Geek Life EP85 : 5 วันเปลี่ยนชีวิตกับกลยุทธ์ปลุกยักษ์ในตัวคุณให้ตื่นโดย Steve Chandler

ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรค การค้นพบวิธีสร้างแรงบันดาลใจให้ตนเองนับเป็นทักษะสำคัญที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จ Steve Chandler นักเขียนและที่ปรึกษาด้านการพัฒนาตนเองชื่อดัง ได้รวบรวมเทคนิคการสร้างแรงจูงใจไว้ในหนังสือ “100 Ways to Motivate Yourself”

Steve Chandler ได้ค้นพบวิธีการสร้างแรงจูงใจถึง 100 วิธี ที่สามารถนำมาใช้ได้ทันที โดยในพอดแคสต์นี้จะนำเสนอ 5 วิธีที่ดีที่สุดที่จะนำมาจัดเป็นโปรแกรม 5 วัน เริ่มจากวันจันทร์จนถึงสิ้นสัปดาห์ในวันศุกร์ ซึ่งจะเป็นกลยุทธ์ที่จะปลุกยักษ์ในตัวคุณให้ตื่น

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/kp33dmv9

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ycxy6me5

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/LQSyrFk9zy0

Mind Over Matter : จากล้มเหลวสู่สำเร็จ วิธีใช้พลังจิตเปลี่ยนชีวิตแบบที่วิทยาศาสตร์ยืนยัน

มนุษย์เรามักไม่รู้ขีดความสามารถที่แท้จริงของตนเอง จนกว่าจะได้ลงมือทำสิ่งนั้นจริงๆ ประสบการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการสอบได้คะแนนยอดเยี่ยม การเลื่อนตำแหน่งในที่ทำงาน หรือแม้แต่การจัดการเรื่องยุ่งยากให้สำเร็จลุล่วง สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในตอนแรก แต่เมื่อเราลงมือทำ เราก็จะค้นพบว่าตัวเองมีศักยภาพมากกว่าที่คิด

เป็นข้อมูลทีน่าสนใจจากเวที Ted Talks อีกครั้ง โดย Paneez Oliai จาก Harvard Law School เธอจบการศึกษาสาขาประวัติศาสตร์และจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ที่ได้มาพูดถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเรา

Oliai ได้นำเสนอมุมมองใหม่ โดยใช้หลักการทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “Mind Over Matter” หรือ การให้เรามีสติ ควบคุมจิตใจให้ดี เพื่อต่อสู้กับปัญหา มาอธิบายให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของจิตใจมนุษย์

จิตใจของเรามีพลังมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงความเป็นจริง ดังจะเห็นได้จากปรากฏการณ์ทางการรับรู้ที่น่าทึ่งอย่าง Bezold Effect ที่ค้นพบโดย Wilhelm Von Bezold

ให้ลองนึกภาพแถบสีเทาที่วางอยู่บนพื้นหลังที่มีการไล่ระดับสีจากอ่อนไปเข้ม แม้แถบสีเทาจะเป็นสีเดียวกันตลอดทั้งแถบ แต่สมองของเรากลับรับรู้ว่ามีการไล่ระดับสีในทิศทางตรงกันข้ามกับพื้นหลัง นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการรับรู้ของเราไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงเสมอไป

Bezold Effect (CR:Wikipedia)
Bezold Effect (CR:Wikipedia)

ภาพลวงตาอีกชิ้นที่น่าสนใจคือ Checker Shadow Illusion ที่สร้างโดย Edward Adelson เป็นภาพกระดานหมากรุกที่มีช่องสีเทาสองช่องถูกทำเครื่องหมายไว้ด้วยตัวอักษร A และ B แม้ทั้งสองช่องจะเป็นสีเทาเข้มเท่ากัน แต่สมองของเรากลับรับรู้ว่าช่อง A มืดกว่าช่อง B อย่างชัดเจน เพราะอิทธิพลของแสงและเงาในภาพ

Checker Shadow Illusion (CR:Wikipedia)
Checker Shadow Illusion (CR:Wikipedia)

อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Cafe Wall Illusion ที่พบครั้งแรกบนผนังร้านกาแฟ ภาพประกอบด้วยแถวของสี่เหลี่ยมสีขาวดำที่วางสลับกัน โดยแต่ละแถวมีการเยื้องเล็กน้อย แม้เส้นแนวนอนที่กั้นระหว่างแถวจะขนานกันอย่างสมบูรณ์ แต่สมองของเรากลับรับรู้ว่าเส้นเหล่านั้นเอียงและกำลังจะบรรจบกัน

Cafe Wall Illusion (CR:Wikipedia)
Cafe Wall Illusion (CR:Wikipedia)

ภาพลวงตาเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทำให้เราสับสนหรือหวาดระแวงในการรับรู้ของตัวเอง แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าสมองของเรามีวิธีจัดการกับข้อมูลที่ได้รับอย่างไร

ในอดีตการแยกแยะความแตกต่างระหว่างวัตถุได้อย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญต่อการอยู่รอด สมองจึงพัฒนากลไกการรับรู้ที่ไวต่อความแตกต่างของแสง เงา และสี เพื่อช่วยให้เราตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากการรับรู้ทางสายตาแล้ว พลังของจิตใจยังแสดงออกผ่านปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ปรากฏการณ์ยาหลอก (Placebo Effect)” ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ความเชื่อสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายได้จริง เมื่อคนไข้ได้รับยาหลอกที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ใดๆ แต่เชื่อว่าเป็นยาจริง ร่างกายก็จะตอบสนองราวกับได้รับยาจริง โดยสมองจะหลั่งสารโดพามีนและเอนดอร์ฟินที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและทำให้รู้สึกดีขึ้น

อีกหนึ่งเทคนิคที่แสดงให้เห็นพลังของจิตใจคือ Biofeedback วิธีการนี้ช่วยให้คนเราสามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้โดยการรับรู้และตอบสนองต่อข้อมูลทางสรีรวิทยาแบบทันที เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต หรือคลื่นสมอง เพียงแค่การมีสมาธิจดจ่อกับข้อมูลที่ได้รับ คนเราก็สามารถเรียนรู้ที่จะควบคุมการทำงานของร่างกายได้อย่างน่าทึ่ง

การตระหนักถึงพลังของจิตใจไม่เพียงช่วยในการจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวล แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและผู้อื่นได้ดีขึ้น เมื่อเราเข้าใจว่าการรับรู้และความเชื่อมีอิทธิพลต่อประสบการณ์ชีวิตมากเพียงใด เราก็จะสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้

การจัดการกับปัญหาการผัดวันประกันพรุ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้แนวคิดนี้ แทนที่จะปล่อยให้ความเคยชินเดิมๆ ครอบงำ เราสามารถสร้างกำหนดเวลาจำลองที่เร็วกว่าความเป็นจริง เพื่อกระตุ้นให้ตัวเองลงมือทำงานเร็วขึ้น วิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้งานเสร็จตามเวลา แต่ยังช่วยลดความเครียดและทำให้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้นด้วย

การเปลี่ยนมุมมองต่อเวลายังช่วยจัดการกับ “การคิดหายนะ (Catastrophization)” หรือแนวโน้มที่จะคิดถึงสถานการณ์แย่ที่สุดเมื่อเกิดปัญหาเล็กๆ การถามตัวเองว่าปัญหาที่กำลังเผชิญจะสำคัญแค่ไหนในอีก 1 ปี 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมและจัดการกับความวิตกกังวลได้ดีขึ้น

การเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์จากหลากหลายสาขาเข้าด้วยกันเป็นอีกวิธีที่แสดงให้เห็นพลังของจิตใจ เมื่อเราตระหนักว่าทุกศาสตร์ล้วนเชื่อมโยงกับการทำความเข้าใจมนุษย์ เราก็จะสามารถสร้างความรู้และความเข้าใจใหม่ๆ ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง แต่ยังสามารถส่งต่อไปยังผู้อื่นและสร้างผลกระทบในวงกว้าง

Mind Over Matter ไม่ได้หมายความว่าเราสามารถควบคุมทุกสิ่งได้ แต่เป็นการตระหนักว่าวิธีที่เรารับรู้และตีความโลกนั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อประสบการณ์ชีวิตของเรา การเข้าใจความจริงข้อนี้ช่วยให้เรามองเห็นศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง และเป็นก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการสร้างผลกระทบต่อสังคม

เมื่อเราเข้าใจและยอมรับว่าพลังแห่งจิตใจสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้ เราจะเริ่มมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตนเอง การสร้างความสัมพันธ์ หรือการทำงานเพื่อส่วนรวม ทุกสิ่งล้วนเริ่มต้นจากความเชื่อและการรับรู้ของเราทั้งสิ้น

สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักว่า แม้เราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตได้ แต่เรามีอำนาจเหนือวิธีที่เรามองและตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ นี่คือของขวัญล้ำค่าที่ธรรมชาติมอบให้กับมนุษย์ทุกคน และเป็นหน้าที่ของเราที่จะใช้มันเพื่อสร้างชีวิตและโลกที่ดีกว่าสำหรับทุกคน

References :
Mind over Matter: Why You’re Capable of More Than You Think | Paneez Oliai | TEDxGeorgetown
https://youtu.be/I5x1wQ6kHX0?si=X_7mtCxpaSdGVnHY

5 วันเปลี่ยนชีวิต : กับสุดยอดกลยุทธ์ปลุกยักษ์ในตัวคุณให้ตื่นโดย Steve Chandler

ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรค การค้นพบวิธีสร้างแรงบันดาลใจให้ตนเองนับเป็นทักษะสำคัญที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จ Steve Chandler นักเขียนและที่ปรึกษาด้านการพัฒนาตนเองชื่อดัง ได้รวบรวมเทคนิคการสร้างแรงจูงใจไว้ในหนังสือ “100 Ways to Motivate Yourself”

Steve Chandler ได้ค้นพบวิธีการสร้างแรงจูงใจถึง 100 วิธี ที่สามารถนำมาใช้ได้ทันที โดยในบทความนี้จะนำเสนอ 5 วิธีที่ดีที่สุดที่จะนำมาจัดเป็นโปรแกรม 5 วัน เริ่มจากวันจันทร์จนถึงสิ้นสัปดาห์ในวันศุกร์ ซึ่งจะเป็นกลยุทธ์ที่จะปลุกยักษ์ในตัวคุณให้ตื่น

วันจันทร์: พลังแห่งการตระหนักรู้ถึงความตาย

เรื่องราวของ Anthony Burgess นักเขียนชาวอังกฤษ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของพลังแห่งการตระหนักรู้ถึงความตาย เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมองที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ในวัย 40 ปี

Burgess ตัดสินใจใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างคุ้มค่าด้วยการทุ่มเทให้กับการเขียนหนังสือ แม้ว่าในภายหลังจะพบว่าการวินิจฉัยผิดพลาด แต่ประสบการณ์นี้ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาสร้างผลงานอันทรงคุณค่า รวมถึงนวนิยายเรื่อง “A Clockwork Orange” ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมชั้นเยี่ยม

การตระหนักรู้ถึงความตายในยามเช้าเพียงหนึ่งนาที สามารถปลุกพลังชีวิตและความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิตแต่ละวันให้มีความหมาย เสมือนเป็นการเกิดใหม่ในทุกๆ วัน

วันอังคาร: บอกตัวเองว่า “ฉันคือปัญหา”

การกล่าวประโยคว่า “ฉันคือปัญหา” อาจฟังดูขัดแย้งกับหลักจิตวิทยาเชิงบวก แต่แท้จริงแล้วเป็นการเปลี่ยนกรอบความคิดจากการเป็นเหยื่อของสถานการณ์ มาสู่การเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของตนเอง

เมื่อเรายอมรับว่าตนเองคือส่วนหนึ่งของปัญหา จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจที่นำไปสู่การค้นหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ แทนที่จะเสียเวลาไปกับการกล่าวโทษผู้อื่นหรือโทษปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมได้

วันพุธ: การท้าทายขีดจำกัด

การตั้งเป้าหมายที่สูงเกินจริงอาจดูเหมือนเป็นการสร้างความกดดันให้ตนเอง แต่ Steve Chandler มองว่านี่คือกลยุทธ์ในการปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายใน

เมื่อสมองถูกกระตุ้นด้วยความท้าทายที่สูงกว่าปกติ จะเกิดกระบวนการคิดนอกกรอบและค้นพบวิธีการใหม่ๆ ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน การตั้งเป้าหมายที่สูงเกินจริงจึงเป็นเสมือนการบังคับให้สมองทำงานในระดับที่สูงขึ้น

วันพฤหัสบดี: ทำทุกอย่างให้เป็นเกม

การแปลงทุกภารกิจให้เป็นเกมคือหัวใจสำคัญของการสร้างแรงจูงใจที่ยั่งยืน Chandler เชื่อว่าการเพิ่มองค์ประกอบของการแข่งขันและความอยากรู้อยากเห็นจะช่วยเปลี่ยนงานที่น่าเบื่อให้กลายเป็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น

การสร้างเป้าหมายย่อยและการแข่งขันกับตนเอง เช่น การทำงานให้เสร็จเร็วกว่าเดิม หรือการตั้งคำถามที่ท้าทายความคิด จะช่วยกระตุ้นการหลั่งสารโดพามีนในสมอง ทำให้รู้สึกสนุกและมีพลังในการทำงานมากขึ้น

วันศุกร์: การเฉลิมฉลองความสำเร็จ

วิธีการสุดท้ายที่ Chandler แนะนำคือการสร้างบันทึกความสำเร็จประจำวัน ด้วยการส่งอีเมลถึงตนเองทุกเย็นเพื่อทบทวนความสำเร็จที่เกิดขึ้น

การจดบันทึกความสำเร็จไม่เพียงช่วยสร้างความภาคภูมิใจ แต่ยังเป็นการฝึกสมองให้จดจ่อกับด้านบวกของชีวิต ซึ่งจะส่งผลต่อการสร้างอัตลักษณ์ของผู้ประสบความสำเร็จในระยะยาว

บทส่งท้าย: เส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลง

กลยุทธ์ทั้ง 5 ประการที่ Steve Chandler นำเสนอไม่ใช่เพียงเทคนิคการสร้างแรงจูงใจ แต่เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ผ่านการปรับเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมในแต่ละวัน

การนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจะช่วยสร้างนิสัยใหม่ที่เอื้อต่อความสำเร็จ และปลูกฝังทัศนคติเชิงบวกที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต

สิ่งสำคัญคือการเลือกวิธีที่เหมาะกับบุคลิกภาพและสไตล์การใช้ชีวิตของแต่ละคน โดยอาจเริ่มต้นจากวิธีที่รู้สึกว่าง่ายที่สุดก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มความท้าทายในการฝึกฝนวิธีอื่นๆ ตามลำดับ

หนังสือ “100 Ways to Motivate Yourself” ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการสร้างแรงบันดาลใจไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝนอย่างมีระบบนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ : 100 Ways To Motivate Yourself: Change Your Life Forever โดย Steve Chandler 

Geek Story EP216 : จากเด็กชาวนาสู่เจ้าพ่อรถยนต์ บทเรียนชีวิตจาก Chung Ju-yung ผู้ก่อสร้างอาณาจักร Hyundai

หากย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว Hyundai เป็นเพียงบริษัทเล็กๆ จากเกาหลีที่ผลิตรถยนต์ราคาถูก ไม่สวย และไม่มีความน่าเชื่อถือ ถึงขนาดที่มีคนพูดติดตลกว่า คุณสามารถเพิ่มมูลค่าของรถ Hyundai ได้เป็นสองเท่าด้วยการเติมน้ำมันให้เต็มถัง แต่ปัจจุบัน Hyundai กลับกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์คุณภาพชั้นนำของโลก

แต่สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือเรื่องราวของชายผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมดนี้ เขาเป็นเพียงเด็กชายชาวนาที่ต้องการหนีจากความยากจน ออกจากบ้านตั้งแต่วัยรุ่น และเริ่มต้นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความล้มเหลว โชคร้าย และความอับอาย

แต่ถึงแม้จะเผชิญกับอุปสรรคมากมาย เขาก็ยังสามารถสร้างบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่ในอุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการก่อสร้าง การต่อเรือ และอื่นๆ อีกมากมาย จนกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเกาหลีใต้ นี่คือเรื่องราวจากเด็กยากจนสู่มหาเศรษฐีของ Hyundai และชายผู้อยู่เบื้องหลัง Chung Ju-yung

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5a3us3td

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4u6w9n3m

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yc6r48bc

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/pPXr1LkbbAw

จากเด็กชาวนาสู่เจ้าพ่อรถยนต์ : บทเรียนชีวิตจาก Chung Ju-yung ผู้ก่อสร้างอาณาจักร Hyundai

หากย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว Hyundai เป็นเพียงบริษัทเล็กๆ จากเกาหลีที่ผลิตรถยนต์ราคาถูก ไม่สวย และไม่มีความน่าเชื่อถือ ถึงขนาดที่มีคนพูดติดตลกว่า คุณสามารถเพิ่มมูลค่าของรถ Hyundai ได้เป็นสองเท่าด้วยการเติมน้ำมันให้เต็มถัง แต่ปัจจุบัน Hyundai กลับกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์คุณภาพชั้นนำของโลก

แต่สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือเรื่องราวของชายผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมดนี้ เขาเป็นเพียงเด็กชายชาวนาที่ต้องการหนีจากความยากจน ออกจากบ้านตั้งแต่วัยรุ่น และเริ่มต้นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความล้มเหลว โชคร้าย และความอับอาย

แต่ถึงแม้จะเผชิญกับอุปสรรคมากมาย เขาก็ยังสามารถสร้างบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่ในอุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการก่อสร้าง การต่อเรือ และอื่นๆ อีกมากมาย จนกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเกาหลีใต้ นี่คือเรื่องราวจากเด็กยากจนสู่มหาเศรษฐีของ Hyundai และชายผู้อยู่เบื้องหลัง Chung Ju-yung

Chung Ju-yung เกิดในปี 1915 ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใน Tongchon ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตเกาหลีเหนือ ในขณะนั้นเกาหลีอยู่ภายใต้การปกครองที่เข้มงวดของจักรวรรดิญี่ปุ่น และ Chung เกิดในครอบครัวที่ยากจนมาก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และสภาพแวดล้อมที่จำกัด

ในขณะที่ครอบครัวของเขาต้องทำงานหนักในไร่นาเพียงเพื่อให้มีอาหารกิน Chung ฝันที่จะเป็นครู แต่ในฐานะลูกคนโตในจำนวนพี่น้อง 7 คน เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 14 ปี และทำงานร่วมกับพ่อของเขาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

ชีวิตในชนบทของ Chung นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เขาต้องปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวด้วยมือ เลี้ยงสัตว์ และเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อขายฟืน แม้ครอบครัวจะทำงานหนักเพียงใด พวกเขาก็แทบไม่มีอาหารเพียงพอที่จะกิน และการเก็บเกี่ยวที่ไม่ดีเพียงครั้งเดียวก็จะทำให้ครอบครัวอดอยากเป็นเวลาหลายเดือน ความยากจนและความไม่แน่นอนนี้ทำให้ Chung ครุ่นคิดถึงอนาคตของตนเอง

“ฉันจะเป็นชาวนาตลอดไปและไม่มีวันยืดหลังที่คดงอนี้ได้หรือ?” Chung ถามตัวเอง “ชาวนาที่ไม่มีวันจะอิ่มท้องแม้แต่วันเดียว ชีวิตแบบนี้ที่ต้องทนทุกข์เหมือนพ่อของฉันที่ทำงานหนัก นี่คือทั้งหมดที่มีหรือ?” ความคิดเหล่านี้หลอกหลอนเด็กหนุ่มเป็นเวลาหลายปี จนในที่สุดเขาก็เหนื่อยล้าและรู้สึกท้อแท้กับความยากจนที่เขาและครอบครัวต้องเผชิญ

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนเอง เมื่ออายุ 16 ปี Chung และเพื่อนคนหนึ่งตัดสินใจหนีออกจากบ้านเกิด พวกเขาเดินทางหลายไมล์ผ่านพื้นที่อันตรายที่สุดของประเทศ จนในที่สุดก็มาถึงเมือง Kaechon ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเกาหลีเหนือ ที่นั่นพวกเขาได้งานเป็นคนงานก่อสร้าง แม้จะได้รับค่าจ้างน้อยนิด แต่ Chung ก็มีความสุข เขารู้สึกว่ามันดีกว่าชีวิตในฟาร์มมาก และรู้สึกสนุกกับการที่เขาสามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง

แต่ความฝันของ Chung ก็ต้องสะดุดลงเมื่อพ่อของเขาพบที่อยู่และพาเขากลับไปที่หมู่บ้าน เพียงสองเดือนหลังจากที่เขาหนีออกมา แต่ตอนนั้นก็สายเกินไปแล้ว Chung ได้ลิ้มรสชีวิตที่เขาต้องการและไม่มีทางที่จะยอมรับชะตากรรมเดิม ๆ ของชีวิตอีกต่อไป

ในช่วงสองปีต่อมา เขาหนีออกจากบ้านอีกสองครั้งไปยังกรุงโซล ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของเกาหลีใต้ แต่หลังจากการหนีแต่ละครั้ง เขาก็ถูกจับได้อีกและถูกพ่อพากลับบ้าน

พ่อของ Chung พยายามทำให้เขาเข้าใจว่าการหนีออกจากบ้านนั้นไม่ใช่ทางออกที่ดี “เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเป็นแค่เด็กชาวนาที่เรียนจบแค่ชั้นประถมหกเท่านั้น” พ่อของเขาพูด “ข้าได้ยินมาว่าในโซลเต็มไปด้วยบัณฑิตที่ตกงาน แล้วเจ้าเป็นใคร? เจ้าเป็นแค่คนไม่มีชื่อเสียง และคนไม่มีชื่อเสียงอย่างเจ้าไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จหรอก” แต่คำพูดเหล่านี้ก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดความฝันของเด็กหนุ่มได้

หลังจากที่ได้เห็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่ย่ำแย่ ทำให้ผู้คนในหมู่บ้านไม่มีอาหารเตรียมไว้สำหรับฤดูหนาว Chung ตัดสินใจหนีออกจากบ้านเป็นครั้งที่สี่และครั้งสุดท้าย และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่แท้จริงของเขา การตัดสินใจครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของ Chung ที่นำไปสู่การสร้างอาณาจักรธุรกิจในอนาคต

Chung ตัดสินใจหนีออกจากบ้านถึงสี่ครั้งเพื่อทำตามความฝัน (CR:Medium)
Chung ตัดสินใจหนีออกจากบ้านถึงสี่ครั้งเพื่อทำตามความฝัน (CR:Medium)

เมื่อมาถึงเมืองใหญ่ Chung ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เขารับงานทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ทั้งเป็นกรรมกร คนงานก่อสร้าง และต่อมาเป็นคนงานทั่วไปในโรงงานแป้งเปียก จนกระทั่งปีถัดมาเขาจึงได้พบงานที่ดีกว่าที่ร้านขายข้าว Bokheung ที่นั่นเขาได้รับการว่าจ้างให้เป็นคนส่งของ ขนส่งข้าวด้วยจักรยานของเขา แต่ไม่เหมือนกับงานก่อนหน้านี้ งานนี้มั่นคงและมีอาหารกลางวันและอาหารเย็นให้

แม้จะเริ่มต้นจากตำแหน่งที่ต่ำที่สุด แต่ Chung ก็ไม่ย่อท้อ เขาทำงานอย่างขยันขันแข็งและทุ่มเทจนเจ้าของร้านประทับใจการทำงานของเขามาก จึงได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วจนในที่สุดได้รับตำแหน่งนักบัญชีของร้านหลังจากทำงานเพียงหกเดือน นี่เป็นก้าวแรกที่สำคัญในเส้นทางธุรกิจของ Chung

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีต่อมา เจ้าของร้านประสบปัญหาด้านสุขภาพและตระหนักว่าเขาไม่สามารถดำเนินกิจการร้านค้าต่อไปได้อีกแล้ว เขาจึงตัดสินใจขายธุรกิจให้กับลูกศิษย์หนุ่มของเขา Chung Ju-yung ซึ่งในวัย 22 ปีได้เข้ามาดูแลร้านขายข้าว Bokheung

ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล Chung รีบดำเนินการเปลี่ยนแปลงธุรกิจทันที เขาเปลี่ยนชื่อร้านเป็นร้านขายข้าว Kyungil และพัฒนาฐานลูกค้าใหม่ด้วยกลยุทธ์ราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง ความทุ่มเทและความสามารถทางธุรกิจของเขาทำให้กำไรของร้านเพิ่มขึ้นทุกปี และกำลังจะกลายเป็นหนึ่งในร้านขายข้าวที่ดีที่สุดในเมือง

แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับ Chung อีกครั้ง เมื่อรัฐบาลอาณานิคมญี่ปุ่นจัดตั้งระบบการปันส่วนข้าวในเกาหลี เพื่อส่งข้าวไปยังญี่ปุ่นและกองทัพของพวกเขาเนื่องจากสงครามกับจีน ส่งผลให้เจ้าของธุรกิจชาวเกาหลีจำนวนมากถูกบังคับให้ออกจากการค้าข้าว รวมถึง Chung ที่ต้องปิดกิจการของเขาและไม่มีอะไรจะพึ่งพาได้อีก จึงต้องกลับไปยังหมู่บ้านบ้านเกิดของเขา

แม้จะเผชิญกับความล้มเหลวครั้งใหญ่ แต่ Chung ไม่เคยละทิ้งความพยายามในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า เขาตัดสินใจกลับไปยังเมืองในปี 1940 เพื่อลองเสี่ยงโชคกับธุรกิจใหม่ ด้วยความคิดที่เฉียบแหลม เขาทำรายการธุรกิจที่สามารถดำเนินการได้โดยที่รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ได้มาจำกัด และพบว่าธุรกิจซ่อมรถยนต์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ด้วยความกล้าและความมุ่งมั่น Chung กู้เงินจากธนาคารและซื้ออู่ซ่อมรถเพื่อเปิดธุรกิจใหม่ของเขา นั่นคือ อู่บริการ Ado ในเวลานั้น ความต้องการธุรกิจซ่อมรถยนต์ในเมืองมีสูงมาก แต่ปัญหาคือมีร้านซ่อมไม่มากนัก และร้านที่มีอยู่ก็มักจะคิดราคาแพงเกินไป

เนื่องจาก Chung ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรถยนต์เลย เขาจึงจ้างช่างยนต์ที่มีความสามารถมาทำงาน และสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจของเขาด้วยการเสนอราคาที่ถูกที่สุดในเมือง พร้อมกับดูแลลูกค้าของเขาเป็นอย่างดี

กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชาญฉลาดนี้ทำให้อู่ซ่อมรถของ Chung เติบโตอย่างรวดเร็ว เขาต้องจ้างช่างเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น แต่น่าเสียดายที่โชคร้ายได้เกิดขึ้นอีกครั้งเพียงไม่กี่เดือนต่อมา เมื่อเกิดเพลิงไหม้และเผาทำลายร้านทั้งหมด รวมถึงอุปกรณ์และยานพาหนะของลูกค้า สิ่งนี้ทำให้ Chung ต้องเจอกับวิกฤติอีกครั้ง เนื่องจากตอนนี้เขามีหนี้สินมหาศาลที่ต้องจ่ายและแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว

แต่ Chung ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เขามองเห็นทางออกเพียงทางเดียว นั่นคือการกู้เงินอีกครั้งและเปิดอู่ซ่อมรถใหม่ในย่านที่คึกคักกว่าเดิมของเมือง ด้วยความมุ่งมั่นและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ดี เขาได้ฐานลูกค้าใหม่และใหญ่กว่าเดิมอย่างรวดเร็วด้วยราคาที่ต่ำ และในช่วงสองปีต่อมา อู่บริการ Ado เติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในจุดซ่อมรถยนต์ที่ดีที่สุดในกรุงโซล โดยมีพนักงานกว่า 70 คนทำงานให้กับเขา ทำให้สถานการณ์ของ Chung ดีขึ้นเป็นอย่างมาก

แต่ในขณะที่เขาวางแผนที่จะขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นไปอีก เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้น ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และน่าเสียดายสำหรับ Chung รัฐบาลญี่ปุ่นที่ยึดครองเกาหลีได้เข้าควบคุมอู่ของเขาในปี 1942 และรวมเข้ากับโรงงานเหล็กเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ในสงครามครั้งใหญ่

ในขณะเดียวกัน ความตึงเครียดในกรุงโซลกำลังเพิ่มขึ้นเนื่องจากสงคราม และ Chung ซึ่งยังคงรู้สึกเจ็บปวดจากการสูญเสียธุรกิจของเขา ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปยังหมู่บ้านบ้านเกิดของเขา

อย่างไรก็ตาม แม้จะสูญเสียร้านไป เขาก็ยังสามารถเก็บเงินได้ 50,000 วอน และกำลังมองหาโอกาสทางธุรกิจครั้งต่อไป โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าโอกาสทางธุรกิจใหม่นี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เกาหลีได้รับเอกราชจากจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยไม่มีข้อจำกัดจากรัฐบาลอีกต่อไป Chung ได้เปิดอู่บริการของเขาอีกครั้งในปี 1946 เขาตั้งชื่อว่าศูนย์บริการรถยนต์ Hyundai ซึ่งในภาษาอังกฤษคำว่า Hyundai แปลว่า “ทันสมัย” พวกเขาเริ่มต้นด้วยการให้บริการรถญี่ปุ่นเก่าๆ และรถบรรทุกทหารอเมริกัน และเมื่อสิ้นสุดปีนั้น ธุรกิจได้เติบโตมากจนเครือข่ายพนักงานของ Chung เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าจาก 30 คนเป็น 80 คน

Chung ได้สร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอีกครั้งและสามารถดำเนินการได้โดยไม่มีการรบกวนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ในตอนนั้นเขาได้นำครอบครัวมารวมกันที่ประเทศเกาหลีใต้ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งทุกคนได้มีส่วนร่วมในธุรกิจร่วมกับเขา อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ Chung ส่งบิลสำหรับบริการซ่อมรถยนต์มูลค่า 300,000 หรือ 400,000 วอน เขากลับได้เห็นบริษัทก่อสร้างที่ได้รับสัญญามูลค่าสูงถึง 10 ล้านวอนต่อสัญญา

ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล Chung รู้สึกทึ่งมากที่มีคนสามารถทำเงินได้มากขนาดนั้นจากโครงการเดียว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัทก่อสร้าง Hyundai ในปี 1947 แม้ว่าบริษัทจะประสบปัญหาในช่วงแรก แทบจะไม่สามารถอยู่รอดได้จากการสร้างที่พักทหารอเมริกัน ไซต์งาน และการซ่อมแซมอาคาร และในปี 1950 บริษัท Hyundai ก็เริ่มประสบความสำเร็จ

แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง เมื่อเกาหลีเหนือเปิดฉากโจมตีอย่างหนักต่อเกาหลีใต้ บังคับให้ Chung ต้องทิ้งธุรกิจของเขาและอพยพไปยังปูซาน โดยแทบไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่วอนเดียว เขาและน้องชายเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ ทำงานให้กับสำนักพิมพ์ต่างๆ และส่งหนังสือพิมพ์ให้กับพลเรือนและกองทหารในแนวหน้า

การเผยแพร่ข่าวสารว่ากองกำลังสหประชาชาติกำลังเดินทางมาช่วยเหลือพวกเขาเป็นความหวังเดียวของพวกเขา เนื่องจากผู้คนกลัวการตกอยู่ภายใต้การปกครองของเกาหลีเหนือและพรรคคอมมิวนิสต์มาก

วันหนึ่ง โชคชะตาได้เปิดโอกาสให้ Chung อีกครั้ง เมื่อเขาบังเอิญเห็นป้ายรับสมัครงานของกองทัพสหรัฐฯ ในเวลานั้นกองกำลังสหรัฐฯ ต้องการผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่นด้านธุรกิจก่อสร้าง ดังนั้น Chung จึงรีบเสนอตัวแทบจะทันที

เขาเริ่มสร้างบ้านพักทหารสำหรับทหารอเมริกันหลายพันนายในระหว่างสงคราม และในไม่ช้าก็พัฒนาความร่วมมือที่ยอดเยี่ยมกับกองทัพสหรัฐฯ ต่อมาเขาได้นำทีมของเขามาทำโครงการที่ใหญ่ขึ้น เช่น การปรับปรุงที่พักของสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ และการสร้างที่พักสำหรับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างการเยือน

Hyundai อยู่ในอันดับต้น ๆ ที่จะรับมือกับคำสั่งเกือบทุกอย่างจากกองทัพสหรัฐฯ ในการบูรณะประเทศ (CR:asan-chungjuyung)
Hyundai อยู่ในอันดับต้น ๆ ที่จะรับมือกับคำสั่งเกือบทุกอย่างจากกองทัพสหรัฐฯ ในการบูรณะประเทศ (CR:asan-chungjuyung)

สิ่งนี้พิสูจน์ว่าเป็นก้าวสำคัญในเส้นทางธุรกิจของ Chung เพราะเมื่อสงครามเกาหลีสิ้นสุดลง บริษัทของเขาอยู่ในอันดับต้น ๆ ที่จะรับมือกับคำสั่งเกือบทุกอย่างจากกองทัพสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของเกาหลีใต้กำลังประสบปัญหา ทำให้ประเทศกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในเอเชีย แม้กระทั่งยากจนกว่าเกาหลีเหนือเสียด้วยซ้ำ

เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มอบเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับรัฐบาลเกาหลีใต้เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของพวกเขา Chung เห็นโอกาสและสามารถชนะการประมูลสัญญาสำหรับโครงการที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในเวลานั้น นั่นคือ การบูรณะสะพาน Goryeong ในปี 1953

อย่างไรก็ตาม โครงการที่ดูมีแนวโน้มนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคาดหวังไว้ ความจริงก็คือ Chung ยังคงไร้เดียงสาและขาดอุปกรณ์ที่จำเป็น และขาดประสบการณ์สำหรับงานขนาดใหญ่เช่นนี้ ซึ่งนำไปสู่ความล่าช้าในการดำเนินงาน อุบัติเหตุร้ายแรงที่หน้างาน และภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นที่เริ่มกัดกินเงินที่เขาได้รับมาจากสัญญาโครงการ

ในไม่ช้า Chung ก็หมดเงินและถูกบังคับให้กู้ยืมเงินเพิ่มเติม ในขณะที่พี่น้องของเขาต้องขายบ้านเพื่อช่วยจ่ายค่าจ้างคนงาน แม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยหยุดการก่อสร้างจนกว่าสะพานจะเสร็จสมบูรณ์ แต่เมื่อถึงตอนนั้น ครอบครัวก็ต้องแบกรับภาระหนี้สินมหาศาล สูญเสียเงินจากโครงการ และถูกคู่แข่งทางธุรกิจดูถูกเหยียดหยาม

“คนที่เรียนจบแค่ชั้นประถมหกจะรู้อะไรเกี่ยวกับเงินเฟ้อ? ไอ้โง่คนนี้สมควรแล้ว มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการก่อสร้างระยะยาวต้องใช้สัญญาแบบงวด ๆ ” หลังจากที่เห็นพี่น้องของเขาตกอยู่ในสภาพยากไร้ แทบไม่มีบ้านให้ซุกหัวนอน และต้องอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ

Chung Ju-yung รู้สึกผิดอย่างยิ่งต่อความยากลำบากและปัญหาทางการเงินของครอบครัว เขาสาบานตรงนั้นและตอนนั้นเลยว่าเขาจะไม่เพียงแต่สร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่จะสร้างบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศให้จงได้

“ผมไม่มีความตั้งใจที่จะละทิ้งธุรกิจของผมเลย ผมล้มเหลวเพราะผมยังขาดประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม ผมก็ลืมมันไปและคิดว่ามันเป็นเพียงบทเรียนราคาแพงเท่านั้น” Chung กล่าวด้วยความมุ่งมั่น

แม้ว่าสะพาน Goryeong จะเป็นความหายนะครั้งใหญ่ แต่มันก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ของ Hyundai บริษัทของ Chung ได้รับคะแนนเครดิตสูงจากกระทรวงมหาดไทย ซึ่งช่วยให้เขาสามารถกู้ยืมเงินได้ง่ายขึ้นและช่วยขยายธุรกิจของเขา

Chung ยังได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของเครื่องจักรกลหนักและเครื่องจักรขั้นสูง และด้วยความร่วมมือกับกองทัพสหรัฐฯ เขาสามารถซื้อสิ่งที่เขาต้องการได้โดยตรงจากพวกเขา

ในเวลานั้น อุปกรณ์ประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นของรัฐบาลเกาหลีใต้ และธุรกิจเอกชนถูกห้ามนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นจึงทำให้ Chung ได้เปรียบคู่แข่งอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ บริษัท Hyundai จึงสามารถเสนอราคาประมูลที่ถูกที่สุดและชนะโครงการบูรณะมากมายทั่วประเทศ ทั้งการสร้างถนน สะพาน เขื่อน และอาคาร ทำให้ Hyundai กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในเกาหลีใต้

แต่แม้จะประสบความสำเร็จทั้งหมดนี้ Chung ก็ยังไม่พอใจที่จะเล่นแค่ในประเทศ และในไม่ช้าก็กลายเป็นคนแรกในประเทศของเขาที่นำธุรกิจก่อสร้างไปสู่เวทีระดับนานาชาติ เขาประมูลแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมและสามารถคว้าโครงการมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ได้หลายโครงการ เช่น ท่าเรืออุตสาหกรรม Jubail ในซาอุดีอาระเบีย และอู่ต่อเรือและซ่อมเรืออาหรับในบาห์เรน

Chung นำธุรกิจก่อสร้างของ Hyundai ไปสู่เวทีระดับนานาชาติ (CR:asan-chungjuyung)
Chung นำธุรกิจก่อสร้างของ Hyundai ไปสู่เวทีระดับนานาชาติ (CR:asan-chungjuyung)

สิ่งนี้ทำให้บริษัทของเขาเปลี่ยนจากธุรกิจที่ล้มเหลวไปเป็นบริษัทข้ามชาติที่กำลังเติบโตในเวลาเพียงแค่สองทศวรรษและเป้าหมายของเขาในการสร้างบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้กลายเป็นจริงในปี 1960 แต่หากลองมองย้อนกลับไป การเติบโตอย่างมหาศาลนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากรัฐบาลไม่เข้ามาแทรกแซง

Hyundai พร้อมกับบริษัทขนาดใหญ่ที่กำลังเติบโตอื่นๆ ที่ครอบครัวเป็นเจ้าของ ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากรัฐบาล เช่น เงินอุดหนุนทางการเงิน การค้ำประกันเงินกู้ และแม้กระทั่งการลดหย่อนภาษีหากจำเป็น เพื่อให้เติบโตและกระจายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

แชบอล (chaebol) เหล่านี้ ตามที่พวกเขาถูกเรียกในภายหลัง เป็นแรงขับเคลื่อนหลักเบื้องหลังเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตของเกาหลีใต้ และได้รับประโยชน์อย่างมากจากการช่วยให้ประเทศก้าวขึ้นสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

แต่แน่นอนว่าต้องยอมรับว่าสิทธิพิเศษเหล่านี้ผ่านการเดินทางที่ยากลำบาก Chung Ju-yung เพียงแค่ทำงานหนักอย่างไม่น่าเชื่อ และการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งของเขาคือสิ่งที่รัฐบาลต้องการพอดีในเวลานั้น จิตวิญญาณแห่งการทำหรือตายของเขาทำให้ Hyundai เข้าไปมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงการต่อเรือ ห้างสรรพสินค้า อิเล็กทรอนิกส์ และบริการทางการเงิน

แต่มีอุตสาหกรรมหนึ่งที่ Chung ไม่เคยละสายตาไปจาก นั่นคือธุรกิจเดียวกันที่เขาเคยสร้างขึ้นแต่สูญเสียไปในช่วงสงคราม และนั่นก็คืออุตสาหกรรมยานยนต์นั่นเอง

รัฐบาลเกาหลีได้กำหนดนโยบายใหม่ว่าผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติจะไม่สามารถดำเนินการในประเทศของพวกเขาได้ เว้นแต่จะผ่านการร่วมทุนกับธุรกิจในท้องถิ่น แผนนี้มีขึ้นเพื่อปรับปรุงความรู้และสายการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ของพวกเขา เนื่องจากประเทศขาดเทคโนโลยีและทรัพยากรที่จะทำเองได้

ด้วยเหตุนี้ Chung จึงตัดสินใจกลับเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์และก่อตั้งบริษัท Hyundai Motor Company ในปี 1967

เขาทำข้อตกลงกับบริษัท Ford Motor Company เพื่อขออนุญาตใช้ยานพาหนะของพวกเขา และสร้างโรงงานขนาดใหญ่ในอูลซานสำหรับสายการประกอบ ในเวลาไม่ถึงหกเดือน โรงงาน Hyundai ก็เสร็จสมบูรณ์ และรถยนต์คันแรกก็ออกจากสายการผลิต นั่นคือ Hyundai Cortina

รถยนต์รุ่นดังกล่าวไม่แตกต่างจาก Ford Cortina ซึ่งเป็นรถยนต์ที่สร้างขึ้นสำหรับตลาด mass ในประเทศอังกฤษ และในขณะที่รุ่นนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากที่นั่น Cortina กลับกลายเป็นสิ่งตรงกันข้ามในเกาหลีใต้ ปัญหาคือรถยนต์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อขับบนถนนลาดยาง แต่สภาพถนนที่ย่ำแย่ของประเทศทำให้ยานพาหนะไม่สามารถขับได้ในพื้นที่ส่วนใหญ่

ด้วยเหตุนี้ Cortina จึงกลายเป็นเรื่องตลกในเกาหลี และผู้คนเริ่มมองว่าเป็นรถยนต์ที่ไร้ประโยชน์ ลูกค้าหยุดชำระเงิน และความต้องการขอคืนเงินแพร่กระจายไปทั่วประเทศ

ในเวลาเดียวกัน โรงงาน Hyundai ก็ถูกน้ำท่วมอย่างหนักในเดือนกันยายน 1969 โดยอุปกรณ์และชิ้นส่วนรถยนต์ส่วนใหญ่จมอยู่ใต้น้ำฝนลึก 4 ฟุต ในขณะที่รถ Cortina ที่ประกอบเสร็จแล้วลอยอยู่รอบๆ ภายในโรงงาน

ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวลือได้แพร่กระจายว่า Hyundai กำลังขายรถยนต์ที่จมน้ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายและชื่อเสียงของพวกเขามากขึ้นไปอีก ผลักดันให้บริษัทเข้าใกล้การล้มละลายเต็มที

แต่แม้จะเผชิญกับโชคร้ายทั้งหมดนี้ เมื่อใดก็ตามที่มีคนแนะนำ Chung ว่าถึงเวลาที่จะปิดกิจการแล้ว เขาจะตอบกลับทันทีว่า “ผมจะไม่มีวันเอามือของตัวเองไปถอดป้าย Hyundai ออกแม้แต่ป้ายเดียว แม้ว่าธุรกิจจะกำลังดิ้นรนและทุกอย่างดูเหมือนไร้ความหวัง ผมจะทำให้มันสำเร็จ ถ้าผมเริ่มอะไรสักอย่าง ผมจะทำมันให้สำเร็จจนถึงที่สุด”

ด้วยทัศนคตินี้ Chung เพียงแค่กลับไปทำงานและยังคงผลิตยานพาหนะของพวกเขาต่อไป เมื่อเวลาผ่านไปและสภาพถนนได้รับการปรับปรุง Cortina ก็เริ่มมียอดขายสูงขึ้นในเกาหลีใต้ หลังจากนั้นไม่นาน รถยนต์รุ่นอื่นของ Ford ก็อยู่ในแผนการผลิตของ Hyundai และโรงงานในอูลซานก็เริ่มขยายตัวเพิ่มพื้นที่สำหรับการผลิตมากขึ้น

แต่แล้วสถานการณ์ก็เริ่มเลวร้ายลง Ford ปฏิเสธที่จะให้ Hyundai จำหน่าย Cortina ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าความร่วมมือของพวกเขาไม่ได้ทำขึ้นเพื่อตลาดโลก แต่เพื่อตลาดเกาหลีเท่านั้น Ford ยังปฏิเสธที่จะประนีประนอมเมื่อพูดถึงการแบ่งผลกำไรอย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจาก Hyundai ไม่ใช่ผู้คิดค้นโครงสร้างสายการผลิตหรือเทคโนโลยีของ Cortina ตั้งแต่แรก

ในสายตาของ Chung สิ่งที่ Ford ต้องการจริงๆ คือการเข้าควบคุมตลาดเกาหลีเอง ในขณะที่ใช้ Hyundai เป็นผู้รับเหมาช่วงสำหรับแรงงานราคาถูก

ในหนังสือของเขา Chung ได้กล่าวไว้ว่า “ไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น” ด้วยความโกรธเคือง Ford เขาจึงยกเลิกสัญญาในปี 1974 และตัดสินใจสร้างรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งหมด แต่คราวนี้ตามเงื่อนไขของเขาเองและเล่นตามกฎของเขาเอง แม้ว่าเขาแทบจะไม่รู้อะไรเลยในตอนนั้น แต่ Chung กำลังจะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์เกาหลีทั้งหมดให้กลายเป็นสิ่งที่เรารู้จักในทุกวันนี้

หลังจากยกเลิกสัญญากับ Ford Chung ได้ร่วมมือกับ Mitsubishi ทันทีเพื่อใช้เครื่องยนต์และเพลาหลังของพวกเขา และจ้างกลุ่มวิศวกรชาวยุโรปที่มีความสามารถเพื่อช่วยออกแบบยานพาหนะรุ่นต่อไปของพวกเขา นั่นคือ Hyundai Pony เหมาะสำหรับถนนที่ไม่ได้ลาดยางและมีราคาเพียง 5,900 ดอลลาร์

และ Pony กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วในเกาหลีใต้ กลายเป็นรถยนต์ที่ผลิตเป็นจำนวนมากเป็นครั้งแรกในประเทศ มันทำผลงานได้ดีมากในตลาดของพวกเขาจนรถยนต์ 4 คันจากทุก 10 คันที่ขายในเกาหลีใต้เป็น Pony

 Hyundai Pony ที่ทำยอดขายแบบถล่มทลายในเกาหลีใต้ (CR:asan-chungjuyung)
Hyundai Pony ที่ทำยอดขายแบบถล่มทลายในเกาหลีใต้ (CR:asan-chungjuyung)

ด้วยความมั่นใจอย่างมาก Chung และทีมของเขาเริ่มขยายรุ่นใหม่นี้ไปสู่ตลาดโลก ซึ่งขายได้ค่อนข้างดีและแม้กระทั่งกลายเป็นยานพาหนะที่ขายดีที่สุดในแคนาดา แต่ถึงแม้จะประสบความสำเร็จ Pony ก็ไม่สามารถเปิดตัวในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกาได้ เนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานการปล่อยมลพิษของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม Chung ไม่ยอมให้สิ่งนี้หยุดเขาได้ ในปี 1985 พวกเขาได้เปิดตัวรุ่นใหม่ นั่นคือ Hyundai Excel ซึ่งผ่านมาตรฐานการปล่อยมลพิษได้สำเร็จ ทำให้ Hyundai สามารถเจาะตลาดรถยนต์อเมริกันได้ในที่สุด ด้วยราคาเพียง 4,995 ดอลลาร์ ซึ่งมีราคาเพียงครึ่งหนึ่งของราคาเฉลี่ยของรถยนต์ใหม่ในเวลานั้น และในปีแรก Hyundai ขาย Excel ได้ถึง 168,000 คันในตลาดสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว และอีกกว่าหนึ่งล้านคันทั่วโลก

มันเป็นการเปิดตัวครั้งใหญ่อย่างแท้จริงสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์เกาหลี และ Hyundai ได้วางตำแหน่งตัวเองเป็นแบรนด์รถยนต์ชั้นนำในที่สุด แต่ไม่ได้เป็นไปในแบบที่ Chung จินตนาการไว้ทีเดียว ปัญหาคือพวกเขายังคงล้าหลังในแง่ของคุณภาพและความน่าเชื่อถือ และสาธารณชนมองว่าพวกเขาเป็นเพียงรถยนต์เกาหลีราคาถูกที่แทบไม่มีคุณสมบัติพิเศษใดๆ

พร้อมกับรถยนต์ที่ต้องซ่อมแซมบ่อยครั้งและได้รับชื่อเสียงที่ไม่ดีสำหรับแบรนด์ของพวกเขา ยอดขายของพวกเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และ Hyundai ก็กลายเป็นเรื่องตลกในอเมริกา ในจุดหนึ่ง ผู้คนล้อเลียนชื่อของพวกเขาโดยบอกว่า Hyundai ย่อมาจาก “Hope You Understand Nothing’s Drivable And Inexpensive” (หวังว่าคุณจะเข้าใจว่าไม่มีอะไรที่ขับได้และราคาถูก)

เพื่อพลิกสถานการณ์ Chung และทีมของเขาทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อนำเอาความสามารถที่ดีที่สุดมาพัฒนาเครื่องยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ของตัวเอง

ภายในทศวรรษ 1990 รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ก็ตามมา เช่น Hyundai Accent, Sonata และ Elantra แม้ว่ารุ่นเหล่านี้จะประสบปัญหาในการเปิดตัวในตอนแรก แต่ในที่สุดก็มียอดขายที่สูงขึ้นเมื่อพวกเขาเริ่มตามทันคุณสมบัติล่าสุดในตลาด

Hyundai ได้เข้าซื้อกิจการ Kia Motors ในปี 1998 และการร่วมทุนครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับรถยนต์เกาหลี

ร่วมกันพวกเขาลงทุนอย่างหนักในคุณภาพ การออกแบบ และกระบวนการผลิตรถยนต์ของพวกเขา และภายในปี 2004 พวกเขาก็ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับสองร่วมกับ Honda ในด้านคุณภาพแบรนด์ที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม รองจาก Toyota เพียงเท่านั้น

แต่แม้จะมีความสำเร็จนี้ Hyundai ยังคงต่อสู้เพื่อสลัดชื่อเสียงที่ไม่ดีในอดีตออกไปจากสายตาของสาธารณชน อย่างไรก็ตาม Hyundai ยังมีกลยุทธ์อีกอย่างหนึ่งเพื่อพิสูจน์คุณภาพของพวกเขา บริษัทประกาศการรับประกัน 10 ปี หรือ 100,000 ไมล์สำหรับยานพาหนะทุกคันที่ขายในสหรัฐอเมริกา และด้วยสิ่งนี้ ยอดขายของยานพาหนะ Hyundai ก็เพิ่มขึ้นจนทำให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ชั้นนำของศตวรรษที่ 21

Chung อุทิศช่วงปีท้ายๆ ของเขาให้กับการกุศล การลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี และแม้กระทั่งความพยายามที่จะรวมประเทศเกาหลีเข้าด้วยกันอีกครั้ง จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 2001 โดยส่งต่อบริษัทของเขาให้กับลูกชาย

“ความล้มเหลวสอนบทเรียนอันล้ำค่าให้กับเรามากกว่าความสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องจดจำความสำเร็จของตัวเอง นั่นควรเป็นสิ่งที่คนอื่นจดจำ แต่เราควรจดจำความสูญเสียและความล้มเหลวของเรา เพราะคนที่ลืมความล้มเหลวของตัวเองจะล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า” Chung กล่าวทิ้งท้ายไว้

นี่คือเรื่องราวของเด็กชายยากจนที่อาศัยอยู่บนภูเขาในเกาหลี ซึ่งสร้างหนึ่งในบริษัทที่ทรงพลังที่สุดในโลก นั่นก็คือ Hyundai ชีวิตของ Chung Ju-yung เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของความมุ่งมั่น ความอดทน และวิสัยทัศน์ที่ไม่มีวันยอมแพ้

เขาเริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย เผชิญกับความล้มเหลวและอุปสรรคมากมาย แต่ไม่เคยยอมแพ้ต่อความฝันของตัวเอง แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด เขาก็ยังคงมองหาโอกาสและพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้จากความผิดพลาดของเขาเป็นสิ่งที่ทำให้ Hyundai สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ และกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก

เรื่องราวของ Hyundai และ Chung Ju-yung เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากการทำงานหนัก ความอดทน และความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะอุปสรรคทุกอย่าง ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากจุดไหน ด้วยทัศนคติที่ถูกต้องและความพยายามอย่างไม่ลดละ คุณก็สามารถบรรลุความฝันของคุณได้

เช่นเดียวกับที่ Chung Ju-yung ได้ทำ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีอุปสรรคใดที่เอาชนะไม่ได้ หากเรามีความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้

ความสำเร็จของ Hyundai ยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคมของเกาหลีใต้ บริษัทไม่เพียงแต่สร้างงานให้กับคนนับแสน แต่ยังมีส่วนสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศ ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของวิธีที่บริษัทเอกชนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้

ในท้ายที่สุด เรื่องราวของ Hyundai และ Chung Ju-yung เป็นมากกว่าแค่เรื่องราวของความสำเร็จทางธุรกิจ แต่เป็นการเดินทางของมนุษย์คนหนึ่งที่กล้าฝัน กล้าท้าทายข้อจำกัด และไม่ยอมแพ้แม้ในยามที่ทุกอย่างดูเหมือนจะสิ้นหวัง ด้วยความมุ่งมั่น ความอดทน และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เราทุกคนมีศักยภาพที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ในชีวิตของเราเอง แต่ในชีวิตของผู้อื่นและในโลกรอบตัวเราด้วย

ขณะที่เราก้าวเข้าสู่อนาคต เรื่องราวของ Hyundai และ Chung Ju-yung จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป เตือนใจเราว่าไม่มีความฝันใดที่ยิ่งใหญ่เกินไป และไม่มีอุปสรรคใดที่เอาชนะไม่ได้ หากเรามีความกล้าที่จะฝัน และความมุ่งมั่นที่จะทำให้ฝันนั้นเป็นจริง

References :
https://www.koreaherald.com/view.php?ud=20151123001124
https://en.wikipedia.org/wiki/Hyundai_Motor_Company
https://en.wikipedia.org/wiki/Chung_Ju-yung
https://nkorean.blogspot.com/2017/09/hyundai-2nd-chaebul-group-in-korea.html
https://www.asan-chungjuyung.com/mobile_eng/sub_02_01_2.html
https://youtu.be/khIGWWbkHPU?si=cc75bBk9l3tldmIp