Geek Life EP139 : หยุด 3 ความคิดทำลายจิตใจ บทเรียนจาก Amy Morin ที่จะทำให้คุณลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

ชีวิตมักเต็มไปด้วยเรื่องราวที่คาดไม่ถึง เฉกเช่นเรื่องราวของ Amy Morin นักจิตบำบัดวัย 23 ปี ที่กำลังมีความสุขกับการดูบาสเกตบอลและหัวเราะร่วมกับแม่ของเธอ

แต่โชคชะตากลับพลิกผัน เมื่อเพียง 24 ชั่วโมงต่อมา แม่ของเธอจากไปอย่างกะทันหันด้วยโรคหลอดเลือดสมองแตก ความโศกเศร้าครั้งนั้นยังไม่ทันจางหาย อีกสามปีต่อมา สามีของเธอก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mp7fuz7f

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mwjbuxn6

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/pdh9K7Oz5PU

หยุดกลัวการถูกปฏิเสธ! ชายจีนผู้ท้าทายการถูกปฏิเสธ 100 วัน และบทเรียนที่เปลี่ยนชีวิต

ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างเคยเผชิญกับความกลัวการถูกปฏิเสธมาแล้วทั้งนั้น บางคนถึงขั้นยอมทิ้งความฝันและโอกาสดีๆ ในชีวิตเพียงเพราะกลัวคำว่า “ไม่”

แต่มีชายคนหนึ่งที่กล้าท้าทายความกลัวนี้ด้วยวิธีที่แปลกประหลาดและน่าสนใจ เขาคือ Jia Jiang ชายชาวจีนผู้อพยพมาอเมริกาพร้อมความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการ

Jia Jiang เกิดและเติบโตในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ตั้งแต่เด็กเขามีความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการในอเมริกา แรงบันดาลใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้พบกับ Bill Gates ในงานที่โรงเรียนตอนอายุ 14 ปี ทำให้เขาตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะย้ายมาเรียนและทำงานในอเมริกา

แม้จะประสบความสำเร็จในการเรียนและการทำงานในบริษัทชั้นนำ แต่ความฝันของเขากลับถูกขัดขวางด้วยความกลัวการถูกปฏิเสธที่ฝังรากลึก จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากนักลงทุนปฏิเสธที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพของเขา แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับตัดสินใจท้าทายตัวเองด้วยการทำภารกิจที่เรียกว่า “100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ” ซึ่งผมว่ามันเป็นการทดลองที่เจ๋งมาก ๆ

แรงบันดาลใจในการทำภารกิจนี้มาจาก Jason Comely ผู้สร้างเกม “Rejection Therapy” ที่มีกฎง่ายๆ คือผู้เล่นต้องทำให้ตัวเองถูกปฏิเสธจากใครสักคนทุกวัน Comely สร้างเกมนี้หลังจากที่ภรรยาของเขาจากไป และเขาต้องต่อสู้กับความกลัวการถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง

ภารกิจของ Jia Jiang เริ่มต้นด้วยการขอสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในแต่ละวัน เช่น การขอยืมเงิน 100 ดอลลาร์จากคนแปลกหน้า การขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก การเคาะประตูบ้านคนแปลกหน้าเพื่อขอเล่นฟุตบอลในสนามหลังบ้าน การขอถ่ายรูปกับพนักงานรักษาความปลอดภัยในท่าซูเปอร์ฮีโร่ หรือแม้แต่การเดินเข้าไปในออฟฟิศแบบสุ่มเพื่อขอทำงานเพียงวันเดียว

หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดคือวันที่เขาขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทรูปวงแหวนโอลิมปิก แทนที่จะถูกปฏิเสธ Jackie พนักงานที่อยู่เวรกลับใช้เวลา 15 นาทีในการวาดและจัดวางโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก พร้อมทั้งใช้น้ำตาลสีต่างๆ ตกแต่งให้สวยงาม โดยไม่คิดเงินเพิ่ม

จากการทดลองนี้ Jia Jiang ได้ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของการถูกปฏิเสธ ประการแรก เขาพบว่าการถูกปฏิเสธนั้นเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ต่างจากการที่คนไม่ชอบไอศกรีมรสมินต์ปฏิเสธที่จะรับประทาน มันไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าของตัวเราแต่อย่างใด

ในระหว่างการทดลอง เขาพบว่าผู้คนมักมีเหตุผลส่วนตัวในการปฏิเสธที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย เช่น กฎระเบียบขององค์กร ข้อจำกัดด้านเวลา หรือแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้น การเข้าใจเรื่องนี้ช่วยให้เขารับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Joshua Bell นักไวโอลินรางวัล Grammy ที่แต่งตัวธรรมดาใส่ยีนส์และหมวกเบสบอล ไปเล่นดนตรีในสถานีรถไฟใต้ดิน DC มีเพียง 7 คนจาก 1,097 คนที่หยุดฟัง ทั้งที่การแสดงของเขามักได้รับเสียงปรบมือยืนยาวในคอนเสิร์ตฮอลล์ชื่อดังอย่าง John F. Kennedy Center

การทดลองของ Joshua Bell เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่จัดทำโดยหนังสือพิมพ์ Washington Post ในปี 2007 เพื่อศึกษาการรับรู้ความงามของศิลปะในบริบทที่ไม่คาดคิด Bell เล่นบทเพลงคลาสสิกที่ยากที่สุดบางบทด้วยไวโอลิน Stradivarius มูลค่า 3.5 ล้านดอลลาร์ แต่ได้รับเงินบริจาคเพียง 32 ดอลลาร์จากการแสดง 45 นาที

นี่แสดงให้เห็นว่าบริบทและจังหวะเวลามีผลต่อการตอบรับมากกว่าความสามารถที่แท้จริง เช่นเดียวกับที่คนในสถานีรถไฟไม่ได้ปฏิเสธความสามารถของ Joshua Bell แต่พวกเขาแค่ไม่ได้อยู่ในโหมดที่จะชื่นชมดนตรีคลาสสิกในตอนเช้าที่เร่งรีบ

ประการที่สอง การถามหาเหตุผลของการปฏิเสธอย่างสุภาพสามารถเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ได้ เช่นครั้งที่ Jia Jiang ขอประกาศเรื่องความปลอดภัยบนเครื่องบิน Southwest แม้จะถูกปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อถามถึงเหตุผล พนักงานกลับคิดหาทางออกใหม่ให้เขาได้พูดต้อนรับผู้โดยสารแทน

การถามหาเหตุผลยังช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย และบางครั้งอาจนำไปสู่ทางออกที่ดีกว่าเดิม เช่นกรณีที่เขาขอใช้เครื่องประกาศเสียงที่ร้าน Costco เพื่อประกาศชมเชยพนักงาน แม้จะถูกปฏิเสธ แต่ผู้จัดการกลับรู้สึกประทับใจในความตั้งใจดีของเขาและเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทน

นอกจากนี้ การถามเหตุผลยังช่วยให้เราได้ข้อมูลที่มีค่าสำหรับการปรับปรุงคำขอในครั้งต่อไป เช่น เมื่อเขาขอให้สายการบินอนุญาตให้ประกาศ เขาได้เรียนรู้ว่ามีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่ต้องคำนึงถึง ทำให้ในครั้งต่อไปเขาสามารถปรับคำขอให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเหล่านั้นได้

ประการที่สาม การลดขนาดคำขอลง หรือที่ Robert Cialdini ผู้เขียนหนังสือ “Influence” เรียกว่า “Retreating” เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะผู้คนมักรู้สึกไม่สบายใจที่จะปฏิเสธคำขอเล็กๆ หลังจากที่ปฏิเสธคำขอใหญ่ไปแล้ว

จากการศึกษาของ Cialdini พบว่าการลดขนาดคำขอสามารถเพิ่มโอกาสการตอบรับได้ถึง 76% เพราะเป็นการแสดงความยืดหยุ่นและความเข้าใจต่อข้อจำกัดของอีกฝ่าย นอกจากนี้ ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากหลักจิตวิทยาที่เรียกว่า “การตอบแทน (Reciprocity)” ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าควรตอบแทนความยืดหยุ่นที่เราแสดงออก

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อ Jia Jiang ขอแซนด์วิช McGriddle จาก McDonald’s ในตอนบ่าย 2 โมง ซึ่งเลยเวลาอาหารเช้าไปแล้ว เมื่อถูกปฏิเสธและได้รับคำอธิบายว่าเครื่องทำไข่และไส้กรอกถูกล้างไปแล้ว เขาจึงปรับคำขอเป็นขนมปังกริดเดิลราดน้ำผึ้งกับชีสแทน ซึ่งพนักงานสามารถจัดให้ได้

การลดขนาดคำขอยังช่วยให้เราได้เรียนรู้ว่าบางครั้งสิ่งที่เราต้องการจริงๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราขอในตอนแรก เช่น ในกรณีของ McDonald’s เขาได้ค้นพบว่าสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือรสชาติของขนมปังกริดเดิล ไม่ใช่แซนด์วิช McGriddle ทั้งชิ้น

การถูกปฏิเสธยังมีประโยชน์แฝงอยู่หลายประการที่น่าสนใจ ประการแรกคือการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการถูกปฏิเสธในอนาคต เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ได้ทำลายคุณค่าในตัวเรา เราจะกล้าเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น เหมือนการฉีดวัคซีนที่ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรค การเผชิญกับการถูกปฏิเสธบ่อยๆ จะช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้น

ในช่วงท้ายของการทดลอง Jia Jiang พบว่าเขาสามารถรับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้นมาก เขารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงเมื่อถูกปฏิเสธ และสามารถมองหาโอกาสใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับนักมวยที่โดนต่อยบ่อยๆ จนชินและรู้วิธีรับมือกับหมัด

ประการที่สองคือการเพิ่มแรงจูงใจ เหมือนกรณีของ Michael Jordan ที่ใช้การถูกปฏิเสธจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมเป็นแรงผลักดันในการฝึกซ้อมหนักขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในนักบาสเก็ตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

Michael Jordan เคยเล่าว่าเขาถูกตัดตัวจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมปลายในปีที่สอง แต่แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับใช้ความผิดหวังนั้นเป็นแรงผลักดันให้ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อซ้อมก่อนเข้าเรียน และซ้อมต่อจนถึงค่ำทุกวัน จนในที่สุดเขาก็ได้กลับเข้าทีมและกลายเป็นดาวเด่น

ประการสุดท้ายคือการให้แนวทางในการปรับปรุง ดังที่ Thomas Edison กล่าวว่า เขาไม่ได้ล้มเหลว 10,000 ครั้ง แต่ค้นพบ 10,000 วิธีที่ใช้ไม่ได้ผล การมองการปฏิเสธแบบไม่มีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องจะช่วยให้เราเห็นจุดที่ต้องปรับปรุงได้ชัดเจนขึ้น

Edison เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้การล้มเหลวเป็นบทเรียน ในการคิดค้นหลอดไฟฟ้า เขาทดลองวัสดุที่จะใช้เป็นไส้หลอดมากกว่า 6,000 ชนิด แต่ละครั้งที่ล้มเหลว เขาจดบันทึกอย่างละเอียดว่าทำไมมันถึงใช้ไม่ได้ จนในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าใยไม้ไผ่เป็นวัสดุที่เหมาะสมที่สุด

หลังจากจบภารกิจ 100 วัน Jia Jiang ได้กลายเป็นวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้เขียนหนังสือ “Rejection Proof” และให้การบรรยาย TED Talk ที่มีผู้ชมนับล้าน ประสบการณ์ของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวการถูกปฏิเสธ

ปัจจุบัน Jia Jiang ได้ก่อตั้งบริษัท Rejection Therapy เพื่อช่วยให้ผู้คนและองค์กรต่างๆ เอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้รับเชิญไปบรรยายในองค์กรชั้นนำมากมาย เช่น Google, Microsoft, และ Bank of America โดยเขาเน้นย้ำว่าการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธไม่เพียงช่วยให้เราประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่ยังช่วยให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้นด้วย

ในท้ายที่สุด Jia Jiang สรุปว่า การถูกปฏิเสธที่เคยเป็นเหมือนยักษ์โกลิอัทในชีวิตของเขา ได้กลายเป็นเพียงความท้าทายที่สามารถเอาชนะได้ด้วยมุมมองที่ถูกต้องและการฝึกฝน เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ใช่การตัดสินคุณค่าของเรา เราก็จะมีอิสระในการขอสิ่งที่ต้องการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอเลื่อนตำแหน่ง การขอความช่วยเหลือ หรือแม้แต่การขอโอกาสในการทำความฝันให้เป็นจริง

References :
หนังสือ Rejection Proof: How I Beat Fear and Became Invincible Through 100 Days of Rejection โดย Jia Jiang

หยุด 3 ความคิดทำลายจิตใจ : บทเรียนจาก Amy Morin ที่จะทำให้คุณลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

ชีวิตมักเต็มไปด้วยเรื่องราวที่คาดไม่ถึง เฉกเช่นเรื่องราวของ Amy Morin นักจิตบำบัดวัย 23 ปี ที่กำลังมีความสุขกับการดูบาสเกตบอลและหัวเราะร่วมกับแม่ของเธอ

แต่โชคชะตากลับพลิกผัน เมื่อเพียง 24 ชั่วโมงต่อมา แม่ของเธอจากไปอย่างกะทันหันด้วยโรคหลอดเลือดสมองแตก ความโศกเศร้าครั้งนั้นยังไม่ทันจางหาย อีกสามปีต่อมา สามีของเธอก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ

ความสูญเสียครั้งใหญ่ทั้งสองครั้งผลักให้ Amy ตกอยู่ในห้วงแห่งความซึมเศร้า แต่ด้วยความที่เธอเป็นนักจิตบำบัด เธอตระหนักดีว่าต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปมากกว่านี้ เธอจึงเริ่มบันทึกสิ่งที่คนจิตใจเข้มแข็งไม่ทำ เพื่อใช้เป็นเข็มทิศนำทางชีวิตของตนเอง

จากประสบการณ์การทำงานด้านจิตบำบัดและการเยียวยาตนเอง Amy ค้นพบว่ามีสามนิสัยทางความคิดสำคัญที่มักบั่นทอนจิตใจมนุษย์ หากเราสามารถแก้ไขนิสัยเหล่านี้ได้ ก็จะช่วยป้องกันพฤติกรรมทำลายจิตใจอื่นๆ ได้โดยอัตโนมัติ

นิสัยแรกคือ “การรู้สึกว่าโลกเป็นหนี้บุญคุณ” เมื่อประสบความล้มเหลวในการทำธุรกิจ หลายคนมักคิดว่า “ฉันทำงานหนักมาตลอด ฉันไม่สมควรได้รับสิ่งนี้” หรือ “ฉันเป็นคนดี มันไม่ยุติธรรมเลย”

ความคิดเช่นนี้เป็นการเปิดประตูต้อนรับความคับข้องใจและความโกรธเข้ามาในชีวิต Amy อธิบายว่าความคิดนี้มักหยั่งรากลึกมาตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อเราทำดีและขยัน พ่อแม่หรือครูก็จะตอบแทนด้วยรางวัลหรือคำชม แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โลกไม่ได้ทำงานในลักษณะเดียวกัน

นิสัยที่สองคือ “การหมกมุ่นกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้” เรื่องราวของ Heather von St. James เป็นแบบอย่างที่ดีของการเอาชนะนิสัยนี้ เมื่อเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตอนลูกสาวอายุเพียงสามเดือน แทนที่จะจมอยู่กับความกลัว เธอเลือกที่จะต่อสู้ หลังผ่านการรักษาด้วยการผ่าตัดและเคมีบำบัดเป็นเวลาหนึ่งปี เธอหายจากโรคร้าย แต่ความกลัวว่ามะเร็งจะกลับมายังคงหลอกหลอนเธอ

Heather จึงคิดค้นพิธีกรรมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือการเขียนความกลัวลงบนจานแล้วทุบจานทิ้งในกองไฟ พิธีกรรมนี้ช่วยให้เธอปลดปล่อยความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และนำพลังงานไปใช้กับสิ่งที่เธอทำได้ ปัจจุบันเธอได้กลายเป็นผู้จัดงานระดมทุนวิจัยมะเร็งประจำปีที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่าแปดสิบคน

นิสัยที่สามคือ “การทำความผิดพลาดซ้ำซาก” คนที่มีจิตใจเข้มแข็งจะหยุดและวิเคราะห์สาเหตุของความล้มเหลวก่อนลุกขึ้นเริ่มต้นใหม่ Amy แนะนำเทคนิคการมองตัวเองจากมุมมองบุคคลที่สาม เสมือนเรากำลังให้คำปรึกษาเพื่อน วิธีนี้จะช่วยให้เรามองเห็นปัจจัยต่างๆ ที่นำไปสู่ความผิดพลาดได้ชัดเจนขึ้น ทั้งในแง่ความคิด พฤติกรรม และปัจจัยภายนอก

เทคนิคที่ Amy แนะนำอีกประการหนึ่งคือการเขียนรายการเหตุผลที่ไม่ควรทำผิดซ้ำและพกติดตัวไว้ เช่น หากต้องการสร้างนิสัยออกกำลังกายหลังอาหารเย็น ให้เขียนเหตุผลสำคัญที่เราควรออกกำลังกายแทนการดูโทรทัศน์ เมื่อใดที่รู้สึกท้อหรืออยากล้มเลิก การอ่านรายการนี้จะช่วยกระตุ้นแรงจูงใจให้เรายังคงเดินหน้าต่อไป

การเอาชนะนิสัยทั้งสามประการนี้จะส่งผลกระเพื่อมไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ ในชีวิต เมื่อเราเลิกคิดว่าโลกเป็นหนี้บุญคุณ เราจะเริ่มมองเห็นคุณค่าของการให้มากกว่าการรับ ความอิจฉาริษยาในความสำเร็จของผู้อื่นจะค่อยๆ จางหายไป เพราะเราตระหนักว่าทุกคนล้วนต้องฝ่าฟันอุปสรรคของตัวเอง

เมื่อเราหยุดหมกมุ่นกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ พลังงานที่เคยสูญเสียไปกับการครุ่นคิดถึงอดีตหรือกังวลกับคำพูดของผู้อื่นจะถูกนำมาใช้ในทางที่สร้างสรรค์มากขึ้น เราจะเริ่มเห็นว่าการพยายามเอาใจคนอื่นเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เพราะเราไม่มีทางควบคุมความคิดหรือการกระทำของพวกเขาได้

และเมื่อเรามุ่งมั่นที่จะไม่ทำผิดซ้ำ เราจะกล้าเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงอย่างมีเหตุผล ความกลัวที่จะล้มเหลวจะถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจว่าความผิดพลาดคือบทเรียน เราจะไม่คาดหวังผลลัพธ์ในทันที และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อเจอกับความล้มเหลวครั้งแรก

ที่สำคัญไปกว่านั้น เราจะเริ่มเห็นคุณค่าของการอยู่กับตัวเอง ช่วงเวลาที่อยู่ตามลำพังจะกลายเป็นโอกาสอันมีค่าในการทบทวนตนเอง เหมือนดังที่ Amy ได้ค้นพบในช่วงเวลาแห่งความสูญเสีย ว่าการอยู่คนเดียวไม่ได้หมายถึงความโดดเดี่ยว แต่เป็นโอกาสในการเยียวยาและค้นพบพลังภายในตัวเอง

บทเรียนจากประสบการณ์ของ Amy Morin แสดงให้เห็นว่าจิตใจที่เข้มแข็งไม่ได้หมายถึงการไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือท้อแท้ แต่หมายถึงความสามารถในการรับมือกับความท้าทายของชีวิตอย่างชาญฉลาด

เมื่อเราเข้าใจและหลีกเลี่ยงนิสัยทางความคิดที่บั่นทอนจิตใจ โดยเฉพาะสามนิสัยหลักที่ได้กล่าวมา เราจะพบว่าตัวเองมีความยืดหยุ่นทางจิตใจมากขึ้น พร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การเดินทางสู่การมีจิตใจที่เข้มแข็งอาจไม่ใช่เส้นทางที่ราบรื่น แต่ด้วยความเข้าใจและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เราทุกคนสามารถพัฒนาความเข้มแข็งทางจิตใจได้ เฉกเช่นที่ Amy ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ในยามที่ชีวิตมืดมน เรายังสามารถลุกขึ้นยืนและก้าวเดินต่อไปได้อย่างสง่างาม

References :
หนังสือ 13 Things Mentally Strong People Don’t Do: Take Back Your Power, Embrace Change, Face Your Fears, and Train Your Brain for Happiness and Success โดย Amy Morin

Geek Life EP120 : เปลี่ยนความกังวลให้เป็นพลังบวก ไขความลับความกังวลของคนดัง ที่เปลี่ยนพวกเขาให้ประสบความสำเร็จ

มนุษย์ทุกคนล้วนมีประสบการณ์เกี่ยวกับความวิตกกังวล แต่น้อยคนนักที่จะสามารถเปลี่ยนความรู้สึกนี้ให้กลายเป็นพลังบวกได้

ย้อนกลับไปกว่าสองทศวรรษ David Rosmarin ยังจำความรู้สึกครั้งแรกที่เผชิญกับอาการวิตกกังวลได้อย่างแม่นยำ ความรู้สึกร้อนผ่าวที่แล่นปราดขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว ลมหายใจที่ถี่กระชั้นจนควบคุมไม่ได้ และเหงื่อเย็นๆ ที่ซึมออกมาตามผิวกาย

นั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจอุทิศตนในการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความวิตกกังวล จนกระทั่งได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักจิตวิทยาคลินิกและก่อตั้งศูนย์บำบัดรักษาอาการวิตกกังวล

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/327uvaws

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3hzpefjt

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/tpRtsUG6Zpc

เปลี่ยนความกังวลให้เป็นพลังบวก : ไขความลับความกังวลของคนดัง ที่เปลี่ยนพวกเขาให้ประสบความสำเร็จ

มนุษย์ทุกคนล้วนมีประสบการณ์เกี่ยวกับความวิตกกังวล แต่น้อยคนนักที่จะสามารถเปลี่ยนความรู้สึกนี้ให้กลายเป็นพลังบวกได้

ย้อนกลับไปกว่าสองทศวรรษ David Rosmarin ยังจำความรู้สึกครั้งแรกที่เผชิญกับอาการวิตกกังวลได้อย่างแม่นยำ ความรู้สึกร้อนผ่าวที่แล่นปราดขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว ลมหายใจที่ถี่กระชั้นจนควบคุมไม่ได้ และเหงื่อเย็นๆ ที่ซึมออกมาตามผิวกาย

นั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจอุทิศตนในการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความวิตกกังวล จนกระทั่งได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักจิตวิทยาคลินิกและก่อตั้งศูนย์บำบัดรักษาอาการวิตกกังวล

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในระหว่างการทำงาน Rosmarin ค้นพบว่าการพยายามกำจัดความวิตกกังวลให้หมดไปจากชีวิตอาจไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุด เพราะความวิตกกังวลในระดับที่เหมาะสมสามารถเป็นแรงขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จได้

ดังจะเห็นได้จากบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์หลายท่าน อย่างเช่น Sir Winston Churchill ที่เคยเผชิญกับอาการกลัวการพูดในที่สาธารณะอย่างรุนแรงจนต้องหยุดนิ่งไปถึงสามนาทีในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่สภา แต่ด้วยการเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น Churchill ได้พัฒนาตนเองจนกลายเป็นหนึ่งในนักพูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20

เช่นเดียวกับ Oprah Winfrey ที่เคยประสบกับภาวะวิตกกังวลอย่างหนักในช่วงทศวรรษ 1990 หลังจากภาพยนตร์ของเธอทำรายได้ไม่ดี จนต้องพึ่งพาการกินเพื่อกลบความรู้สึก แต่ประสบการณ์นั้นได้สอนให้เธอเรียนรู้ที่จะปล่อยวางความคาดหวังและก้าวผ่านความล้มเหลว จนสามารถพัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการสื่อ

หรืออย่าง Taylor Swift ที่เคยเผชิญกับความกลัวอย่างรุนแรงในการร้องเพลงชาติครั้งแรก แต่เธอได้เรียนรู้ที่จะแบ่งปันความรู้สึกผ่านบทเพลง จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย

ประสบการณ์จากการทำงานของ Rosmarin ได้พบกับกรณีที่น่าสนใจมากมาย หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวของ Nicole ผู้ป่วยที่มีอาการ hypochondriasis

แม้ผล MRI จะยืนยันว่าเธอปกติดี แต่เธอก็ยังเชื่อมั่นว่าตนเองเป็นโรคหลอดเลือดโป่งพอง จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

Nicole ได้เข้ารับการบำบัดด้วยวิธี exposure therapy ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากับความกลัวโดยตรง ทั้งการศึกษาข้อมูล การดูวิดีโอ การเข้าไปที่แผนกประสาทวิทยา และที่ท้าทายที่สุดคือการนั่งรถไฟใต้ดินในนิวยอร์กโดยไม่พกโทรศัพท์

หลังจากผ่านการบำบัดได้ไม่นาน Nicole ก็ตั้งครรภ์ และพบว่าทารกในครรภ์มีภาวะหลอดเลือดโป่งพองจริงๆ แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เธอสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างเข้มแข็ง จนสามารถพาลูกชายผ่านการผ่าตัดและเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรง

จากประสบการณ์ของ Nicole ทำให้เห็นว่า ความวิตกกังวลสามารถเปลี่ยนเป็นพลังในการเอาชนะอุปสรรคได้ เช่นเดียวกับประสบการณ์ส่วนตัวของ Rosmarin ที่เคยมีความกลัวความล้มเหลวในหน้าที่การงานอย่างมาก จนบางครั้งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่น

โดยเฉพาะในช่วงแรกที่พบกับ Miri ภรรยาของเขา ที่มักจะสร้างกำแพงและไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริง แต่ด้วยความรักและความเข้าใจที่ไม่มีเงื่อนไขจากเธอ ทำให้ Rosmarin กล้าที่จะเริ่มแบ่งปันความรู้สึกของกันและกันมากขึ้น

ความจริงแล้วการปล่อยวางเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับทุกคน แต่หากเราสามารถยอมรับและเตรียมใจรับมือกับมันได้ ความวิตกกังวลก็จะกลายเป็นแรงผลักดันที่มีพลัง

เหมือนกับที่เราเห็นได้จากความนิยมของภาพยนตร์แนวแอคชั่นและผจญภัยที่มียอดขายมากกว่า 50% ของรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศ และภาพยนตร์สยองขวัญที่กลายเป็นประเภทภาพยนตร์ที่ทำกำไรมากที่สุด สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์เรามีความต้องการที่จะสัมผัสกับความตื่นเต้นในบางครั้ง

สำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนความวิตกกังวลให้เป็นพันธมิตรแทนที่จะเป็นศัตรู Rosmarin ได้นำเสนอแนวทางสี่ประการที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ โดยเริ่มจากการระบุสาเหตุที่แท้จริงของความกลัว ใช้เวลาทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตนเองอย่างลึกซึ้ง

ต่อมาคือการแบ่งปันความรู้สึกกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน จากนั้นคือการยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่พยายามต่อสู้หรือกดมันเอาไว้ และสุดท้ายคือการปล่อยวาง ยอมรับว่าเราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งได้

ความวิตกกังวลเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์ที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่การเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและใช้มันให้เป็นประโยชน์ จะช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เปรียบเสมือนการเดินทางที่แม้จะมีอุปสรรค แต่ทุกก้าวที่ผ่านไปล้วนมีคุณค่าและความหมาย การเผชิญหน้ากับความวิตกกังวลจึงไม่ใช่การต่อสู้เพื่อเอาชนะ แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมันอย่างสมดุล

อย่างไรก็ตาม หากความวิตกกังวลส่งผลกระทบรุนแรงต่อการดำเนินชีวิต การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะการดูแลสุขภาพจิตก็สำคัญไม่แพ้การดูแลสุขภาพกาย และไม่ใช่เรื่องที่ต้องอับอายแต่อย่างใดนั่นเองครับผม

References :
How to turn anxiety into your ally, not your enemy | David H. Rosmarin | TEDxNashville
https://youtu.be/iMJ_lpxiTNg?si=yDfrUs5Gk5KwnyQ9