นาคี VS โนราห์ กับความต่าง 2 วัฒนธรรม

ไม่ได้มีโอกาส ได้ดูหนังไทย ติด ๆ กัน 2 เรื่องแบบนี้มานานมากแล้ว หลังจากเข้าสู่ อารยธรรม Netflix อย่างจริงจรัง แม้กระทั่งหนัง Hollywood ก็มีโอกาสได้เข้าโรงหนังน้อยมาก

สบโอกาสที่ คุณพ่อ กับ คุณ แม่ มาทำงาน และ พักผ่อนที่กทม. พอดิบ พอดี จึงได้มีโอกาสได้ชวนไป ดูหนังไทย ทั้งสองเรื่องอย่าง นาคี2 และ โนราห์

และต้องออกตัวก่อนเลยว่า ทั้ง นาคี ภาคละคร รวมถึง หนังเรื่อง เทริด ที่เป็นภาคก่อน โนราห์นั้น ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้ดูเหมือนกัน ก็ไปลุ้นเอาว่า จะดูรู้เรื่องกับเขาหรือไม่ ขอเขียนเปรียบเทียบเป็นหัวข้อ ๆ ไปดังนี้

1.ปริมาณคนดู

ต้องบอกว่า ต่างกันลิบลับ ระหว่างการเข้าไปดูหนัง สองเรื่องนี้ นาคี นั้น คนเต็มโรงไปถึงข้างหน้า ไม่แปลกใจว่า หนังจะทำรายได้ ทะลุ หลายร้อยล้ายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถก้าวผ่านบททดสอบ ที่ว่า ละคร ที่มาทำเป็นหนังจะไม่มีคนดูอย่างที่หลาย ๆ เรื่องเคยเจ๊งมาแล้ว เพราะคิดว่าคนส่วนใหญ่ สามารถดูพระเอก นางเอก ละคร ได้ฟรี  ๆ ทางทีวีอยู่แล้ว นาคี ทำลายกำแพงนี้ได้สำเร็จ และคิดว่า จะมีหนังที่มาจากละคร แบบนี้ออกมาอีกอย่างแน่นอน หากได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยมแบบนี้

ส่วนฝั่งโนราห์ ต้องบอกว่า ตกใจเมื่อเข้าไปในโรง เนื่องจากรถติดและเข้าโรงหนังเลท ไป เข้าไปตอนแรกก็ตกใจ นึกว่าเข้าผิดโรงทำไมไม่มีคน พอดเช็คดี ๆ ก็พบว่า มีคนนั่งดูอยู่ทั้งโรงอยู่ก่อนแล้ว 2 ท่าน เป็นคุณป้ารุ่นใหญ่ รวมกับ ผมและครอบครัว ก็กลายเป็น 5 ท่าน ดูกันเหมือนเป็นโรงหนังส่วนตัวเลยทีเดียว

ข้อแรกให้ นาคี ชนะ ไปแบบไม่เห็นฝุ่น

2. ความสนุกและบทหนัง

ปัญหาใหญ่ของหนังไทย คือ เรื่องบท เพราะส่วนใหญ่ จะมีบทหนังที่ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ มีค่าย GDH เท่านั้น ที่รู้สึกมีการทำการบ้านเรื่องบทของหนังได้ดีกว่าใครเพื่อน แต่สองเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่หนังของค่าย GDH แต่อย่างใด ส่วนของบทนั้น ต้องบอกว่า ให้คะแนนพอ ๆ กัน พอรับได้ ดูได้เรื่อย  ๆ ไม่ถึงกับน่าเบื่ออะไรทั้งสองเรื่อง

แต่ถ้าโดยรวมแล้วนั้น ผมให้ โนราห์ ชนะไปมากกว่า มันดูเหมือนหนังจริง ๆ มากกว่า ส่วนนาคี นั้น แทบจะเหมือนดูละคร มีพระเอก และ นางเอก ดึงดูดเท่านั้น แฟน ๆ ละครน่าจะมาติดตามชมในโรงกันเยอะ โนราห์นั้น ถือว่าเดินเรื่องได้ดีทีเดียว มีการผูกเรื่องกับวัฒนธรรมภาคใต้อย่าง การแสดงมโนราห์ และมีการอ้างอิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่ ถือว่าไม่น่าเบื่อเลย

ข้อสอง ให้ โนราห์ ชนะ เฉือนหวิว

3. งานโปรดักชั่น

งานโปรดักชั่น ของ นาคี หลายๆ  คนน่าจะพูดถึง ฉากพญานาคฟัดกันตอนท้ายเรื่อง ถือว่าทำ CG มาได้ดีระดับนึงเลยทีเดียว แต่ก็เป็นส่วนที่ดีเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ที่เหลือถ่ายทำกันในหมู่บ้าน แทบไม่มีอะไรเลย ส่วน โนราห์ นั้นมาแบบจัดเต็ม ทั้ง CG ที่สอดแทรกมาแทบทั้งเรื่อง รวมถึง งาน Production อื่น ๆ ทั้งเสียง ภาพ ที่ดูแล้ว พิถีพิถัน ในการทำมากกว่า นาคีเยอะ

ส่วนนี้คิดว่า น่าจะมาจากต้นทุน พระเอก และ นางเอก ของ นาคี ก็น่าจะมากอยู่แล้ว ส่วน โนราห์นั้น เน้นใช้นักแสดงหน้าใหม่ ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ถือว่า แสดงได้ดีเลยทีเดียว รวมถึง คุณ เอกชัย ศรีวิชัย ผู้สร้างและผู้กำกับ ก็โดดลงมาเล่นเองด้วย คือ โนราห์ งานโปรดักชั่น เป็นระดับหนังมากกว่า นาคี ซึ่งดูไปคล้าย ๆ เรากำลังดูละครซะมากกว่า

ข้อสาม ผมให้ โนราห์ ชนะไปอีกยก

สรุป

หลังจากใช้เวลาในการดูหนังทั้งสองเรื่องในเวลาไม่ห่างกันมากนัก โดยส่วนตัวนั้น ชอบ โนราห์ มากกว่า นาคี ซึ่งทั้งสองเรื่องนั้น ได้มีโอกาสดู โดยไม่ได้รู้เนื้อเรื่องก่อนหน้ามาก่อนเหมือนกัน ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกันที่ หนังอย่าง โนราห์ มีผู้คนสนใจเพียงน้อยนิด อาจจะเป็นเพราะเรื่องการโปรโมตหนังด้วยส่วนนึง รวมถึง การที่นาคี เคยเป็นละครยอดฮิตมาก่อนก็อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รายได้ทุละเป้าไปหลายร้อยล้านแล้วในขณะนี้

แต่ก็ถือเป็นแนวโน้มที่ดีของหนังไทย ที่มีการทำหนังเฉพาะกลุ่มขึ้นมามากขึ้น เจาะฐานคนดูกลุ่มย่อยมากยิ่งขึ้น  ซึ่งทำให้เราได้มีโอกาสได้ดูหนังไทยแนวใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น หลังจากช่วงหลังมีเพียง หนังผี และ หนังตลก เท่านั้น ที่จะสามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำสำหรับหนังไทย

นาคี โนราห์ ความแตกต่างของสองวัฒนธรรม

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องราวเน้นวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละภาคอย่างชัดเจน นาคีนั้นก็คือ การกล่าวเล่าถึงตำนานพญานาค ทางริมฝั่งแม้น้ำโขง ที่ก็ยังเป็นวัฒนธรรมประเพณี ที่สืบทอดกันมาแต่ยาวนาน ของชาวอีสาน ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ มาจวบจนทุกวันนี้ ผ่านประเพณีบุญบั้งไฟพญานาค ที่กลายเป้นงานประเพณี ดึงดูด นักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก

ส่วน โนราห์ นั้นชัดเจนว่าเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวใต้ คือ เล่าถึงประวัติของการแสดงมโนราห์ ที่เป็นเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะภาคใต้เท่านั้น การอ้างอิงประวัติศาสตร์ จากหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ความเป็นมาของ การแสดงมโนราห์ ผ่านตัวบทหนัง ที่ถือว่าทำได้ดีพอสมควร

เราได้เห็นภาษาท้องถิ่นจากหนังทั้งสองเรื่อง ซึ่งนาน ๆ ครั้งที่จะมีโอกาสได้ดูติด ๆ กันแบบนี้ ถึงแม้ จะเป็นหนังที่ไม่ได้โปรดักชัน อลังการแบบ หนังฮอลลีวูด แต่ก็ถือไม่ได้น่าผิดหวังแต่อย่างใด ที่มีโอกาสได้ดูหนังทั้งสองเรื่องนี้ อยากให้ช่วยกันสนับสนุนหนังไทย เพื่อให้เราได้เห็นหนังแปลกใหม่ออกมาบ้าง ไม่ใช่ ได้ดูเพียงแค่ หนังผี  , หนังตลก รวมถึง หนังจากเจ้าพ่อ Feel Good อย่าง GDH เหมือนที่ผ่านมา