หยุดกลัวการถูกปฏิเสธ! ชายจีนผู้ท้าทายการถูกปฏิเสธ 100 วัน และบทเรียนที่เปลี่ยนชีวิต

ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างเคยเผชิญกับความกลัวการถูกปฏิเสธมาแล้วทั้งนั้น บางคนถึงขั้นยอมทิ้งความฝันและโอกาสดีๆ ในชีวิตเพียงเพราะกลัวคำว่า “ไม่”

แต่มีชายคนหนึ่งที่กล้าท้าทายความกลัวนี้ด้วยวิธีที่แปลกประหลาดและน่าสนใจ เขาคือ Jia Jiang ชายชาวจีนผู้อพยพมาอเมริกาพร้อมความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการ

Jia Jiang เกิดและเติบโตในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ตั้งแต่เด็กเขามีความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการในอเมริกา แรงบันดาลใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้พบกับ Bill Gates ในงานที่โรงเรียนตอนอายุ 14 ปี ทำให้เขาตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะย้ายมาเรียนและทำงานในอเมริกา

แม้จะประสบความสำเร็จในการเรียนและการทำงานในบริษัทชั้นนำ แต่ความฝันของเขากลับถูกขัดขวางด้วยความกลัวการถูกปฏิเสธที่ฝังรากลึก จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากนักลงทุนปฏิเสธที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพของเขา แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับตัดสินใจท้าทายตัวเองด้วยการทำภารกิจที่เรียกว่า “100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ” ซึ่งผมว่ามันเป็นการทดลองที่เจ๋งมาก ๆ

แรงบันดาลใจในการทำภารกิจนี้มาจาก Jason Comely ผู้สร้างเกม “Rejection Therapy” ที่มีกฎง่ายๆ คือผู้เล่นต้องทำให้ตัวเองถูกปฏิเสธจากใครสักคนทุกวัน Comely สร้างเกมนี้หลังจากที่ภรรยาของเขาจากไป และเขาต้องต่อสู้กับความกลัวการถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง

ภารกิจของ Jia Jiang เริ่มต้นด้วยการขอสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในแต่ละวัน เช่น การขอยืมเงิน 100 ดอลลาร์จากคนแปลกหน้า การขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก การเคาะประตูบ้านคนแปลกหน้าเพื่อขอเล่นฟุตบอลในสนามหลังบ้าน การขอถ่ายรูปกับพนักงานรักษาความปลอดภัยในท่าซูเปอร์ฮีโร่ หรือแม้แต่การเดินเข้าไปในออฟฟิศแบบสุ่มเพื่อขอทำงานเพียงวันเดียว

หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดคือวันที่เขาขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทรูปวงแหวนโอลิมปิก แทนที่จะถูกปฏิเสธ Jackie พนักงานที่อยู่เวรกลับใช้เวลา 15 นาทีในการวาดและจัดวางโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก พร้อมทั้งใช้น้ำตาลสีต่างๆ ตกแต่งให้สวยงาม โดยไม่คิดเงินเพิ่ม

จากการทดลองนี้ Jia Jiang ได้ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของการถูกปฏิเสธ ประการแรก เขาพบว่าการถูกปฏิเสธนั้นเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ต่างจากการที่คนไม่ชอบไอศกรีมรสมินต์ปฏิเสธที่จะรับประทาน มันไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าของตัวเราแต่อย่างใด

ในระหว่างการทดลอง เขาพบว่าผู้คนมักมีเหตุผลส่วนตัวในการปฏิเสธที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย เช่น กฎระเบียบขององค์กร ข้อจำกัดด้านเวลา หรือแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้น การเข้าใจเรื่องนี้ช่วยให้เขารับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Joshua Bell นักไวโอลินรางวัล Grammy ที่แต่งตัวธรรมดาใส่ยีนส์และหมวกเบสบอล ไปเล่นดนตรีในสถานีรถไฟใต้ดิน DC มีเพียง 7 คนจาก 1,097 คนที่หยุดฟัง ทั้งที่การแสดงของเขามักได้รับเสียงปรบมือยืนยาวในคอนเสิร์ตฮอลล์ชื่อดังอย่าง John F. Kennedy Center

การทดลองของ Joshua Bell เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่จัดทำโดยหนังสือพิมพ์ Washington Post ในปี 2007 เพื่อศึกษาการรับรู้ความงามของศิลปะในบริบทที่ไม่คาดคิด Bell เล่นบทเพลงคลาสสิกที่ยากที่สุดบางบทด้วยไวโอลิน Stradivarius มูลค่า 3.5 ล้านดอลลาร์ แต่ได้รับเงินบริจาคเพียง 32 ดอลลาร์จากการแสดง 45 นาที

นี่แสดงให้เห็นว่าบริบทและจังหวะเวลามีผลต่อการตอบรับมากกว่าความสามารถที่แท้จริง เช่นเดียวกับที่คนในสถานีรถไฟไม่ได้ปฏิเสธความสามารถของ Joshua Bell แต่พวกเขาแค่ไม่ได้อยู่ในโหมดที่จะชื่นชมดนตรีคลาสสิกในตอนเช้าที่เร่งรีบ

ประการที่สอง การถามหาเหตุผลของการปฏิเสธอย่างสุภาพสามารถเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ได้ เช่นครั้งที่ Jia Jiang ขอประกาศเรื่องความปลอดภัยบนเครื่องบิน Southwest แม้จะถูกปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อถามถึงเหตุผล พนักงานกลับคิดหาทางออกใหม่ให้เขาได้พูดต้อนรับผู้โดยสารแทน

การถามหาเหตุผลยังช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย และบางครั้งอาจนำไปสู่ทางออกที่ดีกว่าเดิม เช่นกรณีที่เขาขอใช้เครื่องประกาศเสียงที่ร้าน Costco เพื่อประกาศชมเชยพนักงาน แม้จะถูกปฏิเสธ แต่ผู้จัดการกลับรู้สึกประทับใจในความตั้งใจดีของเขาและเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทน

นอกจากนี้ การถามเหตุผลยังช่วยให้เราได้ข้อมูลที่มีค่าสำหรับการปรับปรุงคำขอในครั้งต่อไป เช่น เมื่อเขาขอให้สายการบินอนุญาตให้ประกาศ เขาได้เรียนรู้ว่ามีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่ต้องคำนึงถึง ทำให้ในครั้งต่อไปเขาสามารถปรับคำขอให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเหล่านั้นได้

ประการที่สาม การลดขนาดคำขอลง หรือที่ Robert Cialdini ผู้เขียนหนังสือ “Influence” เรียกว่า “Retreating” เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะผู้คนมักรู้สึกไม่สบายใจที่จะปฏิเสธคำขอเล็กๆ หลังจากที่ปฏิเสธคำขอใหญ่ไปแล้ว

จากการศึกษาของ Cialdini พบว่าการลดขนาดคำขอสามารถเพิ่มโอกาสการตอบรับได้ถึง 76% เพราะเป็นการแสดงความยืดหยุ่นและความเข้าใจต่อข้อจำกัดของอีกฝ่าย นอกจากนี้ ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากหลักจิตวิทยาที่เรียกว่า “การตอบแทน (Reciprocity)” ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าควรตอบแทนความยืดหยุ่นที่เราแสดงออก

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อ Jia Jiang ขอแซนด์วิช McGriddle จาก McDonald’s ในตอนบ่าย 2 โมง ซึ่งเลยเวลาอาหารเช้าไปแล้ว เมื่อถูกปฏิเสธและได้รับคำอธิบายว่าเครื่องทำไข่และไส้กรอกถูกล้างไปแล้ว เขาจึงปรับคำขอเป็นขนมปังกริดเดิลราดน้ำผึ้งกับชีสแทน ซึ่งพนักงานสามารถจัดให้ได้

การลดขนาดคำขอยังช่วยให้เราได้เรียนรู้ว่าบางครั้งสิ่งที่เราต้องการจริงๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราขอในตอนแรก เช่น ในกรณีของ McDonald’s เขาได้ค้นพบว่าสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือรสชาติของขนมปังกริดเดิล ไม่ใช่แซนด์วิช McGriddle ทั้งชิ้น

การถูกปฏิเสธยังมีประโยชน์แฝงอยู่หลายประการที่น่าสนใจ ประการแรกคือการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการถูกปฏิเสธในอนาคต เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ได้ทำลายคุณค่าในตัวเรา เราจะกล้าเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น เหมือนการฉีดวัคซีนที่ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรค การเผชิญกับการถูกปฏิเสธบ่อยๆ จะช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้น

ในช่วงท้ายของการทดลอง Jia Jiang พบว่าเขาสามารถรับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้นมาก เขารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงเมื่อถูกปฏิเสธ และสามารถมองหาโอกาสใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับนักมวยที่โดนต่อยบ่อยๆ จนชินและรู้วิธีรับมือกับหมัด

ประการที่สองคือการเพิ่มแรงจูงใจ เหมือนกรณีของ Michael Jordan ที่ใช้การถูกปฏิเสธจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมเป็นแรงผลักดันในการฝึกซ้อมหนักขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในนักบาสเก็ตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

Michael Jordan เคยเล่าว่าเขาถูกตัดตัวจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมปลายในปีที่สอง แต่แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับใช้ความผิดหวังนั้นเป็นแรงผลักดันให้ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อซ้อมก่อนเข้าเรียน และซ้อมต่อจนถึงค่ำทุกวัน จนในที่สุดเขาก็ได้กลับเข้าทีมและกลายเป็นดาวเด่น

ประการสุดท้ายคือการให้แนวทางในการปรับปรุง ดังที่ Thomas Edison กล่าวว่า เขาไม่ได้ล้มเหลว 10,000 ครั้ง แต่ค้นพบ 10,000 วิธีที่ใช้ไม่ได้ผล การมองการปฏิเสธแบบไม่มีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องจะช่วยให้เราเห็นจุดที่ต้องปรับปรุงได้ชัดเจนขึ้น

Edison เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้การล้มเหลวเป็นบทเรียน ในการคิดค้นหลอดไฟฟ้า เขาทดลองวัสดุที่จะใช้เป็นไส้หลอดมากกว่า 6,000 ชนิด แต่ละครั้งที่ล้มเหลว เขาจดบันทึกอย่างละเอียดว่าทำไมมันถึงใช้ไม่ได้ จนในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าใยไม้ไผ่เป็นวัสดุที่เหมาะสมที่สุด

หลังจากจบภารกิจ 100 วัน Jia Jiang ได้กลายเป็นวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้เขียนหนังสือ “Rejection Proof” และให้การบรรยาย TED Talk ที่มีผู้ชมนับล้าน ประสบการณ์ของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวการถูกปฏิเสธ

ปัจจุบัน Jia Jiang ได้ก่อตั้งบริษัท Rejection Therapy เพื่อช่วยให้ผู้คนและองค์กรต่างๆ เอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้รับเชิญไปบรรยายในองค์กรชั้นนำมากมาย เช่น Google, Microsoft, และ Bank of America โดยเขาเน้นย้ำว่าการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธไม่เพียงช่วยให้เราประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่ยังช่วยให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้นด้วย

ในท้ายที่สุด Jia Jiang สรุปว่า การถูกปฏิเสธที่เคยเป็นเหมือนยักษ์โกลิอัทในชีวิตของเขา ได้กลายเป็นเพียงความท้าทายที่สามารถเอาชนะได้ด้วยมุมมองที่ถูกต้องและการฝึกฝน เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ใช่การตัดสินคุณค่าของเรา เราก็จะมีอิสระในการขอสิ่งที่ต้องการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอเลื่อนตำแหน่ง การขอความช่วยเหลือ หรือแม้แต่การขอโอกาสในการทำความฝันให้เป็นจริง

References :
หนังสือ Rejection Proof: How I Beat Fear and Became Invincible Through 100 Days of Rejection โดย Jia Jiang

ถอดรหัสความสำเร็จ Rometty : เคล็ดลับการใช้ ‘พลังแห่งความดี’ พลิกชีวิตและธุรกิจ

เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ถือว่าได้ว่ามีเนื้อหาฉีกแนวบทเรียนทางด้านธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่ตัวผมเองได้เคยอ่านมาสำหรับหนังสือ Good Power: Leading Positive Change in Our Lives, Work, and World โดย Ginni Rometty

ในทุกวันนี้หลายคนอาจรู้สึกว่าตนเองไม่มีพลังพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง การขาดความมั่นใจในศักยภาพของตนเองมักเป็นกำแพงที่ขวางกั้นผู้คนจากการลงมือทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคม

แต่ Ginni Rometty อดีต CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง IBM มีมุมมองที่แตกต่างออกไป เธอเชื่อว่าทุกคนมีพลังที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้ ผ่านสิ่งที่เธอเรียกว่า “Good Power” หรือ “พลังแห่งความดี” ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องนามธรรมที่วัดยากในเชิงธุรกิจเป็นอย่างมาก

ในหนังสือ “Good Power” Rometty ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิดที่หล่อหลอมตัวเธอตั้งแต่วัยเด็ก จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กรระดับโลก เธอเล่าถึงการเติบโตมาในครอบครัวที่มีความท้าทาย

หลังจากพ่อจากไป แม่ของเธอต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ ทำให้ Rometty ต้องรับบทบาทดูแลน้องๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย ประสบการณ์นี้ได้ปลูกฝังความรับผิดชอบและความเข้าใจในการดูแลผู้อื่น

ความท้าทายในวัยเด็กไม่ได้ทำให้ Rometty ย่อท้อ แต่กลับกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เธอเข้าใจถึงความสำคัญของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การที่ต้องดูแลน้องๆ ในขณะที่แม่ออกไปทำงาน ทำให้เธอเรียนรู้ทักษะการจัดการ การแก้ปัญหา และการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในครอบครัว ซึ่งทักษะเหล่านี้กลายเป็นรากฐานสำคัญในการทำงานของเธอในอนาคต

เมื่อ Rometty เริ่มทำงานที่ IBM เธอได้นำหลักการของ “พลังแห่งความดี” มาประยุกต์ใช้ในบริบทธุรกิจ โดยเฉพาะในการทำงานร่วมกับลูกค้ารายสำคัญอย่าง Allstate บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ที่ต้องการปรับเปลี่ยนองค์กรด้วยเทคโนโลยี

แทนที่จะเสนอโซลูชันแบบสำเร็จรูป เธอและทีมเลือกที่จะทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ทำการวิจัยอย่างละเอียดเกี่ยวกับแนวโน้มและความท้าทายในอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อนำเสนอทางออกที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง

ความสำเร็จในการทำงานกับ Allstate ไม่ได้เกิดจากความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่มาจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเทคโนโลยีควรเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน

Rometty และทีมใช้เวลาอย่างมากในการรับฟังความคิดเห็นจากพนักงานทุกระดับของ Allstate เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่ผู้บริหารระดับสูง

การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง CEO ของ IBM เปิดโอกาสให้ Rometty ได้ใช้ “พลังแห่งความดี” ในการสร้างผลกระทบระดับโลก เธอริเริ่มโครงการ “Skills First” ที่ปฏิวัติแนวทางการจ้างงานของบริษัท โดยให้ความสำคัญกับทักษะมากกว่าวุฒิการศึกษา

แม้จะเผชิญกับความท้าทายและการต่อต้านในช่วงแรก แต่นโยบายนี้ได้เปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถแต่ขาดโอกาสทางการศึกษาได้เข้าสู่อาชีพด้านเทคโนโลยีที่มีรายได้สูง

โครงการ “Skills First” ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงนโยบายการจ้างงาน แต่เป็นการท้าทายความเชื่อดั้งเดิมของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี Rometty เชื่อว่าความสามารถที่แท้จริงไม่ได้วัดจากใบปริญญา แต่วัดจากความมุ่งมั่น ความสามารถในการเรียนรู้ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้ IBM ได้พนักงานที่มีความสามารถหลากหลาย แต่ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วย

นอกจากการสร้างโอกาสในการทำงาน Rometty ยังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมองค์กร เธอส่งเสริมความหลากหลายและการมีส่วนร่วม สร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานทุกคนรู้สึกมีคุณค่าและได้รับการสนับสนุนให้พัฒนาศักยภาพของตนเอง เธอเชื่อว่าองค์กรจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อพนักงานทุกคนได้รับโอกาสในการเติบโตเช่นกัน

หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นของ Rometty คือการที่เธอสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมไม่ได้ขัดแย้งกับการสร้างผลกำไร

ในทางตรงกันข้าม การใช้พลังแห่งความดีในการบริหารองค์กรกลับช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว เพราะนำมาซึ่งความไว้วางใจจากลูกค้า ความจงรักภักดีของพนักงาน และภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของสังคม

แนวคิดเรื่อง Good Power หรือ “พลังแห่งความดี” ของ Rometty ไม่ใช่เพียงทฤษฎีหรือแนวคิดเชิงอุดมคติ หรือเรื่องนามธรรม แต่เป็นหลักการที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้ เธอแสดงให้เห็นว่าการนำองค์กรด้วยความเมตตา ความเข้าใจ และความมุ่งมั่นที่จะสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวม สามารถนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้

พลังแห่งความดีที่ Rometty นำเสนอมีองค์ประกอบสำคัญหลายประการ เริ่มจากการรับฟังและเข้าใจความต้องการของผู้อื่นอย่างแท้จริง การคิดค้นทางออกที่สร้างสรรค์และตอบโจทย์ความต้องการนั้น การลงมือทำอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง และที่สำคัญที่สุดคือการวัดผลลัพธ์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

แก่นแท้ของพลังแห่งความดีอยู่ที่การตระหนักว่าทุกคนมีความสามารถที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหรือบทบาทใด การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มักเริ่มต้นจากการกระทำเล็กๆ ที่มาจากความตั้งใจดีและความมุ่งมั่นที่จะสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น

ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและปัญหาที่ซับซ้อน เราอาจรู้สึกว่าความพยายามของเราเพียงคนเดียวนั้นเล็กน้อยเกินไปที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่เรื่องราวของ Rometty เตือนใจเราว่า พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่อำนาจหรือตำแหน่ง แต่เป็นความตั้งใจดีและความมุ่งมั่นที่จะใช้ศักยภาพของเราเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น

เรื่องราวของ Rometty จึงไม่เพียงเป็นบทเรียนสำหรับผู้นำองค์กรเท่านั้น แต่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับทุกคนที่ปรารถนาจะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในโลกใบนี้ เธอพิสูจน์ให้เห็นว่าพลังแห่งความดีไม่ใช่แนวคิดที่เป็นนามธรรม แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ทั้งสำหรับตัวเราเองและสังคมโดยรวม

ในท้ายที่สุด บทเรียนสำคัญที่สุดจากเรื่องราวของ Rometty อาจไม่ใช่วิธีการบริหารองค์กรหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่เป็นการตระหนักว่าทุกคนมีพลังที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง และการใช้พลังนั้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมคือหนทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงและยั่งยืนได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Good Power: Leading Positive Change in Our Lives, Work, and World โดย Ginni Rometty

Geek Life EP122 : ไม่มีความฝันไหนใหญ่เกินไป ถูกไล่ออกจากงาน แต่กลับมาเป็นซีอีโอ กับบทเรียนจากบ้านสีชมพู

ณ เมืองเล็กๆ ชื่อ Wrens ในรัฐ Georgia ห่างจากเมือง Atlanta ไปทางใต้ราว 2.5 ชั่วโมง มีบ้านสีชมพูหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนดิน ติดกับทางหลวง East 88 บ้านหลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัยของคุณยาย แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของบทเรียนชีวิตอันล้ำค่าที่หล่อหลอมให้เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/423x2c4t

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3sdkxcec

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/v8xXFO89LE0

ไม่มีความฝันไหนใหญ่เกินไป : ถูกไล่ออกจากงาน แต่กลับมาเป็นซีอีโอ กับบทเรียนจากบ้านสีชมพู

ณ เมืองเล็กๆ ชื่อ Wrens ในรัฐ Georgia ห่างจากเมือง Atlanta ไปทางใต้ราว 2.5 ชั่วโมง มีบ้านสีชมพูหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนดิน ติดกับทางหลวง East 88 บ้านหลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัยของคุณยาย แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของบทเรียนชีวิตอันล้ำค่าที่หล่อหลอมให้เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก สนามหญ้ากว้างใหญ่หน้าบ้านคือสนามเด็กเล่นที่สมบูรณ์แบบสำหรับเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ที่นั่นเธอได้วิ่งเล่น แข่งวิ่งกับไก่พร้อมลูกพี่ลูกน้อง และเรียนรู้บทเรียนแรกของชีวิตผ่านกิจวัตรประจำวันเล็กๆ น้อยๆ เช่น การเก็บไข่ในเล้า หรือการเลือกไก่สำหรับมื้อเย็น

คำพูดของคุณยายที่ว่า “Valerie ถึงเวลาที่หนูต้องไปเก็บไข่ในเล้าไก่แล้ว” กลายเป็นเสียงที่ปลูกฝังความรับผิดชอบและความมั่นใจให้กับเธอ

บ้านสีชมพูหลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่แห่งความสุข แต่ยังเป็นที่พักพิงในยามที่ครอบครัวต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแม่ของ Valerie ที่ต้องหาที่หลบภัยจากความรุนแรงในครอบครัว แม่ของเธอกลายเป็นแบบอย่างแรกของความเป็นผู้นำที่แท้จริง ผู้ซึ่งกล้าตัดสินใจเด็ดขาดเพื่อปกป้องลูกๆ ทั้งสี่คน

เมื่อ Valerie เติบโตขึ้น เธอก้าวเข้าสู่เส้นทางการแพทย์และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เธอเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคต่อมไร้ท่อและการมีบุตรยาก ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าภาควิชา ก่อตั้งศูนย์วิจัยสุขภาพสตรีแห่งแรกที่ Meharry Medical College และได้รับตำแหน่งคณบดีคณะแพทยศาสตร์ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศ

แต่แล้ววันหนึ่ง ทุกอย่างก็พังทลายลงเมื่อประธานมหาวิทยาลัยคนใหม่ขอให้เธอลาออกจากตำแหน่ง เธอต้องเผชิญกับความรู้สึกพ่ายแพ้ อับอาย และความกลัวที่เข้ามาครอบงำจิตใจของเธอ แต่บทเรียนจากบ้านสีชมพูก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ โดยเฉพาะภาพของแม่ที่กล้าเผชิญหน้ากับวิกฤตชีวิต

ตามคำกล่าวของนักเขียนที่เธอชื่นชอบ Paulo Coelho ที่ว่า “ก่อนที่ความฝันจะเป็นจริง โลกจะทดสอบทุกสิ่งที่คุณได้เรียนรู้มา” Valerie ตระหนักว่านี่คือการทดสอบครั้งสำคัญของชีวิต เธอเลือกที่จะยอมรับความสูญเสียแต่ไม่ยอมแพ้ เช่นเดียวกับที่แม่ของเธอเคยทำ

ความกลัวอาจเป็นอารมณ์ที่หลายคนไม่อยากประสบพบเจอ แต่มันก็เป็นแรงผลักดันให้เราลงมือทำในสิ่งที่จำเป็น Valerie เรียนรู้ว่าความกล้าหาญไม่ได้หมายถึงการไม่รู้สึกกลัว แต่คือการเผชิญหน้ากับความกลัวนั้นต่างหาก

เธอต้องสัมภาษณ์งานซ้ำแล้วซ้ำเล่า เผชิญกับคำปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งได้ยินคำตอบรับที่นำพาเธอไปสู่ตำแหน่งที่เหมาะสม

ปัจจุบัน ในฐานะประธานและซีอีโอของ Morehouse School of Medicine เธอได้ใช้ตำแหน่งและเสียงของเธอในการผลักดันความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความหลากหลายในวงการแพทย์ การต่อสู้เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ หรือการสนับสนุนสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ของผู้หญิง

เธอยังเป็นผู้บุกเบิกในการผลักดันนโยบายด้านสุขภาพที่คำนึงถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม และเป็นเสียงสำคัญในการเรียกร้องให้มีการพิจารณาทบทวนนโยบาย affirmative action ในวงการการศึกษาและการแพทย์ เพราะเธอเชื่อว่าความหลากหลายในบุคลากรทางการแพทย์จะนำไปสู่การดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

บ้านสีชมพูหลังนั้นได้หล่อหลอมให้ Valerie เข้าใจว่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้วัดกันที่จำนวนตำแหน่งหรือปริญญา แต่วัดจากประสบการณ์ชีวิต ระยะทางที่เดินทาง และความกล้าที่จะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิ่งที่เชื่อ

เธอได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความเด็ดเดี่ยว และความกล้าหาญที่ได้รับการปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์ สามารถนำพาผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งไปสู่การเป็นผู้นำที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้

ปัจจุบัน Dr. Valerie Montgomery Rice ยังคงทำงานอย่างหนักในการสร้างโอกาสทางการศึกษาและการแพทย์ให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้หญิงและชนกลุ่มน้อย เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวงการแพทย์และสังคมเช่นเดียวกับที่เธอได้ทำ

References :
How to Break Through Fear and Become a Leader | Valerie Montgomery Rice | TED
https://youtu.be/5uTDzBwwyho?si=KitQTOjd3U-nEJMb

Geek Life EP90 : Mind Over Matter จากล้มเหลวสู่สำเร็จ วิธีใช้พลังจิตเปลี่ยนชีวิต

มนุษย์เรามักไม่รู้ขีดความสามารถที่แท้จริงของตนเอง จนกว่าจะได้ลงมือทำสิ่งนั้นจริงๆ ประสบการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการสอบได้คะแนนยอดเยี่ยม การเลื่อนตำแหน่งในที่ทำงาน หรือแม้แต่การจัดการเรื่องยุ่งยากให้สำเร็จลุล่วง สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในตอนแรก แต่เมื่อเราลงมือทำ เราก็จะค้นพบว่าตัวเองมีศักยภาพมากกว่าที่คิด

เป็นข้อมูลทีน่าสนใจจากเวที Ted Talks อีกครั้ง โดย Paneez Oliai จาก Harvard Law School เธอจบการศึกษาสาขาประวัติศาสตร์และจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ที่ได้มาพูดถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเรา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3enxt9az

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/54axr7ne

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/G6t8hbrJibw