Geek Life EP139 : หยุด 3 ความคิดทำลายจิตใจ บทเรียนจาก Amy Morin ที่จะทำให้คุณลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

ชีวิตมักเต็มไปด้วยเรื่องราวที่คาดไม่ถึง เฉกเช่นเรื่องราวของ Amy Morin นักจิตบำบัดวัย 23 ปี ที่กำลังมีความสุขกับการดูบาสเกตบอลและหัวเราะร่วมกับแม่ของเธอ

แต่โชคชะตากลับพลิกผัน เมื่อเพียง 24 ชั่วโมงต่อมา แม่ของเธอจากไปอย่างกะทันหันด้วยโรคหลอดเลือดสมองแตก ความโศกเศร้าครั้งนั้นยังไม่ทันจางหาย อีกสามปีต่อมา สามีของเธอก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mp7fuz7f

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mwjbuxn6

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/pdh9K7Oz5PU

หยุด 3 ความคิดทำลายจิตใจ : บทเรียนจาก Amy Morin ที่จะทำให้คุณลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

ชีวิตมักเต็มไปด้วยเรื่องราวที่คาดไม่ถึง เฉกเช่นเรื่องราวของ Amy Morin นักจิตบำบัดวัย 23 ปี ที่กำลังมีความสุขกับการดูบาสเกตบอลและหัวเราะร่วมกับแม่ของเธอ

แต่โชคชะตากลับพลิกผัน เมื่อเพียง 24 ชั่วโมงต่อมา แม่ของเธอจากไปอย่างกะทันหันด้วยโรคหลอดเลือดสมองแตก ความโศกเศร้าครั้งนั้นยังไม่ทันจางหาย อีกสามปีต่อมา สามีของเธอก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ

ความสูญเสียครั้งใหญ่ทั้งสองครั้งผลักให้ Amy ตกอยู่ในห้วงแห่งความซึมเศร้า แต่ด้วยความที่เธอเป็นนักจิตบำบัด เธอตระหนักดีว่าต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปมากกว่านี้ เธอจึงเริ่มบันทึกสิ่งที่คนจิตใจเข้มแข็งไม่ทำ เพื่อใช้เป็นเข็มทิศนำทางชีวิตของตนเอง

จากประสบการณ์การทำงานด้านจิตบำบัดและการเยียวยาตนเอง Amy ค้นพบว่ามีสามนิสัยทางความคิดสำคัญที่มักบั่นทอนจิตใจมนุษย์ หากเราสามารถแก้ไขนิสัยเหล่านี้ได้ ก็จะช่วยป้องกันพฤติกรรมทำลายจิตใจอื่นๆ ได้โดยอัตโนมัติ

นิสัยแรกคือ “การรู้สึกว่าโลกเป็นหนี้บุญคุณ” เมื่อประสบความล้มเหลวในการทำธุรกิจ หลายคนมักคิดว่า “ฉันทำงานหนักมาตลอด ฉันไม่สมควรได้รับสิ่งนี้” หรือ “ฉันเป็นคนดี มันไม่ยุติธรรมเลย”

ความคิดเช่นนี้เป็นการเปิดประตูต้อนรับความคับข้องใจและความโกรธเข้ามาในชีวิต Amy อธิบายว่าความคิดนี้มักหยั่งรากลึกมาตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อเราทำดีและขยัน พ่อแม่หรือครูก็จะตอบแทนด้วยรางวัลหรือคำชม แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โลกไม่ได้ทำงานในลักษณะเดียวกัน

นิสัยที่สองคือ “การหมกมุ่นกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้” เรื่องราวของ Heather von St. James เป็นแบบอย่างที่ดีของการเอาชนะนิสัยนี้ เมื่อเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตอนลูกสาวอายุเพียงสามเดือน แทนที่จะจมอยู่กับความกลัว เธอเลือกที่จะต่อสู้ หลังผ่านการรักษาด้วยการผ่าตัดและเคมีบำบัดเป็นเวลาหนึ่งปี เธอหายจากโรคร้าย แต่ความกลัวว่ามะเร็งจะกลับมายังคงหลอกหลอนเธอ

Heather จึงคิดค้นพิธีกรรมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือการเขียนความกลัวลงบนจานแล้วทุบจานทิ้งในกองไฟ พิธีกรรมนี้ช่วยให้เธอปลดปล่อยความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และนำพลังงานไปใช้กับสิ่งที่เธอทำได้ ปัจจุบันเธอได้กลายเป็นผู้จัดงานระดมทุนวิจัยมะเร็งประจำปีที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่าแปดสิบคน

นิสัยที่สามคือ “การทำความผิดพลาดซ้ำซาก” คนที่มีจิตใจเข้มแข็งจะหยุดและวิเคราะห์สาเหตุของความล้มเหลวก่อนลุกขึ้นเริ่มต้นใหม่ Amy แนะนำเทคนิคการมองตัวเองจากมุมมองบุคคลที่สาม เสมือนเรากำลังให้คำปรึกษาเพื่อน วิธีนี้จะช่วยให้เรามองเห็นปัจจัยต่างๆ ที่นำไปสู่ความผิดพลาดได้ชัดเจนขึ้น ทั้งในแง่ความคิด พฤติกรรม และปัจจัยภายนอก

เทคนิคที่ Amy แนะนำอีกประการหนึ่งคือการเขียนรายการเหตุผลที่ไม่ควรทำผิดซ้ำและพกติดตัวไว้ เช่น หากต้องการสร้างนิสัยออกกำลังกายหลังอาหารเย็น ให้เขียนเหตุผลสำคัญที่เราควรออกกำลังกายแทนการดูโทรทัศน์ เมื่อใดที่รู้สึกท้อหรืออยากล้มเลิก การอ่านรายการนี้จะช่วยกระตุ้นแรงจูงใจให้เรายังคงเดินหน้าต่อไป

การเอาชนะนิสัยทั้งสามประการนี้จะส่งผลกระเพื่อมไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ ในชีวิต เมื่อเราเลิกคิดว่าโลกเป็นหนี้บุญคุณ เราจะเริ่มมองเห็นคุณค่าของการให้มากกว่าการรับ ความอิจฉาริษยาในความสำเร็จของผู้อื่นจะค่อยๆ จางหายไป เพราะเราตระหนักว่าทุกคนล้วนต้องฝ่าฟันอุปสรรคของตัวเอง

เมื่อเราหยุดหมกมุ่นกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ พลังงานที่เคยสูญเสียไปกับการครุ่นคิดถึงอดีตหรือกังวลกับคำพูดของผู้อื่นจะถูกนำมาใช้ในทางที่สร้างสรรค์มากขึ้น เราจะเริ่มเห็นว่าการพยายามเอาใจคนอื่นเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เพราะเราไม่มีทางควบคุมความคิดหรือการกระทำของพวกเขาได้

และเมื่อเรามุ่งมั่นที่จะไม่ทำผิดซ้ำ เราจะกล้าเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงอย่างมีเหตุผล ความกลัวที่จะล้มเหลวจะถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจว่าความผิดพลาดคือบทเรียน เราจะไม่คาดหวังผลลัพธ์ในทันที และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อเจอกับความล้มเหลวครั้งแรก

ที่สำคัญไปกว่านั้น เราจะเริ่มเห็นคุณค่าของการอยู่กับตัวเอง ช่วงเวลาที่อยู่ตามลำพังจะกลายเป็นโอกาสอันมีค่าในการทบทวนตนเอง เหมือนดังที่ Amy ได้ค้นพบในช่วงเวลาแห่งความสูญเสีย ว่าการอยู่คนเดียวไม่ได้หมายถึงความโดดเดี่ยว แต่เป็นโอกาสในการเยียวยาและค้นพบพลังภายในตัวเอง

บทเรียนจากประสบการณ์ของ Amy Morin แสดงให้เห็นว่าจิตใจที่เข้มแข็งไม่ได้หมายถึงการไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือท้อแท้ แต่หมายถึงความสามารถในการรับมือกับความท้าทายของชีวิตอย่างชาญฉลาด

เมื่อเราเข้าใจและหลีกเลี่ยงนิสัยทางความคิดที่บั่นทอนจิตใจ โดยเฉพาะสามนิสัยหลักที่ได้กล่าวมา เราจะพบว่าตัวเองมีความยืดหยุ่นทางจิตใจมากขึ้น พร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การเดินทางสู่การมีจิตใจที่เข้มแข็งอาจไม่ใช่เส้นทางที่ราบรื่น แต่ด้วยความเข้าใจและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เราทุกคนสามารถพัฒนาความเข้มแข็งทางจิตใจได้ เฉกเช่นที่ Amy ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ในยามที่ชีวิตมืดมน เรายังสามารถลุกขึ้นยืนและก้าวเดินต่อไปได้อย่างสง่างาม

References :
หนังสือ 13 Things Mentally Strong People Don’t Do: Take Back Your Power, Embrace Change, Face Your Fears, and Train Your Brain for Happiness and Success โดย Amy Morin

Geek Life EP128 : 5 วินาทีเปลี่ยนชีวิต หยุดผัดวันประกันพรุ่ง นับ 5-1 ชีวิตจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

ชีวิตของผู้คนมากมายมักเต็มไปด้วยความลังเลและการผัดวันประกันพรุ่ง เฉกเช่นเดียวกับ Mel Robbins ที่เคยประสบช่วงเวลาอันมืดมนในชีวิต เธอต้องเผชิญกับปัญหารุมเร้ามากมาย ทั้งการติดเหล้าอย่างหนัก สุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรม สูญเสียงานที่เคยทำ และธุรกิจร้านอาหารของสามีที่กำลังประสบวิกฤตทางการเงิน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4bu7u8k7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3aj69pzu

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/E6UvA3R7Ipo

5 วินาทีเปลี่ยนชีวิต : หยุดผัดวันประกันพรุ่ง เพียงนับ 5-1 ชีวิตจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

ชีวิตของผู้คนมากมายมักเต็มไปด้วยความลังเลและการผัดวันประกันพรุ่ง เฉกเช่นเดียวกับ Mel Robbins ที่เคยประสบช่วงเวลาอันมืดมนในชีวิต เธอต้องเผชิญกับปัญหารุมเร้ามากมาย ทั้งการติดเหล้าอย่างหนัก สุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรม สูญเสียงานที่เคยทำ และธุรกิจร้านอาหารของสามีที่กำลังประสบวิกฤตทางการเงิน

ในทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา เธอแทบไม่มีเรี่ยวแรงหรือแรงจูงใจที่จะลุกจากเตียง และมักจะเลือกกดปุ่มเลื่อนปลุกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายที่รอคอยอยู่

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเธอเกิดขึ้นในเช้าวันหนึ่ง เมื่อภาพของกระสวยอวกาศ NASA ที่กำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากรายการโทรทัศน์เมื่อคืนก่อนผุดขึ้นในความคิด

ภาพนั้นสร้างแรงบันดาลใจให้เธอตัดสินใจทำบางสิ่งที่แตกต่าง เธอเริ่มนับถอยหลังในใจ “ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง” และในทันทีที่นับจบ เธอก็ผลักตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง การค้นพบที่เรียบง่ายนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ

ตัวอย่างของนักบินอวกาศที่ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวดและรอคอยการนับถอยหลังก่อนปล่อยจรวด การนับถอยหลังของ Robbins ก็เป็นเหมือนพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนเป็นการเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมสำหรับการลงมือทำ

วิธีการนี้กลายเป็นเครื่องมือที่เธอนำมาใช้ในทุกสถานการณ์ของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการสวมรองเท้าวิ่งเมื่อรู้สึกขี้เกียจออกกำลังกาย หรือการเปิดคอมพิวเตอร์เพื่ออัพเดตเรซูเม่เมื่อรู้สึกท้อแท้กับการหางาน

ทุกครั้งที่ความลังเลเข้าครอบงำ เธอจะใช้การนับถอยหลัง 5 วินาทีเพื่อผลักดันตัวเองให้ก้าวผ่านกำแพงแห่งความกลัวและความไม่มั่นใจ

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากใช้วิธีการนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือนนั้นน่าทึ่ง ชีวิตของ Robbins เริ่มเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอได้รับโอกาสให้ทำงานเป็นผู้บรรยายที่สถานีโทรทัศน์ CNN ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูสถานะทางการเงิน

เธอและสามีสามารถจัดการกับหนี้สินและค่อยๆ พลิกฟื้นธุรกิจร้านอาหารให้กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง นอกจากนี้ เธอยังประสบความสำเร็จในการเขียนหนังสือที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนอีกมากมาย

ความสำเร็จของ Robbins ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยที่เกิดขึ้นในทุกๆ วัน เปรียบเสมือนการต่อจิ๊กซอว์ทีละชิ้น การตัดสินใจเล็กๆ ในแต่ละวันค่อยๆ ประกอบกันเป็นภาพใหญ่แห่งความสำเร็จ

Charles Duhigg ผู้เขียนหนังสือ “The Power of Habit” ได้อธิบายถึงความสำคัญของนิสัยที่มีต่อชีวิตของมนุษย์ไว้อย่างน่าสนใจ เขาชี้ให้เห็นว่านิสัยคือกลไกสำคัญที่กำหนดชะตาชีวิตของเรา

โดยนิสัยทุกอย่างประกอบด้วยองค์ประกอบสามส่วนที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ได้แก่ ตัวกระตุ้น (Cue) ซึ่งเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม กิจวัตร (Routine) คือพฤติกรรมที่เราทำซ้ำๆ และรางวัล (Reward) คือผลลัพธ์ที่ทำให้เรารู้สึกดีและอยากทำพฤติกรรมนั้นซ้ำ

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือ (ตัวกระตุ้น) เราจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบข้อความ (กิจวัตร) และเมื่อได้รับคำขอบคุณหรือการตอบกลับที่ดี (รางวัล) เราก็จะรู้สึกดีและมีแนวโน้มที่จะทำพฤติกรรมนี้ซ้ำในครั้งต่อไป วงจรนี้จะวนเวียนไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย

การนับถอยหลัง 5 วินาทีทำงานสอดคล้องกับหลักการนี้อย่างแยบยล โดยมีตัวกระตุ้นที่ชัดเจนคือการนับถอยหลัง ซึ่งเป็นสัญญาณสากลที่สมองของมนุษย์คุ้นเคยและเข้าใจว่าต้องมีการกระทำบางอย่างเกิดขึ้นหลังจากนับถึงหนึ่ง

เมื่อเราลงมือทำตามที่ตั้งใจ เราจะได้รับรางวัลทันทีในรูปแบบของความรู้สึกที่ได้ควบคุมสถานการณ์ ซึ่งเป็นรางวัลที่ทรงพลังและสร้างความพึงพอใจให้กับสมองของเรา

Julian Rotter นักจิตวิทยาผู้บุกเบิกแนวคิดสำคัญทางจิตวิทยาได้นำเสนอทฤษฎี “locus of control” ในปี 1954 ซึ่งอธิบายว่า ระดับความเชื่อที่บุคคลมีต่อความสามารถในการควบคุมชีวิตและอนาคตของตนเองนั้นมีผลโดยตรงต่อความสุขและความสำเร็จ

ยิ่งบุคคลเชื่อว่าตนเองสามารถควบคุมและกำหนดทิศทางชีวิตได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จและมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การนับถอยหลัง 5 วินาทีจึงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความรู้สึกควบคุมได้ผ่านการลงมือทำเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน

มันเปรียบเสมือนการเดินทางที่ยาวไกล แม้ก้าวแรกอาจดูเป็นก้าวเล็ก ๆ แต่เมื่อก้าวไปอย่างต่อเนื่อง เราก็จะพบว่าตัวเองได้เดินทางมาไกลเกินคาด การนับถอยหลัง 5 วินาทีก็เช่นกัน แต่ละครั้งที่เรานับถอยหลังและลงมือทำ เราก็กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่จะสะสมเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ในอนาคต

Robbins ได้นำเทคนิคนี้มาใช้แทนที่นิสัยเดิมที่ไม่พึงประสงค์ในชีวิตประจำวัน เมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกอยากดื่มเหล้าในยามค่ำคืน เธอจะนับถอยหลังและเปลี่ยนการกระทำเป็นการเก็บขวดกลับเข้าตู้แทน หรือเมื่อหาข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย เธอจะใช้การนับถอยหลังเพื่อผลักดันตัวเองให้สวมรองเท้าวิ่งและออกไปวิ่ง การแทนที่นิสัยเก่าด้วยนิสัยใหม่เช่นนี้เป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้เทคนิคนี้คือการรับฟังเสียงจากสัญชาตญาณภายในที่มักจะกระซิบบอกเราว่า “ควรทำสิ่งนี้” แม้ว่าในขณะนั้นเราอาจจะรู้สึกไม่สบายใจหรือลังเลก็ตาม Robbins อธิบายว่าเมื่อเราตั้งเป้าหมายใดๆ สมองของเราจะทำหน้าที่เสมือนเรดาร์ที่คอยสังเกตและจดจำโอกาสต่างๆ ที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายนั้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เมื่อเราตั้งเป้าหมายด้านสุขภาพ การเดินผ่านฟิตเนสหรือสวนสาธารณะจะกระตุ้นให้ pre-filter cortex หรือสมองส่วนหน้าทำงาน เพราะสถานที่เหล่านี้เชื่อมโยงโดยตรงกับเป้าหมายด้านสุขภาพของเรา เสียงกระซิบในใจที่บอกว่า “ควรแวะเข้าไปออกกำลังกาย” คือสัญญาณจากสัญชาตญาณที่กำลังเตือนให้เราไม่พลาดโอกาสในการบรรลุเป้าหมาย

การฝึกฝนที่จะรับฟังและตอบสนองต่อสัญญาณเหล่านี้เป็นทักษะที่ต้องอาศัยเวลาและความอดทน เปรียบเสมือนการฝึกกล้ามเนื้อ ยิ่งเราฝึกฝนมากเท่าไร การตอบสนองก็จะยิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น

การนับถอยหลัง 5 วินาทีเป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างความคิดและการกระทำ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราข้ามผ่านช่วงเวลาแห่งความลังเลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ในชีวิตประจำวัน เราสามารถประยุกต์ใช้เทคนิคนี้ได้ในหลากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการตื่นแต่เช้าเพื่อทำงานสำคัญ การเริ่มต้นโครงการที่ท้าทาย หรือแม้แต่การตัดสินใจเข้านอนเร็วขึ้นเพื่อสุขภาพที่ดี

Robbins แนะนำให้จินตนาการว่าตัวเองเป็นนักกีฬาที่กำลังยืนอยู่ ณ จุดเริ่มต้น รอฟังเสียงปืนที่จะเป็นสัญญาณให้วิ่งไปสู่เป้าหมาย การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจและความรู้สึกควบคุมได้ในทุกๆ ย่างก้าวของชีวิต

เมื่อเวลาผ่านไป การนับถอยหลัง 5 วินาทีจะกลายเป็นมากกว่าเพียงเทคนิคการจัดการตนเอง แต่จะกลายเป็นปรัชญาการใช้ชีวิตที่สอนให้เราเข้าใจว่า ทุกการตัดสินใจ แม้จะเล็กน้อยเพียงใด ล้วนมีความสำคัญต่อเส้นทางชีวิตของเรา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มักเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ และความกล้าที่จะลงมือทำในวันนี้

หนังสือ “The Five-Second Rule” ของ Mel Robbins ไม่เพียงแต่นำเสนอเทคนิคง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ทันที แต่ยังรวบรวมเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจมากมาย ที่จะช่วยให้ผู้อ่านกล้าที่จะก้าวออกจากความลังเลและลงมือทำในสิ่งที่ควรทำ เพื่อนำพาชีวิตไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The 5 Second Rule: Transform your Life, Work, and Confidence with Everyday Courage โดย Mel Robbins 

Geek Life EP96 : ด้านมืดของการพัฒนาตนเอง ทำไมยิ่งพัฒนาตัวเอง ยิ่งรู้สึกแย่ พบคำตอบที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

การพัฒนาตนเองเป็นเส้นทางที่ท้าทายและมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างมีเส้นทางเดินในการพัฒนาตนเองที่แตกต่างกันไป และมันไม่มีสูตรสำเร็จตามหนังสือที่มันตายตัวสำหรับทุกคน

Suzanne Eder ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตนเองได้แบ่งปันมุมมองที่น่าสนใจผ่านเวที Ted Talks ในหัวข้อ The Dark Side of Self Improvement

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/y8kk8fys

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/38843bph

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/cVzJKapEwrs