น มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก และรถยนต์ควรเข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้ ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป

เขาได้ใช้เวลาหลายปีในการพัฒนารถยนต์โมเดลแรกขึ้นมา ตอนนั้นเขามีอายุ 33 ปี โมเดลนั้นถูกเรียกว่า Ford Recycle แต่มันยังดูราคาแพงเกินไปที่จะผลิตในจำนวนมาก และมันยังมีปัญหาอยู่มากที่ยังแก้ไขไม่ได้

เขาได้เริ่มพัฒนาโมเดลที่สองขึ้นมาในชื่อ โมเดล A ซึ่งดูแล้วเหมาะกับความต้องการของชาวอเมริกันมากกว่า แต่ปัญหาคือ Ford นั้นจะยังขายมันไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับการอนุญาติจากองค์กรที่ถือสิทธิบัตรการผลิตรถยนต์ของอเมริกา อย่าง A.L.A.M

ซึ่ง A.L.A.M นั้นมักจะใช้วิธีแบล็กเมล์บริษัทรถยนต์อื่น ๆ โดยมีการขู่ให้จดทะเบียนกับพวกเขา ไม่เช่นนั้นเหล่าบริษัทผลิตรถยนต์ใหม่ ๆ นั้นจะถูกฟ้องร้องในข้อหา ละเมิดสิทธิบัตร และรถยนต์ โมเดล A ของ Henry Ford ก็ถูกปฏิเสธ มันทำให้เขาผิดหวังมาก แต่เขาก็มุ่งมั่นจะแสดงให้ทั้งโลกให้เห็นว่าถ้าคิดจะประสบความสำเร็จในอเมริกามันต้องมีทั้งชื่อเสียงและความอัจฉริยะควบคู่กันไปด้วย

หลังจากถูกปฏิเสธโดย A.L.A.M ตัว Ford เองนั้นก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เขาไม่ยอมที่จะทิ้งความฝันไปง่าย ๆ ตอนนั้นมีหลายบริษัทกำลังสร้างรถยนต์ขึ้นมา เขามุ่งมั่นที่เอาชนะ A.L.A.M ให้จงได้ มันคือระบบผูกขาดอีกอย่างหนึ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์ในอเมริกา

A.L.A.M ที่กำลังถือสิทธิบัตรการผลิตรถยนต์ในอเมริกา อีกหนึ่งการผูกขาดที่ Henry Ford ไม่ยอมแพ้
A.L.A.M ที่กำลังถือสิทธิบัตรการผลิตรถยนต์ในอเมริกา อีกหนึ่งการผูกขาดที่ Henry Ford ไม่ยอมแพ้

เหล่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในโลกธุรกิจ มีนิสัยสำคัญอย่างนึงคือ ความกล้า ซึ่งความกล้านี่เองเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เหล่านผู้ยิ่งใหญ่ในโลกธุรกิจนั้นประสบความสำเร็จได้ เช่นเดียวกับ Henry Ford

เขาจึงกล้าที่จะลุยเต็มตัว โดยทำการท้าแข่งกับ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่กับประเทศในขณะนั้น เขาต้องการสร้างชื่อให้กับตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ตอนนั้น Alexander Winton เป็นผู้ที่ขับรถได้เร็วที่สุดในประเทศอเมริกา และที่สำคัญเขายังเป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติของ A.L.A.M พ่วงอีกหนึ่งตำแหน่งด้วย

ถ้าเขาสามารถเอาชนะ Winton ได้ด้วยรถที่เขาออกแบบมานั้น มันก็จะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญที่จะพิสูจน์ว่า รถของเขาเจ๋งจริง และยังสามารถที่จะช่วยเหลือในการตั้งบริษัทรถยนต์ของเขาตามที่เขาฝันไว้ได้อีกด้วย

แต่ปัญหาใหญ่เลยก็คือ ตัว Henry Ford นั้นไม่เคยขับรถแข่งมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ซึ่งตรงข้ามกับคู่แข่งเขา Alexander Winton ซึ่งตอนนั้นกำลังโด่งดัง และมีรถที่มีประสิทธิภาพสูงมาก

แต่เขาก็สามารถทำมันได้สำเร็จ การเอาชนะคู่แข่งที่เก่งที่สุดในอเมริกาอย่าง Winton นั้น ทำให้เขาสร้างชื่อโด่งดังขึ้นมาในวงการรถยนต์ทันที มันทำให้เหล่านักลงทุนนั้นเริ่มสนใจที่จะหันมาลงทุนในการผลิตรถยนต์ของ Ford 

การเอาชนะ Alexander Winton ทำให้นักลงทุนหันมาสนใจ Henry Ford
การเอาชนะ Alexander Winton ทำให้นักลงทุนหันมาสนใจ Henry Ford

ซึ่งจากเหตุการณ์นี้เอง มันทำให้เขาได้ทุนมาถึง 28,000 เหรียญ  หรือเทียบเท่ากับประมาณ 700,000 เหรียญเมื่อเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน มันทำให้เขาสามารถที่จะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกได้สำเร็จ ในเมือง มิชิแกน

และไม่นานหลังจากนั้น เขาก็สามารถที่จะผลิตรถยนต์ออกมาได้ 15 คันต่อวัน ด้วยราคาที่ต่ำพอสำหรับชาวอเมริกันส่วนใหญ่ เขาเชื่อมาตลอดว่าเขาสามารถทำมันได้ และในที่สุดมันก็พิสูจน์ความเชื่อของชายที่ชื่อ Henry Ford ได้สำเร็จ ณ ตอนนี้ อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางใหม่

แต่องค์กรผูกขาดสิทธิบัตรอย่าง A.L.A.M นั้นก็จับจ้องมอง Ford อยู่ และในที่สุดก็ได้เริ่มดำเนินการฟ้องร้อง ในเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรการผลิตรถยนต์ของพวกเขา พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะ Ford ให้จงได้

แต่ Henry Ford นั้นก็พร้อมจะต่อสู้ในชั้นศาล และเหตุการณ์มันไปบังเอิญเป็นช่วงเดียวกันกับ การไต่สวนในเรื่องธุรกิจผูกขาดบริษัท Standard Oil ของผู้ยิ่งใหญ่อย่าง John D. Rockefeller 

ซึ่งในขณะที่ Rockefeller กำลังถูกไต่สวนอย่างหนักในเรื่องการผูกขาด แต่ทาง J.P Morgan นั้นยังรอดพ้นจากการเอาผิดในการผูกขาดธุรกิจเหล็กของเขาได้ เขาได้ใช้อำนาจและอิทธิพลช่วยให้เกิดข้อตกลงต่าง ๆ ของอเมริกา และใช้ธุรกิจเหล็กของเขาอย่าง U.S Steel ช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับสาธารณูปโภคของประเทศ

แต่ตอนนั้นสัญญาที่ใหญ่ที่สุดของ J.P Morgan จะเริ่มขึ้นในอเมริกากลาง มันเป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่จะมีการสร้างคลองเชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก กับ แอตแลนติก การสร้างคลองนี้จะช่วยลดเวลาการเดินทางลงได้กว่าครึ่ง และเรือจะเดินทางน้อยลงกว่า 8,000 ไมล์ในแต่ละเที่ยว หากต้องการขนส่งสินค้าจากโลกตะวันตก ไปยังโลกตะวันออก

ในตอนนั้นไม่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ไหนในโลก มีศักยภาพที่จะทำได้ แต่ J.P Morgan นั้นทำหน้าที่เป็นคนกลางให้กับรัฐบาล และบริจาคเงินมากกว่า 40 ล้านเหรียญ หรือ เทียบเท่า 7,000 ล้านเหรียญในปัจจุบัน เพื่อเริ่มโครงการนี้

คลองปานามา กลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความท้าทายที่สุดเท่าที่โลกเราเคยมีมา เหล่าคนงานกว่า 75,000 คน ต้องทำงานท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัด  และที่สำคัญต้องต่อสู้กับโรคร้ายในแถบโซนนั้น เพื่อที่จะขุดคลองยาว 51 ไมล์ จากมหาสมุทรแอตแลนติก ไปยัง แปซิฟิก

การก่อสร้างโครงการขนาดยักษ์อย่างคลองปานามานั้น มีอเมริกาเพียงประเทศเดียวที่สามารถทำได้
การก่อสร้างโครงการขนาดยักษ์อย่างคลองปานามานั้น มีอเมริกาเพียงประเทศเดียวที่สามารถทำได้

มีเพียงประเทศเดียวที่มีศักยภาพพอที่จะสามารถสร้างโครงการขนาดยักษ์ดังกล่าวได้ เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ จากเหล่านักปฏิวัติอุตสาหกรรม ของอเมริกา ณ เวลานั้น อเมริกากำลังเจริญก้าวหน้าแซงทุกประเทศทั่วทั้งโลก และโครงการนี้มันยังเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้อเมริกากลายเป็นประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดในโลกจวบจนถึงปัจจุบัน

โครงสร้างคลองที่มาจากเหล็กกล้า และใช้พลังงานไฟฟ้า และถูกขับเคลื่อนโดยน้ำมัน ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นมาได้เนื่องจากอุตสาหกรรมหลักที่ผูกขาดโดยเหล่าผู้มีอิทธิพลของประเทศแทบจะทั้งสิ้น 

แต่ยุคของการผูกขาดนั้น กำลังจะสิ้นสุดลง มันถึงเวลาที่จะถูกตัดสินโดยศาลรัฐบาลกลางสหรัฐ และในท้ายที่สุดนั้น อิทธิพลของเหล่ายักษ์ใหญ่เหล่านี้มันจะไม่สามารถที่จะอยู่ไปได้ตลอดกาล

ตอนนี้คดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษ ระหว่าง ประชาชนชาวอเมริกัน กับ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Standard Oil กำลังจะถูกตัดสิน การแถลงของศาลนั้นเต็มไปด้วยเรื่องน่ารังเกียจของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Standard Oil

คดีประวัติศาสตร์ของประเทศอเมริการะหว่างประชาชนกับบริษัท Standard Oil
คดีประวัติศาสตร์ของประเทศอเมริการะหว่างประชาชนกับบริษัท Standard Oil

มันไม่มีบริษัทไหนในประวัติศาสตร์อเมริกา มีการผูกขาดเพื่อผลกำไรเทียบเท่ากับที่ Standard Oil ได้ทำขึ้นมาก่อน Standard Oil ใช้ประโยชน์จากข้อมูลลับของบริษัทรถไฟอื่น ๆ และมีการตั้งราคาที่สูง ใช้การข่มขู่ และมีการกำหนดเขตในการขาย เพื่อบีบให้บริษัทคู่แข่งออกไปจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ในช่วงเวลาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา Standard Oil ใช้ความพยายาม ที่จะกำจัดคู่แข่ง และก็ทำให้ตัวเองเป็นบริษัทผูกขาด เพื่อที่จะกำหนดราคาน้ำมันก๊าซ เพื่อผูกขาดการขายเพียงรายเดียว

ส่วน Rockefeller ในฐานะจำเลยนั้น ได้ให้ถ้อยแถลงในคดีประวัติศาสตร์นี้คือ ในตอนที่เขาเข้ามาสู่อุตสาหกรรมน้ำมัน มันมีแต่ความวุ่นวาย เขามองว่าตัวเองนั้นเข้ามาจัดระเบียบ และต้องมาจัดการกับตลาดที่ไม่มีประสิทธิภาพ เขามองว่าที่เขาต้องทำเช่นนั้น เพราะมันเป็นวิธีที่สมควรที่สุดแล้ว เขาทำให้ทุกบ้านสว่างไสว เขาสร้างงานนับแสนนับล้านตำแหน่งให้กับชาวอเมริกัน เขามองว่าน้ำมันเป็นสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศนี้  แม้คนอื่นจะเรียกมันว่าการผูกขาด แต่เขาเรียกมันว่า “การลงทุน”

และมันเป็นการรอคอยเช่นเดียวกันสำหรับ Henry Ford ที่กำลังต่อสู้กับการผูกขาดของ A.L.A.M องค์กรผู้ครอบครองสิทธิบัตรด้านการผลิตรถยนต์ของสหรัฐอยู่ เขาก็ต้องพึ่งศาลเพื่อตัดสินว่า เขายังสามารถที่จะขายรถยนต์จากบริษัท Ford Motor ของเขาได้หรือไม่

สมาคมผู้ผลิตรถยนต์อเมริกา A.L.A.M ได้ทำการฟ้อง Ford ในเรื่องสิทธิบัตรการผลิตรถยนต์ทุกคันที่ Ford ได้ผลิตออกมาขาย หากเขาพ่ายแพ้แล้วต้องจ่ายค่าสิทธิบัตรนั้น มันก็จะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตรถยนต์ที่จะสูงขึ้น และมันจะทำให้ไม่สามารถกระจายไปยังผู้บริโภคส่วนใหญ่ของอเมริกา ตามความฝันอันสูงสุดของเขาได้

Ford นั้นเชื่อว่า ยุคของการผูกขาดที่อยู่มานานนั้นได้จบลงแล้ว การที่เขาได้ฟ้องต่อศาลนั้น ก็เพื่อเป็นการทำลายอิทธิพลของ A.L.A.M ที่มีต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ของอเมริกา เขามุ่งมั่นที่จะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ เขาต่อต้านการผูกขาด ต่อต้านแม้กระทั่ง Rockefeller หรือ Andrew Carnegie เขาต้องการให้อุตสาหกรรมของอเมริกา ยกเลิกการผูกขาดโดยเหล่าผู้มีอิทธิพลเหล่านี้เสียที

เขาเห็นด้วยกับการแข่งขัน เห็นด้วยกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อแข่งกัน ไม่ใช่การทำธุรกิจให้ผูกขาดเหมือนเหล่าผู้มีอิทธิพลในยุคก่อนหน้า เขาเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่มีความคิดแบบใหม่ ๆ ที่เขาเชื่อว่าจะสามารถยกระดับประเทศอเมริกาขึ้นไปได้

เขาเป็นนักธุรกิจคนแรก ๆ ที่จ่ายค่าแรงให้กับคนงานอย่างยุติธรรม ไม่มีการกดขี่ข่มเหงแรงงานของเขา ซึ่งมากกว่าที่โรงงานส่วนใหญ่ในอเมริกาในสมัยนั้นจ่ายให้กว่าสองเท่า และไม่เพียงจ่ายค่าจ้างเพิ่มเท่านั้น แต่เขายังเพิ่มผลผลิตออกมาด้วย

เขาได้ปฏิวัติระบบใหม่ขึ้นมาในการผลิตรถยนต์ แทนที่จะใช้มือประกอบรถทีละคัน เขาเปลี่ยนมาให้คนงานยืนเรียงแถวกันและแยกประกอบคนละชิ้น ซึ่งมันได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่เรียกกันว่า “สายพานการผลิต” และมันได้มาเปลี่ยนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมไปตลอดกาล

สายการผลิต หนึ่งในสุดยอดนวัตกรรมของ Henry Ford ที่เปลี่ยนโรงงานอุตสาหกรรมไปตลอดกาล
สายการผลิต หนึ่งในสุดยอดนวัตกรรมของ Henry Ford ที่เปลี่ยนโรงงานอุตสาหกรรมไปตลอดกาล

ด้วยการใช้สายพานการผลิตนั้น มันทำให้คนงานของ Ford สามารถที่จะผลิตได้มากกว่าโรงงานอื่น ๆ ทั่วโลกถึง 8 เท่า  สามารถที่จะลดเวลาการประกอบจาก 12 ชั่วโมงให้เหลือเพียง หนึ่งชั่วโมงครึ่งเท่านั้น นวัตกรรมใหม่นี้ทำให้บริษัท Ford ได้กำหนดมาตรฐานการทำงานใหม่ขึ้นมา ที่ 8 ชม.ต่อวัน และ 5 วันต่อสัปดาห์

แต่สิ่งสำคัญคือ เขาต้องชนะคดีเรื่องสิทธิบัตรให้จงได้ ตอนนี้อนาคตของเขา ก็ไม่ต่างจากชายผู้ยิ่งใหญ่อย่าง John D.Rockefeller ที่อยู่ในมือผู้พิพากษาของศาลรัฐบาลกลาง  มันทำให้ Henry Ford และ John D.Rockefeller นั้นกลายเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของชาวอเมริกันจากรุ่นที่ต่างกัน บนแนวคิดที่ต่างกันสุดขั้ว และมันส่งผลต่ออนาคตของประเทศในเวลาต่อมา

ผลการตัดสินครั้งสำคัญนี้ จะทำให้ธุรกิจของอเมริกาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คดีประวัติศาสตร์นี้กำลังจะถูกตัดสินแล้ว ด้วยปัจจักษ์พยายานกว่า 400 คน และบันทึกคำให้การจากพยานกว่า 12,000 หน้า

ศาลได้ตัดสินว่า บริษัท Standard Oil ผิดในข้อหาการไม่มีจรรยาบรรณ และละเมิดกฏต่อต้านการผูกขาด มันทำให้บริษัท Standard Oil ต้องถูกแบ่งย่อยออกภายใน 6 เดือน 

มันคือความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ของ John D.Rockefeller ตอนนี้ บริษัท Standard Oil ของเขากำลังจะถูกแยกออกเป็นเสี่ยง ๆ โดยกลายเป็นบริษัทย่อย 34 บริษัท ตอนนี้อนาคตของการผูกขาดในอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ในอเมริกา ได้จบลงแล้ว 

Standard Oil ถูกแตกย่อยกลายเป็นบริษัทมากมาย
Standard Oil ถูกแตกย่อยกลายเป็นบริษัทมากมาย

และการตัดสินครั้งนี้ มันส่งผลดีต่อคดีของ Henry Ford ที่เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาพร้อมกับอเมริกายุคใหม่ มันมีผลต่อทุกอุตสาหกรรมในอเมริกานับจากนี้ และผลการตัดสินนั้นก็เป็นฝ่าย Henry Ford ที่เอาชนะ A.L.A.M ได้สำเร็จ

A.L.A.M นั้นไม่มีสิทธิอ้างเกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์ มันทำให้ Henry Ford ได้รับอิสระในการปฏิวัติการผลิตรถยนต์ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาติ A.L.A.M อีกต่อไป ความฝันของเขากลายเป็นจริง การสร้างรถเพื่อทุกคน

ความสำเร็จของ Ford นั้นส่งผลกระทบชัดเจนต่อชาวอเมริกัน ด้วยภาพที่เขาเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ ต่างจาก Rockefeller หรือ Carnegie เขาเป็นคนกล้าหาญที่สู้ไม่ถอย และไม่ยอมแพ้ต่อการผูกขาดโดยเด็ดขาด เขาทำให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงทุกคน มันทำให้ประชาชนชาวอเมริกันชื่นชอบ และทำให้ Henry Ford กลายเป็น วีรบุรุษ

และ Ford ต้องเร่งการผลิตให้ท้นต่อความต้องการของผู้บริโภค รถรุ่นใหม่ของเขาอย่าง Model T นั้น ราคาอยู่ที่แค่ 825 เหรียญ มันเป็นครั้งแรกที่มีรถยนต์ที่ใครก็สามารถที่จะซื้อไปขับได้ Henry Ford ได้สร้างสิ่งที่กำลังจะมาเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญที่สุดต่อเศรษฐกิจอเมริกา มันส่งผลต่อชีวิตทุกส่วนของชาวอเมริกัน เขาได้มาเปลี่ยนอเมริกาไป ทั้งวิธีในการใช้ชีวิต วิธีในการทำสิ่งต่าง ๆ รวมถึงวิธีในการทำธุรกิจของชาวอเมริกันไปตลอดกาล

Ford Model T ที่สามารถเข้าถึงประชาชนทั่วไปได้ด้วยราคาประหยัด
Ford Model T ที่สามารถเข้าถึงประชาชนทั่วไปได้ด้วยราคาประหยัด

การปฏิวัติอุตสาหกรรมของเขานั้นมันได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ๆ และมันช่วยเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวอเมริกันไป เพื่อนคนสนิทของเขาอย่าง William  Harley และ Arthur Davidson ได้นำเครื่องยนต์ไปติดกับจักรยาน และได้กลายเป็นรถมอเตอร์ไซต์ขายออกไปทั่วประเทศ 

Milton Hershey ได้นำเอาแนวคิดสายพานการผลิตของ Henry Ford ไปใช้กับผลิตภัณฑ์ของเขาอย่างช็อคโกแลต ส่วนพ่อค้าชาว ชิคาโก William Wrigley ก็ใช้แนวคิดเดียวกันในการผลิตหมากฝรั่งออกขายไปได้ทั่วประเทศ 

มันทำให้เกิดนักธุรกิจใหม่ ๆ และสร้างสิ่งต่าง ๆ ด้วยแนวคิดใหม่ ที่มีต้นแบบมาจาก Henry Ford พวกเขาได้คิดค้นการผลิตสินค้าจำนวนมากขึ้นมา และจ่ายค่าแรงที่เหมาะสมให้กับคนงาน ภายใต้สภาพการทำงานที่ปลอดภัย 

ตอนนี้ ยุคของ John D.Rockefeller , Andrew Carnegie รวมถึง J.P Morgan มันได้เดินมาถึงจุดจบเสียแล้ว แต่มันทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสามแน่นแฟ้นมากขึ้น อุตสาหกรรมใหม่อย่างรถยนต์นั้น มันก็ได้ทำให้เกิดปั๊มน้ำมันของ Standard Oil ไปทั่วทั่งประเทศ รวมถึงใช้เหล็กของ Carnegie และโรงงานที่ได้พลังงานไฟฟ้าจาก J.P Morgan 

ปั๊มน้ำมัน Standard Oil เกิดขึ้นทั่วประเทศผลจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เฟื่องฟู
ปั๊มน้ำมัน Standard Oil เกิดขึ้นทั่วประเทศผลจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เฟื่องฟู

แม้เส้นทางของนักธุรกิจรุ่นใหม่จะต่างจากเหล่านักปฏิวัติยุคบุกเบิก แต่มันก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ถ้ามันไม่มีการวางรากฐานไว้ โดยผู้ยิ่งใหญ่อย่าง Vanderbilt , Carnegie , J.P Morgan และ John D. Rockefeller

ผลก็คือความรุ่งเรืองที่เริ่มกระจายออกไปทั่วประเทศ ด้วยนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกา เพื่อคนชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตขึ้นมา การปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้น มันก่อให้เกิดการพัฒนาของชนชั้นกลาง มันทำให้เกิดความมั่งคั่งขึ้นในแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน

แม้ตัว John D.Rockefeller อาจจะแพ้คดีในศาล แต่บริษัทที่เล็กลงที่แตกออกมาจาก Standard Oil ก็ได้เติบโตจนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย เช่น Exxon Mobile หรือ Chevron และสุดท้าย Rockefeller เองก็เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ และมันทำให้ Rockefeller นั้นร่ำรวยยิ่งขึ้นกว่าเดิม มันทำให้เขารวยที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก ด้วยทรัพย์สินสุทธิ 160,000 ล้านเหรียญ หากเทียบเป็นเงินในปัจจุบัน

และหลังจากศาลตัดสินคดีประวัติศาสตร์ได้เพียง 2 ปี โลกก็ได้สูญเสียชายผู้ยิ่งใหญ่ในโลกแห่งการเงินอย่าง J.P Morgan ผู้ซึ่งได้เข้ามาปฏิรูประบบการเงินของอเมริกา เขาเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุดในแวงวงการธนาคาร เขาได้ช่วยสร้างระบบการเงินใหม่ขึ้นมา มันช่วยยกระดับระบบการเงินที่ทันสมัยให้กับประเทศอเมริกา เมื่อถึงช่วงท้ายของชีวิต เหล่าผู้บุกเบิกของอเมริกา ก็ได้เริ่มหันมาให้เกียรติซึ่งกันและกัน ตอนนี้เวลาของพวกเขาใกล้หมดลงแล้ว

มันถึงเวลาที่จะนำเงินของพวกเขาที่สร้างมาทั้งชีวิตมาสร้างสิ่งที่เกิดประโยชน์แทน ตอนนี้มันไม่ใช่การแข่งขันทางธุรกิจอีกต่อไปแล้ว มันเป็นการแข่งขันเรื่องการบริจาค Andrew Carnegie นั้นเริ่มเป็นรายแรก ที่เริ่มหันมาทำประโยชน์ให้กับสาธารณชน เขาอยากที่จะตายอย่างมีเกียรติ ซึ่งทำให้ Carnegie นั้นบริจาคเงินไปกว่า 315 ล้านเหรียญ หรือเทียบเท่า 67,000 ล้านเหรียญ ถ้าเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่เพื่อการศึกษา

และ การแข่งขันครั้งนี้ Carnegie กำลังจะถูกท้าทายด้วยคู่แข่งของเขาเองอย่าง John D.Rockefeller และด้วยเงินที่มากกว่า ทำให้ Rockefeller สามารถบริจาคเงินได้มากกว่า Carnegie ได้ทำไว้ ซึ่งบริจาคให้กับโบสถ์ และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิ Rockefeller ขึ้นมา เพื่อนำไปใช้กับโครงการด้านสุขภาพของประชาชนทั่วโลกต่อไปอีกหลายทศวรรษ

เมื่อยุคของการผูกขาดธุรกิจจบลง ชาวอเมริกานั้นก็เริ่มตระหนักถึงความเป็นไปที่ว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ ตราบที่พวกเขาทำงานร่วมกัน ทั้งประเทศรวมเป็นหนึ่งภายใต้เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่ได้เอื้อเฉพาะกับคนรวยเท่านั้น แต่กับทุกคน มันเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของยุคที่อเมริการุ่งเรืองที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันทำให้ประเทศอเมริกานั้นยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และมันกำลังจะถูกนำไปใช้  ในสงครามโลกที่จะเกิดขึ้น จนมันทำให้อเมริกาได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ จนกลายเป็นประเทศที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อโลกใบนี้จวบจนถึงปัจจุบัน

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Cornelius Vanderbilt  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

References : 
https://www.biography.com/people/jp-morgan-9414735
https://en.wikipedia.org/wiki/Andrew_Carnegie
https://en.wikipedia.org/wiki/John_D._Rockefeller
https://www.history.com/topics/us-presidents/theodore-roosevelt
https://en.wikipedia.org/wiki/Henry_Ford
https://www.history.com/topics/inventions/henry-ford
https://www.history.com/shows/men-who-built-america

The Innovators ตอนที่ 1 : Cornelius Vanderbilt

สำหรับ Blog Series ชุดนี้จะเป็นการเล่าเรื่องของ บุคคลที่ยิ่งใหญ่ใน ยุคเริ่มก่อตั้งอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Cornelius Vanderbilt , John D. Rockefeller , Andrew Carnegie , J.P. Morgan ,Thomas Edison จนมาถึง Henry Ford ซึ่งพวกเค้าเหล่านี้ ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น จนสามารถทำให้อเมริการยิ่งใหญ่ได้ถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก แต่ละท่านแทบจะทำธุรกิจ แตกต่างกัน แต่มันผ่านช่วงเวลาต่างๆ  ช่วงเวลาที่ตกต่ำของคนหนึ่ง ก็จะสู่ความรุ่งโรจน์ของอีกคน มันเป็น ประวัติที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับการก่อร่างสร้างตัวของประเทศอเมริกาหลังสิ้นสุดสงครามกลางเมือง

ก่อนอื่นต้องขอย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1865 เพียงไม่นานหลังสิ้นสุดสงครามกลางเมือง ประธานาธิบดีลินคอร์น ได้ถูกลอบสังหาร ประเทศอเมริกาถูกแบ่งแยก มีผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองมากกว่า 600,000 คน แต่หารู้ไม่ว่าประเทศอเมริกากำลังที่จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่

เหล่าผู้มีความคิดสร้างสรรค์ เหล่าอัจฉริยะ ที่กำลังจะเปลี่ยนโลกและอเมริกาแบบที่ไม่เคยมีใครได้พบเห็นมาก่อน  และเพียง 5 ทศวรรษ นับจากวันที่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองของอเมริกา เหล่าอัจฉริยะ ที่เป็น Innovators ต้นแบบของอเมริกันชน กำลังจะมาเปลี่ยนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของอเมริกา ให้ก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่จวบจนถึงปัจจุบัน

และมันเป็นครั้งแรกของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่า ที่ผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดในการนำพาอเมริกา ไม่ได้เป็นนักการเมืองอีกต่อไป เขาเป็นคนที่สามารถสร้างตัวเองขึ้นมาด้วยตัวตนของตัวเอง  และสามารถเปลี่ยนย่านที่ยากจนของนิวยอร์ก ให้กลายเป็นอาณาจักรใหม่ขนาดใหญ่ของเขาจนได้ในที่สุด ซึ่งเขาผู้นั้นคือ Cornelius Vanderbilt

เมื่ออายุได้เพียง 16 ปี Vanderbilt ได้ซื้อเรือโดยสารลำเล็ก ๆ ลำหนึ่งด้วยราคา 100 เหรียญเพื่อมาเริ่มต้นธุรกิจ แต่เพียงไม่นาน เขาก็ได้รู้จักในฐานะนักธุรกิจตัวยง ที่ต้องใช้ทุกวิถีทางในการเอาชนะคู่แข่ง ในยุคนั้นต้องบอกว่าการจะก้าวขึ้นมาจากชนชั้นล่าง ให้กลายมาเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น มันเต็มไปด้วยทั้งโอกาส และที่สำคัญคือการแข่งขัน ที่สูงมาก เพื่อถีบตัวเองให้มาเป็นชนชั้นสูงของอเมริการให้ได้

เริ่มสร้างตัวจากการขนส่งทางเรือ
เริ่มสร้างตัวจากการขนส่งทางเรือ

Vanderbilt นั้นมีจิตใจที่แข็งแกร่ง และชอบการแข่งขัน เขาไม่เคยที่จะยอมใครง่าย ๆ ในทุกเรื่อง ๆ ซึ่งเรือสินค้าทีเขาได้ซื้อมาเพียง 100 เหรียญนั้นเพียงไม่นาน มันได้กลายเป็นกองเรือขนส่งสินค้าจำนวนมาก ทำให้ Vanderbilt ได้โดดเด่นขึ้นมาในแถบนิวยอร์กด้านการขนส่ง จึงถึงกับได้รับฉายาว่า “ผู้บัญชาการกองเรือ”

ซึ่งตลอด 40 ปีให้หลัง มันทำให้ Vanderbilt ได้สร้างอาณาจักรการขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาได้สำเร็จ และหลังจากได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจก่อนสงครามกลางเมือง เขาก็ได้คิดทำสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ การเข้ามาสู่ธุรกิจขนส่งทางรถไฟ มันไม่ใช่ทางรถไฟธรรมดา แต่มันเป็นเป็นทางรถไฟข้ามประเทศ เพราะอเมริกามีพื้นที่ใหญ่โตมหาศาล 

แต่เขามองว่า การสร้างทางรถไฟ จากตะวันออก ไปสู่ทางด้านตะวันตกของอเมริกานั้น มันจะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางข้ามรัฐ ลงไปได้หลายเดือน มันทำให้เกิดอิสระต่อผู้คน แถมยังสามารถขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และราคาถูกที่สุด ตั้งแต่อเมริกา ก่อตั้งประเทศมา 
เขาได้สร้างทางรถไฟกว่า 50,000 ไมล์ เพื่อเชื่อมต่อรัฐต่าง ๆ ของประเทศให้สามารถขนส่งผู้คน หรือสินค้าระหว่างกันได้

ทิ้งธุรกิจขนส่งทางเรือมาลุยกับขนส่งทางรถไฟแบบเต็มตัว
ทิ้งธุรกิจขนส่งทางเรือมาลุยกับขนส่งทางรถไฟแบบเต็มตัว

เขาได้มองเห็นอนาคตทางธุรกิจใหม่ของเขา โดยเขาได้ทำการขายกองเรือทั้งหมดของเขา และนำเงินทั้งหมดมาทุ่มหมดหน้าตักกับกิจการรถไฟ ซึ่งในที่สุดกิจการใหม่ของเขาก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อสิ้นสุดสงครามกลางเมือง มันทำให้ Vanderbilt กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาทันที ซึ่งตอนนั้นมีทรัพย์สินกว่า 68 ล้านเหรียญ หรือเทียบเท่ากับ 75,000 ล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน

แต่แม้จะมีเงินมากเพียงใด หลังสิ้นสุดสงคราม ก็ไม่อาจจะบรรเทาความเจ็บปวดของ Vanderbilt  ได้ เพราะเขาได้เสียลูกชายคือ George Vanderbilt ในช่วงสงครามกลางเมืองอันเลวร้ายของอเมริกา มันเป็นความสูญเสียอย่างมากของ Vanderbilt ผู้พ่อ และเขาก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของเขาต่อไป ซึ่งมันทำให้ธุรกิจการขนส่งทางด้านรถไฟของเขานั้นตกอยู่ในความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง

George นั้นเป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่เขาเชื่อใจ และเขาก็ได้ใช้ความพยายามหลายปีในการเฝ้าฟูมฟัก George เพื่อให้มาดูแลธุรกิจต่อจากเขา แต่สุดท้ายเมื่อ George นั้นไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว มันทำให้ Vanderbilt ต้องให้ William ลูกชายอีกคนที่ไม่เอาไหนมาช่วยดูแลกิจการต่อ

เขาเสียใจอย่างมากหลังจากสูญเสียลูกชายในสงครามกลางเมือง
เขาเสียใจอย่างมากหลังจากสูญเสียลูกชายในสงครามกลางเมือง

และกิจการมันก็เริ่มทรุดลงหลังจากการเข้ามาของ William คู่แข่งนั้นไม่ได้มองว่า Vanderbilt นั้นน่ากลัวอีกต่อไป แต่แม้คู่แข่งนั้นจะเห็นถึงจุดอ่อน แต่ Vanderbilt มองมันเป็นโอกาส และที่สำคัญ มันถึงเวลาที่เขาจะได้สอน William ว่าการต่อสู้ทางธุรกิจนั้นมันเป็น เช่นไร

Vanderbilt นั้นเป็นเจ้าของสะพานข้ามทางรถไฟ ที่มีเพียงเส้นเดียวที่จะมุ่งหน้าสู่มหานครนิวยอร์ก ซึ่งมันมุ่งตรงไปยังท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในขณะนั้น และที่นั่นยังเป็นสถานที่ที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศอีกด้วย และนี่จะเป็นอาวุธเด็ดที่สำคัญที่เขาสามารถที่จะเอาชนะคู่แข่งที่กำลังคิดจะมาแย่งชิงอาณาจักรขนส่งทางรถไฟที่ยิ่งใหญ่ของเขาได้

ซึ่งเมื่อไม่มีสะพานนี้ รถไฟสายอื่น ๆ ของคู่แข่งก็ไม่สามารถที่จะเข้าออกเมือง นิวยอร์ก ได้ มันเป็นกลยุทธ์ที่เหนือชั้นมากในการตัดขาดคู่แข่งไม่ให้เข้ามาสู่นิวยอร์ก และที่สำคัญมันยังทำให้ นิวยอร์ก ถูกตัดขาดจากเมืองอื่น ๆ ซึ่งนี่เป็นกลยุทธ์ที่ Vanderbilt ต้องการบีบให้คู่แข่งตายไปในที่สุด

การปิดสะพานครั้งนี้ของ Vanderbilt ทำให้สินค้าจำนวนมาก ไม่สามารถไปยัง นิวยอร์กได้ และมันทำให้ค่อย ๆ บีบให้คู่แข่งของเขาตายไปในที่สุด ซึ่งเหล่าบริษัทรถไฟคู่แข่งก็ต้องขายหุ้นทั้งหมดออกมา ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนถึง wallstreet ทำให้ผู้คนเทขายหุ้นอย่างหนัก และเมื่อมันร่วงจนถึงจุดต่ำสุด Vanderbilt ก็ได้กว้านซื้อหุ้นเหล่านั้นทั้งหมด และมันทำให้ Vanderbilt กลายเป็นเจ้าของเครือข่ายบริษัทรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาทันที

ไล่ซื้อหุ้นใน wall street เพื่อยึดทั้งหมด
ไล่ซื้อหุ้นใน wall street เพื่อยึดทั้งหมด

และไม่นานหลังจากได้ควบรวมกับกิจการของคู่แข่ง Vanderbilt ก็ได้ขยายอาณาจักรเส้นทางรถไฟของเขา จนครอบคลุมทั่วอเมริกา มันยังได้ช่วยสร้างงานกว่า 180,000 ตำแหน่ง และอาณาจักรของเขาก็ได้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจอเมริกาไปในที่สุด

มันไม่ใช่แค่เพียงการขนส่ง แต่มันยังส่งผลต่อ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วประเทศอเมริกาเฟื่องฟูขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ของอเมริกา

และ Vanderbilt อยากที่จะสร้างสัญลักษณ์บางอย่างเพื่อประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเขา ซึ่งเป็นที่มาของการสร้าง สถานี รถไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น ซึ่งก็คือ ชุมทาง Grand Central กลางมหานครนิวยอร์ก

คนงานหลายพันคน ถูกจ้างเข้ามาเพื่อสร้าง Grand Central ภายในระยะเวลา 2 ปี มันเป็นการก่อสร้างสถาปัตยกรรมที่มีความทะเยอทะยานที่สุดเท่าที่อเมริกาเคยมีมา มันทำให้ Grand Central กลายเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดของมหานครนิวยอร์ก และกลายเป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 22 เอเคอร์ และมันได้มาเปลี่ยนภูมิทัศน์ของนิวยอร์กไปตลอดกาล

สร้างสถานี Grand Central เพื่อเป็นสัญลักษณ์
สร้างสถานี Grand Central เพื่อเป็นสัญลักษณ์

ถึงตอนนี้ต้องเรียกได้ว่า Vanderbilt นั้นได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดเท่าที่สามารถทำได้แล้ว แต่ความทะเยอทะยานของเขายังไม่มีหมด และนี่มันเป็นสาเหตุสำคัญให้เขาตกอยู่ในความเสี่ยง ตอนนั้นเขาสามารถที่จะยึดส่วนแบ่งของเส้นทางรถไฟได้ถึง 40% ของเส้นทางทั้งหมดในประเทศอเมริกาแล้ว แต่ความทะเยอทะยานของเขานั้น มันทำให้เขาอยากได้มันทั้งหมด

ตอนนั้นมีเส้นทางสายหนึ่งที่  Vanderbilt ต้องการเป็นอย่างมากคือเส้นทางจาก ชิคาโก้ ไปยังเมือง นิวยอร์ก ซึ่งตอนนั้นไม่ได้เป็นของ Vanderbilt ซึ่งตอนนั้นเจ้าของเส้นทางนี้คือบริษัท ERIE เขาจึงได้สั่งทีมงานเข้าไปกว้านซื้อหุ้นของ ERIE ให้มากที่สุด

ซึ่งทางผู้บริหารของ ERIE ก็รู้ทันเกมส์ของของ Vanderbilt ในการเข้ากว้านซื้อหุ้นในตลาดวอลล์สตรีท จึงได้ใช้ไม้เด็ดเพื่อเล่นงาน Vanderbilt โดยทำการปั๊มใบตั๋วหุ้นขึ้นมาเพิ่มเพื่อให้จำนวนหุ้นของ ERIE สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  ซึ่งในตอนนั้น ERIE นั้นมีสิทธ์ในการเพิ่มใบตั๋วหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งไม่ได้เป็นการผิดกฏแต่อย่างใด

ซึ่งมันทำให้ Vanderbilt ต้องซื้อหุ้นของ ERIE ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งแผนนี้มันถูกเรียกว่าการลดมูลค่าหุ้นลง ซึ่งในตอนนั้นไม่มีใครคาดถึง แต่ในปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย ในสมัยนั้นมันเป็นแผนที่เรียบง่ายแต่แสนชาญฉลาดเป็นอย่างมากในการเล่นงาน  Vanderbilt

และมันเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายครั้งแรกของ Vanderbilt กว่าเขาจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว เขาเสียเงินไปกว่า 7 ล้านเหรียญในการซื้อหุ้นของ ERIE ทางผู้บริหาร ERIE แก้เผ็ดด้วยการนำข้อมูลที่เขาสามารถหลอก Vanderbilt ได้ไปบอกกับสื่อ มันทำให้เรื่องกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น มันเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายที่สุดของ Vanderbilt เลยก็ว่าได้ที่ถูกลูบคมได้ถึงเพียงนี้

แต่มันเหมือนเป็นการปลุกเสือร้ายอย่าง Vanderbilt ให้ลุกขึ้นตื่น ตอนนี้เขามองไปยังสิ่งใหม่แทน มันไม่ใช่การขยายเส้นทางรถไฟอีกต่อไป แต่มันต้องเป็นการขนส่งสินค้าใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเขา

เขามองว่าเขาต้องควบคุมแหล่งสินค้าใหม่ที่จะทำให้ขบวนรถไฟของเค้าเต็มอยู่ตลอดได้ เขาก็สามารถที่จะยึดครองอุตสาหกรรมรถไฟทั้งหมดได้ ซึ่งตอนนั้นเขาก็รู้ดีว่าเขาต้องหันไปทางไหน

ตอนนั้น น้ำมันกำลังมาปฏิวัติชีวิตของชาวอเมริกัน น้ำมันดิบ กำลังถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำมันก๊าซ มันเป็นแหล่งพลังงานราคาถูกที่สุดสำหรับความสว่างสไว และแสงไฟของชาวอเมริกา ซึ่งรูปแบบแสงแบบใหม่นี้ มันกำลังเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวอเมริกันไป

ชาวอเมริกันกำลังจะได้พบกับความสว่างสไวผ่านน้ำมันก๊าซ
ชาวอเมริกันกำลังจะได้พบกับความสว่างสไวผ่านน้ำมันก๊าซ

ต้องบอกว่าในช่วงก่อนหน้านั้น ไม่มีแหล่งแสงไฟให้ความสว่างให้กับชาวอเมริกา เมื่อพระอาทิตย์ตก ความมืดก็จะตามมา  น้ำมันก๊าซ มันได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล และ Vanderbilt รู้ว่ามันถึงเวลาที่เขาจะได้กอบโกยอีกครั้ง 

Vanderbilt เห็นถึงความต้องการน้ำมันก๊าซ ที่พุ่งสูงขึ้นทั่วประเทศ เพื่อจะได้สนองความต้องการนั้น ผู้ผลิตน้ำมันก๊าซ ก็จะต้องหาวิธีใหม่ในการขนส่งน้ำมันของพวกเขา  ถ้า Vanderbilt สามารถครอบครองการส่งน้ำมันก๊าซ ได้ เขาก็จะกลับมาเป็นสุดยอดของการขนส่งทางรถไฟได้อีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เขาต้องทำก็คือ หาผู้ส่งน้ำมันนั่นเอง

ตอนนั้น Cleveland เมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรไม่ถึง 50,000 คน แต่มันตั้งอยู่เหนือบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก Vanderbilt จึงรีบเดินทางไปพบเจ้าของแหล่งผลิตน้ำมันใน Cleveland จนไปพบกับ John D. Rockefeller ที่ตอนนั้นทำธุรกิจผลิตน้ำมันอยู่แต่กำลังประสบกับปัญหาบางอย่างในการจัดการธุรกิจของเขา

ตอนนั้น Rockefeller อายุได้เพียง 27 ปี กำลังเริ่มต้นกับการสร้างธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน แต่บริษัทของเขาประสบกับปัญหา จนเกือบจะล้มละลายไปแล้ว  แต่ Vanderbilt มองว่าชายคนนี้จะเป็นผู้ที่มีประโยชน์กับเขา จึงได้มีการเจรจาขนส่งน้ำมันกับ Rockefeller  และได้เชิญ Rockefeller ไปพบกับเขาที่นิวยอร์ก

John d. Rockefeller ในวัยหนุ่ม กำลังสร้างธุรกิจน้ำมัน
John d. Rockefeller ในวัยหนุ่ม กำลังสร้างธุรกิจน้ำมัน

สำหรับ Rockefeller แล้วนั้นการพบกับ Vanderbilt ในครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสเดียวและโอกาสที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา มันอาจจะช่วยรักษาบริษัทของเขาไม่ให้ล้มละลายได้

แต่เรื่องเหลือเชื่อที่สุดก็เกิดกับ Rockefeller เมื่อเขาพลาดขบวนรถไฟที่จะพาเขาจาก Cleveland ไปยัง นิวยอร์ก แต่รถไฟขบวนที่เขาพลาดนั้นได้เกิดตกรางและทำให้มีผู้เสียชีวิตแทบจะทั้งขบวน

มันเป็นโชคชะตานำพา หรือ เรื่องบังเอิญอย่างไร ไม่มีใครทราบได้ แต่การรอดชีวิตมาได้ส่งผลอย่างมากต่อชายหนุ่ม ผู้กำลังก่อร่างสร้างตัวจากธุรกิจใหม่อย่างธุรกิจน้ำมัน เขาเชื่ออย่างศรัทธาว่าพระผู้เป็นเจ้ามีเหตุผลในการไว้ชีวิตเขา และต่อจากนี้ไปเขาก็เชื่อว่าทุกอย่างถูกกำหนดโดยพระเจ้าแล้ว ชายผู้มีนามว่า Rockefeller กับการไปพบปะครั้งสำคัญกับ Vanderbilt  มันจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด รวยที่สุด เท่าที่ประวัติศาสตร์อเมริกาเคยมีมาได้อย่างไร โปรดอย่างพลาดติดตามในตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 2 : John D. Rockefeller