The Innovators ตอนที่ 7 : Theodore Roosevelt

ต้องบอกว่า อเมริกา ภายใต้ยุคเหล่าผู้บุคเบิก ไม่ว่าจะเป็น Vanderbilt , Rockefeller , Carnegie , Thomas Edison , J.P Morgan หรือ Nikola Tesla นั้น นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองในปี 1865 หลังจากนั้นเพียงไม่เกิน 35 ปี ประเทศอเมริกาได้ยกระดับประเทศขึ้นเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ และมีความเจริญรุ่งเรืองและมีอิทธิพลต่อทั่วโลกทันที เพราะนวัตกรรมทั้งหมด มันเกิดขึ้นในประเทศแห่งดินแดนเสรีภาพนี้ และมันเปลี่ยนอเมริกาไปตลอดกาล

แต่ถึงตอนนี้ มันกำลังถึงก้าวที่สั่นคลอนของเหล่าผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ทั้ง Rockefeller ,Carnegie รวมถึง J.P Morgan นั้นต้องพักศึกชั่วคราวหันมาร่วมมือกัน เพื่อเป้าหมายไม่ให้ธุรกิจที่พวกเขากำลังผูกขาดล้มครืนลงมาต่อหน้าต่อตาได้

ตอนนี้ เหล่าประชาชนผู้ยากไรต่างเริ่มไม่พอใจ กับการผูกขาดธุรกิจของเหล่าผู้มีอิทธิพลทั้ง 3 มันทำให้ช่องว่างระหว่างความรวยกับความยากจนข้นแค้นของชาวอเมริกานั้น ถีบตัวห่างออกไปเรื่อย ๆ โดยที่รัฐบาลไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาเหล่านี้ได้เลย

Rockefeller , Carnegie รวมถึง Morgan ณ ตอนนี้มีทรัพย์สินรวมกันถึง กว่า หนึ่งล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน พวกเขากำลังควบคุมประเทศอยู่ เศรษฐกิจทั้งประเทศกำลังถูกผูกขาดโดยพวกเขา

สามผู้ยิ่งใหญ่มีทรัพย์สินรวมกันกว่า หนึ่งล้านล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน
สามผู้ยิ่งใหญ่มีทรัพย์สินรวมกันกว่า หนึ่งล้านล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน

เหล่าคนงานอยู่ในสภาพความยากจน รวมถึงสภาพการทำงานก็เลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนั้น มันกำลังจะถึงจุดเปลี่ยน เพราะจะมีการเลือกตั้งในปี 1896 มันมีชายคนหนึ่งที่จะตอบสนองความโกรธแค้นของประชาชน และมุ่งมั่นที่จะเข้าไปสู่ทำเนียบขาวเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ให้ได้

เขาคือ William Jennings Bryan นักการเมืองหนุ่มหน้าใหม่ เขาได้เริ่มการออกหาเสียง โดยมีนโยบายหลักคือความเท่าเทียม เขาจะขอเป็นเสียงให้กับคนจน และจะสู้กับยักษ์ใหญ่ของประเทศนี้

เขาได้กลายเป็นกระบอกเสียงของประชาชน และเข้าใจถึงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาต้องการล้มเหล่าธุรกิจยักษ์ใหญ่นี้ ประชาชนต้องการการป้องกันการผูกขาด มันกลายเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่หลวงที่สุดนับตั้งแต่เหล่าผู้บุกเบิกเคยเจอมา

William Jennings Bryan นักการเมืองหนุ่มผู้ลุกขึ้นมาท้าทายเหล่าผู้มีอิทธิพล
William Jennings Bryan นักการเมืองหนุ่มผู้ลุกขึ้นมาท้าทายเหล่าผู้มีอิทธิพล

แต่ด้วยเงินทองที่มากมายของพวกเขาทั้งสาม รวมถึงการผนึกกำลังกันเพื่อการต่อสู้ครั้งนี้นั้น พวกเขาได้ใช้อิทธิพลทั้งหมด โดยเฉพาะเหล่านักการเมืองที่ต้องการเงิน เงินของพวกเขาเหล่านี้นั้นมากพอที่จะซื้อใครก็ได้ที่จะทำประโยชน์ให้กับพวกเขา

ตอนนั้น William Jennings Bryan นั้นลงสมัครในนามของพรรค รีพับรีกัน พวกเขาจึงต้องสนับสนุนฝั่งตรงข้ามเลยเล็งไปที่  William Mckinley ที่เป็นอดีตผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ ที่เข้าใจถึงอุตสาหกรรมสมัยใหม่มากกว่า พวกเขาจึงได้ทุ่มเงินอย่างเต็มที่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ในแคมเปญการรณรงค์หาเสียงของ Mckinley

William Mckinley ผู้มาเป็นตัวแทนของเหล่าผู้มีอิทธิพล
William Mckinley ผู้มาเป็นตัวแทนของเหล่าผู้มีอิทธิพล

พวกเขาได้ใช้อิทธิพลไปทั่ว รวมถึงการซื้อสื่ออย่างกว้างขวางเพื่อกระจายไปยังกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ แต่ Bryan นั้นก็ไม่ยอมแพ้ โดยการออกเดินสายหาเสียงไปทั่วประเทศ ไปพูดกับประชาชนโดยตรง ซึ่งกลายมาเป็นต้นแบบของการหาเสียงเลือกตั้งจนมาถึงปัจจุบันนี้

มันเป็นการสู้ศึกกันอย่างดุเดือด มันการเล่นสกปรกกันอย่างมากมาย โดยฝ่าย 3 ผู้มีอิทธิพล  ทั้งประเทศถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายคนรวย กับ ฝ่ายคนจน ซึ่งแน่นอนว่า ฝ่ายคนจนนั้นมีมากกว่าอยู่แล้ว เป็นการเลือกตั้งที่คึกคักเป็นอย่างมาก ประชาชนกว่า 90% เข้าคูหาเลือกตั้ง

ตอนนี้อนาคตของคนทั้งชาติแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทั้งสองฝ่ายต่างรอผลการเลือกตั้งอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งในที่สุดผลการเลือกประธานาธิบดีก็ออกมา Mckinley เอาชนะไปได้อย่างหวุดหวิด และแน่นอนฝ่ายคนรวยเอาชนะไปได้สำเร็จ

มันทำให้ Rockefeller , Carnegie และ Morgan มีอำนาจมากขึ้นกว่าเดิม และถึงเวลาแล้วที่ต้องยกเลิกการเป็นพันธมิตรกันอีกครั้ง พวกเขาจึงต้องกลับมาแข่งขันกันเหมือนเดิม

การโดนไฟฟ้าเริ่มมาแย่งตลาดน้ำมันก๊าซของ Rockefeller ทำให้เขาเริ่มมองหาธุรกิจใหม่มาเสริมความแข็งแกร่งให้เขา และเขาเล็งไปที่ ธุริจเหล็ก ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของ Carnegie 

การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แร่เหล็กซึ่งมีมากมายมหาศาลในขณะนั้น มันทำให้ Carnegie ไม่ค่อยจะสนใจกับการเข้ามาสู่ธุรกิจเหล็กของ Rockefeller เพราะเขามองว่า เขาทำมานานและมีประสบการณ์มากกว่า ยากที่ Rockefeller จะตามทันในธุรกิจที่เขาถนัดอย่างธุรกิจเหล็กกล้า

Rockefeller เจาะฐานที่มั่น Carnegie เริ่มต้นจากเหมืองถลุงแร่เหล็กก่อน
Rockefeller เจาะฐานที่มั่น Carnegie เริ่มต้นจากเหมืองถลุงแร่เหล็กก่อน

แต่ดูเหมือน Carnegie จะประเมิน Rockefeller ต่ำไปหน่อย เพราะ Rockefeller ได้เริ่มต้นส่งแร่เหล็กไปยังคู่แข่งของ Carnegie ด้วยสนนราคาที่ต่ำมาก มันทำให้การแข่งขันดุเดือดขึ้น มันไปแย่งลูกค้าของ Carnegie โดยตรง ส่งผลต่อกำไรของ Carnegie โดยตรง

Rockefeller เริ่มคิดแผนใหม่ขึ้นมา เขาจะสร้างโรงงานเหล็กขึ้นมา ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าสิ่งที่ Carnegie ได้สร้างขึ้น Carnegie ต้องขัดขวางทุกวิถีทาง โดยเข้าไปพบกับ Rockefeller เพื่อขู่ให้ Rockefeller เลิกยุ่งกับธุรกิจเหล็กเสีย มันเป็นการปะทะกันซึ่ง ๆ หน้าเป็นครั้งแรก โดยที่ไม่มีฝ่ายไหนยอมถอย มันเป็นการเจรจาที่ยืดเยื้อกว่าหลายเดือน

Carnegie ไม่มีทางเลือกมากนัก ที่จะรักษาอาณาจักรของเขาไว้ เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ Rockefeller ออกไปจากธุรกิจนี้ซะ สุดท้ายมันก็มีการเจรจาตกลงกันได้สำเร็จ พวกเขาทั้งสองรู้ดีว่าต่างคนต่างยิ่งใหญ่กันเกินไปที่จะมาห้ำหั่นกันเองแบบนี้ มันจะเจ็บตัวทั้งคู่เสียเปล่า ๆ 

โดย Carnegie เสนอซื้อแร่เหล็กทั้งหมดที่ Rockefeller ขุดมาได้ โดยบังคับไม่ให้ Rockefeller ห้ามขายไปยังคู่แข่งในธุรกิจเหล็กกล้าของเขา ซึ่งมันเป็น Deal ที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย โดยไม่มีการรุกล้ำอาณาเขตซึ่งกันและกันแต่อย่างใด 

สุดท้ายก็เจรจาผลประโยชน์ลงตัวระหว่าง Carnegie และ Rockefeller
สุดท้ายก็เจรจาผลประโยชน์ลงตัวระหว่าง Carnegie และ Rockefeller

และเรื่องข้อตกลงดังกล่าวนั้นดังไปถึงหูของ J.P Morgan ผู้ยิ่งใหญ่อีกหนึ่งคน ที่มองเห็นว่าน่าจะทำอะไรบางอย่างได้ ระหว่าง Deal ของ Carnegie และ Rockefeller  Morgan นั้นมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า ทั้ง Carnegie และ Rockefeller

Morgan นั้นใช้ความสามารถของเขาในการเข้าไปเจรจาควบรวมกิจการหลายแห่งทั่วสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ธุรกิจเหมือนแร่จนถึงการขนส่งทางรถไฟ Morgan ต้องการยุติการแข่งขันในอุตสาหกรรมเหล็กกล้า เขาต้องการรวมคู่แข่งทั้งหมดในอุตสาหกรรมให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว มันเป็นการรวมกิจการที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา และที่สำคัญมันยังมีความเสี่ยงสูงที่สุดอีกด้วย ซึ่งวิธีการก็คือ เข้ายึดอาณาจักรของ Andrew Carnegie ทั้งหมดให้ได้

และมันเป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะพอดี ที่ Carnegie ที่ตอนนั้นเหนื่อยกับการต่อสู้อย่างยาวในการแข่งขันของธุรกิจเหล็กกล้า และเริ่มไม่ค่อยมั่นใจในแนวคิดของตนเอง เพราะมันต้องต่อสู้ไปตลอดอีกชีวิต

มันเป็นวิธีที่เสี่ยงสำหรับ Morgan เขาไม่อาจะเข้าไปคุยกับ Carnegie โดยตรงได้ เขาจึงเลือกที่จะเข้าไปคุยกับผู้ช่วยของ Carnegie แทน ซึ่งเขาคนนั้นคือ  Charles  Schwab ผู้ซึ่งทำงานให้ Carnegie มากว่า 15 ปี ซึ่ง Morgan ต้องการทราบราคาโดยให้ Schwab นั้นไปสืบราคามาให้ และเสนอตำแหน่งประธานบริษัทให้หาก Deal สำเร็จ

ความจริงนั้น Carnegie ก็ไม่ได้มีแผนการที่จะขายธุรกิจเหล็กของเขาเสียด้วยซ้ำ แต่หลังจาก Schwab ได้ลองถามดู หากต้องการขาย Carnegie จะขายที่ราคาเท่าไหร่ เขาเลยนึกตัวเลขคร่าว ๆ ว่าน่าจะประมาณ 480 ล้านเหรียญ หรือ เทียบเท่า 400,000 ล้านเหรียญหากเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน 

มันเป็นจำนวนที่สูงยิ่งกว่างบประมาณของรัฐบาลสหรัฐทั้งหมดเสียด้วยซ้ำ ตัว Carnegie เองก็คงไม่คิดว่า J.P Morgan นั้นจะบ้าซื้อได้ในราคาดังกล่าวได้อย่างแน่นอน แต่คนอย่าง Morgan นั้นต้องการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมขนาดยักษ์อย่างธุรกิจเหล็กกล้า 

มันเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้วที่ ทั้ง Andrew Carnegie และ John D. Rockefeller ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงการที่จะได้เป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา และในที่สุด มันก็ถึงเวลาที่ Carnegie ชนะเสียที ข้อตกลงกับ J.P Morgan นั้นมันได้ทำให้ Carnegie มีทรัพย์สินส่วนตัวพุ่งขึ้นไปสูงถึง 310,000 ล้านเหรียญ ถ้าเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน และเขายังเป็นผู้ที่เคยมีทรัพย์สินมากที่สุด เท่าที่โลกใบนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นจวบจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถล้มสถิตินี้ได้

หลังจากเป้าหมายของ J.P Morgan สำหรับ เขาได้ตั้งชื่อบริษัทใหม่ว่า U.S Steel มันได้กลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นบริษัทแรกของโลกที่มูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญ และมันได้ครอบความเป็นใหญ่ในธุรกิจเหล็กกล้าอีกกว่า 100 ปี อย่างที่ไม่มีใครเทียบได้

การควบรวมจนกลายเป็นบริษัท U.S Steel บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก
การควบรวมจนกลายเป็นบริษัท U.S Steel บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก

แต่อย่างที่เกริ่นไว้ก่อนหน้า ถึงแม้เหล่าผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ จะซื้อประธานาธิดีขึ้นมาได้ แต่พวกเขาไม่สามารถหนีการเมืองไปได้ตลอดกาล อำนาจที่พวกเขามีเหนืออุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ในประเทศ ได้ดึงดูความสนใจของนักการเมืองคนหนึ่ง ที่ชื่อ Theodore Roosevelt

Roosevelt นั้นมีลักษณะนิสัยแทบจะไม่ต่างจาก เหล่าผู้มีอิทธิพลทั้ง 3 เขาเป็นคนที่ชอบข่มคนอื่น และมีนิสัยที่ชอบสั่งการ  ตัว Roosevelt เองนั้นเติบโตมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยย่านนิวยอร์ก และกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่แบบเดียวกับที่ Carnegie หรือ Rockefeller ทำได้

แต่แทนที่จะไปเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ แบบทั้ง 2 นั้น เขากลับเลือกเส้นทางการเมืองแทน แม้ภาพลักษณ์เขาจะไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็พยายามปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองจากชนชั้นสูง มาเป็นคนที่ทำงานเพื่อประชาชน เขาได้สมัครเข้าร่วมรบกับกองทัพ ในสงครามสเปนนิช-อเมริกัน  เขาได้ก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานเขาก็ได้กลายมาเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก

Roosevelt เลือกเส้นทางการเมืองแทนการเป็นนักธุรกิจ
Roosevelt เลือกเส้นทางการเมืองแทนการเป็นนักธุรกิจ

Roosevelt นั้นแสดงให้เห็นถึงตัวตนที่ชัดเจนของเขา เขาไม่ต้องการให้ใครมาบังคับเขาได้ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็ตาม เขาได้เริ่มท้าทายบริษัทใหญ่ โดยออกกฏหมาย เพื่อให้มีการกดขี่ข่มเหงจากบริษัทใหญ่ ๆ และตอนนี้เป้าหมายใหญ่ที่สุดของเขาคือ การยกเลิกการผูกขาดที่ทรงพลังที่สุดของประเทศ

แต่ด้วยฐานะที่ร่ำรวยอยู่แล้ว มันทำให้เขาไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ดังนั้นเหล่าผู้มีอิทธิพล อย่าง Morgan และ Rockefeller นั้นต้องหาวิธีที่จะทำให้เขาอ่อนแอที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ Roosevelt นั้นขึ้นเป็นประธานาธิบดีได้

เมื่อการเลือกตั้งใกล้เข้ามาอีกครั้ง เหล่าผู้ท้าชิงจากปี 1896 ระหว่าง 
Mckinley กับ Bryan และมีผู้สนับสนุนเบื้องหลังมากมาย เพื่อหวังให้ Mckinley เอาชนะให้ได้อีกครั้ง เหล่าผู้มีอิทธิพลก็ใช้แผนเดิม ๆ ทำให้ Mckeinley นั้นสามารถกลับมาเป็นประธานาธิบดีได้อีกครั้ง

โดยจุดเปลี่ยนที่สำคัยคือ Roosevelt นั้นสามารถก้าวขึ้นมาเป็น รองประธานาธิบดีได้สำเร็จ แต่ต้องบอกว่าในสมัยนั้น ตำแหน่งนี้ไม่ได้มีอำนาจมากมายเหมือนอย่างในปัจจุบัน มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ทั้ง Morgan และ Rockefeller ก็ต่างคิดว่าพวกเขาสามารถปกป้องอาณาจักรของตัวเองได้สำเร็จอีกครั้งหนึ่ง

Mckinley นั้นได้ดำรงตำแหน่งต่ออีก 4 ปี มันทำให้เหล่าผู้มีอิทธิพลนั้นสบายใจ และพร้อมที่ขยายอาณาจักรของพวกเขาให้ยิ่งใหญ๋ยิ่งขึ้นไปอีก แต่มันมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น ในเดือนกันยายนปี 1901 นั้น ประธานาธิบดี Mckinley ได้เดินทางไปยังเมืองบัฟฟาโล เพื่อกล่าวสุนทรพจน์เชิดชูความรุ่งเรืองของอเมริกา 

แต่ความรุ่งเรืองนั้นกลับไปไม่ถึงทุกคน ผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้ยากจนนั้นต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอด พวกเขาต่างเบื่อความสัมพันธ์ระหว่าง Mckinley กับเหล่ายักษ์ใหญ่ทางธุรกิจที่กำลังผูกขาดประเทศอยู่

Leon Czolgosz เป็นอดีตคนงานในโรงงาน เขาเพิ่งเสียงานในบริษัทแห่งหนึ่งจากการที่ J.P Morgan ได้เข้าไป take over เพื่อรวมให้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง U.S Steel เขาเชื่อในลัทธิ Anachy โดยเชื่อว่าคนรวยตักตวงผลประโยชน์จากคนจน และเขามุ่งมั่นที่จะหยุดมันลงให้ได้ และเขาก็ได้ทำการลอบสังหาร ประธานาธิบดี Mckinley จนได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นอีก 8 วันนับจากการลอบสังหาร ประธานาธิบดี Mckinley ก็เสียชีวิตไปในที่สุด 

Leon Czolgosz ลอบสังหาร Mckinley จนเสียชีวิตในที่สุด
Leon Czolgosz ลอบสังหาร Mckinley จนเสียชีวิตในที่สุด

และมันกลายเป็นแผนที่ผิดพลาดของเหล่าผู้มีอิทธิพลที่ไม่ได้วางเอาไว้หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่นนี้ เพราะตอนนี้ Roosevelt จอมต่อต้านการผูกขาดที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเหล่าผู้มีอิทธิพล กำลังจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจในการเป็นปรธานาธิบดีแทน Mckinley ที่เสียชีวิตไป

ตอนนี้ ทุกอย่างมันผิดแผนไปหมดแล้ว มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับเหล่าผู้มีอิทธิพลทั้งหมด Roosevlet นั้นส่งสัญญาณไปยังเหล่าผู้มีอิทธิพลทันทีว่า ควรตระหนักตัวให้ดีว่า พวกเขานั้นเป็นเพียงแค่นักลงทุน ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาใหญ่โตควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้อีกต่อไป

ส่วนตัวเขานั้นเป็นคนที่ถูกเลือกโดยประชาชน ให้มาบริหารประเทศ เขามีสิทธิอำนาจแบบเต็มมือในการจัดการทุกอย่าง ไม่นานเขาก็เริ่มแผนที่จะต่อกรกับเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศทันที และเป้าหมายแรกของเขาคือ บริษัทอาณาจักรรถไฟ ที่ตอนนี้กลายเป็นของ J.P Morgan

Roosevelt นั้นไม่ใช่คนที่จะควบคุมอะไรได้เหมือนกับ Mckinley อีกต่อไปตอนนี้ เหล่าผู้มีอิทธิพลกำลังอยู่ในสถานกรณ์ลำบาก แม้ J.P Morgan จะพยายามเข้าไปพูดคุยด้วย แต่ก็ไม่ได้ผล 

Roosevelt ได้เริ่มฟ้องร้องต่อศาลรัฐบาลกลาง ในเรื่องการผูกขาดธุรกิจ ต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย และมันเริ่มต้นด้วยชัยชนะทันที การผูกขาดธุรกิจรถไฟของ J.P Morgan ต้องพังทลายลงทันที 

เริ่มเดินหน้าฟ้องธุรกิจผูกขาดทั้งหลายต่อศาลรัฐบาลกลางทันที
เริ่มเดินหน้าฟ้องธุรกิจผูกขาดทั้งหลายต่อศาลรัฐบาลกลางทันที

และตัวอย่างแรกมันได้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เหลือ ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้ถูกเลือกให้เป็นประธานาธิบดีในสมัยที่สองต่อทันที เขาได้เริ่มทำการฟ้องร้องการผูกขาดธุรกิจไปหลายสิบคดีต่อศาลรัฐบาลกลางสหรัฐ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกครั้งของประเทศอเมริกา ตอนนี้เหล่ายักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ต้องมาเป็นฝ่ายตั้งรับบ้างแล้ว

จะเกิดอะไรขึ้นต่อ เมื่อถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ในอเมริกา การเข้ามากวาดล้างของ Roosevelt นั้นทำให้เหล่าผู้มีอิทธิพลยักษ์ใหญ่ ที่ตอนนี้เริ่มโรยราไปตามวัย ต้องพบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการต่อสู้ ซึ่งตอนหน้าจะเป็นบทสรุปทั้งหมดของ ซีรี่ย์ชุดนี้แล้วนะครับ โปรดอย่าพลาดติดตามนะคร้าบ

–> อ่านตอนที่ 8 : Henry Ford (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Cornelius Vanderbilt  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : 
https://www.biography.com/people/jp-morgan-9414735
https://en.wikipedia.org/wiki/J._P._Morgan
https://en.wikipedia.org/wiki/Andrew_Carnegie
https://en.wikipedia.org/wiki/John_D._Rockefeller
https://www.history.com/topics/us-presidents/theodore-roosevelt
https://en.wikipedia.org/wiki/Theodore_Roosevelt
https://www.biography.com/people/theodore-roosevelt-9463424
https://en.wikipedia.org/wiki/William_McKinley
https://www.history.com/topics/us-presidents/william-mckinley
https://www.history.com/shows/men-who-built-america

The Innovators ตอนที่ 6 : Rockefeller vs Carnegie vs Morgan

เมื่อ นิโคลา เทสลา ได้พัฒนวิธีใหม่ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าขึ้นมา และมันเป็นสิ่งท้าทายสำหรับ J.P Morgan และ Edison ที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมา ซึ่งตอนนี้มันต้องมีเพียงรูปแบบเดียวเท่านั้นที่จะสามารถใช้งานไปทั่วโลกได้ มันต้องมีผู้ชนะและผู้แพ้สำหรับศึกครั้งนี้

Morgan นั้นอยากให้ Edison กำจัดคู่แข่งออกไป ไม่ว่าวิธีการใดก็ตาม แม้จะใช้วิธีสกปรกอย่างไร ก็ขอให้เอาชนะให้ได้ เขาต้องพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าไฟฟ้ากระแสตรงนั้นปลอดภัยที่สุด และ ไฟฟ้ากระแสสลับเต็มไปด้วยอันตราย

แต่ดูเหมือนว่า จะไม่มีอะไรที่จะมาหยุดยั้งความร้อนแรงของไฟฟ้ากระแสสลับของ เทสลาได้เลย มันเริ่มแพร่กระจายไปยังวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และที่สำคัญมันสามารถที่จะขยายตลาดได้เร็วกว่าไฟฟ้ากระแสตรงของ Edison เป็นอย่างมาก

Edison ได้สร้างเครื่องประหารแบบใหม่โดยใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ เพื่อแทนการแขวนคอที่ใช้มายาวนานตั้งแต่สมัยยุคกลาง มันคือเก้าอี้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ มันคือเก้าอี้ไฟฟ้าตัวแรกของโลก มันจะแสดงให้โลกเห็นว่า ไฟฟ้ากระแสสลับนั้นทำให้ถึงตายได้

หลังจากนั้นได้มีการประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า เป็นครั้งแรกของโลก Edison ได้เชิญสู่เพื่อเข้ามาเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์สำคัญในครั้งนี้ ทุกคนจะต้องกลัวไฟฟ้ากระแสสลับ ซึ่งมันเป็นการประหารที่น่าสยดสยองอย่างมาก

เก้าอีไฟฟ้าของ Edison
เก้าอีไฟฟ้าของ Edison

แต่มันกลายเป็นประชาชนนั้นไม่ได้มองถึง เทสลา เลย พวกเขามองแค่ว่าใครเป็นคนสร้างเจ้าเก้าอี้ไฟฟ้าตัวนี้มาเท่านั้น ซึ่งคน ๆ นั้นก็คือ Thomas Edison นั่นเอง มันทำให้ชื่อเสียงของเขายิ่งแย่ลงไปอีก และมันพ่วงให้ J.P Morgan นั้นเสื่อมเสียไปด้วย เพราะเขาเป็นคนลงทุนเงินทั้งหมด

มันทำให้ความฝันของ Morgan นั้นกำลังจะพังทลายลง กับอุตสาหกรรมใหม่อย่าไฟฟ้า และที่สำคัญมันทำให้ Rockefeller นั้นได้รับผลดีตามไปด้วย เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยประวิงเวลาไม่ให้คนหันไปใช้ไฟฟ้าทั้งหมด

แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่กำลังเปลี่ยนอุตสาหกรรมไฟฟ้า นั่นคือ โรงไฟฟ้าจากน้ำตก ไนแองการ่า มันคือการเปลี่ยนพลังจากสายน้ำให้กลายเป็นไฟฟ้า และ มันต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าขนาดยักษ์ครั้งนี้ ซึ่งดูเหมือน Morgan นั้นจะสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจดังกล่าว เพราะเขายังไม่ยอมแพ้กับอุตสาหกรรมไฟฟ้า

โครงการยักษ์ที่ไนแองการ่า
โครงการยักษ์ที่ไนแองการ่า

ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับ ที่บิดาของเขาอย่าง Junious Morgan นั้นได้เผอิญเสียชีวิตจากการประสบอุบัติเหตุ ซึ่งมันทำให้ทรัพย์สินมาตกที่ J.P Morgan ทันที และตอนนี้เงินมันก็เพียงพอที่เขาจะไปลงทุนในโปรเจคใหญ่ของบริษัทไฟฟ้าน้ำตกไนแองการ่า ซึ่งจะมีการประมูล โดยตอนนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใช้ไฟฟ้ากระแสตรง หรือ ไฟฟ้ากระแสสลับ

มันเป็นโปรเจคที่ใหญ่มาก ๆ โรงไฟฟ้าน้ำตกไนแองการ่านั้น จะสามารถรองรับความต้องการไฟฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริการได้ทั้งหมด ซึ่งการที่ Morgan จะชนะการแข่งขันนี้ได้ ก็ต้องกำจัดคู่แข่งที่สำคัญของเขา เทสลา เสียก่อน

มันถึงเวลาที่ J.P Morgan ต้องเล่นบทโหดในฐานะพ่อมดการเงิน บริษัทของ Westinghouse ที่เป็นผู้ลงทุนหลักของ เทสลา กำลังพบกับปัญหาเรื่องการเงิน  Morgan จึงใช้ความรู้ทางด้านการเงินพยายาม ดิสเครดิต ฝั่งของ Westinghouse เพราะเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อ Wallstreet  มันทำให้เกิดปัญหาทันทีกับ Westinghouse ผู้คนต่างเทขายหุ้นออกมา มันทำให้ Westinghouse แทบจะเกือบล้มละลาย เมื่อไม่สามารถหาเงินทุนมาได้ เขาจึงต้องยอมแพ้ต่อ J.P Morgan 

เทสลา จึงตัดสินใจยกระบบไฟฟ้ากระแสสลับของเขาให้กับ Westinghouse ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ Westinghouse รอดพ้นจากวิกฤติมาได้ เพราะมันทำให้เรื่องสิทธิบัตรที่ เทสลา ถือไว้นั้นหมดไป และสามารถดึงดูดนักลงทุนกลับมาได้ทันที

ในขณะนั้น จะมีการจัดงาน World Fair ที่เมือง ชิคาโก ผู้จัดงานต้องการให้ทั้งเมืองเต็มไปด้วยแสงสว่าง Westinghouse จึงแก้เผ็ด Morgan ด้วยการประมูลด้วยราคาที่ต่ำกว่า Morgan มาก และมันทำให้เขาได้งานยักษ์ใหญ่ครั้งนี้ไป

ระบบไฟฟ้าที่แสดงในงาน นั้นใช้ไฟฟ้ากว่า 200,000 ดวง มันทำให้ทุกคนในงานตกใจเป็นอย่างมาก กว่า 27 ล้านคนที่เข้ามางานนี้จากทั่วโลก ได้เห็นการใช้ไฟฟ้ากระแสสลับของนิโคลา เทสลา และ Westinghouse มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยของไฟฟ้ากระแสสลับ

งาน World Fair ที่ชิคาโก ทำให้ทั่วโลกได้เห็นพลังของไฟฟ้ากระแสสลับ
งาน World Fair ที่ชิคาโก ทำให้ทั่วโลกได้เห็นพลังของไฟฟ้ากระแสสลับ

และมันยังส่งผลกระทบไปถึงงานที่โรงงานไฟฟ้าไนแองการ่า อีกด้วย มันจะกลายเป็นโรงไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และผลก็ยังคงเหมือนเดิม เมื่อ Westinghouse นั้นสามารถเอาชนะการประมูลไปได้อีกครั้ง มันทำให้ Morgan นั้นพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ฝันของเขากำลังพังทลาย

แต่ในวิกฤตินั้นย่อมมีโอกาสอยู่เสมอ เขาหันมาใช้วิธีใหม่ มันเป็นบทเรียนที่บิดาเขาเคยสอนไว้ เขาเริ่มพุ่งเป้าไปที่ Westinghouse ก่อน โดยจัดการฟ้องร้องเรื่องสิทธิบัตรของไฟฟ้ากระแสสลับ ที่มีปัญหาอยู่เพราะมันอาจจะมีส่วนนึงที่มาจาก Lab ของ Edison เพราะเทสลา นั้นเดิมเคยเป็นผู้ช่วยของ Edison ซึ่งอาจจะใช้ความรู้ที่ได้จาก Lab ของ Edison ไปพัฒนาไฟฟ้ากระแสสลับ

ซึ่งเมื่อ Westinghouse เจอหมัดนี้ไป ก็ถึงกับไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว เพราะหากมีการฟ้องร้องกัน ต้องใช้เงินจำนวนสูงมากอย่างแน่นอน มันจึงเป็นตัวบีบบังคับเขาให้ยอมแพ้แก่ J.P Morgan 

ส่วนไฟฟ้ากระแสตรงของ Edison นั้นมันถือเป็นความล้มเหลวที่มากที่สุดครั้งนึงของ Edison เลยก็ว่าได้ Morgan จึงได้เริ่มหาวิธีในการยึดบริษัท Edison Electic มาไว้กับตัวเองแทน ด้วยกลยุทธ์ทางด้านการเงินเหมือนเคย

เมื่อสามารถยึดบริษัทได้สำเร็จก็ได้ทำการเปลี่ยนชื่อจากบริษัท Edison Electric ให้กลายมาเป็น General Electric หรือ G.E ที่อยู่ยงคงกระพันมาจนถึงยุคปัจจุบันนั่นเอง มันทำให้ General Electric กลายเป็นบริษัทด้านไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดทันที และเปลี่ยนจากการใช้ไฟฟ้ากระแสตรงของ Edison ให้กลายเป็น ไฟฟ้ากระแสสลับที่จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน

General Electric หรือ G.E. ที่อยู่ยงคงกระพันมาจนถึงปัจจุบัน
General Electric หรือ G.E. ที่อยู่ยงคงกระพันมาจนถึงปัจจุบัน

ถึงตอนนี้ General Electric กำลังจะกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา ตอนนี้ Morgan ได้ควบคุมอุตสาหกรรมไฟฟ้าทั้งหมดได้สำเร็จ ตอนนี้ J.P Morgan จึงก้าวขึ้นมาเทียบเคียงกับ Rockefeller และ Andrew Carnegie ได้สำเร็จแล้ว ฝันของเขากำลังจะเป็นจริงแล้วในอุตสาหกรรมใหม่อย่างไฟฟ้า

แต่เป้าเหมายของ Morgan นั้นยิ่งใหญ๋กว่านั้น เพราะเขามีอิทธิพลในด้านการเงินใน WallStreet ในวิกฤติเศรษฐกิจของอเมริกา Morgan นั้นให้ประเทศกู้เงินกว่า 3,000 ล้านเหรียญ เพื่อไม่ให้การคลังของประเทศเกิดภาวะล้มละลาย เขารักประเทศมากกว่าใครในบรรดาผู้มีอิทธิพลทั้งหมด

Rockefeller นั้นรู้สึกกดดันมากที่สุด เพราะไฟฟ้ากำลังเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมไปแล้ว มันทำให้สถานการณ์ของน้ำมันก๊าซนั้นแย่ลงเรื่อย ๆ เขาต้องหาสิ่งที่มาแทนน้ำมันก๊าซโดยด่วนที่สุด และมันอยู่ใกล้ตัวเขาเพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น

Rockefeller เริ่มสนใจสิ่งที่เหลือจากการกลั่นน้ำมัน ที่ถูกทิ้งมาตลอดหลายปี มันคือของเหลวติดไฟง่าย ที่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสารตัวนี้คือ แก๊สโซลีน ตอนนั้นยังไม่มีใครใช้ประโยชน์จากมัน

Rockefeller จึงได้ว่าจ้างทีมนักวิทยาศาสตร์เข้ามาเพื่อหาประโยชน์จากสารพิษ ชนิดนี้ ตอนแรกนั้นพวกเขาได้นำไปทำผลิตฑ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่าง ขี้ผึ้งสังเคราะห์ หรือ ปิโตรเลียมเจล แต่ Rockefeller นั้นคิดว่า แก๊สโซลีน นั้นน่าจะมีประโยชน์มากกว่านั้น

มันเหมือนโชคชะตาลิขิตให้เขาต้องยิ่งใหญ่เหมือนทุก ๆ ครั้งของ Rockefeller เขาเริ่มใช้เครื่องยนต์ที่หันมาใช้แก๊สโซลีน สำหรับเครื่องจักรของเขาในโรงงานผลิตน้ำมัน ซึ่งมันได้ผลที่ดีอย่างเห็นได้ชัด และสุดท้ายมันได้เริ่มกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการใช้เครื่องยนต์แก๊สโซลีนกับโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วอเมริกา ตอนนี้เขากำลังมองเห็นโอกาสของอุตสาหกรรมน้ำมันใหม่อย่างแก๊สโซลีนเข้าให้แล้ว

นำแก๊สโซลีนมาใช้ในเครื่องจักรโรงงานก่อน หลังจากทิ้งมันมานาน
นำแก๊สโซลีนมาใช้ในเครื่องจักรโรงงานก่อน หลังจากทิ้งมันมานาน

ส่วน J.P Morgan นั้นเขาได้เริ่มมองหาวิธีอื่นในการทำงาน โดยอาศัยโมเดลธุรกิจจากบิดาของเขา เขาได้สร้างกลยุทธ์ทางการเงินที่ก้าวหน้ามาก ๆ ขึ้นมา เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า morganization ซึ่งคือการเข้าครอบครองบริษัทที่แข่งขันกันอยู่ เพื่อให้เหลือบริษัทเดียว เพื่อผลกำไรที่สูงที่สุด

ซึ่งไม่นาน Carnegie และ Rockefeller  ก็ใช้หลักวิธีการเดียวกันนี้ ในการจัดการบริษัท เพื่อผลกำไรสูงสุด มันคือยุคทองของระบบทุนนิยม ตอนนั้นไม่มีคนจากรัฐบาลมาจับตามองพวกเขา จึงไม่มีอุปสรรคใด ๆ ของเหล่าผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ในการจะทำอะไรก็ได้ ความแตกต่างระหว่างคนจน กับคนรวยมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราที่น่าตกใจมาก ๆ 

มันเป็นย่างก้าวที่ผิดพลาดของระบอบเศรษฐกิจอเมริกา มันคือการผูกขาดจากผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ที่แข่งขันกันอยู่ ซึ่งกำลังแข่งกันเพื่อทำกำไร และสร้างความมั่งคั่ง พวกเขากำลังครองครองประเทศนี้อยู่

ประชาชนเริ่มไม่พอใจพวกเศรษฐีเหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ มีนักการเมืองเข้ามาร่วมด้วย เพื่อจะร่างกฏหมายด้านการผูกขาดเพื่อจัดการผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ และตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เหล่าผู้มีอิทธิพลทั้งสาม อย่าง John D.Rockefeller , Andrew Carnegie และ J.P Morgan นั้นต้องร่วมมือกัน พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายอาณาจักรของพวกเขาได้ พวกเขาต้องพักการแข่งขันลงชั่วคราว และหันมาร่วมมือกันเพื่อแผนการครั้งใหญ่

ถึงตอนนี้เรื่องราวกำลังเข้มข้น สุดท้ายทั้งสามผู้ยิ่งใหญ่ก็ต้องมาร่วมมือกันเป็นครั้งแรกเพื่อป้องกันอาณาจักรของพวกเขาไม่ให้พังทลาย แล้วแผนที่ว่านั่นคืออะไร ? และขณะที่ทั้งสามกำลังกอบโกยความมั่งคั่งอยู่ นักประดิษฐ์รุ่นใหม่นาม Henry Ford ที่กลายเป็นตำนาน ก็กำลังมาเปลี่ยนประเทศอเมริกาอีกครั้ง และมันกำลังจะก้าวสู่ยุคใหม่ของประเทศอเมริกาอย่างเต็มตัว มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับประเทศอเมริกา โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 7 : Theodore Roosevelt

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Cornelius Vanderbilt  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : 
https://www.biography.com/people/jp-morgan-9414735
https://en.wikipedia.org/wiki/J._P._Morgan
https://en.wikipedia.org/wiki/Andrew_Carnegie
https://en.wikipedia.org/wiki/John_D._Rockefeller
https://www.biography.com/people/john-d-rockefeller-20710159
https://www.britannica.com/biography/John-D-Rockefeller
https://www.history.com/shows/men-who-built-america

The Innovators ตอนที่ 4 : Carnegie vs Rockefeller

Carnegie บริจาคเงินกว่าหลายล้านเหรียญเพื่อช่วยกู้เมือง JohnTown เขาได้เริ่มสร้างอนุสรณ์ต่าง ๆ ขึ้นทั่วประเทศ เพื่อชดเชยสิ่งที่เขารู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งในความผิดพลาดที่ร้ายแรงครั้งนี้ มันยังเป็นภาพหลอกหลอนเขาอยู่เสมอกับเหตุการณ์ที่ JohnTown

เขาได้เริ่มสร้างอนุสรณ์ในนิวยอร์ก อย่าง Carnegie Hall ซึ่งมันคือ เวทีศิลปะการแสดงใหม่ของนิวยอร์ก สำหรับคนชั้นสูงและเหล่าคนดัง งานเปิดตัวนั้น John D.Rockefeller เข้ามาร่วมงานด้วย ซึ่งการที่มีชื่อของ Carnegie ในเรื่องการสร้าง Hall ดังกล่าวนั้น มันทำให้การแข่งขันของทั้งคู่ขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่ง

Carnegie Hall สัญลักษณ์กลางเมืองนิวยอร์ก
Carnegie Hall สัญลักษณ์กลางเมืองนิวยอร์ก

ตลอดอีก 10 ปีผ่านไป ทั้งคู่ส่งของขวัญตอบโต้กันในวันคริสมาสต์ ตัวอย่างเช่น Rockefeller ส่งเสื้อกระดาษราคาถูกไปให้ Carnegie เพื่อตอกย้ำถึงภูมิหลังในการเป็นผู้อพยพที่ยากจน ขณะที่ Carnegie ก็ตอบโต้ด้วยการส่ง วิสกี้ อย่างดีไปให้ Rockefeller ที่เป็นคนเคร่งศาสนาและไม่ดื่มเหล้า 

ขณะที่อาณาจักรน้ำมันของ Rockefeller กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหล็กก็เป็นที่นิยมอย่างมากในการก่อสร้าง และธุรกิจของ Carnegie ก็กำลังไปได้สวย เหล็กกล้าของ Carnegie ช่วยทำให้เมืองต่าง ๆ ในอเมริกา เริ่มขยายขึ้นไปในแนวดิ่ง ถ้า Carnegie อยากแซงหน้า Rockefeller นั้น เขาต้องทำกำไรให้ได้มากกว่านี้และเขาอาจจะต้องชดใช้ในความพยายามของเขา และสูญเสียทุกอย่างจากความทะเยอทะยานของเขาที่มีมากเกินไป 

การที่จะก้าวแซง Rockefeller ได้นั้น Carnegie จะทำเพียงธุรกิจเหล็กกล้าเพียงเดียวมันคงไม่ได้ เขาต้องหาวิธีการสร้างกำไรให้สูงสุดด้วย และเขาก็เริ่มหันหาตัวช่วย หลังจากความพยายาหลายปีของเขาไม่สำเร็จเสียที เขาจึงได้หันไปหาโรงเหล็กกล้าแห่งนึงที่กำลังมีปัญหานอกเมือง พิตต์สเบิร์ก

เขาต้องการสร้างโรงเหล็กใหม่ ที่มีขนาดใหญ่โตที่สุด เท่าที่เขาเคยสร้างมา เขาจึงได้ทำการลงทุนไปกว่าหลายล้านเหรียญ เปลี่ยนโรงเหล็กที่มีปัญหานี้ ให้กลายเป็นโรงเหล็กที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่เขาเคยสร้างมา โรงเหล็กที่ชื่อว่า Homestead Steel Works นั้น กลายเป็นสิ่งก่อสร้างของ Carenegie ที่ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยสร้างมานับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจเหล็กกล้า

โรงงานเหล็กที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ Carnegie เคยสร้างมา Homestead Steel work
โรงงานเหล็กที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ Carnegie เคยสร้างมา Homestead Steel work

ต้นทุนด้านแรงงานนั้นเป็นต้นที่สำคัญ โดยเฉพาะสำหรับโรงงานเหล็กกล้าอย่าง Homestead Steel Works การที่เขาจะได้กำไรเพิ่มมากขึ้นนั้น เขาจำเป็นต้องลดต้นทุน ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีเครื่องจักร หรือ หุ่นยนต์ เหมือนในปัจจุบัน การจะลดต้นทุนนั้นมีทางเดียว คือ ลดค่าแรงลง และเพิ่มเวลาทำงานให้กับเหล่าแรงงานทั้งหลาย 

แต่เนื่องด้วยภาพลักษณ์ที่เสียไปในกรณี อุตบัติภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่เมือง JohnTown มันทำให้ Carnegie ไม่อยากสูญเสียภาพลักษณ์อีกแล้ว การมีปัญหากับแรงงาน มันคงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน 

เขาจึงต้องใช้มือดีอย่าง เฮนรี่ ฟลิกซ์ จอมโหดคนเดิม มาจัดการเรื่องดังกล่าวแทน  โดยมอบตำแหน่งประธานให้กับ ฟลิกซ์ แล้วตัว Carnegie นั้นก็หนีไปอยู่สก๊อตแลนด์ เพื่อให้ เฮนรี่ ฟลิกซ์ นั้นสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่

จอมโหดคนเดิมกลับมาแล้ว
จอมโหดคนเดิมกลับมาแล้ว

ฟลิกซ์ ก็เริ่มใช้ทุกวิถีทางกับคนงานที่ Homestead Steel คนงานต้องทำงาน 12 ชม.ต่อวัน และ 6 วันต่อสัปดาห์ มันเป็นสภาพการทำงานที่สุดโหด ตอนนั้นมันยังไม่มีกฏหมายแรงงาน ซึ่งมันเปิดช่องให้เหล่าเจ้าของธุรกิจ จะทำอย่างไรกับแรงงานก็ได้

ต้องบอกว่า การทำงานในโรงเหล็ก 12 ชม.ต่อวันนั้นมันแทบจะเป็นเรื่องทีทำได้ยาก จึงมีคนงานหลายกลุ่มที่เริ่มรวมตัวกันเรียกร้อง เหล่าคนงานเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า และต้องการค่าแรงที่สูงขึ้นกว่าเดิม 

แต่ฟลิกซ์นัั้นกลับเร่งการผลิต ให้คนงานต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งหากมีการประท้วงหรือบอยคอต ขึ้นมานั้น ฟลิกซ์ ก็ยังมองว่ามันอาจจะทำให้เขามีเหล็กกล้าพอที่สต๊อคไว้อยู่ และในที่สุดมันก็ถึงจุดเดือดของคนงาน

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในโรงงานเริ่มเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และในที่สุดมันก็ทำให้มีคนงานเสียชีวิต มันเป็นเหตุให้เกิดการรวมตัวกันของคนงานที่เริ่มจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว 

ฟลิกซ์ ที่ได้รับความเห็นชอบจาก Carnegie จึงประกาศให้เหล่าคนงานทราบโดยทั่วกันว่าบริษัทจะไม่ร่วมเจรจาด้วย และจะไม่มีการปรับปรุงสภาพการทำงานเด็ดขาด  มันทำให้เหล่าคนงานเหล็กกว่า 2,000 คน มาปิดกั้นอยู่ข้างหน้าโรงงาน เพื่อป้องกันฟลิกซ์ ไม่ให้หาใครมาแทนพวกเขา

คนงานรวมกลุ่มกันเพื่อปิดโรงงาน
คนงานรวมกลุ่มกันเพื่อปิดโรงงาน

ฟลิกซ์ นั้นได้ว่าจ้างทหารรับจ้างไว้จัดการเรื่องพวกนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันเริ่มกลายเป็นสงครามเต็มตัวระหว่างเหล่าคนงานกับเฮนรี่ ฟลิกซ์ ทั้งสองฝ่ายต่างมีอาวุธ ตอนนี้การผลิตเหล็กกล้าต้องหยุดลงแล้ว 

เดิมทีนั้น ฟลิกซ์ต้องการให้นำทหารรับจ้างที่มีอาวุธครบมือเหล่านี้ มาใช้เพื่อขู่เท่านั้นและหวังว่าเหล่าคนงานจะถอยไปเอง แต่เขาได้คิดผิดมหันต์ ตอนนี้เหล่าคนงานกว่า 2,000 พร้อมที่จะสู้ พวกเขาไม่มีทางถอยโดยเด็ดขาด

เหล่าทหารรับจ้างเริ่มยิงด้วยกระสุนจริง โดยไม่เกรงกลัวใด  ๆเพราะพวกเขามาจากที่อื่น ไม่ใช่คนพื้นเพแถวนั้น อยู่แล้ว และไม่ได้รู้จักกับเหล่าคนงานเหล่านี้ด้วยซ้ำ บทสรุปคือมันเต็มไปด้วยการนองเลือด มีผู้เสียชีวิต 9 คน และมีอีกจำนวนมากที่บาดเจ็บสาหัส แต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้ จนในที่สุดผู้ว่าการรัฐเพนซิลวาเนีย ต้องส่งทหารตัวจริงมาคลี่คลายสถานการณ์

ภาพจำลองความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
ภาพจำลองความวุ่นวายที่เกิดขึ้น

ประชาชนต่างโกรธกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทุกคนต่างโทษไปที่เฮนรี่ ฟลิกซ์ ที่เป็นฉนวนให้เกิดการนองเลือดครั้งนี้ และต้องมีคนรับผิดชอบกับเรื่องดังกล่าว มันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเรียกร้องความเป็นธรรม ต่อนายจ้างที่ไร้คุณธรรมของอุตสาหกรรมที่กำลังรุ่งเรืองของอเมริกา

มันทำให้ชื่อเสียงของ Carnegie นั้นย่ำแย่ลงไปอีก เพราะมันเป็นโรงงานของเขา เขาต้องเป็นส่วนนึงที่ต้องรับผิดชอบกับเรื่องดังกล่าว มันทำให้ความโกรธของประชาชนที่มีต่อเขาเพิ่มมากขึ้น

มันทำให้เกิดการรวมตัวของคนกลุ่มนึงที่ไม่ชอบความเป็นธรรมแบบนี้ ซึ่งกลุ่มนี้มีชื่อว่า anarchy  ซึ่งจะนิยมใช้ความรุนแรงในการตอบโต้กลับไม่ว่าที่ไหนที่พวกเขามองเห็นความอยุติธรรม และตอนนี้พวกเขากำลังหันเหความสนใจไปที่การสังหารหมู่ใน Homestead Steel ของ ซึ่งพวกเขาก็ได้เข้าไปลอบยิงประธานบริษัท Carnegie Steel อย่าง เฮนรี่ ฟลิกซ์ หวังคร่าชีวิต เพื่อล้างแค้น แต่มันก็ไม่สำเร็จ เฮนรี่ ฟลิกซ์ รอดจากการสังหารมาได้อย่างหวุดหวิด 

ตอนนี้ Andrew Carnegie กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอาณาจักรเหล็กกล้าของเขา หลังมีความพยายามที่จะฆ่าประธานบริษัทของเขาอย่าง เฮนรี่ ฟลิกซ์  ซึ่งในขณะที่ศึกระหว่าง Andrew Carnegie กับ John D.Rockefeller กำลังจะถึงจุดแตกหัก ภัยคุกคามใหม่ มันกำลังจะเกิดขึ้น J.P. Morgan หนุ่มนักการเงินชื่อดัง กำลังร่วมมือกับนักประดิษฐ์ยอดอัจฉริยะอย่าง Thomas Edison ที่กำลังสร้างบางสิ่งบางอย่างที่จะกลายเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกใบนี้ไปตลอดกาล แล้วสิ่ง ๆ นั้นคืออะไร สุดยอดอัจฉริยะอย่าง Thomas Edison จะทำสิ่งใดที่เปลี่ยนโลกเราได้ แล้ว J.P Morgan มาเกี่ยวอะไรด้วย โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : Thomas Edison vs Nikola Tesla

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Cornelius Vanderbilt  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

The Innovators ตอนที่ 2 : John D. Rockefeller

การนัดเจอกันระหว่างผู้ยิ่งใหญ่อย่าง Vanderbilt และ ชายหนุ่มผู้เริ่มสร้างธุรกิจ กับธุรกิจใหม่อย่างโรงกลั่นน้ำมัน อย่าง John D. Rockefeller คนหนึ่งเป็นชายผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศ และแทบจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่หารู้ไม่ว่า ผู้ที่อำนาจและอิทธิพลสูงที่สุดในประเทศอย่าง Vanderbilt นั้นไม่รู้ว่า เขากำลังจะได้พบเจอกับอะไร?

ธุรกิจมันก็เปรียบเสมือนเกมส์การแข่งขัน ในทุก ๆ ธุรกิจ เหล่าผู้นำต้องเกี่ยวข้องกับการเข้าใจคนอื่น ๆ  เหล่าผู้นำระดับอัจฉริยะเหล่านี้ จะรู้ว่าคน ๆ ไหนที่ควรสร้างเป็นพันธมิตร หรือ คนไหนที่ควรกำจัดให้พ้นทาง หากเป็นขวากหนามทางธุรกิจ

การเจอกันที่นิวยอร์ค ระหว่างทั้งสองนั้น มันเป็นการตกลงธุรกิจ ที่ต่างตอบแทนผลประโยชน์ Rockefeller นั้นไม่ใช่เด็กน้อยที่จะให้ Vanderbilt เอาเปรียบได้ มีการต่อรองเจรจาลดราคาค่าขนส่งน้ำมัน โดยที่ Rockefeller นั้นสัญญากับ Vanderbilt ว่าจะทำให้ขบวนขนส่งสินค้าของ Vanderbilt นั้น เต็มในทุก ๆ ขบวน ซึ่งเป็นสิ่งที่ Vanderbilt ปราถนาอย่างมาก และมีการพูดเชิงคู่ว่า หากไม่ตกลงกับเขา Rockefeller นั้นก็จะไปเจรจากับบริษัทขนส่งทางรถไฟเจ้าอื่น ๆ ทันที 

และ Vanderbilt นั้นก็ต้องยอม Rockefeller ในที่สุด แม้ตัว Rockefeller นั้นจะได้สิ่งที่เขาต้องการ แต่ปัญหาคือ ข้อตกลงที่จะทำให้สินค้ามันเต็มทุกขบวน ซึ่งต้องใช้น้ำมันถึง 60 บาร์เรล ต่อวัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ Rockefeller เลย ตอนนั้นเขายังแทบจะไม่มีวิถีทางที่จะทำให้ผลิตน้ำมันก๊าซ ได้มากมายมหาศาลขนาดนั้น เพื่อรองรับความต้องการของ Vanderbilt ด้วยซ้ำ

การเจรจา Deal ครั้งสำคัญจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ของ Rockefeller
การเจรจา Deal ครั้งสำคัญจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ของ Rockefeller

เขาสามารถผลิตได้แค่เพียงครึ่งนึง หรือ รองรับได้สูงสุดเพียง 30 บาร์เรลเพียงเท่านั้น แต่การได้สัญญากับ Vanderbilt นั้นเป็นสิ่งที่เขารอมานาน และมันยังเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของเขา รอดพ้นจากภาวะล้มละลาย

Rockefeller นั้นเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจนในเมือง Cleveland ในช่วงวัยเด็กนั้นเขาก็มีความคิดริเริ่มที่จะเป็นผู้ประกอบการ เขาฉายแววแห่งการเป็นนักลงทุน ซึ่งธุรกิจแรกเริ่มต้นของเขาก็คือ การขายขนมให้กับเด็ก ๆ เขาต้องช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อของเขาแทบจะไม่ส่งเสียจุนเจือครอบครัวเลย ทำให้เขาเติบโตมาอย่างยากลำบาก

เมื่อพ่อของเขาได้ทิ้งครอบครัวไป Rockefeller ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ ด้วยการลาออกจากการเรียน และเริ่มไปทำงานแบบเต็มตัว เขาเริ่มธุรกิจด้วยการค้าขาย แต่ด้วยความอัจฉริยะ และความต่อสู้ชีวิตของเขา เขาจึงมักมองหาช่องทางและหนทางหากินใหม่ ๆ อยู่เสมอ 

ตอนนั้น Cleveland พบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งที่ใหญ่ที่่สุดอันดับต้น  ๆ ของโลก Rockefeller ไม่รีรอ เขามองเห็นทันทีว่าน้ำมันนั้นจะเป็นธุรกิจใหม่ มันเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนโลกได้ และในที่สุดมันจะทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมาได้

ตอนนั้นเทคโนโลยีการขุดเจาะน้ำมันไม่ได้ก้าวล้ำแบบในปัจจุบันที่สามารถมองหาแหล่งน้ำมันได้ผ่านดาวเทียม ตอนนั้นมันเปรียบเหมือนการพนัน มันเต็มไปด้วยความเสี่ย Rockefeller รู้ดีในจุดนี้ เขาจึงต้องหาวิธีที่จะลดความเสี่ยงในการที่จะกระโจนเข้าไปสู่ธุรกิจน้ำมัน

Cleveland เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
Cleveland เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

การผลิตน้ำมัน มันก็คือ การเปลี่ยนแหล่งน้ำมันดิบใต้ดินให้กลายเป็นน้ำมันก๊าซ ในขณะนั้นมันคือเชื้อเพลงสะอาดที่นำไปถูกใช้กับตะเกียง เพื่อความส่องสว่างให้กับชาวอเมริกัน รวมถึงชาวโลก

สิ่งที่ Rockefeller คิดนั้นแตกต่างจากนักธุรกิจน้ำมันรายอื่น ๆ ในขณะนั้น เขาเริ่มเข้าปรึกษานักวิทยาศาสตร์ทางด้านเคมี ที่รู้จริงเกี่ยวกับน้ำมัน มันต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในแขนงนั้นจริง ๆ เป็นคนที่รู้เทคนิค แล้วสามารถทำให้เขานำไปต่อยอดได้สำเร็จ

ซึ่งมันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Rockefeller นั้นนำคู่แข่งอยู่หนึ่งกาวอยู่เสมอ ขณะที่เหล่านักเสี่ยงโชคคนอื่น ๆ กำลังขุดหาน้ำมันอยู่ แต่เขาสนใจในเรื่องการเปลี่ยนสภาพของน้ำมัน ซึ่งมันก็คือการควบคุมกระบวนการกลั่นน้ำมันนั่นเอง 

ตอนนั้นเขาอายุเพียง 24 ปี และกำลังหันเหมาโฟกัสกับธุรกิจน้ำมันเต็มตัว เขาแทบจะทุ่มหมดหน้าตัก ขายกิจการอย่างอื่นทั้งหมด ได้เงินมาประมาณ 4,000 เหรียญ เพื่อมาลุยสร้างโรงกลั่นน้ำมันธุรกิจใหม่ของเขา 

ลุยกับธุรกิจน้ำมันแบบเต็มตัว
ลุยกับธุรกิจน้ำมันแบบเต็มตัว

มันเริ่มต้นได้ไม่ได้นัก เขาต้องพยุงธุรกิจโรงกลั่นให้อยู่รอด ตอนแรก ๆ เริ่มนั้นมันยังแทบจะหากำไรจากธุรกิจนี้แทบไม่ได้ มันขาดทุนจนสายป่านของเขาแทบจะหมดตัวแล้วด้วยซ้ำ แต่ทุก อย่างกำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อ ผู้มีอิทธิพลที่สุดของประเทศอย่าง Vanderbilt กำลังสนใจเขา การทำธุรกิจกับ Vanderbilt นั้นมันทำให้เขาได้ค่าขนส่งราคาถูก และที่สำคัญมันยังทำให้เขามีโอกาสเจาะตลาดน้ำมันทั่วประเทศของสหรัฐ ผ่านเครือข่ายการขนส่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกาของ Vanderbilt

แต่สัญญาที่เขาเจรจากับ Vanderbilt นั้นเขาต้องส่งน้ำมันถึง 60 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งตอนนั้นเขามีกำลังการผลิตแค่ไม่ถึง 30 บาร์เรลต่อวันเท่านั้น แต่การไปสัญญากับนักธุรกิจระดับ Vanderbilt แล้วนั้น มันต้องทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้มันเป็นไปได้ เพราะน้อยคนนักที่จะได้รับโอกาสดี ๆ แบบนี้

Rockefeller จึงต้องขยายโรงกลั่นของเขาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้รอบรับการผลิตให้ได้ตามที่ Vanderbilt ต้องการ นั่นจึงเป็นที่เขาต้องไปหานักลงทุน แต่ตอนนั้นปัญหาใหญ่ก็คือ น้ำมันก๊าซ กำลังมีชื่อในแง่ลบอยู่ ข่าวบ้านเรือนที่น้ำมันก๊าซเกิดระเบิด และเกิดเพลิงไหม้ กำลังอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทั่วอเมริกา 

มันทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มลังเลกับธุรกิจนี้  แต่เพราะตอนนั้นความต้องการน้ำมันก๊าซมันสูงมาก เพราะกำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วอเมริกา มันก็ดึงดูดนักลงทุนบางกลุ่มที่กล้าที่จะเสี่ยงกับธุรกิจประเภทนี้

Rockefeller กลับมองปัญหาเหล่านี้ เป็นโอกาส เขาจึงคิดวิธีที่จะขจัดความกลัวเหล่านี้ออกจากหัวของชาวอเมริกา มันคือเรื่องของความปลอดภัย เขาจึงได้สร้างแบรนด์น้ำมันของเขาในชื่อ Standard Oil ซึ่งมันเป็นการตั้งชื่อที่ฉลาดอย่างมาก มันสื่อให้เห็นว่าน้ำมันของเขามีคุณภาพเหนือตลาด เขาได้สร้างมาตรฐานใหม่ของน้ำมันขึ้นมา และที่สำคัญความคิดของเขามันได้ผลทันที

น้ำมันที่มาตรฐานสูงของ Rockefeller สามารถหยุดความกลัวของทุกคนได้ มันได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการมากที่สุดในประเทศอเมริกาทันที หลังจากวางจำหน่ายไปได้ไม่นาน และมันกลายเป็นที่ดึงดูดเหล่านักลงทุนให้เข้ามาลงทุนใน Standard Oil จนมันทำให้เขาสามารถที่จะส่งสินค้าตามความต้องการของ Vanderbilt ที่ระบุในสัญญาได้

Standard Oil ที่ใช้การขนส่งทางเครือข่ายรถไฟของ Vanderbilt เป็นหลักในช่วงแรก
Standard Oil ที่ใช้การขนส่งทางเครือข่ายรถไฟของ Vanderbilt เป็นหลักในช่วงแรก

และเพียงไม่นาน ความต้องการน้ำมันก๊าซ มันก็พุ่งสูงขึ้นแบบสุดขีด มันทำให้ Standard Oil ของ Rockefeller กลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันก๊าซรายใหญ่ที่สุดในประเทศ และมันส่งผลให้อเมริการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุก ๆ ด้านอีกด้วย

แต่หลังจากนั้นดูเหมือนว่า Rockefeller นั้นมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ตอนนั้นเขาสามารถที่จะผลิตน้ำมันได้เกินความต้องการของ Vanderbilt แล้วด้วยซ้ำ แม้ Vanderbilt จะครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในการขนส่งทางรถไฟ

แต่ Rockefeller นั้นต้องการกระจายสินค้าของเขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่าเดิม มันจึงต้องทำให้เขาพาตัวเองไปพบคู่แข่งคนสำคัญของ Vanderbilt ในขณะนั้น เขาคือ ทอม สก็อต ที่เป็นประธานของบริษัทรถไฟรายหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ทอมนั้นมีเป้าหมายคือต้องการขึ้นมาแทนที่อันหนึ่งของเจ้าแห่งการขนส่งทางรถไฟแทน Vanderbilt 

และการที่ทอมจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ เขาต้องพึ่งพา Rockefeller เช่นเดียวกับ Vanderbilt ทอมจึงต้องมุ่งหน้าไปยัง Cleveland พร้อมผู้ช่วยเด็กหนุ่มคนเก่งของเขาซึ่งมีนามว่า Andrew Carnegie ซึ่งในฐานะผู้ช่วยที่ ทอม สก็อตนั้นไว้ใจที่สุด Carnegie จึงมีหน้าที่ในการเจรจากับ Rockefeller

ทอม สก็อต คู่ปรับของ Vanderbilt
ทอม สก็อต คู่ปรับของ Vanderbilt

ซึ่งการเจรจานั้น เป็นการเจรจาที่สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย Rockefeller ต้องการแค่ผลประโชน์ที่ดีกว่า Vanderbilt เพียงเท่านั้น มันเป็นการเจรจาที่ไม่ยากนัก เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ความต้องการของอีกฝั่งอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

มันทำให้เจ้าพ่อวงการขนส่งทางรถไฟอย่าง Vanderbilt กำลังสูญเสียซึ่งความได้เปรียบในการแข่งขัน มันเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของ Rockefeller ที่ให้บริษัทขนส่งทางรถไฟต่างห้ำหั่นกันเอง เพราะน้ำมันแบบที่ Standard Oil ของ Rockefeller ผลิตนั้นเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงอย่างมากทั่วประเทศอเมริกา

ผู้ช่วยคนสำคัญของทอม สก็อต Andrew Carnegie
ผู้ช่วยคนสำคัญของทอม สก็อต Andrew Carnegie

หลังจบดีล กับ ทอม สก๊อต มันทำให้เป้าหมายของ Rockefeller นั้นบรรลุผล ตอนนี้ Standard Oil สามารถส่งน้ำมันไปยังทุกครัวเรือนของสหรัฐได้สำเร็จ เมื่อมีรายได้มากขึ้น กำไรก็มากขึ้นไปตามตัว  มันช่วยให้ Rockefeller นั้นนำเงินเหล่านี้ไปกว้านซื้อธุรกิจคู่แข่ง เพื่อยึดทั้งตลาดให้สำเร็จ

ตอนนี้ Rockefeller ผู้มีความทะเยอทะยานสูง และยังหนุ่มยังแน่น มีเป้าหมายหลักคือต้องการเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในขณะนั้นมันเป็นวิธีการที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ปัจจุบัน มันก็คือการผูกขาดตลาดดี ๆ นี่เอง ซึ่งเขาไม่ได้เพียงแค่กำลังขยายบริษัทเท่านั้น เขาต้องการที่จะสร้างกำไรสูงสุดจากน้ำมันของเขาด้วย เขาจึงต้องซื้อธุรกิจคู่แข่งมาทั้งหมด และกำจัดมันทิ้งเสีย มันเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ครั้งแรก ๆ ในประวัติศาสตร์การทำธุรกิจในอเมริกา

ซึ่งในที่สุดบริษัท Standard Oil ของ Rockefeller นั้นก็สามารถยึดส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง 90% ของโรงกลั่นน้ำมันของอเมริกาได้สำเร็จ มันได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกว่า บริษัทของเขา Standard Oil เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจผูกขาดเป็นรายแรกของประเทศ

เมื่อเขาอายุได้ 33 ปี เจ้าพ่อน้ำมันอย่าง Rockefeller ก็ได้กลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดของประเทศแทนที่ตำแหน่งของ Vanderbilt ทันที ต้องบอกว่า Vanderbilt นั้นเสียท่าเป็นอย่างยิ่งในการปั้น Rockefeller ขึ้นมาจากบริษัทที่แทบจะใกล้ล้มละลายเต็มที แต่สุดท้ายคนที่เขาปลุกปั้น กลับมาแย่งตำแหน่งผู้มีอิทธฺิพลที่สุดในประเทศไปจากเขา

Standard Oil กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา
Standard Oil กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา

ซึ่งวิธีเดียวที่ Vanderbilt จะสู้กับ Rockefeller ได้นั้น มันมีวิธีเดียวก็คือ บริษัทขนส่งทางรถไฟต่าง ๆ ในประเทศต้องมาร่วมมือกันสกัดกั้น อำนาจที่เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ของ Rockefeller  มันทำให้เกิดเรื่องเหลือเชื่อคือ Vanderbilt นั้นไปจับมือกับคู่แข่งที่สำคัญของเขาในธุรกิจขนส่งทางรถไฟซึ่งก็คือ ทอม สก็อต นั่นเอง

ทั้งคู่ตัดสินใจทันที ที่จะยกเลิกสัญญาทั้งหมดกับ Rockefeller  ซึ่งมันคือการประกาศสงครามกับ Rockefeller ดี ๆ นี่เอง มันเป็นสงครามธุรกิจชัด ๆ ระหว่างดาวรุ่งดวงใหม่อย่าง Rockefeller กับ ผู้เก๋าเกมส์ที่ผ่านประสบการณ์มามากมายอย่าง Vanderbilt

แต่ Vanderbilt อาจจะประเมิน Rockefeller ต่ำไป เพราะตอนนี้ Rockefeller นั้นมีอิทธิพลสูงสุดในอเมริกา ใครที่คิดเป็นปฏิปักษ์กับเขานั้น เขาไม่มีความเมตตาให้อย่างแน่นอน เขาจึงต้องมุ่งมั่นหาทางขนส่งน้ำมันของเขาให้ได้โดยไม่ต้องพึ่ง Vanderbilt และ ทอม สก็อต

เขาจึงปรึกษากับเหล่าวิศวกรของเขา เรื่องที่จะหาทางส่งน้ำมันแบบใหม่ ตอนนั้น มีเครือข่ายท่อภายในโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อส่งต่อไปยังรถไฟ ในสถานีที่อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งเขาจึงคิดไอเดียขึ้นมาได้ว่า ในเมื่อท่อเหล่านี้มันสามารถส่งในระยะใกล้ ๆ ได้ เพราะฉะนั้นถ้าสร้างท่อส่งต่อไป มันก็อาจจะส่งในระยะไกล ๆ ได้เหมือนกัน โดยไม่ต้องใช้การขนส่งทางรถไฟ

ถ้าเขาสร้างเครือข่ายท่อขนส่งน้ำมันได้ยิ่งใหญ่พอ มันก็จะสามารถที่จะตัดการขนส่งทางรถไฟออกไปได้สำเร็จ แต่การที่จะสร้างเครือข่ายท่อขนาดใหญ่ มันต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลเป็นอย่าง แต่ถ้ามันทำสำเร็จนั้น มันก็จะเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของ Rockefeller ที่มีต่อ Vanderbilt 

มันเป็นสิ่งที่คล้าย ๆ กันหมดของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ที่พวกเขาเหล่านี้อยากทำบางอย่างกับธุรกิจที่ผู้อื่น หรือ คู่แข่งนั้นไม่กล้าที่จะทำ เพราะมันมีความเสี่ยงและใช้เงินลงทุนสูง นักธุรกิจหลาย ๆ คน มีความคิด มีความทะเยอทะยาน แต่ไม่กล้าลงมือทำ ซึ่งมันต่างจากเหล่านักธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จเฉกเช่นเดียวกับ Rockefeller เพราะสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในสัญชาตญาณของพวกเขา ไม่ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลง หรือความไม่แน่นอนเพียงใด พวกเขาเหล่านี้จะมองมันเป็นโอกาสอยู่เสมอ

เหล่าคนงานของ Rockefeller นั้นต้องเร่งทำงานทั้งวันทั้งคืน เพื่อวางเครือข่ายท่อส่งน้ำมันไปทั่วประเทศ ซึ่งหลังจากใช้ทีมงานทำงานอย่างหนัก ในที่สุดเครือข่ายท่อส่งน้ำมันของ Rockefeller ก็สร้างเสร็จ มันเป็นเครือข่ายท่อส่งน้ำมันที่ความยาวกว่า 4,000 ไมล์ เชื่อมกับบ่อน้ำมันที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในโลกหลายพันบ่อ

มันเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ Rockefeller สร้างขึ้น มันเป็นการฉีกกฏเกณฑ์ทุกอย่างของการส่งน้ำมันที่มีมา มันคือเครือข่ายท่อส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่รังสรรค์ขึ้นมาโดย John D. Rockefeller

ท่อส่งน้ำมัน สุดยอดนวัตกรรมของ Rockefeller
ท่อส่งน้ำมัน สุดยอดนวัตกรรมของ Rockefeller

25 ปีก่อนหน้า อุตสาหกรรมรถไฟนั้น ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศอเมริกา เป็นเครื่องมือช่วยค้ำจุนเศรษฐกิจอเมริกา ทั้งการขนส่งคน และส่งสินค้าทั่วประเทศอเมริกา ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเชื่อว่าจะมีใครจะโค่นลงได้ จนกระทั่งการมาของ Rockefeller ที่รู้ดีว่าตอนนี้นั้น เหล่าบริษัทรถไฟต้องพึ่งพาน้ำมันของเขาเพื่อความอยู่รอด 

ซึ่งการงัดข้อกันระหว่าง Vanderbilt และ Rockefeller ครั้งนี้มันได้สั่งสอนให้เครือข่ายธุรกิจรถไฟ ทั้ง Vanderbilt รวมถึง ทอม สก็อต ได้พบกับความพ่ายแพ้  ซึ่งมันพร้อม ๆ กับการพาอเมริกานั้นกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดในโลกทันที ผู้คนไม่ต้องตกอยู่ในความมืดมน อีกต่อไป ด้วยเครือข่ายท่อส่งก๊าซที่ยิ่งใหญ่ของ Rockefeller

ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ มันทำให้ Vanderbilt ต้องสูญเสีย การยกเลิกขนส่งน้ำมันซึ่งเป็นปริมาณการขนส่งถึง 40% ก่อนหน้า ได้ถูกตัดออกไปโดยเครือข่ายท่อส่งก๊าซของ Rockefeller และมันมีผลต่อหุ้นของกิจการรถไฟทันที ราคาหุ้นล่วงกราวรูด นักลงทุนต่างหวาดกลัว

เครือข่ายท่อส่งก๊าซของ Rockefeller ครอบคลุมประเทศอเมริกา
เครือข่ายท่อส่งก๊าซของ Rockefeller ครอบคลุมประเทศอเมริกา

ในช่วงที่เกิดความแตกตื่น ทำให้มูลค่าหุ้นหล่นลงมานั้น มันส่งผลให้กว่า 30% ของกิจการรถไฟในประเทศเข้าสู่ภาวะล้มละลายทันที มันคือฟองสบู่ของกิจการรถไฟในประเทศอเมริกานั่นเอง เพราะตอนนั้น เส้นทางรถไฟเริ่มมีมากเกินไปจนล้น และ เมื่อถูกแรงกระแทกจาก Rockefeller ที่ตัดสินค้าอย่างน้ำมันที่เป็นสินค้าหลักออกไปจากการขนส่ง มันทำให้ฟองสบู่ของกิจการรถไฟแตกทันที

และมันยังส่งผลให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นในอเมริกาเป็นครั้งแรก มันเป็นครั้งแรกที่ชาวอเมริกาทั่วประเทศต้องตกงานอย่างกระทันหัน เหล่านคนงานถูก lay-off แต่เจ้าของโรงงานนั้นก็ยังใช้ชีวิตหรูหรา ฟู่ฟ่าเหมือนเดิม มันได้กลายเป็นช่วงเวลาที่สิ้นหวังเป็นอย่างยิ่งของประชาชนชาวอเมริกา

แต่ในขณะที่บริษัทใหญ่ ๆ หลายบริษัทในประเทศนั้นกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด  แต่ Rockefeller นั้นได้มองเห็นโอกาส เขามองว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่รอดในวิกฤตินี้ได้ เมื่อเหล่าคู่แข่งต่างล้มละลาย Rockefeller ก้ได้เข้าไปเลือกบริษัทเหล่านั้นเพื่อซื้อกิจการ ในราคาที่ถูกแบบสุด ๆ  มันทำให้เขาได้สร้างเครือข่ายบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาได้สำเร็จ

ในขณะที่ Rockefeller กำลังขยายธุรกิจอย่างเมามันนั้น ทางฟากคู่แข่งอย่างธุรกิจรถไฟกำลังหนีตายเพื่อเอาตัวรอด  และเมื่อถึงจุดต่ำสุดของวงการรถไฟ ก็ได้เกิดข่าวร้ายขึ้น คือ Vanderbilt ราชาแห่งกิจการรถไฟ ได้เสียชีวิตลงไปในที่สุด ด้วยวัย 82 ปี  ซึ่งได้ทิ้งอาณาจักรรถไฟ มูลค่ากว่า 100 ล้านเหรียญ ไว้กับลูกชายของเขา William Vanderbilt

แต่คู่ปรับที่ยังคงเหลือรอดจากวิกฤติเศรษฐกิจก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ  ทอม สก็อต และผู้ช่วยมือดีอย่าง Andrew Carnegie เนื่องจากเครือข่ายท่อส่งน้ำมันของ Rockefeller นั้นยังไปไม่ถึงเมือง พิตต์สเบิร์ก ฐานที่มั่นของพวกเขา มันยังต้องใช้รถไฟในการขนส่งน้ำมันอยู่ 

ซึ่ง ทอม สก็อต นั้นก็เริ่มคิดถึงอนาคตที่ไม่แน่นอนเฉกเช่นเดียวกับ Vanderbilt หาก Rockefeller ขยายเครือข่ายท่อส่งน้ำมันจนครอบคลุมทั้งหมดได้ พวกเขาอาจจะไม่มีทางที่จะอยู่รอดได้เฉกเช่นเดียวกับ Vanderbilt 

ทอม สก็อต จึงต้องคิดแผนใหม่ขึ้นมา เพื่อขยายอาณาจักรของเขา และมันคือสิ่งที่ทำให้ Rockefeller ต้องหันกลับมามอง เพราะ ทอม สก็อต และ ผู้ช่วยมือดีอย่าง Andrew Carnegie กำลังคิดการณ์ใหญ่ คือการขยายเข้าไปสู่อุตสาหกรรมน้ำมัน ด้วยการสร้างเครือข่ายท่อส่งน้ำมันของตัวเอง

มันเป็นการไปกระตุกหนวดเสืออย่าง Rockefeller อย่างเต็มตัว มันคือสงครามครั้งใหม่ มันเป็นการรุกล้ำธุรกิจน้ำมันที่แสนรักของ Rockefeller แต่คราวนี้ Rockefeller ไม่สามารถตัดการขนส่งน้ำมันของ ทอม สก็อต ได้ เพราะ ทอม สก็อต นั้นยึดเครือข่ายการขนส่งระหว่างเมืองใหญ่อย่าง พิตต์สเบิร์ก ไปยังนิวยอร์กเพียงเจ้าเดียว 

แต่อย่างที่รู้ ๆ กัน Rockefeller นั้นเป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้ใครง่าย ๆ  เขาจึงตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ด้วยการปิดโรงกลั่นที่จะส่งน้ำมันไปยังเครือข่ายรถไฟของ ทอม สก็อต แม้จะทำให้เขาสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมากก็ตาม แต่เขามองว่าการบดขยี้ศัตรูให้ตายไปนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด 

ศึกครั้งใหม่ที่่ต้องสั่งสอง ทอม สก็อต
ศึกครั้งใหม่ที่่ต้องสั่งสอง ทอม สก็อต

และเมื่อไม่มีน้ำมันของ Rockefeller มันก็ส่งผลให้ ทอม สก็อต สูญเสียมูลค่าทางธุรกิจไปเกือบครึ่ง มันบีบให้เขาต้อง lay-off คนงานกว่าหลายหมื่นคน และยังต้องลดค่าแรงลงเป็นอย่างมาก  เหล่าคนงานจึงต้องออกมาประท้วงตามท้องถนน 

เนื่องจากคนงานในเมือง พิตต์สเบิร์ก ส่วนใหญ่นั้นทำงานกับบริษัทของทอม สก็อต การออกมาประท้วงจึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น  มันเต็มไปด้วยความรุนแรง และความโกรธของเหล่าคนงานที่โดน lay-off  มีการเข้าไปเผาลานจอดรถไฟของ ทอม สก็อต  ไฟได้โหมทำลายธุรกิจของ ทอม สก็อต แทบหมดสิ้น กองเพลิงได้ทำลายอาคารที่ทำการของบริษัทไปกว่า 39 หลัง รวมถึงสถานีรถไฟ และมันยังรวมถึง รถไฟกว่า 1,200 ขบวนได้ถูกทำลาย มันทำให้บริษัทของ ทอม สก็อต ได้กลายเป็นเศษซากทันที 

การประท้วงของคนงานได้เผากิจการของทอม สก็อต จนวอดวาย
การประท้วงของคนงานได้เผากิจการของทอม สก็อต จนวอดวาย

มันเป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจและอิทธิพลของ John D. Rockefeller ที่ สามารถทำลายคู่แข่งที่คิดจะมาต่อกรกับบริษัทของเขา อย่างที่ ทั้ง Vanderbilt และ ทอม สก็อต โดนมาและพ่ายแพ้อย่างราบคาบ  ซึ่งถึงตอนนี้ ก็ไม่มีคู่แข่งที่จะมาขัดขวางธุรกิจของ Rockefeller อีกต่อไป เขาได้กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในอเมริการทันที มีทรัพย์สินมากกว่า 150 ล้านเหรียญในขณะนั้น ซึ่งเทียบกับมูลค่ากว่า 200,000 ล้านเหรียญในปัจจุบัน

Rockefeller สามารถควบคุมกว่า 98% ของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในอเมริกา มันทำให้เขากลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่เขายังไม่รู้ว่า ยักษ์ใหญ่อย่างเขา ก็มักจะตกเป็นเป้าหมายให้คนมาโค่นล้ม และ Rockefeller กำลังจะได้เผชิญหน้ากับผู้ท้าชิงที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา แล้วเขาคนนั้นคือใคร? แล้วจะมาล้มผู้มีอิทธิพลทั้งเงินตราและอำนาจที่มีอยู่อย่างมหาศาลอย่าง Rockefeller ได้อย่างไร? โปรดอย่าพลาดติดตามได้ในตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 3 : Andrew Carnegie

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Cornelius Vanderbilt  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : 
https://en.wikipedia.org/wiki/John_D._Rockefeller
https://www.biography.com/people/john-d-rockefeller-20710159
https://www.britannica.com/biography/John-D-Rockefeller
https://www.history.com/shows/men-who-built-america

The Innovators ตอนที่ 1 : Cornelius Vanderbilt

สำหรับ Blog Series ชุดนี้จะเป็นการเล่าเรื่องของ บุคคลที่ยิ่งใหญ่ใน ยุคเริ่มก่อตั้งอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Cornelius Vanderbilt , John D. Rockefeller , Andrew Carnegie , J.P. Morgan ,Thomas Edison จนมาถึง Henry Ford ซึ่งพวกเค้าเหล่านี้ ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น จนสามารถทำให้อเมริการยิ่งใหญ่ได้ถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก แต่ละท่านแทบจะทำธุรกิจ แตกต่างกัน แต่มันผ่านช่วงเวลาต่างๆ  ช่วงเวลาที่ตกต่ำของคนหนึ่ง ก็จะสู่ความรุ่งโรจน์ของอีกคน มันเป็น ประวัติที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับการก่อร่างสร้างตัวของประเทศอเมริกาหลังสิ้นสุดสงครามกลางเมือง

ก่อนอื่นต้องขอย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1865 เพียงไม่นานหลังสิ้นสุดสงครามกลางเมือง ประธานาธิบดีลินคอร์น ได้ถูกลอบสังหาร ประเทศอเมริกาถูกแบ่งแยก มีผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองมากกว่า 600,000 คน แต่หารู้ไม่ว่าประเทศอเมริกากำลังที่จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่

เหล่าผู้มีความคิดสร้างสรรค์ เหล่าอัจฉริยะ ที่กำลังจะเปลี่ยนโลกและอเมริกาแบบที่ไม่เคยมีใครได้พบเห็นมาก่อน  และเพียง 5 ทศวรรษ นับจากวันที่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองของอเมริกา เหล่าอัจฉริยะ ที่เป็น Innovators ต้นแบบของอเมริกันชน กำลังจะมาเปลี่ยนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของอเมริกา ให้ก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่จวบจนถึงปัจจุบัน

และมันเป็นครั้งแรกของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่า ที่ผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดในการนำพาอเมริกา ไม่ได้เป็นนักการเมืองอีกต่อไป เขาเป็นคนที่สามารถสร้างตัวเองขึ้นมาด้วยตัวตนของตัวเอง  และสามารถเปลี่ยนย่านที่ยากจนของนิวยอร์ก ให้กลายเป็นอาณาจักรใหม่ขนาดใหญ่ของเขาจนได้ในที่สุด ซึ่งเขาผู้นั้นคือ Cornelius Vanderbilt

เมื่ออายุได้เพียง 16 ปี Vanderbilt ได้ซื้อเรือโดยสารลำเล็ก ๆ ลำหนึ่งด้วยราคา 100 เหรียญเพื่อมาเริ่มต้นธุรกิจ แต่เพียงไม่นาน เขาก็ได้รู้จักในฐานะนักธุรกิจตัวยง ที่ต้องใช้ทุกวิถีทางในการเอาชนะคู่แข่ง ในยุคนั้นต้องบอกว่าการจะก้าวขึ้นมาจากชนชั้นล่าง ให้กลายมาเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น มันเต็มไปด้วยทั้งโอกาส และที่สำคัญคือการแข่งขัน ที่สูงมาก เพื่อถีบตัวเองให้มาเป็นชนชั้นสูงของอเมริการให้ได้

เริ่มสร้างตัวจากการขนส่งทางเรือ
เริ่มสร้างตัวจากการขนส่งทางเรือ

Vanderbilt นั้นมีจิตใจที่แข็งแกร่ง และชอบการแข่งขัน เขาไม่เคยที่จะยอมใครง่าย ๆ ในทุกเรื่อง ๆ ซึ่งเรือสินค้าทีเขาได้ซื้อมาเพียง 100 เหรียญนั้นเพียงไม่นาน มันได้กลายเป็นกองเรือขนส่งสินค้าจำนวนมาก ทำให้ Vanderbilt ได้โดดเด่นขึ้นมาในแถบนิวยอร์กด้านการขนส่ง จึงถึงกับได้รับฉายาว่า “ผู้บัญชาการกองเรือ”

ซึ่งตลอด 40 ปีให้หลัง มันทำให้ Vanderbilt ได้สร้างอาณาจักรการขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาได้สำเร็จ และหลังจากได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจก่อนสงครามกลางเมือง เขาก็ได้คิดทำสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ การเข้ามาสู่ธุรกิจขนส่งทางรถไฟ มันไม่ใช่ทางรถไฟธรรมดา แต่มันเป็นเป็นทางรถไฟข้ามประเทศ เพราะอเมริกามีพื้นที่ใหญ่โตมหาศาล 

แต่เขามองว่า การสร้างทางรถไฟ จากตะวันออก ไปสู่ทางด้านตะวันตกของอเมริกานั้น มันจะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางข้ามรัฐ ลงไปได้หลายเดือน มันทำให้เกิดอิสระต่อผู้คน แถมยังสามารถขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และราคาถูกที่สุด ตั้งแต่อเมริกา ก่อตั้งประเทศมา 
เขาได้สร้างทางรถไฟกว่า 50,000 ไมล์ เพื่อเชื่อมต่อรัฐต่าง ๆ ของประเทศให้สามารถขนส่งผู้คน หรือสินค้าระหว่างกันได้

ทิ้งธุรกิจขนส่งทางเรือมาลุยกับขนส่งทางรถไฟแบบเต็มตัว
ทิ้งธุรกิจขนส่งทางเรือมาลุยกับขนส่งทางรถไฟแบบเต็มตัว

เขาได้มองเห็นอนาคตทางธุรกิจใหม่ของเขา โดยเขาได้ทำการขายกองเรือทั้งหมดของเขา และนำเงินทั้งหมดมาทุ่มหมดหน้าตักกับกิจการรถไฟ ซึ่งในที่สุดกิจการใหม่ของเขาก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อสิ้นสุดสงครามกลางเมือง มันทำให้ Vanderbilt กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาทันที ซึ่งตอนนั้นมีทรัพย์สินกว่า 68 ล้านเหรียญ หรือเทียบเท่ากับ 75,000 ล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน

แต่แม้จะมีเงินมากเพียงใด หลังสิ้นสุดสงคราม ก็ไม่อาจจะบรรเทาความเจ็บปวดของ Vanderbilt  ได้ เพราะเขาได้เสียลูกชายคือ George Vanderbilt ในช่วงสงครามกลางเมืองอันเลวร้ายของอเมริกา มันเป็นความสูญเสียอย่างมากของ Vanderbilt ผู้พ่อ และเขาก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของเขาต่อไป ซึ่งมันทำให้ธุรกิจการขนส่งทางด้านรถไฟของเขานั้นตกอยู่ในความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง

George นั้นเป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่เขาเชื่อใจ และเขาก็ได้ใช้ความพยายามหลายปีในการเฝ้าฟูมฟัก George เพื่อให้มาดูแลธุรกิจต่อจากเขา แต่สุดท้ายเมื่อ George นั้นไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว มันทำให้ Vanderbilt ต้องให้ William ลูกชายอีกคนที่ไม่เอาไหนมาช่วยดูแลกิจการต่อ

เขาเสียใจอย่างมากหลังจากสูญเสียลูกชายในสงครามกลางเมือง
เขาเสียใจอย่างมากหลังจากสูญเสียลูกชายในสงครามกลางเมือง

และกิจการมันก็เริ่มทรุดลงหลังจากการเข้ามาของ William คู่แข่งนั้นไม่ได้มองว่า Vanderbilt นั้นน่ากลัวอีกต่อไป แต่แม้คู่แข่งนั้นจะเห็นถึงจุดอ่อน แต่ Vanderbilt มองมันเป็นโอกาส และที่สำคัญ มันถึงเวลาที่เขาจะได้สอน William ว่าการต่อสู้ทางธุรกิจนั้นมันเป็น เช่นไร

Vanderbilt นั้นเป็นเจ้าของสะพานข้ามทางรถไฟ ที่มีเพียงเส้นเดียวที่จะมุ่งหน้าสู่มหานครนิวยอร์ก ซึ่งมันมุ่งตรงไปยังท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในขณะนั้น และที่นั่นยังเป็นสถานที่ที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศอีกด้วย และนี่จะเป็นอาวุธเด็ดที่สำคัญที่เขาสามารถที่จะเอาชนะคู่แข่งที่กำลังคิดจะมาแย่งชิงอาณาจักรขนส่งทางรถไฟที่ยิ่งใหญ่ของเขาได้

ซึ่งเมื่อไม่มีสะพานนี้ รถไฟสายอื่น ๆ ของคู่แข่งก็ไม่สามารถที่จะเข้าออกเมือง นิวยอร์ก ได้ มันเป็นกลยุทธ์ที่เหนือชั้นมากในการตัดขาดคู่แข่งไม่ให้เข้ามาสู่นิวยอร์ก และที่สำคัญมันยังทำให้ นิวยอร์ก ถูกตัดขาดจากเมืองอื่น ๆ ซึ่งนี่เป็นกลยุทธ์ที่ Vanderbilt ต้องการบีบให้คู่แข่งตายไปในที่สุด

การปิดสะพานครั้งนี้ของ Vanderbilt ทำให้สินค้าจำนวนมาก ไม่สามารถไปยัง นิวยอร์กได้ และมันทำให้ค่อย ๆ บีบให้คู่แข่งของเขาตายไปในที่สุด ซึ่งเหล่าบริษัทรถไฟคู่แข่งก็ต้องขายหุ้นทั้งหมดออกมา ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนถึง wallstreet ทำให้ผู้คนเทขายหุ้นอย่างหนัก และเมื่อมันร่วงจนถึงจุดต่ำสุด Vanderbilt ก็ได้กว้านซื้อหุ้นเหล่านั้นทั้งหมด และมันทำให้ Vanderbilt กลายเป็นเจ้าของเครือข่ายบริษัทรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาทันที

ไล่ซื้อหุ้นใน wall street เพื่อยึดทั้งหมด
ไล่ซื้อหุ้นใน wall street เพื่อยึดทั้งหมด

และไม่นานหลังจากได้ควบรวมกับกิจการของคู่แข่ง Vanderbilt ก็ได้ขยายอาณาจักรเส้นทางรถไฟของเขา จนครอบคลุมทั่วอเมริกา มันยังได้ช่วยสร้างงานกว่า 180,000 ตำแหน่ง และอาณาจักรของเขาก็ได้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจอเมริกาไปในที่สุด

มันไม่ใช่แค่เพียงการขนส่ง แต่มันยังส่งผลต่อ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วประเทศอเมริกาเฟื่องฟูขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ของอเมริกา

และ Vanderbilt อยากที่จะสร้างสัญลักษณ์บางอย่างเพื่อประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเขา ซึ่งเป็นที่มาของการสร้าง สถานี รถไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น ซึ่งก็คือ ชุมทาง Grand Central กลางมหานครนิวยอร์ก

คนงานหลายพันคน ถูกจ้างเข้ามาเพื่อสร้าง Grand Central ภายในระยะเวลา 2 ปี มันเป็นการก่อสร้างสถาปัตยกรรมที่มีความทะเยอทะยานที่สุดเท่าที่อเมริกาเคยมีมา มันทำให้ Grand Central กลายเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดของมหานครนิวยอร์ก และกลายเป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 22 เอเคอร์ และมันได้มาเปลี่ยนภูมิทัศน์ของนิวยอร์กไปตลอดกาล

สร้างสถานี Grand Central เพื่อเป็นสัญลักษณ์
สร้างสถานี Grand Central เพื่อเป็นสัญลักษณ์

ถึงตอนนี้ต้องเรียกได้ว่า Vanderbilt นั้นได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดเท่าที่สามารถทำได้แล้ว แต่ความทะเยอทะยานของเขายังไม่มีหมด และนี่มันเป็นสาเหตุสำคัญให้เขาตกอยู่ในความเสี่ยง ตอนนั้นเขาสามารถที่จะยึดส่วนแบ่งของเส้นทางรถไฟได้ถึง 40% ของเส้นทางทั้งหมดในประเทศอเมริกาแล้ว แต่ความทะเยอทะยานของเขานั้น มันทำให้เขาอยากได้มันทั้งหมด

ตอนนั้นมีเส้นทางสายหนึ่งที่  Vanderbilt ต้องการเป็นอย่างมากคือเส้นทางจาก ชิคาโก้ ไปยังเมือง นิวยอร์ก ซึ่งตอนนั้นไม่ได้เป็นของ Vanderbilt ซึ่งตอนนั้นเจ้าของเส้นทางนี้คือบริษัท ERIE เขาจึงได้สั่งทีมงานเข้าไปกว้านซื้อหุ้นของ ERIE ให้มากที่สุด

ซึ่งทางผู้บริหารของ ERIE ก็รู้ทันเกมส์ของของ Vanderbilt ในการเข้ากว้านซื้อหุ้นในตลาดวอลล์สตรีท จึงได้ใช้ไม้เด็ดเพื่อเล่นงาน Vanderbilt โดยทำการปั๊มใบตั๋วหุ้นขึ้นมาเพิ่มเพื่อให้จำนวนหุ้นของ ERIE สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  ซึ่งในตอนนั้น ERIE นั้นมีสิทธ์ในการเพิ่มใบตั๋วหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งไม่ได้เป็นการผิดกฏแต่อย่างใด

ซึ่งมันทำให้ Vanderbilt ต้องซื้อหุ้นของ ERIE ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งแผนนี้มันถูกเรียกว่าการลดมูลค่าหุ้นลง ซึ่งในตอนนั้นไม่มีใครคาดถึง แต่ในปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย ในสมัยนั้นมันเป็นแผนที่เรียบง่ายแต่แสนชาญฉลาดเป็นอย่างมากในการเล่นงาน  Vanderbilt

และมันเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายครั้งแรกของ Vanderbilt กว่าเขาจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว เขาเสียเงินไปกว่า 7 ล้านเหรียญในการซื้อหุ้นของ ERIE ทางผู้บริหาร ERIE แก้เผ็ดด้วยการนำข้อมูลที่เขาสามารถหลอก Vanderbilt ได้ไปบอกกับสื่อ มันทำให้เรื่องกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น มันเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายที่สุดของ Vanderbilt เลยก็ว่าได้ที่ถูกลูบคมได้ถึงเพียงนี้

แต่มันเหมือนเป็นการปลุกเสือร้ายอย่าง Vanderbilt ให้ลุกขึ้นตื่น ตอนนี้เขามองไปยังสิ่งใหม่แทน มันไม่ใช่การขยายเส้นทางรถไฟอีกต่อไป แต่มันต้องเป็นการขนส่งสินค้าใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเขา

เขามองว่าเขาต้องควบคุมแหล่งสินค้าใหม่ที่จะทำให้ขบวนรถไฟของเค้าเต็มอยู่ตลอดได้ เขาก็สามารถที่จะยึดครองอุตสาหกรรมรถไฟทั้งหมดได้ ซึ่งตอนนั้นเขาก็รู้ดีว่าเขาต้องหันไปทางไหน

ตอนนั้น น้ำมันกำลังมาปฏิวัติชีวิตของชาวอเมริกัน น้ำมันดิบ กำลังถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำมันก๊าซ มันเป็นแหล่งพลังงานราคาถูกที่สุดสำหรับความสว่างสไว และแสงไฟของชาวอเมริกา ซึ่งรูปแบบแสงแบบใหม่นี้ มันกำลังเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวอเมริกันไป

ชาวอเมริกันกำลังจะได้พบกับความสว่างสไวผ่านน้ำมันก๊าซ
ชาวอเมริกันกำลังจะได้พบกับความสว่างสไวผ่านน้ำมันก๊าซ

ต้องบอกว่าในช่วงก่อนหน้านั้น ไม่มีแหล่งแสงไฟให้ความสว่างให้กับชาวอเมริกา เมื่อพระอาทิตย์ตก ความมืดก็จะตามมา  น้ำมันก๊าซ มันได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล และ Vanderbilt รู้ว่ามันถึงเวลาที่เขาจะได้กอบโกยอีกครั้ง 

Vanderbilt เห็นถึงความต้องการน้ำมันก๊าซ ที่พุ่งสูงขึ้นทั่วประเทศ เพื่อจะได้สนองความต้องการนั้น ผู้ผลิตน้ำมันก๊าซ ก็จะต้องหาวิธีใหม่ในการขนส่งน้ำมันของพวกเขา  ถ้า Vanderbilt สามารถครอบครองการส่งน้ำมันก๊าซ ได้ เขาก็จะกลับมาเป็นสุดยอดของการขนส่งทางรถไฟได้อีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เขาต้องทำก็คือ หาผู้ส่งน้ำมันนั่นเอง

ตอนนั้น Cleveland เมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรไม่ถึง 50,000 คน แต่มันตั้งอยู่เหนือบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก Vanderbilt จึงรีบเดินทางไปพบเจ้าของแหล่งผลิตน้ำมันใน Cleveland จนไปพบกับ John D. Rockefeller ที่ตอนนั้นทำธุรกิจผลิตน้ำมันอยู่แต่กำลังประสบกับปัญหาบางอย่างในการจัดการธุรกิจของเขา

ตอนนั้น Rockefeller อายุได้เพียง 27 ปี กำลังเริ่มต้นกับการสร้างธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน แต่บริษัทของเขาประสบกับปัญหา จนเกือบจะล้มละลายไปแล้ว  แต่ Vanderbilt มองว่าชายคนนี้จะเป็นผู้ที่มีประโยชน์กับเขา จึงได้มีการเจรจาขนส่งน้ำมันกับ Rockefeller  และได้เชิญ Rockefeller ไปพบกับเขาที่นิวยอร์ก

John d. Rockefeller ในวัยหนุ่ม กำลังสร้างธุรกิจน้ำมัน
John d. Rockefeller ในวัยหนุ่ม กำลังสร้างธุรกิจน้ำมัน

สำหรับ Rockefeller แล้วนั้นการพบกับ Vanderbilt ในครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสเดียวและโอกาสที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา มันอาจจะช่วยรักษาบริษัทของเขาไม่ให้ล้มละลายได้

แต่เรื่องเหลือเชื่อที่สุดก็เกิดกับ Rockefeller เมื่อเขาพลาดขบวนรถไฟที่จะพาเขาจาก Cleveland ไปยัง นิวยอร์ก แต่รถไฟขบวนที่เขาพลาดนั้นได้เกิดตกรางและทำให้มีผู้เสียชีวิตแทบจะทั้งขบวน

มันเป็นโชคชะตานำพา หรือ เรื่องบังเอิญอย่างไร ไม่มีใครทราบได้ แต่การรอดชีวิตมาได้ส่งผลอย่างมากต่อชายหนุ่ม ผู้กำลังก่อร่างสร้างตัวจากธุรกิจใหม่อย่างธุรกิจน้ำมัน เขาเชื่ออย่างศรัทธาว่าพระผู้เป็นเจ้ามีเหตุผลในการไว้ชีวิตเขา และต่อจากนี้ไปเขาก็เชื่อว่าทุกอย่างถูกกำหนดโดยพระเจ้าแล้ว ชายผู้มีนามว่า Rockefeller กับการไปพบปะครั้งสำคัญกับ Vanderbilt  มันจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด รวยที่สุด เท่าที่ประวัติศาสตร์อเมริกาเคยมีมาได้อย่างไร โปรดอย่างพลาดติดตามในตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 2 : John D. Rockefeller