ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 16 : End of the Begining

ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเราที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าเหล่า Inventor หรือนักคิดนักประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ นั้น มักจะถูกมองหาว่าคิดเรื่องที่เพ้อฝันมาก่อนแทบจะทั้งสิ้น ไม่จะเป็น โธมัส เอดิสัน , นิโคลา เทสลา หรือ แม้กระทั่งตัว อีลอน มัสก์ เองก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขายึดไว้เหมือนกันคือ การอดทนต่อคำวิจารณ์เหล่านี้ แล้วแสดงให้โลกเห็นว่าพวกเขาทำได้ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโลกเราให้ดีขึ้นแทบจะทั้งสิ้น

พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้คิดแค่เพียงเรื่องของเงินทองเท่านั้น มันเป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่ง เพื่อขับเคลื่อนพวกเขาให้ก้าวนอกกรอบความคิดเดิม ๆ ที่เคยมามีให้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญอย่างนึง ที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนโลกเราได้

สำหรับคำถามที่ว่า มัสก์กำลังนำพาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไปสู่จุดสูงสุดครั้งใหม่ เหมือนที่เกตส์ กับ จ๊อบส์ เคยทำได้หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกัน แม้ ไอเดียต่าง ๆ ของมัสก์ จะเป็น ไอเดียที่เปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นแทบจะทั้งสิ้น

แต่ก็มีบางฝ่าย ที่มองเห็นว่า ทั้ง Tesla , SpaceX หรือ SolarCity นั้น เป็นเพียงการมอบความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แก่อุตสาหกรรม ว่าจะสามารถใช้นวัตกรรมอันยิ่งใหญ่ได้ ส่วนอีกฝ่ายก็มองว่า มัสก์ นั้นคือตัวจริงเสียงจริง เขากำลังจะกลายเป็นดาวดวงใหม่ที่กำลังเปล่งประกายสว่างสไวที่สุดของสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นการปฏิวัติเทคโนโลยีที่กำลังมาถึง

หากจะทำความเข้าใจว่างานของมัสก์ ที่เขากำลังสร้างสรรค์ขึ้นมานั้น  ท้ายที่สุดแล้วจะทรงพลังมากแค่ไหนสำหรับเศรษฐกิจอเมริกัน ก็ต้องลองนึกถึงเครื่องจักรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ ซึ่งนั่นก็คือ สมาร์ทโฟน ในยุคก่อน iPhone นั้น สำหรัฐเป็นพวกที่ล้าหลังในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม มือถือและอุปกรณ์เคลื่อนที่ทั้งหลายล้วนอยู่ในทวีปยุโรปและเอเชียเพียงเท่านั้น

แต่เมื่อการมาถึงของ iPhone ที่ สตีฟ จ๊อบส์ ได้เปิดตัวขึ้นในปี 2007 มันก็ได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล อุปกรณ์ของ จ๊อบส์ ชิ้นนี้เลียนแบบฟังก์ชันการทำงานหลายอย่างของคอมพิวเตอร์ และเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ เข้ามาด้วย application รวมถึง เซ็นเซอร์ต่าง ๆ

การเปิดตัว iPhone ของสตีฟ จ๊อบส์ในปี 2007 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมมือถือในอเมริกา
การเปิดตัว iPhone ของสตีฟ จ๊อบส์ในปี 2007 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมมือถือในอเมริกา

ซึ่งตามมาด้วยการที่ google บุกด้วยตลาดทางด้านซอฟต์แวร์แอนดรอยด์ และโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี สหรัฐก็กลับมาผงาดขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอุปกรณ์พกพา และสร้างการบริการเพื่อตอบสนองความต้องการผู้ใช้งานที่มีอยู่ทั่วโลกในเวลาเดียวกัน

มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมาก ๆ ของซิลิกอน วัลเลย์ ที่ทำให้อเมริกา กลับมาเชิดหน้าชูตาในอุตสาหกรรมนี้ได้อีกครั้ง ซึ่งมันนำไปสู่ความเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ ผลักดัน apple ให้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกได้สำเร็จ ซึ่งสามารถส่งขายอุปกรณ์อันชาญฉลาดไปยังทั่วโลก กว่าหลายพันล้านชิ้น

และตอนนี้ งานของอีลอน มัสก์ กำลังอยู่ในจุดที่สูงสุดของกระแสใหม่ ที่เป็นการรวมกันระหว่างซอฟต์แวร์อัจฉริยะ กับ ฮาร์ดแวร์ การที่ทั้ง Tesla และ SpaceX นั้นใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึง ซอฟต์แวร์เข้ามาจัดการภายใน นั่นถือว่าเป็นการผนวกศาสตร์ทางด้านอุตสาหกรรมของโลกยุคเก่า เข้ากับ เทคโนโลยีของผู้บริโภคในราคาถูก ของโลกยุคใหม่ มันเป็นการหล่อหลอมรวม แล้วสร้างมันให้กลายเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศอเมริกาเลยก็ว่าได้

ในตอนนี้ เท่าที่ ซิลิกอนวัลเลย์ พยายามหาผู้สืบทอดบทบาทของจ๊อบส์เพื่อที่จะเป็นแรงชี้นำอันทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมา ดูเหมือว่า มัสก์ เป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุด แน่นอนว่าเขาเป็นชายสายเทคโนโลยีมาตั้งแต่แรกในการสร้าง Zip2

มัสก์ ผู้ที่ใกล้เคียงที่สุดที่จะสืบทอด สตีฟ จ๊อบส์
มัสก์ ผู้ที่ใกล้เคียงที่สุดที่จะสืบทอด สตีฟ จ๊อบส์

มัสก์ ผู้ซึ่งมีประสบการณ์โชกโชน และเหล่าบุคคลผู้เป็นตำนาน ต่างยกให้เขาเป็นคนที่น่าเลื่อมใสที่สุด ยิ่งเมื่อ Tesla กำลังกระโจนเข้าสู่กระแสหลักมากขึ้นเท่าไหร่ ชื่อเสียงของมัสก์ก็ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น

การที่รถยนต์ Tesla อย่าง Model 3 นั้นสามารถทำยอดขายได้ถล่มทลาย มันจึงเป็นเป็นการโชว์ผลงานให้ประจักษ์ว่ามัสก์คือบุคคลหายากที่สามารถคิดใหม่ทำใหม่ในอุตสาหกรรม เขามีทักษะที่อ่านผู้บริโภคออก แบบเดียวกับที่จ๊อบส์ทำได้ การบริหารก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม และไอเดียของเขา ก็เริ่มหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาเรื่อย ๆที่พร้อมจะเปลี่ยนโลกเราให้ดีขึ้น

ทศวรรษต่อไปของบริษัทในเครือของมัสก์ น่าจะมีอะไรที่พิเศษ และสร้างความตื่นเต้นให้ชาวโลกได้พอสมควร ตัวมัสก์เองก็ได้เปิดทางให้ตัวเองกลายเป็นหนึ่งในนักนวัติกรรมและนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

มัสก์ พิสูจน์ ให้เห็นถึงความสำเร็จของเขา ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
มัสก์ พิสูจน์ ให้เห็นถึงความสำเร็จของเขา ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

คาดการณ์กันว่า ภายในปี 2025 นั้น เป็นไปได้ว่า Tesla จะผลิตรถยนต์ให้กลายเป็นกระแสหลักของตลาดได้สำเร็จ และเป็นกำลังหลักในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเฟื่องฟู รวมถึงการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของ SolarCity จึงมีโอกาสที่บริษัทจะผงาดขึ้นเป็นบริษัทสาธารณูปโภคขนาดยักษ์ และเป็นผู้นำในตลาดพลังงานแสงอาทิตย์

แล้ว SpaceX ล่ะ มันเป็นความตื่นเต้นของมนุษยชาติมากที่สุดเลยก็ว่าได้ SpaceX น่าจะจัดเที่ยวบินขนส่งมนุษย์และสัมภาระขึ้นสู่อวกาศได้ทุกสัปดาห์ และการเดินทางไปยังดาวอังคารคงไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอีกต่อไปในอนาคต

ซึ่งถ้าทุกสิ่งเกิดขึ้นตามนี้ มัสก์ ซึ่งตอนนั้นจะอยู่ในวัยห้าสิบกลางๆ ก็จะกลายเป็นชายผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และอยู่ในหมู่คนที่มีอิทธิพลมากที่สุดทันที เขาจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทมหาชนสามแห่ง

ซึ่งจริงอยู่ที่ว่า อนาคต นั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน บริษัททั้งสามก็กำลังผจญกับปัญหาแตกต่างกันไป แต่มัสก์ ก็ได้เดิมพันครั้งยิ่งใหญ่กับการประดิษฐ์คิดค้นของมนุษย์และความสามารถของพลังงานแสงอาทิตย์ แบตเตอรี่ รวมถึงเทคโนโลยีการบินและอวกาศ มันเป็นความเสี่ยงที่มัสก์นั้นพร้อมที่จะรับตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเป้าหมายของเขามันยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่ใครจะคาดถึงนั่งเอง

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Elon Musk จาก Blog Series ชุดนี้

ก่อนหน้านี้ผมได้เขียน Blog Series มามากมาย ที่เกี่ยวกับเหล่านักธุรกิจ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ต่าง ๆ แต่เมื่อได้เรียนรู้จากทุกคนนั้นจะพบว่า มัสก์ เป็นคนที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง

มัสก์มองปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกเราเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังงานทดแทน หรือ การเดินทางในอวกาศ ซึ่งล้วนแล้วต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการสร้างฝันของเขาให้สำเร็จขึ้นมาได้

ทั้ง SpaceX , Tesla หรือ SolarCity นั้น เป็นบริษัทที่ล้วนอยู่ในอุตสาหกรรมที่มี Impact ต่อโลกเราอย่างมหาศาล ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นมีหลายคนเคยปรามาสว่าเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน และไม่มีทางเป็นไปได้ แต่มัสก์ ก็ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าแม้จะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ หรือ ยากเย็นเพียงใด เขาก็สามารถทำมันให้เห็นผลเป็นประจักษ์ได้สำเร็จ

เขาจับอุตสาหกรรมอย่างยานอวกาศ และ รถยนต์ ที่อเมริกาเหมือนจะถอดใจไปแล้ว และพลิกโฉมจนมันกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้สำเร็จ ซึ่งหัวใจหลักของการเปลี่ยนแปลงนี้คือทักษะของมัสก์ในฐานะผู้สร้างซอฟต์แวร์และความสามารถในการประยุกต์มันเข้ากับเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ตอนนี้ มัสก์ ยังไม่มีสินค้ายอดฮิตในหมู่ผู้บริโภคเหมือนอย่าง iPhone หรือเข้าถึงคนมากกว่าพันล้านคนเหมือนอย่าง facebook ทำได้ แต่สิ่งที่เขาทำล้วนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่น้อยคนนักจะกล้าเข้ามาเสี่ยงทำเหมือนที่เขากำลังทำอยู่

อีลอน มัสก์ เป็นตัวอย่างของผู้ประกอบการในซิลิกอน วัลเลย์ ที่ทำให้เห็นถึงอุตสาหกรรมใหม่ของเทคโนโลยี ทั้งของประเทศอเมริกาเอง รวมถึง ของโลกเราในอนาคต เขาไม่ใช่พวกที่แค่มัวไล่ตามหุ้นไอพีโอ เหมือนคนอื่นๆ  เพราะสิ่งเหล่านั้นมันไมใช่เรื่องยากเลยสำหรับเขา เมื่อพิจารณาถึงความอัจฉริยะของเขา แต่เขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก

การหลอมรวมกันอย่างกลมกลืนของซอฟต์แวร์ อิเล็กทรอนิกส์ วัสดุล้ำสมัย และประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ มันคือพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ของมัสก์ ที่ยากจะหาใครเทียบได้ในยุคปัจจุบัน 

เขาคือนักประดิษฐ์ นักธุรกิจ และนักอุตสาหกรรมที่มีไอเดียยิ่งใหญ่ และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสินค้าที่ยิ่งใหญ่ได้ เขาเป็นนักคิดที่แหวกแนว  นักอุตสาหกรรมที่ก้าวล้ำที่สุดของอเมริกา หรืออาจจะเป็นก้าวล้ำที่สุดของโลกเราแล้วก็ว่าได้ในตอนนี้

มัสก์ เป็นนักประดิษฐ์ ที่เทียบเคียงได้กับผู้ยิ่งใหญ่อย่าง โทมัส เอดิสัน
มัสก์ เป็นนักประดิษฐ์ ที่เทียบเคียงได้กับผู้ยิ่งใหญ่อย่าง โทมัส เอดิสัน

และโดยส่วนตัวผมก็มั่นใจว่า เขาจะกลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุด ที่โลกของเราต้องจารึกไว้ ในฐานะนักนวัตกรรม ไม่ต่างจากที่เราเคยเทิดทูน โทมัส เอดิสัน , นิโคลา เทสลา หรือ เฮนรี่ ฟอร์ด และที่สำคัญ มัสก์ ถือเป็นแรงบันดาลใจให้เหล่าผู้คน หันมาสรรค์สร้างสิ่งใหม่ ๆ และช่วยกันแก้ปัญหาของโลกเราใน Scale ที่ใหญ่ขึ้นเหมือนสิ่งที่มัสก์กำลังทำ ซึ่งเขาทำสิ่งที่ต้องการ และเขาจะไม่รามือกับมัน เพราะนั่นแหละคือโลกของชายที่ชื่อ อีลอน มัสก์  
และคงจะไม่เกินเลยที่จะกล่าวว่าเขาคือ The Real Iron Man ผู้ซึ่งเป็น โทนี่ สตาร์กในโลกแห่งความจริงนั่นเอง

–> อ่านตอนพิเศษ : Difficult and Painful

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 15 : Idea Overload

จากการที่มัสก์นั้นประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเป็นนักปฏิบัติชั้นเยี่ยม ไม่ใช่คุยแค่เรื่องที่เพ้อฝันจับต้องไม่ได้เท่านั้น เขาจะลงมือทำและแสดงให้เห็นว่าวิสัยทัศน์ของเขานั้นสามารถที่จะทำให้มันเป็นจริงได้ ทั้งที่หลาย ๆ คนอาจจะส่ายหน้าหนีเมื่อได้ยินไอเดียของเขาในครั้งแรกก็ตามที

ทั้ง Tesla และ SpaceX นั้น ถูกออกแบบขึ้นด้วยวิสัยทัศน์ที่จุดประกายให้กลุ่มคนเปี่ยมพรสวรรค์จำนวนมากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม และหันมาทำสิ่งที่สร้างแรงบรรดาลใจ 

ตัวอย่างโครงการด้านอวกาศของ SpaceX นั้น มันเป็นความคิดแบบย้อนเวลาสู่อนาคต แม้มัสก์จะรู้ว่า โครงการอวกาศนั้นล้มเลิกไปนานแล้วก็ตาม เหล่าผู้คนต่างละทิ้งความยิ่งใหญ่ในอดีตของโครงการด้านอวกาศของสหรัฐ ในช่วงทศวรรษ 1970 แต่มัสก์นั้นสามารถพา SpaceX พิสูจน์ว่า มีวิธีที่จะนำพาอนาคตเหล่านี้กลับมาได้ มันเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ และมีคุณค่าอย่างมหาศาล

ในเดือนสิงหาคมปี 2013 มัสก์ได้เปิดเผยแนวคิดใหม่ของสิ่ง ๆ นึงที่ถูกเรียกว่า Hyperloop โดยมัสก์นั้น ได้คิดถึงการปฏิวัติวงการขนส่ง มันจะเป็นวิธีการขนส่งแบบใหม่ ที่มนุษยชาติไม่เคยพบเจอมาก่อน

แนวคิดปฏิวัติระบบขนส่งใหม่อีกครั้งของมัสก์ Hyperloop
แนวคิดปฏิวัติระบบขนส่งใหม่อีกครั้งของมัสก์ Hyperloop

ใช้ความคิดง่าย ๆ ที่เปี่ยมไปด้วย Impact ที่มหาศาล การสร้างท่ออากาศเหมือนที่ใช้ส่งจดหมายภายในสำนักงาน  แต่มันเป็นท่อส่งขนาดยักษ์ ไว้สำหรับขนส่งคน และสินค้า มัสก์ ตั้งเป้าหมายที่จะเชื่อมเมือง ลอสแอนเจลิส กับ ซานฟรานซิสโก ด้วย Hyperloop ด้วยการสร้างท่อยกระดับ

โดยจะขนส่งคนหรือสินค้า โดยใช้ห้องโดยสารที่ถูกเรียกว่า Pod  มัสก์ได้กำหนดองค์ประกอบแบบใหม่ที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน การให้ท่อทำงานภายใต้ความดันต่ำ และทำให้ตัว Pod นั้นลอยขึ้นอยู่บนชั้นอากาศ  โดยตัว Pod นั้นจะถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และตัวมอเตอร์ที่มีการติดตั้งตลอดทั้งท่อ

Pod หรือห้องโดยสารรูปแบบใหม่ภายใน Hyperloop
Pod หรือห้องโดยสารรูปแบบใหม่ภายใน Hyperloop

กลไกเหล่านี้จะทำให้ตัว Pod สามารถทำความเร็วได้ถึง 800 ไมล์ต่อชั่วโมง โดยการเดินทางจากลอสแอนเจอลิส ไปยัง ซานฟรานซิสโก ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 30 นาทีเพียงเท่านั้น และตัว Pod ก็ใช้แบตเตอรี่แบบเดียวกับที่ Tesla ใช้  ส่วนแหล่งพลังงานอื่น ๆ ก็ใช้สิ่งที่ มัสก์มีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วใน SolarCity การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ จะทำให้สามารถประหยัดค่าการขนส่งได้เป็นอย่างมาก ซึ่งประมาณการณ์ไว้ว่า ผู้โดยสารแต่ละคนจะจ่ายเพียง 20 เหรียญในการเดินทางด้วย Hyperloop จาก ลอสแอนเจลลิส ไปยังเมือง ซานฟรานซิสโก

โดยขนาดของ Pod นั้นมีสองขนาด โดยตัวขนาดเล็กนั้น จะบรรจุผู้โดยสารได้ประมาณ 28 คนต่อเที่ยว ส่วน Pod ขนาดใหญ่นั้น จะสามารถบรรจุผู้โดยสารมากกว่า รวมถึงสามารถที่จะบรรจุรถ ขนาดประมาณ Model X ของ Teslaได้ถึงสามคัน 

ซึ่งต้องบอกว่าแนวคิดในเรื่อง Hyperloop ของมัสก์ นั้นมีมานานแล้ว มันเกิดมาจากความเกลียดชังที่เขามีต่อระบบรถไฟความเร็วสูง ซึ่งทางรัฐนั้นได้วางแผนไว้ก่อนหน้าแล้วในรัฐแคลิฟอเนีย ซึ่ง การใช้รถไฟความเร็วสูงนั้นจะใช้เวลาราวๆ  สองชั่วโมงครึ่ง ในการเดินทางจาก ลอสแอนเจอลิส ไปยัง ซานฟรานซิสโก ซึ่ง ในทุกวันนี้การเดินทางโดยเครื่องบินนั้นใช้เวลาราวๆ  หนึ่งชั่วโมง ส่วนการขับรถนั้นใช้เวลาราว ๆ 5 ชั่วโมง ซึ่งจะเห็นได้ว่า การใช้ Hyperloop ที่ใช้การเดินทางแค่ 30 นาทีนั้น เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

ทางเลือกใหม่ในการเดินทางข้ามเมืองระยะไกล
ทางเลือกใหม่ในการเดินทางข้ามเมืองระยะไกล

แต่การเสนอไอเดียดังกล่าวของมัสก์นั้น ดูเหมือนเขา แค่ต้องการให้เหล่านักการเมืองในสภาทบทวนเรื่องรถไฟความเร็วสูงใหม่เพียงเท่านั้น ซึ่งมัสก์ต้องการแสดงให้เห็นว่า แนวคิดใหม่ ๆ จะสามารถผลักดันรัฐให้เดินหน้าได้จริง ๆ ดีกว่ามายึดติดกับเทคโนโลยีแบบเก่าๆ  และเหตุผลหลักอีกอย่างก็คือ ตอนนั้นงานที่ SpaceX และ Tesla นั้นยุ่งเกินกว่าที่มัสก์จะทำอะไรอีกอย่างได้

แต่แล้ว มันก็มีบางอย่างที่ผลักดันมัสก์ ให้เข้ามาจริงจังกับ Hyperloop เมื่อเขาได้ปล่อยเรื่องเกี่ยวกับ Hyperloop ลงในนิตยสาร Bloomberg BusinessWeek ซึ่งหลังจากเรื่องดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ไปนั้น มันได้ถึงกับทำให้ server ของเว๊บล่มไปเลยทีเดียว

มีเหล่าผู้คนแห่กันเข้ามาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับ Hyperloop เหล่าแฟนคลับของมัสก์ ที่มีอยู่ทั่วโลกต่างเริ่มสนใจแนวคิดเกี่ยวกับ Hyperloop และมัสก์ เองก็ไม่อยากให้เหล่าแฟน ๆ ของเขาผิดหวัง  เขาจึงได้บอกนักข่าวว่าจะพิจารณาสร้างต้นแบบของ Hyperloop เป็นอย่างน้อยเพื่อพิสูจน์แนวคิดว่าเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถนำไปใช้ได้จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอย่างที่หลาย ๆ คนคิด

ผู้คนส่วนใหญ่ที่ได้อ่านเรื่องราวจาก นิตยสาร Bloomberg BusinessWeek ต่างเชื่อมั่นว่ามัสก์จะทำมันได้สำเร็จ มันเป็นความเชื่อมั่นแบบแปลกประหลาดของผู้คน และมันส่งผลถึงมัสก์ มันบีบให้เขาต้องสร้างต้นแบบขึ้นมาให้สำเร็จ นี่คงเป็นเหตุผลที่มัสก์กลายเป็นผู้ที่ใกล้เคียงที่สุด ที่คนทั้งโลกคิดว่าเขาเป็น โทนี่ สตาร์ก ตัวจริง

ซึ่งไม่นานหลังจากที่มัสก์ได้ปล่อยแผนการเรื่อง Hyperloop เซอร์วิน พิเชวาร์ นักลงทุน แลเพื่อนสนิทของมัสก์ นำรายละเอียดเกี่ยวกับเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ ติดตัวไปประชุมกับ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ที่ทำเนียบขาว

และมันทำให้โอบามา หลงรักแนวคิดดังกล่าว และให้ทีมงานศึกษาข้อมูลดังกล่าว และในที่สุดก็จัดได้ให้มีการคุยส่วนตัวระหว่าง อีลอน มัสก์ กับ โอบาบาใน เดือนเมษายนปี 2014 และ เซอร์วิน พิเชวาร์ และเพื่อน ๆ รวมถึงมัสก์เอง ก็ได้กันร่วมก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Hyperloop Technologies ขึ้นมาจริง ๆ โดยหวังที่จะสร้าง เส้นทางสายแรกระหว่าง เมืองลอสแอนเจลลิส กับ ลาสเวกัส

ถกไอเดียเรื่อง Hyperloop กับ Obama หวังจะสร้างต้นแบบระหว่าง ลอสแอนเจลลิสและ ลาสเวกัส
ถกไอเดียเรื่อง Hyperloop กับ Obama หวังจะสร้างต้นแบบระหว่าง ลอสแอนเจลลิสและ ลาสเวกัส

จะเห็นได้ว่า มัสก์ นั้นเป็นคนที่ความมุ่งมั่นที่แรงกล้าเป็นอย่างมาก ไอเดียหลาย ๆ อย่างของเขาในหัวนั้นเป็นสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกของเราให้ดีขึ้นแทบจะทั้งสิ้น แม้หลายคนจะทำงานกับเขาด้วยยากมาก หลายคนอาจจะมองว่าเขาเป็นคนเพ้อฝัน แต่มัสก์นั้นก็พยายามช่วยให้ทุกคนที่ร่วมงานกับเขานั้นเข้าใจว่าเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของเขาคืออะไร ซึ่งเขาขับเคลื่อนสิ่งนี้ด้วยเลือดเนื้อหยาดเหงื่อ และหยดน้ำตาของเขามานับแต่แรกเริ่ม เขาเป็นคนที่เสี่ยงมากกว่าใคร และสุดท้ายแล้วมัสก์ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับสิทธิ์เป็นคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสำหรับทุกสิ่งที่เขาได้สร้างขึ้นมา สำหรับตอนนี้จะเป็นบทสุดท้ายของเรื่องราวของชายที่ถูกขนานนามว่าเป็น โทนี่ สตาร์ก ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วนะครับ เรื่องราวในตอนสุดท้ายจะเป็นอย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามน้า

–> อ่านตอนที่ 16 : End of the Begining (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 14 : A Burning Man

พี่น้องตระกูลไรฟ์ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของมัสก์นั้นคือเหล่าเด็กหนุ่มกลุ่มเดียวกันที่โตมาในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งพวกเขามีสิ่งบางอย่างที่เหมือนกัน คือ เป้าหมายในการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้คิดมาตั้งแต่เยาว์วัย แม้ในช่วงทศวรรษ 1990 นั้นพวกเขาจะเป็นเพียงแค่เด็กที่ไร้เดียงสา ที่เดินไปตามถนนเพื่อถามร้านต่าง ๆ ในเมืองว่าต้องการให้ช่วยจัดการเรื่องระบบคอมพิวเตอร์หรือไม่

เช่นเดียวกับมัสก์ พี่น้องตระกูลไรฟ์ ได้ใช้ความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ มาสร้างระบบงานมาตรฐานหลายอย่างให้สามารถทำงานได้แบบอัติโนมัติ ภายใต้บริษัท Everdream นำโดย ลินดอน ไรฟ์ ผู้เป็นพี่ใหญ่ ร่วมกับ ปีเตอร์ และ รัสส์ ไรฟ์ ได้กลายมาเป็นเศรษฐีดอทคอม คนหนึ่งใน ซิลิกอน วัลเลย์ เหมือน ๆ กับที่มัสก์สามารถทำได้สำเร็จ ในยุคแรกเริ่มกับ Zip2 

ลินดอน ไรฟ์ กับพี่น้อง สร้าง Everdream จนประสบความสำเร็จ
ลินดอน ไรฟ์ กับพี่น้อง สร้าง Everdream จนประสบความสำเร็จ

โดยในปี 2004 ลินดอน กับ น้องชาย ปีเตอร์ และ รัสส์ ต้องการความท้าทายใหม่ ๆ  พวกเขาได้เช่ารถบ้านหนึ่งคัน และเดินทางร่วมกันมัสก์ ไปยังทะเลทราย แบล็กร็อก และชมความบ้าคลั่งของงานเทศกาลศิลปะ เบิร์นนิ่งแมน ที่ ๆ มัสก์ มักจะไปเป็นประจำอยู่แล้วในทุก ๆ ปี

มันเป็นทริป ที่ใช้ในการผ่อนคลาย สำหรับพวกเขาหลังจากที่เคยออกผจญภัยอยู่สม่ำเสมอในวัยเด็กที่ประเทศ แอฟริกา มันเป็นทริปย้อนรำลึกความหลังของพวกเขา และเป็นการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ของอดีตเพื่อนในวัยเยาว์

เทศกาล เบิร์นนิ่งแมน กลางทะเลทราย
เทศกาล เบิร์นนิ่งแมน กลางทะเลทราย

และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ มันเป็นการระดมสมองเรื่องธุรกิจ ที่ พี่น้องตระกูล ไรฟ์ ต้องการความท้าทายใหม่ ๆ ในชีวิต ซึ่งระหว่างทริปนี้ นี่เอง ที่มัสก์ได้แนะนำลินดอน ให้ลองไปดูตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ มันเป็น ไอเดียที่เจ๋งมากสำหรับ ลินดอน ที่ต้องการความท้าทายใหม่ ๆ ในชีวิตอยู่แล้ว

จากการจุดประกายของมัสก์ ในครั้งนี้ มันทำให้ หลังจากกลับจากงานเบิร์นนิ่งแมน ทำให้พวกเขาต่างไฟลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง พี่น้องไรฟ์ ตัดสินใจอย่างทันทีทันใดว่าจะกระโจนเข้าสู่อุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ และได้ทำการศึกษามันอย่างจริงจัง ผ่านข้อมูลต่าง ๆ ทั้งหนังสือ รวมถึงข้อมูลออนไลน์ และองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ในตอนนั้น มีผู้ผลิตแผงพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ไม่กี่ราย ที่ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศจีน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้คิดอยู่อย่างเดียวคือ การรอให้ราคาแผงพลังงานแสงอาทิตย์ลดลง เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาใช้งานพลังงานทดแทนตัวนี้เพิ่มมากขึ้น มันเป็นการแข่งขันกันเรื่องราคาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

มันไร้ซึ่ง ไอเดียใหม่ ๆ สิ้นดี  การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ นั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก เต็มไปด้วยกระบวนการมากมาย  ทั้งที่มันเป็นพลังงานแห่งอนาคตชัด ๆ 

นี่เองเป็นสาเหตุสำคัญให้พี่น้องไรฟ์ ได้ตัดสินใจตั้งบริษัท SolarCity ขึ้นในปี 2006  แนวคิดหลักแรกที่ทำการตั้ง SolarCity ขึ้นมานั้น พวกเขาจะไม่ผลิตแผงโซล่าร์เซลล์เอง แต่จะจัดการ Ecosystem ทั้งหมดในการติดตั้งแผงพลังงานนี้แทน โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยเหลือให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นงานที่พวกเขาถนัดอยู่แล้ว

ตั้ง SolarCity ขึ้นมาโดยใช้เทคโนโลยีในการช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตั้ง SolarCity ขึ้นมาโดยใช้เทคโนโลยีในการช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในช่วงเริ่มต้นนั้น มัสก์ ได้ลงทุนในตอนเริ่มต้นเป็นเงินกว่า 10 ล้านเหรียญเพื่อเริ่มต้นบริษัทในการจ้าง นักการตลาด นักวิจัย และเหล่านักพัฒนาให้มาคิดโมเดลใหม่ ๆ รวมถึงหาลู่ทางในการทำธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้าให้แตกต่างไปจากที่มีอยู่เดิม

พวกเขาได้ใช้ความรู้ทางด้านเทคโนโลยี มาสร้างซอฟท์แวร์ สำหรับวิเคราะห์บิลค่าพลังงานปัจจุบันของลูกค้า และตำแหน่งบ้านรวมถึงปริมาณแสงแดดที่ได้รับเพื่อให้ลูกค้าได้ตัดสินใจว่า การลงทุนติดแผงโซล่าร์เซลล์นั้น จะคุ้มหรือไม่

พวกเขาได้คิด โมเดล ธุรกิจขึ้นมาใหม่ โดยให้ลูกค้าเช่าแผงโซล่าร์เซลล์ เป็นรายเดือนแทน โดยแทบจะไม่ต้องมีการลงทุนล่วงหน้าเลย จากการคำนวณผ่าน ซอฟต์แวร์ที่พวกเขาได้พัฒนาขึ้น และที่สำคัญยังสามารถอัพเกรดเป็นแผงรุ่นใหม่ ๆ ได้ทันที ไม่ต้องลงทุนใหม่ทั้งระบบ

ซึ่งมัสก์ ก็เป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้าง SolarCity นี้ขึ้นมา อีกทั้งกลายมาเป็นประธานบริษัทและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

และเพียงแค่ หกปีให้หลัง SolarCity ได้กลายมาเป็นผู้ติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ เป็นการปฏิวัติวงการติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ ทำให้เป็นเรื่องง่าย ไม่ยุ่งยากเหมือนในอดีตอีกต่อไป 

ไม่ใช่แค่ลูกค้าทั่วไปเท่านั้น พวกเขายังขยายตลาดไปยังลูกค้าที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Intel , Walgreens , Wal-Mart ได้มีการเซ็นสัญญาติดตั้งกับ SolarCity แทบจะทั้งสิ้น ทำให้ในปี 2012 SolarCity ได้กลายเป็นบริษัทมหาชน และ มูลค่าหุ้นก็พุ่งสูงติดเพดาน ในปี 2014 SolarCity กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 7,000 ล้านเหรียญ

กลายมาเป็นผู้ผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์รายใหญ่ในที่สุด
กลายมาเป็นผู้ผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์รายใหญ่ในที่สุด

แม้ซิลิกอน วัลเลย์ จะได้ทุ่มเงินไปมากมายกับเทคโนโลยีสีเขียว แต่ส่วนใหญ่นั้นก็จะล้มไม่เป็นท่าเสียเป็นส่วนมาก นักลงทุนชื่อดังหลายราย สูญเสียเงินมากมาาย กับ Trend ที่เรียกว่าเทคโนโลยีสีเขียว ไม่ว่าจะเป็น ฟิซเกอร์ หรือ เบทเทอร์เพลซ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเทคโนโลยีที่ดีต่อโลกจริง แต่เป็นไปได้ยากในทางธุรกิจ

มีเพียงชายที่ชื่อ อีลอน มัสก์ เท่านั้น ที่เป็นผู้รอดเหลือจากธุรกิจเหล่านี้มาได้ ซึ่งเขาเป็นคนที่ค้นพบวิธีในการ บาลานซ์ กันระหว่างโลกธุรกิจ กับ เรื่องของแนวคิดของเทคโนโลยีสีเขียว มัสก์ มีบริษัทเทคโนโลยีสะอาดที่ประสบความสำเร็จด้วยดี ถึงสองแห่ง

ซึ่ง SolarCity ก็เหมือน ๆ กับการลงทุนอย่างอื่นของมัสก์ มันได้แสดงให้เห็นศักยภาพทางด้านธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จตั้งแต่แรก นักลงทุนต่างบ่ายหน้าหนี เหมือนทุก ๆ ครั้ง แต่มัสก์ เชื่อโดยสนิทใจว่า พลังงานแสงอาทิตย์นั้นมีความสมเหตุสมผล เพราะแสงอาทิตย์ นั้นได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะกลายเป็นพลังงานที่ดีกว่าของมนุษยชาติในอนาคต

ซึ่งเหล่าผู้สังเกตการณ์ SolarCity อย่างใกล้ชิด นั้นได้มองเห็นภาพอย่างชัดเจนว่า บริษัทได้กลายมาเป็นหน่วยงานสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเลยก็ไม่อาจจะกล่าวเกินไปนัก เพราะ SolarCity ได้สร้างเครือข่ายระบบพลังงานแสงอาทิตย์ให้อยู่ภายใต้การควบคุมทั้งหมด

โดยบริหารจัดการด้วยซอฟต์แวร์อัจฉริยะ ที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ซึ่งในปี 2015 มีการประเมินว่า SolarCity นั้นจะติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ ได้เทียบเท่าพลังงานไฟฟ้า 2 กิกะวัตต์ ผลิตไฟฟ้าได้ถึงปีละ 2.8 เทราวัตต์ต่อชั่วโมง ซึ่งจะทำให้ SolarCity นั้นกลายเป็นหนึ่งใน ซัพพลายเออร์พลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

และไม่ใช่เพียงแค่เรื่องธุรกิจเพียงเท่านั้น องค์กรการกุศล Musk Foundation ที่อีลอน มัสก์ได้ก่อตั้งขึ้นมานั้น ได้ช่วยเหลือในเรื่องการสร้างแหล่งพลังงาน ให้กับผู้ประสบภัยจากทั้ง พายุ เฮอริเคน แคทาริน่า ในปี 2005 รวมถึงในเหตุการณ์วิกฤติ Deepwater Horizon Oil การรั่วไหลของน้ำมันครั้งใหญ่ ในปี 2010 อีกด้วย

และยิ่งไปกว่านั้น SolarCity เป็นส่วนประกอบสำคัญของทฤษฏีสนามรวมของ อีลอน มัสก์ ธุรกิจแต่ละอย่างของเขานั้นเกี่ยวโยงกันทั้งในระยะสั้นและระยะยาว Tesla สร้างชุดแบตเตอรี่ให้ SolarCity นำไปขายให้กับผู้บริโภคปลายทางได้ 

ส่วน SolarCity นั้นเป็นตัวส่งพลังงานแสงอาทิตย์ให้สถานีซุเปอร์ชาร์จของ Tesla ซึ่งช่วยให้ Tesla นั้นให้บริการชาร์จใหม่ฟรีให้กับเหล่าลูกค้าของ Tesla ซึ่งกลายเป็นข้อได้เปรียบอย่างสำคัญของ Tesla ที่เหมือนมีปั๊มน้ำมันของตัวเองแต่ใช้พลังงานจากแสดงอาทิตย์แทน

SolarCity ให้พลังงานแสดงอาทิตย์แก่ SuperCharger ของ Tesla
SolarCity ให้พลังงานแสดงอาทิตย์แก่ SuperCharger ของ Tesla

รวมถึงการช่วยเหลือกันของ ทั้ง SpaceX และ Tesla เช่นเดียวกัน เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ต่าง ๆ ในด้านการผลิต หรือวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มต้นมาจากศูนย์ และสุดท้ายมันก็ได้ทำให้เครือข่ายธุรกิจของมัสก์แข็งแกร่งเกินกว่าที่ใครจะล้มได้ง่าย ๆ ในที่สุดนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 15 : Idea Overload

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 13 : The Revenge of The Electric Car

ในช่วงกลางปี 2012 Tesla ทำให้เหล่าบริษัทคู่แข่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ ต้องตกตะลึง เมื่อบริษัทสามารถส่งมอบรถยนต์ รุ่น Model S ซึ่งเป็นยานยนต์สุดหรูใช้พลังงานไฟฟ้าล้วน โดยที่การชาร์จ หนึ่งครั้งนั้นสามารถเดินทางได้ถึง 300 ไมล์ และสามารถที่จะทำความเร็วไปถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ ใน 4.2 วินาที และสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 7 คน และ ไร้ซึ่งเสียงรบกวน หน้าจอสัมผัสขนาด 17 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันควบคุมมากมายในส่วนใหญ่ของรถ ซึ่งทุกอย่างนั้น Model S เหนือกว่ารถยนต์กลุ่มไฮเอนด์ส่วนใหญ่ ทั้งเรื่องของความเร็วในการขับขี่ จำนวนไมล์ต่อค่าใช้จ่ายเพราะไม่ต้องเติมน้ำมัน ความรู้สึกในการขับขี่ แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างพื้นที่เก็บของ Model S ก็กินขาด

Model S ของ Tesla นั้นได้แสดงให้โลกเห็นถึงรถยนต์ต้นแบบแห่งประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงเรื่องของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้เป็นพลังงานทดแทนน้ำมัน ที่กำลังจะหมดโลกในอีกไม่ช้า ซึ่งตัว Model S นั้น มีชิ้นส่วนที่ขยับไปมาแค่โหลเดียว ชุดแบตเตอรี่ส่งพลังงานไปยังมอเตอร์ขนาดเท่ากับผลแตงโมที่ใช้หมุนล้อในทันที่ มันเป็นกลไกง่าย ๆ แต่แฝงไปด้วยประสิทธิภาพที่ยิ่งใหญ่

Model S ของ Tesla ได้ฉีกกฏของการซื้อขายรถยนต์แบบเดิม ๆ ลูกค้าไม่ต้องไปที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ หรือ ศูนย์รถยนต์อีกต่อไป เพื่อไปต่อรองเรื่องต่าง ๆ กับเซลล์ผู้กระหายเงิน แต่ ลูกค้าของ Tesla สามารถที่จะสั่ง Model S ได้ผ่านร้านของ Tesla โดยตรงรวมถึงสามารถสั่งซื้อผ่าน Online เว๊บไซต์ ง่าย ๆ เพียงแค่ปลายนิ้วคลิก และสุดท้าย Tesla จะส่งรถไปถึงหาคุณถึงที่บ้านเอง

ปฏิวัติการซื้อรถยนต์ด้วยการสั่งซื้อผ่าน online
ปฏิวัติการซื้อรถยนต์ด้วยการสั่งซื้อผ่าน online

มันเป็นการปฏิวัตวงการรถยนต์ที่มีมากว่า 100 ปี แม้กระทั่งการดูแลรถยนต์ หากเกิดปัญหาข้อบกพร่องบางอย่าง วิศวกร Tesla สามารถเชื่อมต่อเข้าไปในรถผ่านการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแล้ว Download Software อัพเดตข้อบกพร่องให้ได้ทันที ราวกับมีพ่อมดในโลกเวทมนต์มาเสกให้ คงเป็นการเปรียบเทียบไม่เกินไปนัก

เรียกได้ว่าเจ้า Model S นั้นมันเปลี่ยนทุกอย่างของการคมนาคมไปอย่างสิ้นเชิง มันคือ คอมพิวเตอร์ติดล้อดี ๆ นี่เอง แม้ตอนแรกนั้น พวกบริษัทรถยนต์เก่าแก่ จะมอง Tesla เป็นเรื่องกระแสชั่วคราวที่ไม่นานจะตกไปเอง

แต่หลังจากรถยนต์ได้ส่งมอบไม่กี่เดือน ในเดือนพฤศจิกายนปี 2012 Model S ก็ได้รับตำแหน่งรถยนต์แห่งปีจากนิตยสาร MotorTrend ด้วยผลโหวตที่เป็นเอกฉันท์ครั้งแรก โดยสามารถเอาชนะ ปอร์เช่ BMW Lexus Subaru ซึ่งหลายเดือนต่อมา นิตยสาร ComsumerReport ให้คะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์กับ Model S นั่งคือ 99 เต็ม 100 พร้อมกับประกาศว่าเป็นรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยมีมา

รถยนต์แห่งปีจากนิตยสาร Motor Trend
รถยนต์แห่งปีจากนิตยสาร Motor Trend

อเมริกาไม่ได้เห็นบริษัทรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จมานานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็น ไครสเลอร์ เมื่อปี 1925 ย้อนไปเกือบ 100 ปี มัสก์ก็ไม่เคยทำรถยนต์มาก่อน แต่เขามีความฝันที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ เพียงแค่หนึ่งปีหลังจากวางจำหน่าย Model S ก็สามารถสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำทันที

มัสก์ได้สร้างรถยนต์ในระดับเดียวกับที่ สตีฟ จ๊อบส์ สรรสร้าง iPhone ขึ้นมา และมันคล้าย ๆ กับที่ Blackberry , Nokia ต่างมอง iPhone ในช่วงแรกของการเปิดตัว เหล่าผู้บริหารของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่  ทั้งจากอเมริกา ญี่ปุ่น หรือ เยอรมนี ก็เริ่มหันมามองว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร

แม้จะประสบกับปัญหามากมายในรถยนต์รุ่นแรกอย่าง โรดส์เตอร์ แต่มัสก์ก็พยายามดูแลลูกค้าเก่าอย่างดี แม้จะมีปัญหาเรื่องต้นทุนที่สูงกว่าที่คิดไว้มาก แต่ Tesla เองก็ต้องการพิสูจน์ว่าบริษัทสามารถสร้างรถให้สามารถทำกำไรได้ เพื่อให้เอื้อต่อการได้รับโอกาสในการกู้เงินจากรัฐบาล และมันได้ส่งผลต่อการสร้างรถยนต์รุ่นที่สองอย่าง Model S ซึ่งมัสก์นั้นสามารถอ่านใจลูกค้าของเขาได้ขาด พวกเขายังสนับสนุนมัสก์เต็มที่

Tesla นั้นสามารถดิ้นรน จนอยู่รอดได้ ตั้งแต่ปี 2008 ถึง 2012 นั้น Tesla ขาย โรดส์เตอร์ รถยนต์รุ่นแรกของบริษัทไปได้กว่า 2,500 คัน มันทำให้ฝันของมัสก์นั้นเป็นจริง มันเป็นข้อพิสูจน์ว่า รถยนต์ไฟฟ้านั้นสามารถที่จะขับให้สนุกได้ไม่ต่างจากเจ้าตลาดที่ทำกัน

ในที่สุด Tesla ก็ก้าวไปอีกขั้นได้สำเร็จ กลายเป็นบริษัทที่สามารถทำกำไรที่แท้จริงได้ มันไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันของมัสก์เพียงคนเดียวอีกต่อไป Tesla ได้เปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนในวันที่ 29 มิถุนายนปี 2010 ซึ่งทำให้บริษัทสามารถระดมทุนได้ถึง 226 ล้านเหรียญ

Tesla เปิดขายหุ้นแก่สาธารณะชนได้สำเร็จ
Tesla เปิดขายหุ้นแก่สาธารณะชนได้สำเร็จ

ซึ่งการขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งนี้ของ Tesla นั้นกลายเป็นครั้งแรกของบริษัทผลิตรถยนต์ในประเทศอเมริกานับตั้งแต่ฟอร์ดเปิดขายเมื่อปี 1956 ซึ่งเมื่อเงินทุนหลั่งไหลเข้ามา มัสก์ก็เริ่มขยายทีมวิศวกรรม และเริ่มสร้างโรงงานเพิ่มเติมเพื่อให้ผลิตได้ในปริมาณที่มากขึ้น

เหล่าพนักงานของ Tesla นั้นต้องรับมือกับความต้องการที่สูงลิ่วของมัสก์ ซึ่งไม่ต่างจากเหล่าวิศวกรที่ร่วมชะตาเดียวกันที่ SpaceX บางครั้งพวกเขาถึงกับหัวปั่น มัสก์เคยนำรถ Model S ต้นแบบกลับไปที่บ้านในช่วงสุดสัปดาห์ แล้วกลับมาในวันจันทร์พร้อมขอให้เปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ราว 80 อย่าง เขาเก็บทุกรายละเอียดไว้ในหัว และจะไล่รายการรายสัปดาห์ว่าวิศวกรแก้อะไรไปบ้างแล้ว 

มันเป็นกฏแบบเดียวกันกับที่ SpaceX ทุกคนต้องทำตามที่มัสก์ขอ หากต้องการโต้เถียง ก็ต้องค้นคว้ามาอย่างดีพอ ว่าทำไมถึงทำมันไม่ได้ มัสก์ไม่ชอบคำว่าทำไม่ได้ เขาต้องการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้นำระดับโลกหลาย ๆ คนมีกัน แม้กระทั่ง สตีฟ จ๊อบส์เองก็ตาม ก็มีนิสัยคล้าย ๆ กันแบบนี้ การร่วมงานกับคนแบบนี้เป็นเรื่องยาก แต่เมื่อผลงานสำเร็จ มันก็มักจะเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่เสมอเช่นเดียวกัน

มัสก์นั้นสามารถคิดสิ่งที่ผู้บริโภคไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการอะไรเหมือนที่สตีฟ จ๊อบส์ทำได้ ตัวอย่างเช่น เรื่องเบสิก อย่าง มือจับประตูหรือหน้าจอสัมผัสขนาดยักษ์ และมัสก์ยังสามารถที่จะคาดการณ์มุมมองร่วมในสินค้าและบริการทั้งหมดของ Tesla ได้

มัสก์นั้นสามารถที่จะจัดการทุกอย่างจากทัศนะแบบอุดมคติ เขามองว่าการออกแบบและตัวเลือกทางเทคโนโลยีทุกอย่างควรจะพุ่งเป้าไปที่การสร้างรถให้สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มัสก์จะชี้ขาดถึงขนาดที่ผู้ผลิตรถคู่แข่งไม่ทำกัน มันคอยผลักดันให้เขาและผู้คนรอบตัวที่ทำงานด้วยกับเขานั้นสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดได้ตลอดเวลา

แต่ มัสก์ กับ Tesla นั้นก็ต้องต่อเสื้อเพื่อความอยู่รอดอยู่แทบจะตลอดเวลา บริษัทสามารถผลิตรถเก๋งได้เพียงสัปดาห์ละสิบคันในตอนแรก แม้จะมีคำสั่งซื้ออีกหลายพันคันที่ต้องทำให้ลุล่วง 

ในปี 2012 นั้นมัสก์ก็ได้ทำเรื่องช็อก แม้สถานการณ์การเงินยังไม่ดีขึ้น โดยเขาตั้งใจที่จะสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จพลังงาน มัสก์ตั้งเป้าที่จะสร้างเครือข่ายชาร์จพลังงานทั่วโลกที่จะทำให้เจ้าของ Model S สามารถขับรถยาวบนไฮเวย์ได้และชาร์จพลังงานใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

ซุเปอร์ชาร์จที่มัสก์ หวังว่าจะกลายเป็นเครื่องข่ายชาร์จทั่วโลกให้กับ Tesla
ซุเปอร์ชาร์จที่มัสก์ หวังว่าจะกลายเป็นเครื่องข่ายชาร์จทั่วโลกให้กับ Tesla

มัสก์ยืนยันว่าอีกไม่นานเจ้าของ Tesla จะสามารถเดินทางทั่วสหรัฐได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเชื้อเพลงซักแดงเดียวเลยด้วยซ้ำ สถานีซูเปอร์ชาร์จ ที่ Tesla เรียกนั้น เป็นการลงทุนครั้งมโหฬารสำหรับบริษัทที่มีเงินเหลือเพียงน้อยนิด มีแต่คนหาว่าเขาเพี้ยนแบบสุด ๆ ในการทำเรื่องนี้

ซึ่งมันทำให้ในช่วงต้นปี 2013 นั้น Tesla กลับมาอยู่ในสถานะวิกฤติอีกครั้ง ถ้าบริษัทไม่สามารถเปลี่ยนยอดจองให้กลายเป็นยอดสั่งซื้อจริง ๆ ได้โดยเร็ว จะทำให้บริษัทสูญเงินไปเป็นจำนวนมาก

มัสก์ถึงขั้นประกาศกันราคาขายต่อ Model S ให้ลูกค้าด้วย ซึ่งมัสก์นั้นได้ค้ำประกัน คำสัญญาดังกล่าวด้วยเงินหลายพันล้านของตัวเขาเอง และได้วางแผนการป้องกันขั้นสูงสุดให้กับ Tesla เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายมากขึ้นไปกว่านี้

ช่วงเดือน เมษายนของปี 2013 มัสก์ได้ติดต่อเพื่อนสนิทของเขาอย่าง แลร์รี่ เพจ ที่ Google มัสก์นั้นกังวลกับสถานการณ์ของ Tesla ว่าจะอยู่รอดต่อไปได้อีกสองสามสัปดาห์ได้หรือไม่ การให้ Google เข้าซื้อ Tesla อาจจะเป็นทางเลือกสุดท้ายหากไม่สามารถกู้สถานการณ์ของ Tesla ได้จริง ๆ 

แต่ปาฏิหาริย์ มันก็เกิดขึ้นกับมัสก์อีกครั้ง เหล่าพนักงานขายของ Tesla สามารถทำยอดขายรถได้อย่างมหาศาล แม้ Tesla นั้นจะมีเงินสดในธนาคารเหลือเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์แล้วนั้น แต่ยังสามารถผลิตรถยนต์ออกไปมากพอในระยะเวลาเพียงแค่ 14 วัน

ซึ่งมันทำให้การเงินในไตรมาสแรกของปี 2013 พุ่งกระฉูดขึ้นทันที ในเดือนพฤษภาคม ปี 2013 นั้น Tesla สามารถประกาศกำไรก้อนแรกได้สำเร็จในฐานะบริษัทมหาชน ซึ่งสามารถทำกำไรได้ 11 ล้านเหรียญจากยอดขายกว่า 562 ล้านเหรียญ

โดยบริษัทสามารถส่งรถยนต์ Model S ออกไปได้กว่า 1,400 คัน ส่งผลให้หุ้นของ Tesla พุ่งขึ้นจาก 30 เหรียญไปแตะที่ 130 เหรียญ ทำให้ Tesla สามารถจ่ายเงินกู้คืนให้กับรัฐบาลได้สำเร็จ แถมยังเป็นการจ่ายก่อนกำหนด

Tesla Model S รถยนต์ที่มาพลิกสถานการณ์บริษัทได้สำเร็จ
Tesla Model S รถยนต์ที่มาพลิกสถานการณ์บริษัทได้สำเร็จ

สิ่งสำคัญที่ มัสก์ทำไปแต่ผู้ผลิตรถคู่แข่งพลาดหรือไม่ตั้งใจที่จะทำ ก็คือการเปลี่ยนให้ Tesla กลายเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ บริษัทไม่ได้แค่ขายรถให้ใครสักคนเท่านั้น แต่บริษัทกำลังขายภาพลักษณ์ ขายความรู้สึกที่ว่าพวกเขากำลังย่างเท้าเข้าสู่อนาคต เป็นความผูกพัน คล้าย ๆ กับที่ apple ทำกับ ทั้ง Mac , iPod หรือ แม้กระทั่ง iPhone แม้แต่คนไม่ศรัทธาจะเข้าสังกัด apple เต็มตัวก็ยังถูกถึงเข้าจักรวาลของพวกเขาเมื่อซื้อฮาร์ดแวร์ และ ดาวน์โหลดซอฟท์แวร์อย่าง iTunes

รูปแบบของ Tesla ไม่เพียงแค่ทำให้ ธุรกิจแนวคิดเดิม ๆ ของอุตสาหกรรมรถยนต์เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกว่ารถไฟฟ้าคือแนวคิดใหม่ของยานยนต์ด้วย อีกไม่นานบริษัทรถยนต์อื่น ๆ ล้วนจะต้องทำตามหลักการที่นำโดย Tesla

แม้หลายคน อาจจะเคยปรามาส มัสก์ว่าธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าคือโอกาสทางธุรกิจที่ห่วยแตกที่สุดของโลกใบนี้ เหล่านักลงทุนส่วนใหญ่ ต่างกระโจนหนี ในความคิดเพ้อฝันของมัสก์ โอกาสที่จะทำกำไรกับธุรกิจนี้มันมีน้อยมาก ๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ Tesla แตกต่างจากคู่แข่งก็คือความมุ่งมั่นในการพุ่งชนวิสัยทัศน์ของตัวเองโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลย ซึ่งนั่นก็คือการทุ่มเทสุดตัวให้กับการทำตามมาตรฐานของมัสก์ เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของสิ่งที่เคยมีมานั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 14 : A Burning Man

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 12 : Rocket Launcher

หลังจากมัสก์ ได้พาทั้ง Tesla และ SpaceX ผ่านวิกฤติครั้งสำคัญมาได้สำเร็จ มันก็ถึงเวลาที่เขาจะได้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป ที่จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของมนุษยชาติ เป้าหมายใหญ่ของมัสก์ สำหรับ SpaceX คือ การใช้ความก้าวหน้าทางการผลิตและพัฒนาการของแท่นปล่อยเพื่อทำให้ต้นทุนสำหรับนำสิ่งต่าง ๆ ไปยังอวกาศถูกลงจนกลายเป็นธุรกิจได้

ฟัลคอน 9 นั้นถือเป็นหน้าเป็นตาของ SpaceX จรวดที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 9 ตัว โดยมีเครื่องหนึ่งอยู่ตรงกลาง และ อีกแปดเครื่องล้อมรอบไว้ มันได้มีการใส่ตู้สัมภาระรูปกลมสำหรับขนดาวเทียม หรือ แคปซูล ที่สามารถขนส่งมนุษย์ขึ้นอวกาศได้ 

ซึ่งรูปลักษณ์ภายในนอกของฟัลคอน 9 นั้นไม่มีอะไรฉูดฉาดเป็นพิเศษ มันคือยานอวกาศที่เทียบเท่ากับแล็ปท็อปของ apple มันเป็นเครื่องจักรที่เรียบหรูมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน สำหรับงานด้านอวกาศ

หลังการปล่อยได้ 20 วินาที ผู้ชมที่อยู่ห่างออกไปสองไมล์ จึงจะได้ยินเสียงกึกก้องแบบเต็ม ๆ หูของฟัลคอน 9 เป็นเสียงที่ไม่เหมือนใคร ราวหนึ่งนาทีให้หลังมันจะเหลือแค่จุดสีแดงบนท้องฟ้า แล้วจากนั้นก็หายวับไปในอวกาศ

ฟัลคอน 9 กับเครื่องยนต์ 9 ตัว
ฟัลคอน 9 กับเครื่องยนต์ 9 ตัว

สำหรับอีลอนมัสก์ ภาพที่น่าตื่นเต้นเหล่านี้กลายเป็นประสบการณ์ที่คุ้นชินอย่างหนึ่ง SpaceX ส่งจรวดขึ้นไปประมาณเดือนละครั้ง ขนส่งดาวเทียมให้บริษัทและชาติต่าง ๆ รวมทั้งเสบียงไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ

ตอนที่ฟัลคอน 1 พุ่งทะยานจาก ควาจนั้น มันยังเป็นผลงานของสตาร์ทอัพ ซึ่งต่างจาก ฟัลคอน 9 ที่เป็นผลงานของประเทศมหาอำนาจทางการบินและอวกาศ SpaceX สามารถตัดราคาคู่แข่งในสหรัฐของตัวเอง ทั้ง โบอิ้ง ล็อกฮีดมาร์ติน และ ออร์บิทัลไซแอนเซส ด้วยราคาที่มีส่วนต่างมากจนเหลือเชื่อ

มัสก์ได้พิสูจน์ว่า จรวดสามารถที่จะผลักดันสัมภาระขึ้นสู่อวกาศจากนั้นก็กลับมายังโลก และลงจอดอย่างแม่นยำที่สุดบนแท่นที่ลอยอยู่กลางทะเล หรือ แม้แต่แท่นปล่อยเดิมของมันเองก็ตาม

ซึ่งแทนที่จรวดจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ หลังกระแทกลงในทะเล SpaceX ใช้เครื่องยนต์ขับดับถอยกลับค่อย ๆ ลดลงจอดอย่างนุ่มนวล และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งทำให้ในอนาคตนั้น SpaceX คาดไว้ว่าจะตัดราคาลงเหลือแค่ หนึ่งในสิบของคู่แข่งได้สำเร็จ

ซึ่งโมเดลการนำจรวดกลับมาใช้ใหม่นั้น มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันทำให้เกิดการลดราคาครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมด้านอวกาศ และมันจะกลายเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของ Spacex ที่คู่แข่งที่จะเข้ามาใหม่ยากที่จะตามทัน

ซึ่งสุดท้าย มัสก์มองว่า มันจะกลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ เหมือนกับสายการบินต่าง ๆ ในทุกวันนี้ ที่ใช้เครื่องบินลำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อสร้างรายได้ ซึ่ง SpaceX นั้นหวังจะยึดส่วนแบ่งการตลาดใหญ่ในการปล่อยจรวดเชิงพาณิชย์ของโลกให้ได้

ซึ่งเป้าหมายของมัสก์คงไม่ได้ไกลเกินเอื้อม ในปัจจุบันนั้น SpaceX ส่งดาวเทียมให้ลูกค้า ทั้งชาว แคนาดา ยุโรป และ เอเชีย ไปกว่า 24 ครั้ง มีลูกค้ามารอต่อคิวกับ SpaceX กว่า 50 ราย ซึ่งมีมูลค่ารวมกันกว่า 5,000 ล้านเหรียญ

SpaceX นั้นไม่ได้พึ่งพา ซัพพลายเออร์จากต่างชาติมากนัก ซึ่งเป็นโมเดลที่หลาย ๆ บริษัทมักจะทำกัน มันทำให้ง่ายที่จะเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ แต่ก็ทำให้ต้นทุนสูงเช่นเดียวกัน สำหรับ SpaceX นั้น นอกจากจะสร้างเครื่องยนต์ ลำตัวจรวด และแคปซูลเองแล้ว SpaceX ยังออกแบบเมนบอร์ด และแผงวงจร เซ็นเซอร์ตรวจจับการสั่นสะเทือน ซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ รวมถึง แผงพลังงานแสงอาทิตย์ของตัวเองด้วย

SpaceX พยายามอยู่หลายปีเพื่อพิสูจน์กับ NASA ว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาตรฐานก็ดีพอที่จะสู้กับอุปกรณ์เฉพาะราคาแพงที่เชื่อกันมาในอดีต ซึ่งอุปกรณ์ของ SpaceX โดยส่วนใหญ่นั้นมักจะสร้างขึ้นจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุปโภคที่หาได้ทั่วไปเป็นส่วนใหญ่

ซึ่งหลาย ๆ เทคโนโลยีของ SpaceX นั้น เริ่มลอกเลียนแบบโดยคู่แข่ง โดยเฉพาะคู่แข่งทีสำคัญอย่าง Blue Origin ของ เจฟฟ์ เบซอส ซึ่งใช้วิธีการดึงคนของ SpaceX โดยเสนอเงินให้มากกว่าถึงสองเท่า มันทำให้ความสัมพันธ์ของมัสก์ และ เบซอสย่ำแย่

Blue Orign ของ เจฟฟ์ เบซอส คู่รักคู่แค้นของ มัสก์
Blue Orign ของ เจฟฟ์ เบซอส คู่รักคู่แค้นของ มัสก์

ตัวของมัสก์เองนั้น เติบโตในฐานะของ CEO และผู้เชี่ยวชาญด้านจรวด พร้อม ๆ กับที่ SpaceX ได้รับการบ่มเพาะในฐานะบริษัทจนได้ที่ ในตอนเริ่มต้นการเดินทางของ ฟัลคอน 1 ที่ SpaceX มัสก์นั้นได้เรียนรู้จากหน้างานเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งรวมกับตำราที่เขาหามาอ่านเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับจรวดขนาดใหญ่ขึ้นมา 

และ SpaceX ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนา พวกเขายังทำการทดลองยานพาหนะใหม่ ๆ ระหว่างการปล่อยจรวดจริง ๆ ในแบบที่บริษัทอื่นไม่กล้าทำกัน หลายครั้ง SpaceX มักประกาศว่าพวกเขากำลังทดลองเครื่องยนต์ใหม่หรือขาสำหรับลงพื้นแบบใหม่

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล ก็ล้วนแล้วมาจากความคิดของมัสก์แทบจะทั้งสิ้น มัสก์มักจะขอให้พนักงานทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และความทะเยอทะยานในการทำสิ่งใหม่ ๆ ของมัสก์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหมดลงไป

ตัวอย่างการปล่อยยานในเดือนธันวาคมปี 2010 ซึ่ง SpaceX ได้ส่ง ดรากอนอคปซูลไปยังวงโคจรโลกและกลับมาได้สำเร็จ  ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของบริษัท และใคร ๆ ก็ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมานานหลายปีกับโครงการดังกล่าว

ดรากอน แคปซูลของ SpaceX
ดรากอน แคปซูลของ SpaceX

ซึ่งหลังจากปล่อยสำเร็จ ก็ได้มีงานเลี้ยงฉลองขึ้น แต่แทนที่จะเป็นการฉลองชัยสำหรับ SpaceX แต่มัสก์นั้นกลับต่อว่าทีมงานเป็นชั่วโมง เพราะโครงยึดหลังคาสำหรับจรวดในอนาคตล่าช้ากว่ากำหนด

แต่สุดท้ายนั้นคำถามที่ค้างคาใจของเหล่าพนักงาน SpaceX คือ เมื่อไหร่กันที่พวกเขานั้นจะได้เห็นผลตอบแทนก้อนโต หลังจากความพยายามทุ่มเทอย่างหนักให้กับ SpaceX ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้พนักงาน SpaceX ส่วนใหญ่นั้นจะได้รับค่าจ้างที่ดี แต่มันก็ไม่ได้มากมายจนเกินไปเมื่อเทียบกับความทุ่มเท และความอัจฉริยะของพวกเขาเหล่านี้

ส่วนใหญ่พวกเขามาเพราะต้องการที่จะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกับมัสก์ พวกเขาเห็นวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ แม้จะสามารถไปทำงานที่รับเงินเดือนได้สูงกว่านี้ แต่ เป้าหมายของ SpaceX เป็นสิ่งที่ท้าทายพวกเขาให้ยืนหยัดอยู่สู้กับมัสก์ เพื่อสร้างสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติเราในเรื่องอวกาศนั่นเอง 

–> อ่านตอนที่ 13 : The Revenge of The Electric Car

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ