ชีวิตคือการออกแบบ : จากสถาปนิกสู่ผู้บริหาร Mercedes-Benz เส้นทางชีวิตที่ไม่มีใครกล้าฝัน

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks กันอีกครั้ง กับเรื่องราวของ Parul Pradhan แบ่งปันเรื่องราวการเดินทางอันเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอในการฝ่าฟันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของเธอในฐานะสถาปนิกจนกระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการออกแบบในบริษัทที่มีชื่อเสียงอย่าง General Motors และ Mercedes-Benz R&D India

ก็ต้องบอกว่าการศึกษาถือเป็นรากฐานสำคัญที่หล่อหลอมตัวตนของ Parul ด้วยพื้นฐานด้านสถาปัตยกรรมจาก GNC และการต่อยอดด้วยปริญญาโทด้านการออกแบบจาก IIT Bombay ทำให้เธอมีความรู้และทักษะที่แข็งแกร่ง แม้จะเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดี แต่เส้นทางอาชีพในช่วงแรกกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คาดหวัง

ในปี 2001 Parul เริ่มต้นอาชีพในอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เปิดโอกาสให้เธอได้สัมผัสกับงานที่หลากหลาย ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กอย่างขวด ไปจนถึงโครงการขนาดใหญ่อย่างรถยนต์

ประสบการณ์เหล่านี้ได้หล่อหลอมให้เธอเป็นนักออกแบบที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และรู้จักเรียนรู้จากทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว

การทำงานในภาคบริการได้สอนบทเรียนสำคัญหลายอย่าง ทั้งการนำเสนองานอย่างมืออาชีพ การจัดการกับความคาดหวังของลูกค้า และการพัฒนาทักษะด้านซอฟต์แวร์ที่จำเป็น

ทุกโครงการคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต แม้บางครั้งจะต้องเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรค แต่สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่ช่วยวางรากฐานสำหรับความสำเร็จในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตของ Parul เกิดขึ้นเมื่อเธอตัดสินใจที่จะก้าวออกจากความสบายของการเป็นพนักงานประจำ เพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองร่วมกับ Gorov สามีของเธอซึ่งเป็นนักออกแบบจาก NID ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างไม้และไผ่ พวกเขามุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างและความยั่งยืนให้กับโลก

ช่วงเวลาของการเป็นผู้ประกอบการเป็นบทเรียนที่มีค่า แม้จะมีแนวคิดที่ดีและผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ แต่การขาดประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจและเงินทุนที่จำกัดทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย

การทำงานกับหน่วยงานภาครัฐและการรอรับชำระเงินที่ล่าช้าได้สอนให้รู้ว่า passion เพียงอย่างเดียวมันไม่เพียงพอสำหรับความสำเร็จในธุรกิจ

เมื่อต้องเผชิญกับความล้มเหลวของธุรกิจ Parul ไม่ยอมแพ้ แต่เลือกที่จะปรับตัวด้วยการรับงานพาร์ทไทม์และเป็นอาจารย์ในวิทยาลัย แม้จะเป็นประสบการณ์ที่ท้าทาย แต่มันก็ทำให้เธอได้เรียนรู้และเติบโต การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อเธอตัดสินใจกลับเข้าสู่การทำงานประจำที่ General Motors Technical Center

ที่ General Motors Parul ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถและความทุ่มเทจนได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายสีและวัสดุตกแต่ง และได้เป็นตัวแทนของอินเดียในสำนักงานใหญ่ที่ Detroit การทำงานในบริษัทระดับโลกเปิดโอกาสให้เธอได้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการได้รับประกาศนียบัตรจาก IIM Bangalore

แต่แล้วในปี 2015 การตัดสินใจของ General Motors ที่จะปิดการดำเนินงานด้านการออกแบบในอินเดียได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับชีวิตของเธออีกครั้ง แทนที่จะจมอยู่กับความกลัวและความผิดหวัง Parul เลือกที่จะมองหาโอกาสใหม่ และนั่นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สามเมื่อเธอได้ร่วมงานกับ Mercedes-Benz R&D India

ที่ Mercedes-Benz Parul ได้รับโอกาสให้นำทีมออกแบบและสร้างความร่วมมือกับสตูดิโอออกแบบในเยอรมนี ด้วยวิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหาร เธอสามารถขยายทีมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ทั้งสตูดิโอ 3D printing และห้องปฏิบัติการเสมือนจริงสำหรับโครงการ mixed reality

ความสำเร็จที่ Mercedes-Benz ไม่เพียงแต่เป็นการพิสูจน์ความสามารถของ Parul แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานประสบการณ์ทั้งหมดที่เธอได้สั่งสมมา ทั้งการเป็นผู้ประกอบการ การบริหารทีม และความเข้าใจในอุตสาหกรรมยานยนต์

ภายในเวลาเพียง 6 ปี เธอสามารถสร้างผลงานที่มีส่วนร่วมในการออกแบบรถยนต์ Mercedes ทุกรุ่น ตั้งแต่ระดับ C-Class ไปจนถึง S-Class และรถยนต์ไร้คนขับ

ปัจจุบัน Parul ยังคงไม่หยุดที่จะพัฒนาและท้าทายตัวเอง ด้วยการก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ในด้านบริการหลังการขาย แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากประสบการณ์เดิมอย่างสิ้นเชิง แต่เธอเชื่อว่าการกล้าที่จะออกจาก comfort zone คือหนทางสู่การเติบโตและการค้นพบโอกาสใหม่ๆ

บทเรียนสำคัญที่ Parul ได้เรียนรู้จากการเดินทางในชีวิตคือการไม่กลัวที่จะเริ่มต้นใหม่ การทำงานหนัก และการกล้าที่จะเสี่ยง เธอเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงโดยทางเลือกคือวิธีที่จะช่วยให้เราสามารถออกแบบชีวิตได้อย่างมีความหมาย แทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา ทุกการเปลี่ยนแปลงคือโอกาสที่จะได้สร้างเรื่องราวใหม่และความสำเร็จในชีวิต

เรื่องราวของ Parul เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยความบังเอิญหรือโดยการเลือก สิ่งสำคัญคือการมองเห็นโอกาสในทุกสถานการณ์และกล้าที่จะก้าวออกจาก Safe Zone เพื่อค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในชีวิต

จากประสบการณ์อันหลากหลาย Parul ได้แบ่งปันบทเรียนสำคัญที่เธอค้นพบ ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน เมื่อไม่รู้ว่าก้าวต่อไปควรเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ ก็ตาม เพราะการรอคอยให้ทุกอย่างลงตัวอาจทำให้พลาดโอกาสที่สำคัญไป

การทำงานหนักคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ แม้บางครั้งผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ความพยายามและความทุ่มเทจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ เสมอ นอกจากนี้ การรักษาความกระตือรือร้นและความกระหายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า

เรื่องราวของ Parul ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในชีวิตไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่เป็นโอกาสในการเติบโตและค้นพบตัวตนที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากสถานการณ์บังคับหรือการเลือกด้วยตัวเอง สิ่งสำคัญคือการมองเห็นคุณค่าและโอกาสในทุกการเปลี่ยนแปลง เพราะนั่นคือวิธีที่จะทำให้เราสามารถออกแบบชีวิตได้อย่างมีความหมายและประสบความสำเร็จในที่สุด

ปัจจุบัน Parul ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายผ่านการแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองของเธอ การเดินทางของเธอแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้วัดจากตำแหน่งหรือเงินเดือน แต่วัดจากความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและความสามารถในการปรับตัวเพื่อเติบโตในทุกสถานการณ์นั่นเองครับผม

References :
Change by chance and change by choice | Parul Pradhan | TEDxMGMU
https://youtu.be/DJW1aLpVdGQ?si=vfyX-zP1uHCc-ey5

Geek Life EP136 : หยุดคิดว่าทำไม่ได้! 3 เคล็ดลับจิตวิทยาที่จะเปลี่ยนคุณเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

เรื่องราวอันน่าทึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลังของจิตใจ ในยามที่มอร์ฟีนขาดแคลน แพทย์สนามได้ใช้น้ำเกลือฉีดให้ทหารที่บาดเจ็บโดยบอกว่าเป็นมอร์ฟีน ผลปรากฏว่าน้ำเกลือสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับมอร์ฟีนจริง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/ayapm3xd

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yckyxfm2

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/n9yrQDGuGG4

5 วิธีสร้างชีวิตที่มีความหมาย : เลิกลอยไปลอยมา เคล็ดลับวิธีค้นหาเป้าหมายชีวิตจากหนังสือชื่อดัง

ท่ามกลางความวุ่นวายของโลกปัจจุบัน หลายคนกำลังค้นหาจุดมุ่งหมายของชีวิต มันแทบไม่ต่างจากเรือลำน้อย ๆ ที่ล่องลอยกลางมหาสมุทรโดยไร้ทิศทาง ความรู้สึกว่างเปล่าและไร้จุดหมายนี้เป็นสิ่งที่หลายคนเผชิญอยู่

แต่ก็ต้องบอกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จุดจบ การค้นพบจุดมุ่งหมายที่แท้จริงสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้ วันนี้จะมาชวนคุยกันถึง 5 แนวทางที่จะช่วยให้เราค้นพบจุดมุ่งหมายของชีวิต ซึ่งแต่ละแนวทางเปรียบเสมือนเส้นทางการผจญภัยที่คุณสามารถเลือกได้ด้วยตัวเอง โดยภารกิจของคุณคือการค้นหาว่าแนวทางใดสะท้อนตัวตนของคุณมากที่สุด

5 แนวทางสู่การค้นพบจุดมุ่งหมาย

1. การเผชิญหน้ากับแรงต้าน (Face the Resistance)

แนวทางแรกนี้เริ่มต้นด้วยคำถามที่ทรงพลัง: “อะไรคือสิ่งที่คุณกำลังต่อต้านมากที่สุดในขณะนี้?” มันอาจเป็นโครงการที่คุณมักผัดวันประกันพรุ่ง การออกกำลังกายที่คุณหลีกเลี่ยง หรือการสนทนายากๆ ที่คุณไม่กล้าเผชิญ

Steven Pressfield ผู้เขียนหนังสือ “The War of Art” ได้เสนอมุมมองที่น่าสนใจว่า แรงต้านที่เรารู้สึกนั้นเป็นเครื่องหมายที่ชี้ให้เห็นถึงความรักและความสำคัญของสิ่งนั้น ยิ่งเรารู้สึกต่อต้านมากเท่าไร สิ่งนั้นก็ยิ่งมีความหมายต่อเรามากขึ้นเท่านั้น

2. การแสวงหาความเป็นเอกลักษณ์ (Pursue Your Uniqueness)

แต่ละคนเกิดมาพร้อมกับ DNA ที่ไม่เหมือนใคร ประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่าง และมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว Robert Greene ผู้เขียนหนังสือ “Mastery” ได้เสนอหลักการสำคัญสองประการในการค้นหาความเป็นเอกลักษณ์:

  1. การรักษาการเชื่อมต่อกับความอยากรู้อยากเห็นดั้งเดิม
  2. การเรียนรู้ทักษะที่เชื่อมโยงกับความอยากรู้อยากเห็นนั้นอย่างไม่ลดละ

เรื่องราวของ Albert Einstein เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เมื่อครั้งอายุเพียง 5 ขวบ เขาได้รับเข็มทิศจากพ่อ ความหลงใหลในพลังลึกลับที่ควบคุมเข็มทิศนั้นได้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นที่นำไปสู่การค้นพบทฤษฎีที่เปลี่ยนแปลงโลก

การค้นหาความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองนั้นเหมือนการขุดค้นสมบัติที่ถูกฝังอยู่ภายใน บางครั้งเราต้องขุดผ่านชั้นของความคาดหวังทางสังคม ความกลัว และความสงสัยในตัวเอง เพื่อค้นพบสิ่งที่เราหลงใหลอย่างแท้จริง

3. Choose a Worthwhile Struggle

Victor Frankl ผู้เขียน “Man’s Search for Meaning” ได้แสดงให้เห็นว่าแม้ในสถานการณ์ที่โหดร้ายที่สุดในค่ายกักกันนาซี การเลือกมุมมองต่อความทุกข์ยากสามารถเปลี่ยนประสบการณ์นั้นให้มีความหมายได้ เขาเลือกที่จะมองการดิ้นรนของเขาเป็นโอกาสในการเข้าใจสภาวะมนุษย์และช่วยเหลือผู้อื่น

Friedrich Nietzsche กล่าวว่า “ผู้ที่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่สามารถทนกับวิธีการแทบทุกอย่างได้” แต่มุมมองที่น่าสนใจคือการคิดย้อนกลับ: สิ่งที่คุณเต็มใจจะทนทุกข์เพื่อมันคือสิ่งที่มีความหมายที่สุดสำหรับคุณเฉกเช่นเดียวกัน

4. Carry on the Impact

Simon Sinek ผู้เขียนหนังสือ “Find Your Why” เสนอแนวคิดที่ทรงพลัง: ให้ระลึกถึงคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ อาจเป็นคุณครู ญาติผู้ใหญ่ หรือเพื่อนที่เปลี่ยนชีวิตคุณ แล้วตั้งใจที่จะสร้างผลกระทบแบบเดียวกันนั้นต่อผู้อื่น

5. ความรัก (Love)

Victor Frankl นิยามความรักในมุมมองที่ลึกซึ้ง: การเห็นศักยภาพในผู้อื่นและช่วยให้พวกเขาดึงศักยภาพนั้นออกมา ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนลูก การเป็นพี่เลี้ยงให้เพื่อนร่วมงาน หรือการดูแลผู้สูงอายุ ความรักคือการยกระดับชีวิตผู้อื่น

Clayton Christensen ศาสตราจารย์ด้านธุรกิจระดับโลกได้สรุปไว้อย่างชัดเจนในหนังสือ “How Will You Measure Your Life” ว่าตัวชี้วัดความสำเร็จที่แท้จริงคือจำนวนชีวิตที่คุณได้ช่วยให้ดีขึ้น

บทสรุป: การเลือกเส้นทางของคุณ

แต่ละแนวทางที่นำเสนอมานั้นเป็นประตูสู่การค้นพบจุดมุ่งหมายของชีวิต ซึ่งแต่ละคนอาจพบแนวทางที่มันแตกต่างกันออกไป และสะท้อนตัวตนของเรามากกว่าแนวทางอื่น หรืออาจผสมผสานหลายแนวทางเข้าด้วยกัน

จุดมุ่งหมายของชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ค้นพบได้ในวันเดียว แต่เป็นการเดินทางที่เติบโตและเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับเรา เหมือนการปีนเขา บางครั้งเราต้องถอยกลับเพื่อหาเส้นทางใหม่ บางครั้งต้องพักเพื่อมองวิวและทบทวนทิศทาง แต่ทุกก้าวที่เราเดินบนเส้นทางที่เลือกจะนำเราใกล้เป้าหมายมากขึ้น

สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้น เลือกแนวทางที่สะท้อนตัวตนของคุณ และเริ่มเดินหน้า แม้จะยังไม่เห็นภาพชัดเจน การลงมือทำจะค่อยๆ เผยให้เห็นเส้นทางที่ชัดเจนขึ้น และนำพาคุณไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและเปี่ยมด้วยจุดมุ่งหมายได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

ถอดรหัสความสำเร็จ Rometty : เคล็ดลับการใช้ ‘พลังแห่งความดี’ พลิกชีวิตและธุรกิจ

เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ถือว่าได้ว่ามีเนื้อหาฉีกแนวบทเรียนทางด้านธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่ตัวผมเองได้เคยอ่านมาสำหรับหนังสือ Good Power: Leading Positive Change in Our Lives, Work, and World โดย Ginni Rometty

ในทุกวันนี้หลายคนอาจรู้สึกว่าตนเองไม่มีพลังพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง การขาดความมั่นใจในศักยภาพของตนเองมักเป็นกำแพงที่ขวางกั้นผู้คนจากการลงมือทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคม

แต่ Ginni Rometty อดีต CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง IBM มีมุมมองที่แตกต่างออกไป เธอเชื่อว่าทุกคนมีพลังที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้ ผ่านสิ่งที่เธอเรียกว่า “Good Power” หรือ “พลังแห่งความดี” ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องนามธรรมที่วัดยากในเชิงธุรกิจเป็นอย่างมาก

ในหนังสือ “Good Power” Rometty ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิดที่หล่อหลอมตัวเธอตั้งแต่วัยเด็ก จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กรระดับโลก เธอเล่าถึงการเติบโตมาในครอบครัวที่มีความท้าทาย

หลังจากพ่อจากไป แม่ของเธอต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ ทำให้ Rometty ต้องรับบทบาทดูแลน้องๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย ประสบการณ์นี้ได้ปลูกฝังความรับผิดชอบและความเข้าใจในการดูแลผู้อื่น

ความท้าทายในวัยเด็กไม่ได้ทำให้ Rometty ย่อท้อ แต่กลับกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เธอเข้าใจถึงความสำคัญของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การที่ต้องดูแลน้องๆ ในขณะที่แม่ออกไปทำงาน ทำให้เธอเรียนรู้ทักษะการจัดการ การแก้ปัญหา และการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในครอบครัว ซึ่งทักษะเหล่านี้กลายเป็นรากฐานสำคัญในการทำงานของเธอในอนาคต

เมื่อ Rometty เริ่มทำงานที่ IBM เธอได้นำหลักการของ “พลังแห่งความดี” มาประยุกต์ใช้ในบริบทธุรกิจ โดยเฉพาะในการทำงานร่วมกับลูกค้ารายสำคัญอย่าง Allstate บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ที่ต้องการปรับเปลี่ยนองค์กรด้วยเทคโนโลยี

แทนที่จะเสนอโซลูชันแบบสำเร็จรูป เธอและทีมเลือกที่จะทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ทำการวิจัยอย่างละเอียดเกี่ยวกับแนวโน้มและความท้าทายในอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อนำเสนอทางออกที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง

ความสำเร็จในการทำงานกับ Allstate ไม่ได้เกิดจากความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่มาจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเทคโนโลยีควรเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน

Rometty และทีมใช้เวลาอย่างมากในการรับฟังความคิดเห็นจากพนักงานทุกระดับของ Allstate เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่ผู้บริหารระดับสูง

การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง CEO ของ IBM เปิดโอกาสให้ Rometty ได้ใช้ “พลังแห่งความดี” ในการสร้างผลกระทบระดับโลก เธอริเริ่มโครงการ “Skills First” ที่ปฏิวัติแนวทางการจ้างงานของบริษัท โดยให้ความสำคัญกับทักษะมากกว่าวุฒิการศึกษา

แม้จะเผชิญกับความท้าทายและการต่อต้านในช่วงแรก แต่นโยบายนี้ได้เปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถแต่ขาดโอกาสทางการศึกษาได้เข้าสู่อาชีพด้านเทคโนโลยีที่มีรายได้สูง

โครงการ “Skills First” ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงนโยบายการจ้างงาน แต่เป็นการท้าทายความเชื่อดั้งเดิมของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี Rometty เชื่อว่าความสามารถที่แท้จริงไม่ได้วัดจากใบปริญญา แต่วัดจากความมุ่งมั่น ความสามารถในการเรียนรู้ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้ IBM ได้พนักงานที่มีความสามารถหลากหลาย แต่ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วย

นอกจากการสร้างโอกาสในการทำงาน Rometty ยังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมองค์กร เธอส่งเสริมความหลากหลายและการมีส่วนร่วม สร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานทุกคนรู้สึกมีคุณค่าและได้รับการสนับสนุนให้พัฒนาศักยภาพของตนเอง เธอเชื่อว่าองค์กรจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อพนักงานทุกคนได้รับโอกาสในการเติบโตเช่นกัน

หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นของ Rometty คือการที่เธอสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมไม่ได้ขัดแย้งกับการสร้างผลกำไร

ในทางตรงกันข้าม การใช้พลังแห่งความดีในการบริหารองค์กรกลับช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว เพราะนำมาซึ่งความไว้วางใจจากลูกค้า ความจงรักภักดีของพนักงาน และภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของสังคม

แนวคิดเรื่อง Good Power หรือ “พลังแห่งความดี” ของ Rometty ไม่ใช่เพียงทฤษฎีหรือแนวคิดเชิงอุดมคติ หรือเรื่องนามธรรม แต่เป็นหลักการที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้ เธอแสดงให้เห็นว่าการนำองค์กรด้วยความเมตตา ความเข้าใจ และความมุ่งมั่นที่จะสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวม สามารถนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้

พลังแห่งความดีที่ Rometty นำเสนอมีองค์ประกอบสำคัญหลายประการ เริ่มจากการรับฟังและเข้าใจความต้องการของผู้อื่นอย่างแท้จริง การคิดค้นทางออกที่สร้างสรรค์และตอบโจทย์ความต้องการนั้น การลงมือทำอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง และที่สำคัญที่สุดคือการวัดผลลัพธ์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

แก่นแท้ของพลังแห่งความดีอยู่ที่การตระหนักว่าทุกคนมีความสามารถที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหรือบทบาทใด การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มักเริ่มต้นจากการกระทำเล็กๆ ที่มาจากความตั้งใจดีและความมุ่งมั่นที่จะสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น

ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและปัญหาที่ซับซ้อน เราอาจรู้สึกว่าความพยายามของเราเพียงคนเดียวนั้นเล็กน้อยเกินไปที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่เรื่องราวของ Rometty เตือนใจเราว่า พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่อำนาจหรือตำแหน่ง แต่เป็นความตั้งใจดีและความมุ่งมั่นที่จะใช้ศักยภาพของเราเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น

เรื่องราวของ Rometty จึงไม่เพียงเป็นบทเรียนสำหรับผู้นำองค์กรเท่านั้น แต่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับทุกคนที่ปรารถนาจะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในโลกใบนี้ เธอพิสูจน์ให้เห็นว่าพลังแห่งความดีไม่ใช่แนวคิดที่เป็นนามธรรม แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ทั้งสำหรับตัวเราเองและสังคมโดยรวม

ในท้ายที่สุด บทเรียนสำคัญที่สุดจากเรื่องราวของ Rometty อาจไม่ใช่วิธีการบริหารองค์กรหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่เป็นการตระหนักว่าทุกคนมีพลังที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง และการใช้พลังนั้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมคือหนทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงและยั่งยืนได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Good Power: Leading Positive Change in Our Lives, Work, and World โดย Ginni Rometty

4 ฤดูกาลแห่งชีวิต : เข้าใจตัวเอง เข้าใจโลก เข้าใจความสำเร็จ กับบทเรียนจาก Tony Robbins

ทุกความสำเร็จล้วนมีจุดเริ่มต้น เช่นเดียวกับเรื่องราวของ Tony Robbins ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ที่เริ่มต้นอาชีพด้วยความกล้าที่จะท้าทายตนเอง และเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่สนใจจาก PBD Podcast ที่สัมภาษณ์ Tony Robbins โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจมาก ๆ ในหัวข้อ “Patterns Can Make You UNSTOPPABLE” 

ในปี 1984 ที่ Los Angeles Tony ได้ทำงานกับนักกีฬาโอลิมปิก จนประสบความสำเร็จด้วยการคว้าชัยชนะในการแข่งขันว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ 1,500 เมตร ทั้งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน จากนั้นเขาได้ร่วมงานกับบุคคลสำคัญระดับโลกมากมาย ทั้ง Nelson Mandela, Mother Teresa, Gorbachev และ Clinton

ปัจจุบัน Tony กำลังจะมีอายุครบ 65 ปี มีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมด้วยลูก 5 คนและหลาน 5 คน โดยลูกสาวคนโตอายุ 50 ปี และคนเล็กอายุเพียง 3 ปีครึ่ง เนื่องจากเขารับเด็ก 3 คนมาเลี้ยงดูตั้งแต่อายุ 24-25 ปี

เมื่อมองไปที่อนาคตของลูกหลาน Tony ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการที่ 40% ของงานจะถูกแทนที่ด้วย AI หุ่นยนต์ สิ่งนี้ทำให้เขาค้นพบว่าทักษะสำคัญที่จะช่วยให้มนุษย์ประสบความสำเร็จในอนาคตประกอบด้วยการจดจำรูปแบบ การใช้รูปแบบ และการสร้างรูปแบบใหม่ ๆ

Tony อธิบายว่าการจดจำรูปแบบที่เคยเกิดขึ้นจะช่วยขจัดความกลัว เช่น เมื่อเราเข้าใจว่าความขัดแย้งทางการเมืองไม่ได้รุนแรงเท่าในอดีต ซึ่งการใช้รูปแบบสามารถเรียนรู้ได้จากผู้ประสบความสำเร็จ เช่น นักลงทุนระดับโลกอย่าง Ray Dalio, Carl Icahn และ Warren Buffett ส่วนการสร้างรูปแบบใหม่จะเกิดขึ้นได้หลังจากที่เราเรียนรู้และเข้าใจรูปแบบที่มีอยู่อย่างลึกซึ้ง

การพัฒนาของมนุษยชาติมีจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อเราเริ่มเข้าใจ “ฤดูกาล” ย้อนไปในยุคโบราณ มนุษย์เราต้องเร่ร่อนเพื่อหาอาหาร แต่เมื่อเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เราจึงสามารถตั้งถิ่นฐาน สร้างชุมชน และพัฒนาอารยธรรมขึ้นมาได้

Tony ชี้ให้เห็นว่าการทำสิ่งที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนการเพาะปลูกที่ต้องทำในฤดูกาลที่เหมาะสม

ชีวิตมนุษย์ก็เช่นกัน มีฤดูกาลของตัวเอง เริ่มจากฤดูใบไม้ผลิในช่วงอายุ 0-21 ปี เป็นช่วงที่ทุกอย่างเติบโตได้ง่าย ได้รับการปกป้องดูแลและการศึกษา ต่อด้วยฤดูร้อนในช่วงอายุ 22-42 ปี เป็นช่วงแห่งการทดสอบที่ท้าทาย หลายคนเริ่มเข้าใจว่าความฝันและความเป็นจริงอาจแตกต่างกัน จากนั้นเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงในช่วงอายุ 43-63 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ประสบความสำเร็จและมีพลังสูงสุด และสุดท้ายคือฤดูหนาวในช่วงอายุ 63 ปีขึ้นไป เป็นช่วงที่ได้เก็บเกี่ยวผลแห่งความสำเร็จและพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์ให้กับผู้อื่น

Tony ยังได้วิเคราะห์วงจรของประวัติศาสตร์ผ่านมุมมองของคนที่เกิดในปี 1910 ซึ่งเริ่มต้นชีวิตในยุคเฟื่องฟู แต่ต้องเผชิญกับ Great Depression ในปี 1929 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 คนรุ่นนี้ถูกเรียกว่า “The Greatest American Generation” เพราะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและกลับมาเป็นวีรบุรุษ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกเข้าสู่ยุคแห่งความหวังในช่วงปี 1950 ถึงต้นปี 1960 แต่หลังจากการลอบสังหาร Kennedy, Bobby Kennedy และ Martin Luther King Jr. สังคมก็เปลี่ยนแปลงไป เกิดความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ส่งผลให้รูปแบบการเลี้ยงดูลูกเปลี่ยนไป เกิดปรากฏการณ์ “latchkey kids” หรือเด็กที่ต้องดูแลตัวเองที่บ้าน

ค่านิยมในสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย จากที่เคยให้ความสำคัญกับปรัชญาชีวิตที่ทำให้มีความสุขในช่วงปี 1960-1970 กลับเปลี่ยนมาเน้นทักษะปฏิบัติเพื่อความมั่นคงทางการเงินในช่วงปี 1980-2000

Tony มองว่าปัจจุบันเราอยู่ในช่วงฤดูหนาวของประวัติศาสตร์ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจและความขัดแย้งรูปแบบใหม่ แต่เขาเชื่อว่าหลังจากนี้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่ม Millennials และ Generation Z ที่กำลังผ่านช่วงเวลายากลำบากจะกลายเป็นวีรบุรุษรุ่นต่อไป

ในด้านการทำธุรกิจ Tony เน้นย้ำว่าความสำเร็จประกอบด้วยจิตวิทยาและอารมณ์ 80% และกลยุทธ์ 20% โดยกลยุทธ์ที่ถูกต้องสามารถประหยัดเวลาได้ถึง 10 ปี

โดยตัวเขาเองบริหารธุรกิจ 114 บริษัทมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์ ด้วยการเป็นเจ้าของที่แท้จริงและบริหารโดยตรงเพียง 12 บริษัท ที่เหลือให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ผ่านโปรแกรม Business Mastery ที่รับประกันการเติบโต 30-130% ภายใน 18 เดือน

สาระสำคัญที่ Tony ต้องการสื่อคือ การเข้าใจวัฏจักรของชีวิต ธุรกิจ และประวัติศาสตร์ จะช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและใช้ประโยชน์จากทุกสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งมักเป็นโอกาสในการสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ดังที่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า บริษัทชั้นนำถึง 60% ใน Fortune 1000 เกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ เช่น FedEx และ Disney

ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ในฤดูกาลไหน แต่อยู่ที่ว่าเราเข้าใจและใช้ประโยชน์จากฤดูกาลนั้นได้ดีเพียงใด การรู้จักจังหวะของชีวิตและประวัติศาสตร์จะช่วยให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายและเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกสถานการณ์ได้นั่นเองครับผม

References :
“Patterns Can Make You UNSTOPPABLE” – Tony Robbins BREAKS DOWN The Cycles Of Failure & Success
https://youtu.be/_uVm_MykGLk?si=Hqki639sLqXR_Q7y