Geek Life EP132 : หน้าเดียวจบ ครบทุกเป้าหมาย เปิดโลกความสำเร็จด้วยกระดาษแผ่นเดียว กับเคล็ดลับจาก Dr. Sarah Glova

ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและความวุ่นวาย บางครั้งแนวคิดที่เรียบง่ายที่สุดกลับเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุด เช่นเดียวกับที่ Dr. Sarah Glova นักข่าวธุรกิจและพิธีกรพอดแคสต์ผู้มากประสบการณ์ ได้ค้นพบระหว่างการสนทนากับเพื่อนของเธอ

เธอกล่าวว่าแม้แต่เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดอย่างการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็สามารถวางแผนได้ในกระดาษเพียงหนึ่งหน้า คำกล่าวนี้อาจฟังดูเหลือเชื่อสำหรับหลายคน แต่เบื้องหลังแนวคิดนี้คือประสบการณ์อันยาวนานและการค้นพบที่น่าสนใจมาก ๆ ของเธอ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/bwwhr8wp

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2bty2mx8

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/fD5LMsuGuB4

Geek Life EP130 : เลียนแบบอย่างไรให้เป็นตำนานลัดคิว! สู่ความสำเร็จด้วยวิธีคิดที่อัจฉริยะใช้

ในโลกแห่งการพัฒนาตนเอง หนังสือ “Decoding Greatness” โดย Ron Friedman ได้เปิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ ซึ่งแตกต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิมที่มีมาอย่างยาวนาน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4zbajd29

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4ejwup5t

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/UD3F3uefQbk

Geek Life EP125 : 3 นิสัยหยุดล้มเหลวตลอดกาล ทำไมคนเก่งถึงเก่งได้ตลอด เคล็ดลับความสำเร็จจาก CEO ระดับโลก

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความท้าทาย การพัฒนาตนเองให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่น้อยคนนักที่จะทำได้สำเร็จ

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยยกระดับชีวิตของคุณสู่อีกขั้น ผ่านแนวคิดที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจาก Brendon Bouchard ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพมนุษย์

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4r9wt5b6

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/f7da9z33

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/kUpj1hkhE2w

หน้าเดียวจบ ครบทุกเป้าหมาย : เปิดโลกความสำเร็จด้วยกระดาษแผ่นเดียว กับเคล็ดลับจาก Dr. Sarah Globa

ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและความวุ่นวาย บางครั้งแนวคิดที่เรียบง่ายที่สุดกลับเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุด เช่นเดียวกับที่ Dr. Sarah Globa นักข่าวธุรกิจและพิธีกรพอดแคสต์ผู้มากประสบการณ์ ได้ค้นพบระหว่างการสนทนากับเพื่อนของเธอ

เธอกล่าวว่าแม้แต่เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดอย่างการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็สามารถวางแผนได้ในกระดาษเพียงหนึ่งหน้า คำกล่าวนี้อาจฟังดูเหลือเชื่อสำหรับหลายคน แต่เบื้องหลังแนวคิดนี้คือประสบการณ์อันยาวนานและการค้นพบที่น่าสนใจมาก ๆ ของเธอ

การค้นพบรูปแบบแห่งความสำเร็จ

ตลอดเส้นทางอาชีพที่ยาวนาน Dr. Globa ได้มีโอกาสสัมภาษณ์บุคคลที่ประสบความสำเร็จมากมาย ตั้งแต่ผู้ก่อตั้งบริษัทที่สร้างนวัตกรรมใหม่ ผู้นำการเคลื่อนไหวทางสังคมที่สร้างการเปลี่ยนแปลง นักเทคโนโลยีที่พัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่เปลี่ยนโลก ไปจนถึงผู้บุกเบิกที่ทำลายกำแพงด้านเชื้อชาติและเพศในวงการต่างๆ

จากการสัมภาษณ์ที่มีมากกว่าพันครั้ง Dr. Globa เริ่มสังเกตเห็นรูปแบบที่น่าสนใจ แม้ว่าแต่ละคนจะมีภูมิหลัง ประสบการณ์ และเป้าหมายที่แตกต่างกัน แต่พวกเขามีวิธีการจัดการกับความท้าทายและการบรรลุเป้าหมายที่คล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาดใจ สิ่งนี้จุดประกายให้เธอใช้เวลาหลายปีในการศึกษาและวิเคราะห์รูปแบบดังกล่าว

การพัฒนาสู่แนวคิด “แผนหนึ่งหน้า”

หลังจากการวิจัยอย่างละเอียดและการทดสอบกับกลุ่มคนหลากหลาย Dr. Globa ได้พัฒนาแนวคิด “แผนหนึ่งหน้า” ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับเป้าหมายทุกประเภท ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ โดยแบ่งออกเป็นสามองค์ประกอบสำคัญที่ต้องทำงานร่วมกัน

องค์ประกอบที่ 1: การสร้างความเฉพาะเจาะจง

ส่วนแรกของแผนเน้นที่การกำหนดเป้าหมายที่มีความเฉพาะเจาะจงอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการระบุสิ่งที่ต้องการอย่างกว้างๆ เช่น “อยากเขียนหนังสือ” หรือ “อยากเริ่มธุรกิจ” แต่ต้องลงลึกถึงรายละเอียดที่ทำให้เป้าหมายนั้นเป็นของเราอย่างแท้จริง

การสร้างความเฉพาะเจาะจงต้องตอบคำถามสำคัญหลายข้อ:

  • เหตุผลและแรงจูงใจที่แท้จริงในการตั้งเป้าหมายนี้
  • คุณค่าและความหมายของเป้าหมายที่มีต่อชีวิตของเรา
  • จุดแข็ง ความสามารถ และประสบการณ์เฉพาะตัวที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมาย
  • กรอบเวลาที่ชัดเจนในการทำให้สำเร็จ
  • รูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตและความรับผิดชอบที่มีอยู่

Dr. Globa เน้นย้ำว่าความเฉพาะเจาะจงนี้ควรใช้พื้นที่ประมาณหนึ่งในสามของกระดาษ และต้องเขียนในลักษณะที่ทำให้ไม่มีใครสามารถนำแผนของเราไปใช้แทนได้ เพราะมันสะท้อนตัวตน เป้าหมาย และสถานการณ์เฉพาะของเราอย่างชัดเจน

องค์ประกอบที่ 2: การจัดลำดับความสำคัญและการลงมือทำ

ส่วนที่สองของแผนให้โฟกัสที่การลงมือทำอย่างมีประสิทธิภาพ Dr. Globa สังเกตว่าหลายคนติดกับดักของการวางแผนไม่สิ้นสุด เช่น การปรับแต่งเรซูเม่หรือโปรไฟล์ LinkedIn อยู่เป็นเดือนๆ โดยไม่เคยก้าวไปสู่การกระทำที่สำคัญจริงๆ

ในพื้นที่ส่วนกลางของกระดาษ แผนจะประกอบด้วยวันที่และเป้าหมายระยะสั้นที่สำคัญ โดยเน้นที่การกระทำที่จะสร้างความก้าวหน้าอย่างแท้จริง แม้ว่าบางครั้งอาจรู้สึกเสี่ยงหรือท้าทาย เช่น การส่งใบสมัครงาน การเขียนบทแรกของหนังสือ หรือการติดต่อนักลงทุน

Dr. Globa พบว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จมักมีความสามารถพิเศษในการระบุและให้ความสำคัญกับการกระทำที่สร้างผลกระทบสูง แม้ว่าพวกเขาจะมีรายการสิ่งที่ต้องทำมากมายเช่นเดียวกับคนทั่วไป แต่พวกเขาสามารถแยกแยะและโฟกัสไปที่สิ่งที่สำคัญที่สุดได้อย่างแม่นยำ

องค์ประกอบที่ 3: การสร้างชุมชนและเครือข่ายสนับสนุน

ส่วนสุดท้ายของแผน ซึ่ง Dr. Globa มองว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด คือการสร้างระบบสนับสนุน จากการสัมภาษณ์ผู้ประสบความสำเร็จทุกคน เธอพบว่าไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จโดยลำพัง ทุกคนล้วนมีที่ปรึกษา พี่เลี้ยง หรือผู้สนับสนุนที่คอยช่วยเหลือในยามที่เผชิญอุปสรรค

การสร้างชุมชนและเครือข่ายไม่เพียงแต่เป็นการระบุคนที่เราสามารถขอความช่วยเหลือได้ในปัจจุบัน แต่ยังต้องวางแผนว่าเราต้องการความเชี่ยวชาญหรือการสนับสนุนในด้านใดเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น Dr. Globa เน้นย้ำว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมในการสร้างเครือข่ายคือก่อนที่เราจะต้องการความช่วยเหลือ ไม่ใช่เมื่อเราติดขัดแล้ว

การประยุกต์ใช้แผนหนึ่งหน้า

ในยุคที่ข้อมูลและความวุ่นวายหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด การมีแผนที่กระชับเพียงหนึ่งหน้าช่วยให้เรามีจุดยึดเหนี่ยวที่ชัดเจน แผนนี้ทำหน้าที่เสมือนเข็มทิศที่คอยเตือนใจถึงเป้าหมายและสิ่งที่สำคัญท่ามกลางเสียงรบกวนรอบตัว

นอกจากนี้ ความเรียบง่ายของแผนหนึ่งหน้ายังทำให้เราสามารถพกพาและเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะอยู่ในห้องทำงาน หอพัก หรือในกระเป๋าเป้ การมีแผนอยู่ใกล้ตัวช่วยเตือนความทรงจำและรักษาแรงบันดาลใจให้คงอยู่ แม้ในวันที่ยากลำบาก

ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่จากแนวคิดที่เรียบง่าย

Dr. Globa เชื่อว่าโลกจะเป็นสถานที่ที่ดีขึ้นถ้าผู้คนสามารถบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา แผนหนึ่งหน้าจึงเป็นเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถเริ่มต้นเดินทางสู่ความสำเร็จได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้มีทรัพยากรหรือเครื่องมือที่ซับซ้อน

การมีแผนที่ชัดเจนและกระชับไม่เพียงช่วยให้เราโฟกัสที่สิ่งสำคัญ แต่ยังเป็นการเตือนใจถึงศักยภาพที่เรามี และการสนับสนุนที่เราสามารถขอความช่วยเหลือได้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องการนั่นเองครับผม

References :
How to achieve your goals with a single page | Sarah Glova | TEDxShawUniversity
https://youtu.be/LeXSrEMXvQk?si=rQPVtLkQt3qNBekF

เลียนแบบอย่างไรให้เป็นตำนาน : ลัดคิว! สู่ความสำเร็จด้วยวิธีคิดที่อัจฉริยะใช้

ในโลกแห่งการพัฒนาตนเอง หนังสือ “Decoding Greatness” โดย Ron Friedman ได้เปิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ ซึ่งแตกต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิมที่มีมาอย่างยาวนาน

โดยทั่วไปผู้คนมักเชื่อว่ามีเพียงสองเส้นทางหลักที่จะนำไปสู่ความยิ่งใหญ่ในชีวิต เส้นทางแรกคือการมีพรสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิด เหมือนดังเช่น Michael Phelps นักว่ายน้ำระดับตำนานที่มีสรีระร่างกายที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการว่ายน้ำ ทั้งแขนที่ยาวกว่าปกติ เท้าที่มีขนาดใหญ่ และข้อเท้าที่ยืดหยุ่นพิเศษ จนสามารถก้าวขึ้นเป็นนักกีฬาโอลิมปิกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ด้วยการคว้าเหรียญทองมากที่สุดในประวัติศาสตร์กีฬาโอลิมปิก

ส่วนเส้นทางที่สองคือการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่อง ใช้เวลานับพันชั่วโมงในการฝึกซ้อม พร้อมทั้งรับฟีดแบ็คและปรับปรุงการฝึกฝนอย่างมีเป้าหมายในสาขาที่ต้องการความเป็นเลิศ

แนวคิดนี้สอดคล้องกับทฤษฎี 10,000 ชั่วโมงของ Malcolm Gladwell ที่กล่าวว่าการจะเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างน้อย 10,000 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม Friedman ได้นำเสนอเส้นทางที่สาม นั่นคือ “การวิศวกรรมย้อนกลับสู่ความยิ่งใหญ่ (Reverse Engineering to Greatness)” ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยให้เราสามารถค้นพบพิมพ์เขียวลับที่ซ่อนอยู่ในทุกผลงานอันยอดเยี่ยม

ไม่ว่าจะเป็นในด้านกีฬา ศิลปะ ดนตรี วรรณกรรม การแสดง ธุรกิจ หรือศาสตร์แขนงใดก็ตาม การค้นพบพิมพ์เขียวเหล่านี้จะช่วยประหยัดเวลาในการฝึกฝนและเปิดโอกาสให้เราก้าวข้ามผู้ที่มีพรสวรรค์มากกว่าได้

ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขามักเริ่มต้นจากการเป็นนักสะสมผลงานชิ้นเยี่ยม David Bowie ศิลปินระดับตำนานสะสมแผ่นเสียงจำนวนมากและใช้เวลาศึกษาดนตรีหลากหลายแนว จนสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ผสมผสานอิทธิพลจากดนตรีหลายยุคสมัยได้อย่างลงตัว

Julia Child เชฟชื่อดังผู้บุกเบิกรายการทำอาหารทางโทรทัศน์สะสมตำราอาหารและใช้เวลาหลายปีในการศึกษาศิลปะการทำอาหารฝรั่งเศส จนสามารถเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารฝรั่งเศสสู่ชาวอเมริกันได้อย่างกว้างขวาง

Quentin Tarantino ผู้กำกับภาพยนตร์ระดับชั้นครูก็เริ่มต้นจากการดูภาพยนตร์มากมายในขณะที่ทำงานเป็นพนักงานร้านวิดีโอ จนได้รับการว่าจ้างให้เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำร้านที่คอยให้คำแนะนำลูกค้า ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยหล่อหลอมให้เขากลายเป็นผู้กำกับที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์และได้รับการยอมรับระดับโลก

แม้แต่ Vincent van Gogh จิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ที่ใช้ชีวิตอย่างยากจน ก็ยังสะสมภาพพิมพ์ญี่ปุ่นได้มากกว่าพันชิ้น ซึ่งอิทธิพลของศิลปะญี่ปุ่นสามารถเห็นได้ชัดในผลงานช่วงหลังของเขา

นอกจากนี้ Michelle Bernstein เชฟระดับรางวัล James Beard ยังแนะนำให้เชฟรุ่นใหม่ที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศ ควรลงทุนไปรับประทานอาหารที่ร้านชั้นนำ เพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งความยิ่งใหญ่และเรียนรู้มาตรฐานระดับสูงสุดของวงการอาหาร

การได้สัมผัสรสชาติ การจัดจาน และบรรยากาศของร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์จะช่วยยกระดับวิสัยทัศน์และความเข้าใจในศิลปะการทำอาหารได้อย่างลึกซึ้ง

ผลการศึกษาทางจิตวิทยาที่น่าสนใจพบว่า แม้เพียงแค่การบริโภคตัวอย่างที่มีโครงสร้างหรือส่วนประกอบแฝงอยู่ ก็สามารถทำให้สมองของเราตรวจจับรูปแบบได้โดยอัตโนมัติ แม้จะไม่ได้ตั้งใจเรียนรู้ก็ตาม

นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Implicit Learning” หรือการเรียนรู้โดยนัย ยิ่งรวบรวมตัวอย่างมากเท่าไร โอกาสที่จะเห็น pattern ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เช่น หากรวบรวมเพลงจาก Billboard Top 100 อย่างต่อเนื่อง เราอาจสังเกตเห็นว่าเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน เนื้อหาสดใส และอยู่ในจังหวะ 4/4 มักติดชาร์ตบ่อยครั้ง

หรือหากเป็นผู้กำกับที่ศึกษาภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ อาจพบว่าบทภาพยนตร์ที่มีตัวละครหลากหลาย ไม่มีความหยาบคาย และมีตัวร้ายที่น่าสนใจ มักประสบความสำเร็จในการทำรายได้

หัวใจสำคัญของการถอดรหัสความยิ่งใหญ่คือการมองให้ลึกกว่าสิ่งที่เห็นบนพื้นผิว เพื่อค้นหาโครงสร้างที่ซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งจะเผยให้เห็นทั้งวิธีการออกแบบและที่สำคัญกว่านั้นคือวิธีการสร้างซ้ำ

Friedman ได้นำเสนอเทคนิคการถอดรหัสสามวิธีหลักที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกสาขาอาชีพ

วิธีแรกคือการลอกเลียนงาน (Copyworking) เป็นการฝึกฝนด้วยการลอกเลียนผลงานชิ้นเยี่ยมอย่างละเอียด ดังเช่นกรณีของ Joe Hill นักเขียนชื่อดังที่เมื่อประสบภาวะติดขัดในการเขียน

เขาได้วางต้นฉบับไว้และเริ่มคัดลอกหนังสือเล่มโปรด “The Big Bounce” ของ Elmore Leonard โดยใช้เวลาสองสัปดาห์ในการคัดลอกสองหน้าแรกของหนังสือทุกวัน ประโยคต่อประโยค เพื่อซึมซับจังหวะและวิธีการเขียนบทสนทนา

จนในที่สุดเขาก็พบจังหวะการเขียนของตัวเองและสามารถกลับมาเขียนนิยายระทึกขวัญต่อได้ เทคนิคนี้ Hill ได้เรียนรู้มาจากพ่อของเขา Stephen King ราชาแห่งนิยายสยองขวัญที่ใช้วิธีการเดียวกันนี้ในการพัฒนาฝีมือการเขียนของตน

วิธีที่สองคือการสร้างโครงร่างย้อนกลับ (Reverse Outlining) เป็นการทำงานย้อนกลับจากผลงานสำเร็จไปสู่โครงร่าง เพื่อสร้างพิมพ์เขียวที่สามารถนำไปใช้สร้างผลงานยอดเยี่ยมได้

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือการวิเคราะห์ TED Talk ยอดนิยมที่สุดตลอดกาล “Do Schools Kill Creativity?” โดย Sir Ken Robinson ซึ่งมีโครงสร้างการพูดที่แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน

เริ่มจากบทนำ (13%) ประเด็นหลัก (2%) เรื่องเล่าสนับสนุน (21%) สถานการณ์ปัจจุบัน (25%) ความท้าทาย (5%) ทางออก (10%) และจบด้วยเรื่องเล่าทิ้งท้ายที่สร้างแรงบันดาลใจ (25%)

นอกจากนี้ยังพบว่าในการพูด 18 นาที Robinson ตั้งคำถามถึง 25 คำถาม สอดแทรกมุขตลก 40 มุข และย้ำประเด็นหลักถึง 3 ครั้ง ทำให้การพูดมีความน่าสนใจและน่าติดตามตลอดทั้งการนำเสนอ

วิธีที่สามคือการเปรียบเทียบ (Contrasting) เป็นการนำผลงานจากคลังความยิ่งใหญ่ระดับตำนานมาวางเทียบกับผลงานที่ดีแต่ไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม เพื่อค้นหาความแตกต่างที่ทำให้ผลงานยอดเยี่ยมพิเศษกว่าผลงานทั่วไป

การจดบันทึกความแตกต่างอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะช่วยให้เห็นรูปแบบที่สามารถนำมาสร้างเป็นเช็คลิสต์ความยอดเยี่ยมสำหรับใช้ในโครงการต่อไปได้ เช่น การเปรียบเทียบภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จกับภาพยนตร์ที่ล้มเหลว หรือการเปรียบเทียบบทความที่ได้รับการแชร์อย่างกว้างขวางกับบทความที่ไม่ได้รับความสนใจ

อย่างไรก็ตาม การใช้เทคนิคเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่อาจรับประกันความยิ่งใหญ่ได้ เนื่องจากเกณฑ์ความยิ่งใหญ่และรสนิยมของผู้คนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาพิมพ์เขียวความยิ่งใหญ่อยู่เสมอ

ดังเช่นกรณีของ Marvel Studios ที่มีพิมพ์เขียวชัดเจนในการสร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ แต่ในภาพยนต์แต่ละเรื่องก็ยังคงความแปลกใหม่และสนุกในแบบที่แตกต่าง ด้วยการนำผู้กำกับใหม่ๆ จากนอกวงการหนังซูเปอร์ฮีโร่มาสร้างสรรค์ผลงาน

เห็นได้ชัดจากความแตกต่างระหว่าง Thor: Ragnarok และ Thor: The Dark World โดย Dark World กำกับโดยทีมงานจาก Game of Thrones จึงมีโทนมืดและจริงจัง ในขณะที่ Ragnarok กำกับโดย Taika Waititi นักแสดงตลกด้านการด้นสด จึงมีความตลกขบขันและสนุกสนานมากกว่า

การพัฒนาพิมพ์เขียวความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่องนั้นสามารถทำได้หลายวิธี เริ่มตั้งแต่การร่วมงานกับทีมที่มีความหลากหลายทั้งด้านประสบการณ์ ความคิด และภูมิหลัง การเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จในสาขาอื่นเพื่อนำแนวคิดและมุมมองใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้

การแสวงหาประสบการณ์นอกกรอบความคิดเดิม และการกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ แม้จะเสี่ยงต่อความล้มเหลว สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มพูนมุมมองและความคิดสร้างสรรค์ให้กับผลงานของเราได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

นอกจากนี้ การฝึกฝนการสังเกตและวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งก็เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถถอดรหัสความยิ่งใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น การตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องว่า “ทำไมสิ่งนี้ถึงได้รับความนิยม?” “อะไรทำให้ผลงานนี้แตกต่าง?” “ทำไมผู้คนถึงชื่นชอบสิ่งนี้?” จะช่วยให้เราเข้าใจกลไกของความสำเร็จได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ท้ายที่สุด การถอดรหัสความยิ่งใหญ่ไม่ใช่เพียงการลอกเลียนแบบ แต่เป็นการเรียนรู้และทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานที่ทำให้ผลงานนั้นประสบความสำเร็จ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

การผสมผสานระหว่างการเรียนรู้จากความสำเร็จของผู้อื่นและการพัฒนาสไตล์ของตัวเองจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่ทั้งยอดเยี่ยมและมีความเป็นต้นฉบับในเวลาเดียวกันได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Decoding Greatness: How the Best in the World Reverse Engineer Success โดย Ron Friedman