เสียงข้างน้อยในวันที่มีพลังมากกว่าเสียงข้างมาก

เป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์จริง ๆ สำหรับการเลือกตั้งไทยในปีนี้ ที่ มาถึงวันนี้ผ่านมากว่า 2 เดือน เราก็ยังไม่รู้ว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี หรือ ใครจะเป็นฝ่ายค้าน ใครจะเป็นรัฐบาล มีอย่างเดียวที่ชัดเจนก็คือ สว. ที่มีการกำหนดรายชื่อออกมาเรียบร้อยแล้วเท่านั้น

แม้ว่าดูจากกระแส รวมถึง อำนาจอิทธิพลของพรรค พลังประชารัฐ นั้น จะดูเหมือนว่า บิ๊กตู่จะนอนมา สามารถดำรงตำแหน่งนายก ได้อีกสมัย แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า มันได้กลายเป็นเกมส์ในการใช้จำนวนส.ส. ไปต่อรองตำแหน่งต่าง ๆ ในการจัดตั้งรัฐบาลเสียแล้ว

จะเห็นได้ว่าจากข่าวที่เราเห็น พรรคที่มีบทบาท รวมถึงเป็นปัจจัยหลักในการจัดตั้งรัฐบาลนั้นกลายเป็นพรรคที่ไม่ได้รับเสียงข้างมากอย่าง พรรคภูมิใจไทย รวมถึง พรรคประชาธิปัตย์ ที่เล่นตัวต่อรองในเกมส์การเมืองครั้งนี้ ตามสไตล์การเมืองแบบเดิม ๆ อย่างเห็นได้ชัด

แม้เราจะปฏิรูปอะไรหลาย ๆ อย่าง อย่างที่เราเคยเจอปัญหามาเมื่อก่อน แต่การเมืองไทย ก็ยังคงวนลูป เข้าสู่การเมืองแบบเดิม ๆ ที่เป็นเกมส์ต่อรองโควต้า รัฐมนตรีต่าง ๆ โดยเฉพาะเก้าอี้กระทรวงเกรด A ที่หลาย ๆ พรรคอย่างได้ไว้ครอบครอง เพราะผลประโยชน์ที่มีมหาศาล แลแน่นอน ว่าเราไม่ได้เลือกตั้งกันมานาน ทำให้เหล่านักการเมืองนั้นแทบจะไม่ได้เข้าสู่ผลประโยชน์เหล่านี้มานานมากแล้ว

เพราะฉะนั้น ในรอบนี้ ที่เป็นการเลือกตั้งในรอบหลายปี ทำให้เกมส์ต่อรองนั้นดูเข้มข้นขึ้นอย่างชัดเจน ที่น่าตลกคือ พรรคที่ชนะการเลือกตั้งได้จำนวนส.ส.เป็นอันดับหนึ่งอย่างพรรคเพื่อไทย แม้จำนวนส.ส. จะชนะเลิศ ได้ไปมากที่สุด แต่กลายเป็นพลังอำนาจในการต่อรองนั้นแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ

มันน่าตลกถึงขนาดว่า ต้องยอมเสนอตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีให้กับพรรคที่ได้คะแนนเสียงเพียงน้อยนิด อย่างพรรค ภูมิใจไทย หรือ แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์เองก็ตาม เรียกได้เสียงประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคเพื่อไทยไปนั้น กลับทำอะไรไม่ได้กับระบบการเมืองและการเลือกตั้งในครั้งนี้เลยก็ว่าได้

ซึ่งสรุปในเมื่อ เสียงข้างมากที่ประชาชนเลือกมานั้น แทบจะไม่สามารถ สร้างความชอบธรรมในทางการเมืองอะไรได้เลย เมื่อเทียบกับเสียงข้างน้อยที่กำลังมีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาลอยู่ในขณะนั้น มันก็น่าสงสัยเหมือนกันนะครับว่า แล้วเราจะเลือกตั้งไปให้ได้เสียงข้างมากไปเพื่ออะไรกัน ถ้าระบบต่าง ๆ ยังเป็นอย่างงี้อยู่ ซึ่งในอนาคตเราก็คงเห็นการเมืองไทยยังไม่พ้นลูปแบบเดิม ๆ อย่างที่เคยมีมาอย่างแน่นอน

รูปภาพประกอบจาก : matichon.co.th

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

ทำไมกฏหมายในยุคนี้ถึงยังต้องตีความ?

การให้ความเห็นล่าสุด ของนักกฏหมายระดับประเทศ เรื่องที่เกี่ยวกับ สิทธิ์ในการเลือกนายก รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาล ของผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ กำลังกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากของสังคมไทย

ตอนนี้เรากำลังตีความ ในกฏหมายที่สำคัญ และ เป็นหลักยึดของประเทศอย่างรัฐธรรมนูญ ซึ่ง ต่างฝ่ายต่างอ้างในสิทธิ์อันชอบธรรมของตัวเองในการเลือกนายกรัฐมนตรี และ การจัดตั้งรัฐบาล

แล้วปัญหาคืออะไร ปัญหาใหญ่คือการตีความของเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ หรือหลายๆ  คนอาจจะเรียกว่า แถ ฝ่ายนึงอ้าง Poppular Vote ประชาชนส่วนใหญ่เลือกพรรคพลังประชารัฐ อีกฝั่งอย่างเพื่อไทย ก็อ้างสิทธิความชอบธรรมจากจำนวนส.ส. ที่ได้รับคัดเลือกเข้ามามากที่สุด ซึ่งตามธรรมเนียมแล้ว ต้องเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงเลือกนายกรัฐมนตรี

สำหรับโดยส่วนตัว ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเราเขียนกฏหมายใหญ่อย่างรัฐธรรมนูญ ให้มันชัดเจนไปเลย แบบไม่ต้องตีความ แต่ก็อย่างว่า การตีความกฏหมายมันมีมากว่าหลายพันปี ตั้งแต่การเกิดขึ้นของกฏหมายครั้งแรกเท่าที่นักประวัติศาสตร์จะค้นพบ

มีการค้นพบ หลักฐาน ทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดที่นักประวัติศาสตร์และนักมานุษยวิทยาค้นพบเกี่ยวกับกฏหมาย คือแท่งหินขนาดใหญ่ซึ่งมีฐานกว้าง 1.90 เมตร และมีความสูงถึง 2.25 เมตร โดยแท่งหินดังกล่าวนี้ขุดพบที่นครซูส ในกรุงบาบิโลน สันนิษฐานว่าเป็นหลักศิลาจารึกที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ไว้ในราว 1,500 ปีก่อนพุทธกาล หรือล่วงมาแล้วประมาณ 4,000 ปี ข้อความบนศิลาจารึกได้กล่าวถึง ข้อกำหนด กฎเกณฑ์และระเบียบต่าง ๆ ในสังคมขณะนั้น อาทิเช่น เรื่องดอกเบี้ย สัญญาครอบครัว ฯลฯ ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า ศิลาจารึกดังกล่าวนี้ประดิษฐ์ขึ้นในสมัยของพระเจ้าฮัมบูรามี ดังนั้นจึงเรียกหลักศิลาจารึกนี้ว่า”ประมวลกฎหมายฮัมบูรามี” 

มัน 4000 ปีมาแล้ว ที่กฏหมาย ใช้การตีความ เหตุผลนึงน่าจะเรื่องการเขียนกฏหมายให้ละเอียดคงเป็นเรื่องยากในสมัยนั้น ผู้คนต้องอ้างอิงสิ่งเดียวกันคือ หลักศิลาจารึก ชิ้นนั้น ให้เป็นกฏหมายปกครองคนส่วนใหญ่

คราวนี้ตัดภาพมาที่ยุคปัจจุบัน ทำไมเรายังต้องตีความใน ในยุคนี้ ที่ Data Center มีเยอะแยะ ฮาร์ดดิสก์ ราคาโคตรถูก จะเก็บกฏหมายละเอียดขนาดไหนก็ได้

ทำไมเราจะต้องมานั่งตีความอะไรอีกในยุคที่เก็บข้อมูลได้มหาศาลขนาดนี้ จะเก็บละเอียดขนาดไหนก็ได้ แถมยังไม่ต้องท่องจำอีกด้วย ปล่อย bot index ข้อมูลของเนื้อหาทางกฏหมาย แล้ว search ค้นหาเอาได้เลย คลิกเพียงคลิกเดียวก็หาข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการเจอ จะเก็บกฏหมายกี่ล้านฉบับกี่ล้านบรรทัด จะเก็บไปให้ละเอียดขนาดไหนก็สามารถเก็บได้ ในยุคต่อไปเราจะได้เลิกความศรีธนญชัย ของกฏหมายแบบที่เคยมีมา นี้เสียที

ผมมองไปถึงยุคอนาคต ที่เราอาจจะไม่จำเป็นต้องมีทนาย และ ผู้พิพากษาอีกต่อไปเลยด้วยซ้ำ เมื่อ งานพวกนี้ Robot หรือ AI สามารถที่จะทำงานแทนได้หมด ตอนนี้โลกเราพัฒนา AI ทั้งเทคนิคของ Natural Language Processing , Machine Learning , Sentiment Analysis , Neural Network

ตัวอย่างในต่างประเทศก็เริ่มมีให้เห็น AI NOW ซึ่งวิจัยโดย สถาบันวิจัยตรวจสอบผลกระทบทางสังคมของ AI ได้มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการโดยมีเป้าหมายเพื่อรวบรวมผู้สนับสนุนด้านกฎหมายวิทยาศาสตร์และทางด้านเทคนิคที่จะมุ่งเน้นไปที่การตัดสินใจเชิงอัลกอริทึมในหลากหลายด้านของกฎหมาย (เช่นการจ้างงาน ผลประโยชน์สาธารณะ หรือ กฏหมายด้านแรงงาน)

ตัวอย่างความแม่นยำในการวิเคราะห์คดีความต่าง ๆ เมื่อมนุษย์เทียบกับ AI
ตัวอย่างความแม่นยำในการวิเคราะห์คดีความต่าง ๆ เมื่อมนุษย์เทียบกับ AI

ซึ่งจากงานวิจัยนั้น มันทำให้เหล่า AI สามารถอ่านกฏหมาย วิเคราะห์กฏหมาย เปรียบเทียบความถูกต้องที่เป็น Logic แบบชัดเจน ไม่คลุมเคลือ ไม่ศรีธนญชัย แถมยังไม่ BIAS เข้าข้างใคร หรือมีอิทธิพลต่อใคร เหมือนที่เคยมีมา เพราะยังไงมนุษย์เราไม่ว่าจะเที่ยงตรง ยุติธรรมขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องมีความ BIAS ไม่ว่าข้างใดข้างหนึ่งเสมอนั่นเอง การหาความเป็นกลางของมนุษย์นั้น เป็นเรื่องนามธรรม ที่มันจับต้องได้ยากจริง ๆ 

References : interestingengineering.com

Silvio Berlusconi : The Rise and Fall

ต้องบอกว่าเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีข่าวเด่นดังไปทั่วโลกเลยสำหรับ อดีตนายกรัฐมนตรีของอิตาลีอย่าง Silvio Berlusconi หลายท่านอาจจะรู้จักเขาในนามเจ้าของสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่อย่าง AC Milan  แต่ไม่ว่าในฐานะใด Silvio Berlusconi ก็มีประวัติที่น่าสนใจ จน netflix นำชีวประวัติของเค้ามาออกฉาย ใน My Way: The Rise and Fall of Silvio Berlusconi

ต้องบอกว่า Silvio Berlusconi นั้นมีประวัติที่น่าสนใจมาตั้งแต่เด็ก เค้าเกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลางเท่านั้น และต้องอพยพครอบครัวหนีจากเมืองมิลานไปตั้งแต่วัยเด็ก เนื่องจากผลของการเข้าโจมตีของสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2

ต้องถือว่าเป็นการเริ่มต้นเรื่องราวชีวิต ที่ลำบากไม่ใช่น้อยเลยสำหรับ Silvio Berlusconi ในวัยเด็ก ตอนเด็ก ๆ ในสมัยที่ยังเรียนในโรงเรียนคาทอลิค นั้น ยังไม่ฉายแววผู้นำที่จะกลายมาเป็นบุคคลสำคัญของประเทศอิตาลีแต่อย่างใด ซึ่งเค้าได้ยอมรับว่าสมัยเด็กนั้นโดนเพื่อนคนนึงแกล้งอยู่ตลอดเวลา

จุดเปลี่ยนที่สำคัญในวัยเด็กของ Silvio Berlusconi

สำหรับเด็กที่ต้องย้ายถิ่นฐานเข้ามา แถมยังตัวเล็กกว่าใครเค้าในสมัยเด็ก จึงถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมชั้นอยู่บ่อยครั้ง จนสุดท้ายเค้าทนจากการกลั่นแกล้งไม่ไหว ได้ทำการสู้ด้วยการกระชากคอเพื่อนที่ชอบแกล้งเขา แล้วนำไปกดน้ำ แล้วย้ำว่า “ใครคือนายแก” ซึ่งภาพในวันนั้นของ Silvio Berlusconi ทำให้เพื่อนร่วมชั้นมองเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แล้วหลังจากนั้น เขาก็ได้กลายเป็นผู้นำของเหล่านักเรียนร่วมชั้นในทันที จึงเป็นที่มาของความแข็งแกร่ง อดทน และไม่ย่อท้อของ Silvio Berlusconi มาจนถึงปัจจุบันเลยก็ว่าได้

ชีวิตวัยรุ่นกับทางเดินในการเป็นนักดนตรี

ต้องบอกว่าในช่วงแรก ๆ นั้น Silvio Berlusconi ไม่มีแววว่าจะมาทำธุรกิจเลยด้วยซ้ำ ในช่วงวัยรุ่น เค้าค่อนข้างที่จะหันเหชีวิตไปเอาดีทางด้านดนตรี ซะมากกว่าด้วยซ้ำ โดยเป็นพนักงานในเรือสำราญ ซึ่งทำหลายหน้าที่มากทั้ง เป็น Guide เมื่อเรือลงจอดตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นนักดนตรีกลางคืน รวมถึงร่วมร้องเพลงด้วยในบางโอกาส ซึ่ง ดูไม่มีวี่แววที่เค้าจะมาเป็นนักธุรกิจที่่ยิ่งใหญ่ได้เลย

แต่แล้วโชคชะตาก็เหมือนเป็นใจ ให้เค้าต้องกลับบ้านมาหาพ่อ ซึ่งเป็นนายแบงค์ใหญ่ อยู่ที่เมืองมิลาน โดยพ่อเค้าได้ตามตัวเค้าจนพบ แล้วได้บอกกับ Silvio Berlusconi  ว่า “แกจะเป็นนักดนตรี ไปตลอดชีวิตเลยหรือ” ซึ่งสุดท้าย เค้าก็ต้องทิ้งอาชีพนักดนตรีที่แสนรัก กลับบ้านมาพร้อมกับพ่อของเขา แล้วกลับมาเรียนต่อด้านกฏหมายที่ประเทศฝรั่งเศษ เพื่อประกอบอาชีพเหมือนคนอื่น ๆ ในยุคนั้น

การก้าวเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง กับการเริ่มต้นธุรกิจของ Silvio Berlusconi ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ว่าแหล่งที่มาของเงินจำนวนมากตอนเริ่มธุรกิจแรก ๆ มาจากไหน แม้ทาง Silvio Berlusconi จะออกมาปฏิเสธว่าเงินมาจากธนาคาร จากแหล่งเงินใน สวิสเซอร์แลนด์ แต่ นักวิเคราะห์ หลาย ๆ คนก็มีหลักฐานหลายอย่างที่เชื่อมโยง เงินของ Silvio Berlusconi กับ แก๊งมาเฟียของอิตาลี ที่ใช้ Silvio Berlusconi มาฟอกเงินให้พวกเขาผ่านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ถ้าพูดกันตรง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่เราจะได้เห็นเงินเถื่อนมาฟอกผ่านธุรกิจที่สวยหรู ทั้งที่ไม่รู้ว่าแหล่งที่มาของเงินนั้นมาจากไหน แม้กระทั่งในไทยเอง ก็มีเรื่องแบบนี้อยู่เป็นจำนวนมาก เพราะเงินที่ได้มาจากธุรกิจสีดำ หรือ เทา สุดท้ายก็ต้องฟอกกลับมาเป็นเงินปรกติ ให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัย

ต้องบอกว่าในยุคเริ่มต้นธุรกิจของ Silvio Berlusconi นั้น ยุคนั้นเป็นยุคมาเฟียครองอิตาลีเลยก็ว่าได้ ซึ่งแม้สุดท้าย เค้ายังไม่ถูกตัดสินความผิดจากคดีฟอกเงินนี้จริง ๆ ก็ตาม แต่ต้องบอกว่า จากหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่นั้น เชื่อมโยงเขากับ เหล่ามาเฟียชื่อดังของอิตาลีแน่ ๆ

แต่เนื่องจากว่า Silvio Berlusconi นั้นเป็นคนประเภทที่ชอบบุกเบิกอะไรใหม่ ๆ ให้กับวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ในยุคนั้นธุรกิจของเขาสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นเศรษฐี หมื่นล้าน ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี รวมถึงในยุคนั้น ช่วงปี 1960-1970 นั้นถือเป็นยุคเฟื่องฟูของอสังหาริมทรัพย์ของอิตาลีด้วย ทำให้บริษัทของเขาทะยานเติบโตอย่างรวดเร็วจนเป็นที่น่าอิจฉาของคู่แข่ง

ก้าวเข้าสู่วงการโทรทัศน์

เมื่อถึงจุดอิ่มตัวกับวงการอสังหาริมทรัพย์ Silvio Berlusconi ก็เริ่มสนใจที่จะเข้าสู่วงการโทรทัศน์ ซึ่งในขณะนั้นเพิ่งเริ่มตั้งไข่ ในยุคนั้น ช่องทีวี มีแต่รายการของรัฐเท่านั้น นำมาซึ่ง อำนาจในการกระจายข่าวสารของเพียงเหล่านักการเมือง ธุรกิจใดต้องการที่จะมาลงโฆษณา ก็ต้องมี connection ที่ดีกับนักการเมืองที่คุมรัฐบาลอยู่เท่านั้น ไม่ได้เปิดพื้นที่เสรีเหมือนอย่างในปัจจุบัน

แต่ Silvio Berlusconi นั้นมองเห็นช่องทางในการเข้าสู่ธุรกิจนี้ เนื่องจากกฏหมายยังไม่เปิดกว้างนักให้ได้รับช่องทีวีที่ Broadcast ไปทั่วประเทศ มีเพียงแค่ช่องรัฐเท่านั้น ที่สามารถที่จะ Broadcast ไปได้ทั้งประเทศ แต่มีช่องโหว่อยู่อย่างนึงคือ ช่องทีวีท้องถิ่นสามารถที่จะให้เอกชนเข้ามาสัมปทานได้  โดย Silvio Berlusconi นั้นได้คิดแผนการในการรวมเครือข่าย Network ของ ช่องทีวีท้องถิ่นตามเมืองต่าง ๆ ครอบคลุมทั้งประเทศอิตาลี ซึ่งก็เปรียบเสมือน การที่จะได้ Broadcast ไปยังทั้งประเทศได้เหมือนกับทีวีรัฐ

โดยเทคนิคของ Silvio Berlusconi นั้นคือ การให้ ช่องทีวีในเครือข่ายใช้รายการเดียวกันในการออกอากาศทั้งประเทศ โดยใช้ เทปจาก 4 วันก่อนหน้า เช่น รายการที่จะออกอากาศในวันอาทิตย์ จะถูกถ่ายทำในวันพฤหัสฯ แล้วถูกส่งต่อไปยังเครือข่ายทีวีของเค้าที่ได้ทำการซื้อมาทั่วประเทศ เพื่อให้ออกอากาศรายการเดียวกันพร้อมกันได้ทั่วทั้งประเทศ

เทคนิคนี้ทำให้ Silvio Berlusconi สามารถที่จะหา sponsor โฆษณา ได้จากผลิตภัณฑ์ใหญ่ ๆ ที่มีฐานลูกค้าอยู่ทั่วประเทศได้ ซึ่งแตกต่างจากหากเป็นทีวีท้องถิ่นนั้น สปอนเซอร์ที่จะลงโฆษณาจะมีเพียงแค่ ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นนั้นๆ  เท่านั้น ทำให้มูลค่าโฆษณาสูงขึ้น และสามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ รวมถึง ได้บุกเบิกเอารายการทีวีใหม่ ๆ ที่แต่เดิม ประเทศอิตาลี มีแต่รายการทีวีของภาครัฐเท่านั้น มีแต่รายการไม่น่าดูชมเท่าไหร่ เมื่อ Silvio Berlusconi ได้นำเอาวัฒนธรรมการดูทีวีจาก อเมริกา เข้ามาร่วมด้วย ทำให้ ช่องของเค้าดังจนฉุดไม่อยู่ สปอนเซอร์ ก็หลั่งไหลเทมา จนทำให้กลายเป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของ อิตาลีในขณะนั้น

เข้า Take Over ทีม AC Milan

ถ้าพูดถึงทีมอย่าง AC Milan ในยุคนั้น ราว ๆ ช่วงปลาย 1980 นั้นต้องบอกว่าเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทีมนึงในยุโรปเลยก็ว่าได้ นักเตะดัง ๆ ในสมัยนั้น จุดสูงสุดในอาชีพนักฟุตบอล คือการได้มาร่วมทีมอย่าง AC Milan ทีมยักษ์ใหญ่ของศึก กัลโช่ ซีเรียอา ของ อิตาลี ซึ่งตอนนั้นถือเป็นลีคฟุตบอลอันดับหนึ่งในขณะนั้น

การเข้ามา Take Over ทีม AC Milan นั้นเป็นบันไดของ Silvio Berluscon เพื่อก้าวเข้าสู่อาชีพนักการเมืองอย่างเต็มตัว ต้องบอกว่าในช่วงนั้น จากฐานแฟนบอลของทีม AC Milan ที่มีมหาศาล รวมถึงภาพลักษณ์ นักบุกเบิก และปฏิวัติ ธุรกิจต่าง ๆ ที่ผ่านมาของ Silvio Berlusconi ทำให้ภาพของเค้าดูดีมาก ๆ ในสายตาของประชาชนในขณะนั้น กอรปกับ เป็นยุคที่ต้องบอกว่า การคอร์รัปชั่นเต็มบ้านเต็มเมือง อิตาลี ในยุคนั้น ทำให้ประชาชนต้องการนักการเมืองใหม่ ๆ มาปฏิรูปประเทศ

ผลงานของทีม AC Milan หลังจากการเข้ามา take over ของ Silvio Berlusconi นั้นทำให้เหล่าแฟนบอลรัก Silvio Berlusconi มากยิ่งขึ้น เพราะสามารถกวาดแชมป์ได้อย่างมากมาย รวมถึงการคว้าถ้วยที่ใหญ่ที่สุดอย่าง ยูโรเปี้ยนคัพในขณะนั้น ทำให้เหล่าแฟนบอลคลั่งไคล้ Silvio Berlusconi มากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อคะแนนนิยมทางด้านการเมืองกับ Silvio Berlusconi โดยตรง

การก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง

ด้วยฐานธุรกิจ ทั้งทางด้านวงการโทรทัศน์ และ ฐานจากแฟนบอล AC Milan ต้องบอกว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการเข้าสู่อาชีพนักการเมือง ของ Silvio Berlusconi เลยก็ว่าได้ รวมถึงความเน่าเฟะ ของการเมืองอิตาลีในขณะนั้น การคอรัปชั่น เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด

ทำให้เป็นเรื่องไม่ยากนักสำหรับ Silvio Berlusconi ที่จะชนะการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีอิตาลี  เค้าได้ตั้งพรรคที่ชื่อว่า Forza Italia ขึ้นมาใหม่ โดยรวมรวมเอานักการเมืองรุ่นใหม่เข้ามา รวมถึงแนวคิดใหม่ ๆ ของการหาเสียง ทั้งการหาเสียงผ่านช่องรายการมีวีของตัวเอง ทำให้สามารถเข้าถึงคนได้ทั้งประเทศ และการสร้างภาพลักษณ์ แบบ คิดใหม่ทำใหม่ จะมาปฏิรูปอิตาลีให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ทำให้สามารถครองเสียงส่วนใหญ่ได้สำเร็จในการลงเลือกตั้งหนแรกของเค้า

บทบาทที่สำคัญในเวทีการเมืองโลก

เนื่องจากบุคลิกที่เป็นผู้นำที่เข้ากับคนได้ง่าย รวมถึงเป็นคนที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยาวนานที่สุดของประเทศ อิตาลี ทำให้ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้นมีความสนิทสนมกับผู้นำโลกหลายคน โดยคนที่เค้าสนิทที่สุดน่าจะเป็น วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย ซึ่งทาง ปูติน ได้กล่าวชม ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ หลายครั้ง รวมถึงปกป้องทุกครั้งที่มีการใส่ร้ายนายกรัฐมนตรี ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่

แม้กระทั่งผู้นำเผด็จการอย่าง โมฮัมหมัด กัดดาฟี่ ประธานาธิบดีของลิเบีย ก็ถือเป็นเพื่อนซี้คนหนึ่งของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ เช่นกัน โดย ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้นมีแนวคิดที่น่าสนใจ กับเหล่าประเทศเผด็จการเหล่านี้ คือ เราไม่สามารถที่จะใช้ระบบประชาธิปไตยที่แท้จริงได้กับประเทศอย่าง ลิเบีย เนื่องจาก ลิเบีย มีชนเผ่าพื้นเมืองอยู่เป็นจำนวนมาก และ ก็ให้เกียรติ กัดดาฟี่ เหมือนหัวหน้าเผ่าของพวกเค้าทั้งหมด ซึ่ง ในกรณีประเทศอย่างลิเบียนั้น ความเป็นประชาธิปไตยอาจจะทำให้ประเทศล่มสลายได้จากการแก่งแย่งชิงอำนาจกันเองของชนเผ่าต่าง ๆ

ไม่เว้นแม้แต่ ผู้นำของอเมริการ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้นถือว่าสนิทสนมอย่างมากกับ ประธานธิบดี George W Bush แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเห็นได้ว่า ความสัมพันธ์ ที่ดีต่อผู้ำนำต่าง ๆ ของโลกเหล่านี้ นั้น มีผลอย่างยิ่งต่อบทบาท ของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ในเวทีระดับโลก ซึ่งมักจะเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยเจรจา ข้อพิพาทต่าง ๆ อยู่สม่ำเสมอ เนื่องจากเค้ามี connection ที่ดีเยี่ยมกับผู้นำหลาย ๆ ประเทศในยุคที่เค้ากำลังรุ่งเรืองอยู่

ผลงาน ที่ต้องยกเครดิต ให้กับ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในเวที ระดับโลก คือ การเป็นตัวตั้งตัวตีในการยุติสงครามเย็น ที่มีมาอย่างยาวนาน ระหว่าง อเมริกา กับ รัสเซีย ด้วยความสัมพันธ์ ที่ดีกับ ทั้ง ปูติน และ บุช จึงเป็นที่มาของการจัดประชุม เพื่อยุติสงครามเย็น ที่เป็นหลักไมล์สำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงความตึงเครียดในเวทีการเมืองโลกในเรื่องสงครามเย็น โดยมีการจัดขึ้นที่กรุงโรม ประเทศ อิตาลี ที่ Partica di Mare ( Air base)

เมื่อชีวิตก้าวสู่ขาลง

ต้องบอกว่า ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้น โดนเล่นงานจากระบบยุติธรรมของอิตาลี มาโดยตลอด แต่เค้าก็มักรอดมาได้เสมอ ในยุคที่เขายังเรืองอำนาจอยู่ วิธีการของเค้า แม้จะไม่ถูกนัก ไม่ว่าจะเป็นการติดสินบน เจ้าหน้าที่ หรือ การแก้ไขกฏหมายให้มีอายุความสั้นลง ทำให้เค้ารอดคดีต่าง ๆ มาได้โดยตลอด แต่ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเขา มักจะโดนคดี ไปเต็ม ๆ ไมว่าจะเป็นเรื่องตั้งแต่ข้อหาในการฟอกเงิน ในการเริ่มต้นธุรกิจของเค้า คนรอบตัวเขาก็โดนคดีกันหมด แต่ เค้ายังรอดมาได้

แม้จะรอดตัวจากคดีต่าง ๆ ในประเทศ ด้วยวิธีการที่สกปรกบ้าง แต่ปัญหาระดับประเทศ อย่างปัญหาเศรษฐกิจ นั้นเป็นจุดฉนวน สำคัญในยุคขาลงของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ก็ว่าได้ สืบเนื่องจากปัญหาวิกฤติ การเงินโลก ทำให้ประเทศอิตาลี ก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ เช่น เดียวกับ ประเทศ กรีซ ที่เกือบจะล้มละลาย

ถึงแม้เค้าจะสนิทสนมกับผู้นำบางกลุ่ม แต่ มีอีกกลุ่มที่ไม่เล่นด้วย อย่างเช่น ประธานาธิดี นิโคลาส ซาร์โกซี่ ของฝรั่งเศษ และ นาง อังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีของเยอรมัน ที่เป็นกลุ่มเป็นเทศ ผู้นำของ EU อยู่ ซึ่งอยากให้ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้นนำประเทศอิตาลี เข้าสู่การช่วยเหลือของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เป็นการด่วน

แต่ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้น ไม่ยอมที่จะโดนบีบให้ยอมรับเงินของ IMF เรื่องนี้จะเป็นจุดสำคัญ ซึ่งเป็นการเมืองระหว่างประเทศ โดยเป้าหมายของ ซาร์โกซี่ และ แมร์เคล นั้น ต้องการบีบให้นายกรัฐมนตรี ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ลาออก เพราะ ไม่ได้ชอบนิสัยของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ อยู่แล้วด้วย เนื่องจาก ในเวทีระดับโลก บางที ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นั้น รับปาก แต่ไม่ได้ทำตามที่รับปากอยู่บ่อยครั้ง

ซึ่งสุดท้ายประเด็นของเรื่องเศรษฐกิจ ที่ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภายในประเทศได้ ทำให้คะแนนความนิยมของเค้าตกลงไปเรื่อย  ๆ   เป็นตัวชนวนให้สุดท้ายแล้วนั้น เค้าก็ต้องลาออกจากตำแหน่งแต่โดยดี เป็นการสิ้นสุดยุคเรืองอำนาจของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่

เราได้เห็นอะไรจากผู้นำอย่าง ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่

ต้องบอกว่าการเมืองทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ร่ำรวย หรือ ประเทศยากจน โลกที่สาม การเมืองก็คือการเมือง ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อเรื่องระบบประชาธิปไตยในอุดมคติ การเมืองมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ลงตัวกันของเหล่านักการเมืองต่าง ๆ เท่านั้น แต่ชีวิตที่น่าสนใจของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ คือ เค้าเป็นคนที่ทรหดเป็นอย่างมาก ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมายทั้งในเวที ภายในประเทศ ที่ต้องต่อสู้กับระบอบยุติธรรม ที่สุดท้ายแล้ว เค้าก็สามารถเอาชนะได้ แม้จะใช้วิธีที่สกปรก อย่างไปแก้กฏหมาย หรือ แม้กระทั่งติดสินบนก็ตาม ซึ่งหากเรามองจริง ๆ แล้ว ก็ไม่ต่างจากประเทศไทยเท่าไหร่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปรกติของระบบการเมือง ที่มันเน่าเฟะในทุก ๆ  ที่ของโลก ไม่เว้นแม้แต่เจ้าตำรับ อย่าง ประเทศ อเมริกาเองก็ตาม (จะเขียนถึงใน Blog ถัด ๆ ไป)

แม้ภาพลักษณ์ที่ดูเผด็จการ แต่ก็ต้องบอกว่า เค้าก็สามารถที่จะนำอิตาลีฝ่าวิกฤติมาได้ในหลาย ๆ ครั้ง รวมถึงผลงานชิ้นสำคัญที่ต้องยกเครดิตให้คือ เป็นส่วนหนึ่งของการยุติ สงครามเย็น ระหว่าง อเมริกา และ รัสเซีย ซึ่งเนื่องมาด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีของเขากับ ประธานาธิบดี ปูติน และ บุช ล้วน ๆ เรื่องนี้ให้ข้อคิดว่า บางทีปัญหาใหญ่แทบจะรบกันตาย หรือ ใช้ระเบิดนิวเคลียร์ บอมบ์กัน สุดท้าย ก็แค่มาเจรจากันผ่าน connection ดี ๆ ก็สามารถจบปัญหาใหญ่ ๆ แบบปัญหาสงครามเย็นได้เช่นกัน

สุดท้าย การเมือง ก็คือการเมือง ทั้งในระดับประเทศ หรือ ภายในประเทศก็ตาม มันก็แค่การเจรจากันให้ผลประโยชน์ต่าง ๆ ลงตัว ทุกอย่างก็สามารถแก้ปัญหาได้ เหมือนที่ไทยเราเคยเจอ ประเทศเราแทบจะรบกันตาย ความจริง หาก ผู้นำ ต่างๆ  มาคุยกันให้ลงตัว ทุกอย่างมันก็จบ ขนาด ปัญหาอย่างสงครามเย็นยังสามารถแก้ไขได้ แล้วปัญหาจิ๊บจ้อยอย่างความแตกแยกในไทย ทำไมเราจะแก้ไขกันไม่ได้ล่ะ

Reference : netflix.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol