Geek Story EP39 : Rise of South Korea ตอนที่ 1

มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเลยทีเดียวกับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของประเทศเกาหลี ดินแดนที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ เปลี่ยนจากประเทศที่แทบจะยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลกให้กลายมาเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เทียบกับ ญี่ปุ่น , ยุโรป หรือแม้กระทั่งประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกาได้อย่างไร?

เทคโนโลยีจากประเทศเกาหลีใต้ แรกซึมอยู่ในทุกผลิตภัณฑ์ ไล่ตั้งแต่ โทรศัพท์มือถือ ไปจนถึง เครื่องบิน หรือ เรือขนส่งขนาดยักษ์ ประเทศที่มีประชากรเพียง 50 ล้านคนแห่งนี้ บัดดนี้กำลังก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ มี GDP ต่อหัวสูงอันดับต้น ๆ ของโลก Podcast Series ชุดนี้ จะพาไปทำความเข้าใจกับสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นกับประเทศเกาหลี ที่ใคร ๆ หลาย ๆ คนยังไม่รู้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3j6m6gQ

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3dDu681

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Fy_dMrsgIHo

References : https://www.tharadhol.com/blog-series-rise-of-south-korea
https://famousbio.net/park-chung-hee-4145.html

South Korea ตอนที่ 7 : The Glory of Korea

ประเทศเกาหลีใต้ ได้ถือกำเนิดมาในสภาพรัฐที่สิ้นหวัง ทั้งยากจน บอบช้ำจาก การถูกล่าอาณานิคม แถมยังถูกสงครามทำลายอย่างย่อยยับ ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีเพียงน้อยนิด ประเทศที่ถูกแบ่งเหลือเพียงครึ่งเดียว แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นแรงผลักดันให้ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ สามารถที่จะประสบความสำเร็จ ได้อย่างเหลือเชื่อ ในเวลาเพียงแค่ชั่วอายุคนเพียงเท่านั้น ความสามัคคี และรักชาติ นำพาเกาหลีใต้พลิกฟื้นประเทศ จนกลายเป็นประเทศที่ล้ำหน้าที่สุดในโลกประเทศนึงในปัจจุบัน

มันไม่เหมือนประเทศอย่างจีน หรือ สิงคโปร์ ความสำเร็จของเกาหลีใต้นั้น มันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง ทั้งเรื่องการเมือง และ สังคม รวมถึงความเป็นประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งของเกาหลีด้วย

ผลงานด้านศิลปะและวัฒนธรรม ก็ไม่น้อยหน้าประเทศไหนในโลก  สังคมของเกาหลีใต้ กำลังได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น และยังคอยพัฒนาอย่างต่อเนื่องแบบไม่หยุดยั้ง เรายังไม่ได้เห็นจุดสูงสุดของประเทศเกาหลีใต้ในเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน เพราะพวกเขากำลังพัฒนาด้วยอัตราเร่ง แบบไม่ได้ชะลอความรวดเร็วลงไปเลย

ด้วยบุคลิก และ ลักษณะทางสังคมที่มีความยืดหยุ่นนั้น ทำให้คนในสังคมเกาหลีใต้อยู่ร่วมกันได้ท่ามกลางความขัดแย้งและแตกต่าง มันก็เหมือนกับทุกประเทศที่ผู้คนต่างมีอุดมการณ์ไม่ว่างทางการเมือง ศาสนา หรือ จารีต ประเพณีต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน

แต่เกาหลีใช้จุดนี้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่าจะถ่วงความเจริญก้าวหน้า นิสัยหลาย ๆ อย่างของชาวเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นความแน่วแน่ และทุ่มเทอย่างไม่ลดละเพื่อเป้าหมาย ก็สามารถช่วยให้คนเกาหลีสร้างความเจริญก้าวหน้าในหลาย ๆ ด้านได้อย่างรวดเร็ว จนเป็นที่อิจฉาของทุก ๆ ชาติ

แต่มันก็ต้องแลกด้วยอะไรหลายอย่าง คนเกาหลีใต้ ต้องทำงานหนักกว่าใครเพื่อน เรียนหนักกว่าใครเพื่อน จิตวิญญาณที่รักการแข่งขัน ที่อยู่กับพวกเขาตลอดชีวิต ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยเกษียณ มันแลกด้วย ความสุขที่ลดลงไปของชาวเกาหลี

แม้ตอนนี้พวกเขาจะประสบความสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว กลายเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาแล้วเทียบเท่า อเมริกา ญี่ปุ่น หรือ ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปได้สำเร็จแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนพวกเขายังไม่หยุดที่จะก้าวต่อไป

คนเกาหลียังคงมีชั่วโมงการทำงานที่มากที่สุดเหมือนเคย การลงทุนกับเรื่องการศึกษาที่บ้าคลั่ง ดูเหมือนจะเกิดพอดีไปเสียด้วยซ้ำ การแย่งชิงตำแหน่งงานในบริษัทที่มีชื่อเสียงที่สุด นิสัยชอบการแข่งขัน เหล่านี้นั้น กระตุ้นเร้าให้เกิดการพัฒนาแบบต่อเนื่องอย่างไม่ทีท่าว่าจะลดน้อยลงไปเลย

เกาหลีใต้กับความเจริญที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
เกาหลีใต้กับความเจริญที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย

ซึ่งการแข่งขันกันอย่าบ้าคลั่ง มันส่งผลต่อเกาหลีใต้อย่างใหญ่หลวง ตั้งแต่แต่ทศวรรษ 1960-1980 แม้จะทำให้เกิดความเครียดที่สูงกับชาวเกาหลีบ้างก็ตาม แต่มันไม่ได้มีการต่อต้านจากสังคมแต่อย่างใด มันเหมือนทุกคนในประเทศพร้อมยอมรับในจุดนี้

การแข่งขัน มาตั้งแต่เด็ก ค่าเรียนต่าง ๆ ที่สูงขึ้นทุกปี เงินที่จ่ายไปกับเครื่องสำอางค์ แบรนด์หรู ๆ รวมถึงเรื่องการศัลยกรรมพลาสติก สิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยยกระดับสถานะทางสัมคมของคนเกาหลีแทบจะทั้งสิ้น ทุกคนต่างทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อนำเสนอตัวตนที่เยี่ยมที่สุดสู่สังคมภายนอก 

แม้คนเกาหลีนั้นจะก้าวผ่านสงครามกลางเมือง และความอดอยาก ยากจน มาแล้ว ก่อนที่จะเปลี่ยนจากดินแดน ผู้ถูกล่า และเป็นเบี้ยล่างมาตลอด ให้กลายมาเป็น ประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตย ที่มีการเมืองที่เสถียรภาพแห่งหนึ่งของโลก และความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี ที่ไปไกลกว่าใครเพื่อน มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ประเทศแห่งนี้ ควรจะหยุดพักผ่อน แล้วหันมาจิบแชมเปญสักแก้ว แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายประเทศสุดแสนมหัศจรรย์อย่างเกาหลีใต้นั้น ก็ยังมีอีกสิ่งนึงที่ต้องพิชิตให้ได้ ซึ่งก็คือ การบาลานซ์ ความสมดุล ระหว่างความสุขและความพึงพอใจของประชาชนชาวเกาหลี กับการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วดังที่เราได้เห็นจาก Blog Series ชุดนี้ 

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวประเทศเกาหลีใต้ จาก Blog Series ชุดนี้

ห้าสิบปีที่แล้ว เกาหลีคือประเทศยากจนที่บอบช้ำจากสงคราม  แทบจะไม่คงเหลือประเทศในฐานะรัฐ ๆ หนึ่ง และเกาหลีใต้ได้ผ่านพ้นวิกฤติมาได้อย่างมั่นคงจนได้กลายเป็นแม่แบบให้กับประเทศกลังพัฒนาทั่วโลก รวมถึงไทยเองด้วยก็ตามที

แม้ตอนนี้พวกเขายังคงไม่พอใจกับการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว อย่างที่ได้ตั้งความหวังไว้ ยังมีแรงกดดันอยู่ต่อเนื่อง ในการก้าวขึ้นสู่ขั้นต่อไป เทียบกับมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลก พวกเขาได้สร้างมาตรฐาน ที่ดูเหมือนชาติอื่นจะอิจฉา ทั้ง ด้านการศึกษา ด้านเทคโนโลยี ไม้เว้นแม้แต่เชื่อเสียง และ รูปร่างหน้าตา พวกเขาในตอนนี้ ก้าวขึ้นไปอยู่แถวหน้าของโลกได้สำเร็จ

วัฒนธรรมอย่าง K-Pop ที่ฉีกกฏเกณฑ์ ทุกอย่าง ทำให้โลกตะวันตก สามารถยอมรับนับถือวัฒนธรรมของโลกตะวันออกได้ แบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน มันเป็นกำแพงที่สูงชัน แต่เกาหลีสามารถที่จะก้าวผ่านกำแพงนั้นไปได้สำเร็จ ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย สำหรับคนเกาหลีใต้

ข้อคิดสำคัญสำหรับเรื่องของประเทศเกาหลีใต้ ก็คือ ไม่ว่าบ้านเมืองจะเละเทะ ถูกย่ำยีเพียงใด เหมือนประเทศไทย ที่อยู่กับทศวรรษ แห่งความหยุดนิ่ง ความแตกแยกที่รุนแรงภายในประเทศ แต่ประเทศเรายังเจออะไรเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเขาชาวเกาหลีใต้ได้เคยเจอมา

เพราะฉะนั้น ประเทศเราก็ยังมีโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าได้ ไม่ต่างจากประเทศอย่างเกาหลี หากทุกคนในชาติ นั้นลืมเรื่องความขัดแย้ง และสร้างมันเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า ด้วยความสามัคคีของคนในชาติ มันก็สามารถให้เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของชาติให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วแบบที่เกาหลีเคยทำมาแล้วได้อย่างแน่นอน 

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Foundation *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

South Korea ตอนที่ 4 : Friend , Foe or Foreigner?

ภาพที่สื่อตะวันตก หรือ สื่อทั่วโลก มองถึงความสัมพันธ์ระหว่าง เกาหลีใต้ กับ เกาหลีเหนือ นั้น มันทำให้ผู้คนทั่วโลกต่างกันคิดว่า คนฝั่งเกาหลีใต้ นั้น ดูจะกลัว คนฝั่งเกาหลีเหนือ อยู่พอควร ทั้งเรื่องการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือ การที่กรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ อยู่ใกล้กับ ชายแดนเกาหลีเหนือที่มีผู้นำ ที่ดูบ้าคลั่ง แถม ยังเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้อย่าง คิม จ็อง-อึน ที่พร้อมจะทำอะไรก็ได้ทุกเมื่อ

มันดูเหมือนชีวิตของประชาชนชาวเกาหลีใต้นั้น ตกอยู่ในความเสี่ยงอยู่แทบจะตลอดเวลา แต่ก็ต้องบอกว่า ตามประวัติศาสตร์ระหว่างสองชาตินั้น มีเรื่องราวที่มีรายละเอียดกว่าที่เราเห็นผ่านสื่อเยอะมาก รัฐบาลเกาหลีใต้นั้น ก็มีแนวทางการปฏิบัติต่อเกาหลีเหนือในหลากหลายรูปแบบ ตาม Generation ต่าง ๆ ของคนแต่ละรุ่น

ในยุคแรกของการแบ่งแยกประเทศนั้น โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดี ปาร์ค ซุงฮี ก็ได้อาศัยภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ เพื่อมาใช้ในผลประโยชน์ทางการเมือง มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่ ถึงระดับที่ว่า มีการส่งหน่วยรบพิเศษของเกาหลีเหนือ ข้ามพรหมแดนมาเพื่อจู่โจมบ้านพักประธานาธิบดี ปาร์ค และเป้าหมายคือการลองสังหารประธานาธิบดีปาร์ค เลยด้วยซ้ำ แต่เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้เสียก่อน ทำให้แผนนั้นไม่สำเร็จ

แผนลอบสังหาร ประธานาธิบดี ปาร์ค แต่โดนจับได้เสียก่อน
แผนลอบสังหาร ประธานาธิบดี ปาร์ค แต่โดนจับได้เสียก่อน

และในช่วงแรก ๆ หลังจากสงครามเกาหลีไม่นานนั้น มันทำให้ความทรงจำต่อสงครามเกาหลีของคนส่วนใหญ่ ไม่มีทางที่พวกเขาจะอยู่ร่วมกันได้อีก เกาหลีเหนือถูกจัดให้เป็นศัตรูคู่อาฆาตเลยก็ว่าได้

ส่วนช่วงที่เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ก็น่าจะเป็นช่วงทศวรรษ 1980 เป็นช่วงที่เกาหลีใต้เริ่มมีการเรียกร้องประชาธิปไตย ผู้คนเริ่มเบื่อหน่ายกับระบอบเผด็จการ คนเป็นล้าน ๆ เริ่มที่จะออกมาชุมนุมตามท้องถนนเพื่อเรียกร้องเสรีภาพของตัวเอง รวมถึงออยากเห็นเกาหลีใต้เข้าสู่ประชาธิปไตยแบบเต็มตัวเสียที

นโยบายในขณะนั้นของ ประธานาธิบดีปาร์ค จะเอนเอียงไปางฝั่งของสหรัฐ และมีท่าทีต่อต้านเกาหลีเหนืออย่างชัดเจน มันทำให้เริ่มเกิดคำถามกับฝ่ายที่ต่อต้านเผด็จการ กับแนวคิดเหล่านี้ที่มีต่อเกาหลีเหนือ

เหล่าผู้ประท้วงหนุ่มสาว ที่ต้องการประชาธิปไตย พวกเขาเคยเป็นนักศึกษาในช่วงทศวรรษ 1980 และเกิดในทศวรรษ 1960 ซึ่งขณะที่การประท้วงเป็นไปอย่าเข้มข้นพวกเขาเหล่านี้มีอายุย่างเข้าสู่เลขสาม มันทำมีชื่อเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า Generation 386 และในช่วงขณะนั้น คนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ ซึ่งมีมากถึง 8.8 ล้านคน

หนุ่มสาว ยุค Gen 386 ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย
หนุ่มสาว ยุค Gen 386 ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย

มีการเริ่มตั้งข้อสงสัยต่อบทบาทของอเมริกา ที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการต่าง ๆ ของเกาหลีใต้ พวกเขาต่างรู้สึกว่า ประเทศ สหรัฐฯ นั้นมีส่วนอยู่เบื้องหลังในการแบ่งแยกประเทศ และมองว่า แผนการรวมชาตินั้น ต้องเป็นเรื่องภายในของชาวเกาหลีเหนือ และ ใต้ เท่านั้น 

จุดเปลี่ยนที่สำคัญของนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ น่าจะเป็นช่วงปี 1997 ที่ คิม แดจุง ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเป็นประธานาธิบดีของประเทศเกาหลีใต้ มีการเปลี่ยนนโยบายไปในแบบที่คนเกาหลีไม่เคยเจอมาก่อน ภายใต้  Sunshine Policy ท่าทีของเกาหลีใต้เปลี่ยนไป เป็นการเดินเข้าหา และสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรมากขึ้น ซึ่งทำให้ถูกใจ Generation 386 ที่คิดว่าแนวทางนี้จะสามารถนำเกาหลีเข้าสูยุคใหม่ภายใต้สันติภาพที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศทั้งสอง

เป้าหมายหลักของ Sunshine Policy คือ การยุติภัยคุกคามด้วยการฟื้นฟูสัมพันธไมตรี ระหว่างเกาหลีเหนือ และ เกาหลีใต้ ทั้งสองมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมากว่า 1000 ปี มีความช่วยเหลือในรูปแบบของอาหาร ปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ รวมถึงเรื่องของเงินทองที่ไปช่วยเหลือเกาหลีเหนือ

ยุคชื่นมื่นระหว่างประเทศทั้งสองผ่าน sunshine policy
ยุคชื่นมื่นระหว่างประเทศทั้งสองผ่าน sunshine policy

เริ่มมีการสร้างโครงการที่เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างประเทศทั้งสอง ยกตัวอย่างเช่น นิคมอุตสาหกรรมแคซง ที่ได้รับเงินหลายล้านเหรียญจากยักษ์ใหญ่ แชโบล อย่าง บริษัทฮุนได เพราะแนวคิดของผู้ก่อตั้งฮุนไดอย่าง ชอง จูยอง นั้น มีความปรารถนาที่จะให้เกิดการรวมชาติกันมาโดยตลอด

และเนื่องด้วย เกาหลีใต้ในตอนนั้น เติบโตกว่าเกาหลีเหนือมาก ชาวเกาหลีเหนือหลายล้านคนต้องอยู่ในสภาพที่อดอยาก มีการร่วมประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาตร์ในปี 2000 โดยทางเกาหลีใต้ได้มอบเงินกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเงินส่วนใหญ่มาจากบริษัทฮุนได ของ ชอง จูยอง

หลังจากทศวรรษที่มีสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด ก็มาเจอการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหลังจากการขึ้นสู่ประธานาธิบดี ของ อี มย็องบัก ในปลายปี 2007 ในตอนนั้น เกาหลีเหนือได้เริ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างลับ ๆ ขึ้น 

ประธานาธิบดี อี มย็องบัก ผู้มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง พลิกนโยบายจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที ยกเลิกนโยบาย sunshine policy และเริ่มสนับสนุนการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือของสหรัฐฯ

เขามองว่าการรวมชาตินั้นได้ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ไม่ได้เกิดจากการรวมกันแบบมีมิตรไมตรี แต่เพราะเกาหลีเหนือกำลังจะล่มสลาย และถูกกลืนกินเข้ากับเกาหลีใต้ในไม่ช้า ซึ่งเป็นแนวคิดที่เป็นขั้วตรงข้ามกับ sunshine policy อย่างเห็นได้ชัดเจน

ฝั่งเกาหลีเหนือ ก็เริ่มไม่แคร์ ตอบโต้ด้วยการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ต่อไป และ ไม่สนการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ โดยไปทำการค้าขายกับประเทศจีนแทน และในที่สุดมันก็ทำให้ประเทศจีนกำลังมีอิทธิพลต่อเกาหลีเหนือเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และมันจะทำให้การรวมชาติเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ 

พัฒนานิวเคลียร์ต่อ และหันไปซบจีน
พัฒนานิวเคลียร์ต่อ และหันไปซบจีน

มันทำให้เกาหลีเหนือกลายเป็นรัฐกันชน กับสหรัฐอเมริกาของจีน จึงเป็นเรื่องยากที่จีนนั้นจะปล่อยให้เกาหลีรวมชาติกันได้อีกครั้ง คิม จองอิล ได้เริ่มทำการตอบโต้ท่าทีของเกาหลีใต้ของประธานาธิบดี อี มย็องบัก โดยออกคำสั่งให้มีการโจมตีรุนแรงถึงสองครั้ง

ครั้งแรกเป็นการยิงตอร์ปิโดใส่เรือรบของเกาหลีใต้ ทำให้ทหารเรือเสียชีวิตไป 46 นาย และไม่แสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ดังกล่าว  ส่วนการจู่โจมครั้งที่สอง เกิดขึ้นในปี 2010 กองกำลังเกาหลีเหนือทิ้งระเบิดใส่เกาะ Yeonpyeong ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิพาทบริเวณน่านน้ำในเขตปกครองของเกาหลีใต้ มีทั้งทหารและพลเรือนเสียชีวิตรวม 4 คน

การตอบโต้จากเกาหลีเหนือที่ Yeonpyeong
การตอบโต้จากเกาหลีเหนือที่ Yeonpyeong

จากเรื่องราวทั้งหมดจะเห็นได้ว่า แม้คนรุ่นใหม่ของเกาหลีใต้นั้นจะไม่ค่อยกังวล หรือ สนใจปัญหากับเกาหลีเหนือมากนัก คนรุ่นใหม่นั้นอยากให้ฟื้นฟูสัมพันธไมตรี และเกิดสันติภาพมากกว่า เช่นเดียวกับ คนในยุค Generation 386 สนับสนุนให้มีการประนีประนอมและหาทางเจรจาความร่วมมือกับเกาหลีเหนือมากกว่า

ซึ่งปัญหาใหม่ของประเทศทั้งสอง ก็คือ หลังจากการขึ้นสู่อำนาจของ คิม จ็อง-อึน ซึ่งเป็นผู้นำที่ยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอ และยังไม่มีประสบการณ์ และดูเหมือนทางเกาหลีเหนือผ่านการนำของ คิม จองอึน นั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด 

การขึ้นสู่อำนาจของ คิม จ็อง-อึน คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้ง
การขึ้นสู่อำนาจของ คิม จ็อง-อึน คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้ง

และเมื่อผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ดูเหมือนว่า คนเกาหลีใต้ที่มีแนวคิดไม่ต้องการรวมชาตินั้น จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  คนที่มีชีวิตอยู่ก่อนการแบ่งแยกประเทศ ที่ยังต้องการพบพี่น้องที่อยู่อีกฝั่งก็มีจำนวนลดน้อยลงเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา

และการที่เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ มีช่องว่างห่างออกไปเรื่อย ๆ ในสถานการณ์แบบนี้นั้น การรวมชาตินั้น อาจจะต้องทำให้เกาหลีใต้ เสียงบประมาณไปอีกมากโข เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และคุณภาพชีวิตของคนเกาหลีเหนือให้ทันเทียมกับเกาหลีใต้นั้น ดูจะมีมูลค่ามากเกินกว่าที่คนเกาหลีใต้ส่วนใหญ่จะยอมรับได้

ด้วยเวลาที่ผ่านพ้นไปเรื่อย ๆ ความห่างเหินที่มีให้กันเรื่อย ๆ คนยุคใหม่ที่ไม่ได้อินกับประวัติศาสตร์ร่วมกันที่เคยรวมประเทศกันมา เริ่มที่จะหันมามองคนเกาหลีเหนือ เปรียบเสมือนคนต่างชาติ ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับคนจีน ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า สิ่งที่เป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดในการรวมชาตินั้น เป็นเรื่องของการเมือง และ อุดมการณ์ที่มีความต่างกันแบบสุดขั้ว แต่หารู้ไม่ว่า ณ ตอนนี้ อุปสรรคที่สำคัญที่สุดมันได้กลายเป็น เลือดของความเป็นชาติเกาหลีเพียงหนึ่งเดียวในอดีตนั้น มันได้จางหายไปจากประชาชนของทั้งสองประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้วตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 5 : Defensive Nationalism

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Foundation *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ