Geek Life EP94 : เลิกแคร์สายตาคนอื่น หยุดทำร้ายตัวเองด้วยความคิดคนอื่นแบบถาวร

ในอดีตการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นอยู่กับความสามารถในการคาดการณ์ภัยคุกคาม โดยภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการถูกขับออกจากเผ่า เพราะหากไม่มีเผ่า เราจะไม่สามารถหาอาหารเมื่อเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ และไม่สามารถอยู่รอดได้นาน ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียนรู้ที่จะคาดการณ์และกลัวสิ่งที่ผู้อื่นคิดเกี่ยวกับเรา สิ่งนี้เรียกว่า FOBO (Fear of Other People’s Opinions – ความกลัวความคิดเห็นของผู้อื่น)

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ The First Rule of Mastery: Stop Worrying about What People Think of You โดย Michael Gervais หนึ่งในนักจิตวิทยาชั้นนำของโลกและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและประสิทธิภาพของมนุษย์

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5duvta97

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3vd4pswh

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/NAitX-6fOWY

เลิกแคร์สายตาคนอื่น : หยุดทำร้ายตัวเองด้วยความคิดคนอื่น กับวิธีปลดล็อกความกลัวแบบถาวร

ในอดีตการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นอยู่กับความสามารถในการคาดการณ์ภัยคุกคาม โดยภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการถูกขับออกจากเผ่า เพราะหากไม่มีเผ่า เราจะไม่สามารถหาอาหารเมื่อเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ และไม่สามารถอยู่รอดได้นาน ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียนรู้ที่จะคาดการณ์และกลัวสิ่งที่ผู้อื่นคิดเกี่ยวกับเรา สิ่งนี้เรียกว่า FOBO (Fear of Other People’s Opinions – ความกลัวความคิดเห็นของผู้อื่น)

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ The First Rule of Mastery: Stop Worrying about What People Think of You โดย Michael Gervais หนึ่งในนักจิตวิทยาชั้นนำของโลกและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและประสิทธิภาพของมนุษย์

ในปัจจุบัน FOBO แสดงออกในหลายรูปแบบ:

  • เราลังเลที่จะแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม
  • เราละทิ้งค่านิยมของตัวเองภายใต้แรงกดดันทางสังคม
  • เราหลีกเลี่ยงการทุ่มเทให้กับสิ่งที่เราหลงใหล เพื่อไม่ให้ดูเหมือนคนหมกมุ่นมากเกินไป

ลองพิจารณาดูว่าเราใช้เวลาในแต่ละสัปดาห์ไปกับการกังวลเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้อื่นมากแค่ไหน เมื่อหัวสมองเต็มไปด้วยความคิดว่าคนอื่นกำลังตัดสินเรา มันยากที่จะตัดสินใจอะไรได้อย่างเด็ดขาด และเมื่อเรากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร มันก็ยากที่จะโฟกัสอย่างเต็มที่ในงานของเรา

David Foster Wallace เคยกล่าวไว้ว่า “คุณจะกังวลเกี่ยวกับความคิดของคนอื่นน้อยลง เมื่อคุณตระหนักว่าพวกเขาแทบจะไม่ได้คิดถึงคุณเลย”

นี่ไม่ใช่แค่คำพูดธรรมดา แต่มีงานวิจัยรองรับ ในช่วงปลายทศวรรษ 90 ศาสตราจารย์ Thomas Gilovich จาก Cornell ได้ทำการทดลองทางสังคม โดยให้นักศึกษา 109 คนเข้าไปในห้องที่มีเพื่อนๆ อยู่ทีละคน โดยสวมเสื้อยืดที่น่าอายซึ่งมีรูปนักร้อง Barry Manilow ขนาดใหญ่

นักศึกษาที่สวมเสื้อได้รับการบอกว่าอย่างน้อย 50% ของเพื่อนๆ จะสังเกตเห็นเสื้อของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อ Gilovich สอบถามคนในห้องภายหลัง กลับมีเพียงแค่ 25% เท่านั้นที่สังเกตเห็นเสื้อที่น่าอับอายนั้น

งานวิจัยหลายชิ้นหลังจากนั้นแสดงให้เห็นว่า เรามักมีความรู้สึกว่าตัวเองสำคัญเกินจริง และมักฉายภาพความคิดของเราไปสู่ผู้อื่น ทำให้เราเชื่อว่าโลกภายนอกกำลังตัดสินเรามากกว่าความเป็นจริง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Spotlight Effect”

ตลอดทั้งวัน เรามักจะคิดว่าเหมือนมีไฟสปอตไลท์ลอยอยู่เหนือศีรษะ ส่องแสงลงมาที่ตัวเรา แต่ความจริงคือ หากคุณไม่ได้อยู่ในสปอตไลท์ของใคร พวกเขาก็ไม่ได้คิดถึงคุณ และแม้เมื่อคนอื่นส่องสปอตไลท์มาที่คุณ คุณก็จะอยู่ในความคิดของพวกเขาเพียงช่วงสั้นๆ เพราะพวกเขาจะรีบหันสปอตไลท์กลับไปที่ตัวเอง และกลับไปคิดว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรเกี่ยวกับพวกเขา

กฎสำคัญ 3 ข้อในการกรองความคิดเห็นของผู้อื่น:

1. สกรีนจุดมุ่งหมาย (Purpose Screen)
ทุกช่วงเวลาในชีวิต เราควรมีเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ อาจเป็นการพัฒนาตัวเองในสิ่งที่รัก หรือการใช้ชีวิตตามค่านิยมของตนเองและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เราก็จะกังวลกับการยอมรับจากผู้อื่นน้อยลง

การแสวงหาการยอมรับเปรียบเหมือนการแสวงหากำไรระยะสั้นในธุรกิจ ทุกธุรกิจต้องการกำไร แต่ถ้ายึดติดกับมันมากจนเกินไป ก็มีโอกาสที่จะทำให้เราหลงทางได้

2. สกรีนโต๊ะกลม (Round Table Screen)
มีเพียงความคิดเห็นของคนไม่กี่คนที่สำคัญจริงๆ ความเห็นจากเพื่อนในเฟซบุ๊กสมัยมัธยม หรือเสียงบีบแตรจากคนขับรถที่โมโหที่คุณจะไม่มีวันได้เจออีก ล้วนไม่สำคัญ

ความคิดเห็นที่สำคัญมาจากคนที่ต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคุณ คนที่คุณเคารพอย่างลึกซึ้ง และคนที่ไม่กลัวที่จะบอกความจริงกับคุณ

3. สกรีนแห่งความตาย (Death Screen)
เมื่อคุณเริ่มปล่อยให้ความคิดเห็นของผู้อื่นขัดขวางการใช้ชีวิตตามเป้าหมายของคุณ ให้ถามตัวเองว่า: “เมื่อฉันต้องตายในไม่ช้า (อาจเป็น 1 ปีหรือ 70 ปี) มันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะปล่อยให้ความคิดเห็นของคนอื่นกำหนดชีวิตของฉัน?”

Michael Gervais กล่าวว่า เมื่องานเลี้ยงใกล้จบและทุกคนพร้อมความคิดเห็นของพวกเขากลับบ้านไปแล้ว คุณจะสงสัยว่าทำไมคุณถึงให้อำนาจพวกเขามากมายขนาดนั้นในชีวิตของคุณ

บทสรุป

หยุดกลัวสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเรา ผู้คนต่างยุ่งกับชีวิตของตัวเองและกังวลว่าคนอื่นคิดอะไรกับพวกเขามากเกินกว่าจะสังเกตสิ่งที่เราทำ แม้เมื่อมีคนสังเกตเห็นสิ่งที่เราทำและเราอาจจะได้ยินความคิดเห็นในแง่ลบ อย่าให้ความคิดเห็นเหล่านั้นขัดขวางตัวตนของเรา หากเรากำลังใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย รับฟังข้อเสนอแนะที่จริงใจจากคนที่เราเคารพ

ยิ่งเราเลิกสนใจความคิดเห็นของผู้อื่นเร็วเท่าไร เราก็จะยิ่งเป็นอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเองได้เร็วขึ้นเท่านั้น และค้นพบว่าตัวเราเองมีศักยภาพที่จะเป็นอะไรได้มากมายแค่ไหนนั่นเองครับผม

References:
หนังสือ The First Rule of Mastery: Stop Worrying about What People Think of You โดย Michael Gervais

Geek Life EP34 : 20% ที่ใช่ ชีวิตก็เปลี่ยนได้ ทำน้อยแต่ได้เยอะ กับการปฏิวัติชีวิตด้วยกฎพาเรโต

ต้องบอกว่าหลักการหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนได้อย่างมหาศาล คือหลักการ 80/20 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กฎพาเรโต” ซึ่งคิดค้นโดย Vilfredo Pareto นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลียนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

แก่นแท้ของหลักการนี้ก็คือ 80% ของผลลัพธ์มาจาก 20% ของสาเหตุ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ 80% ของสิ่งที่เราต้องการในชีวิตมาจาก 20% ของสิ่งที่เราทำ แนวคิดนี้อาจฟังดูเรียบง่าย แต่เมื่อนำไปประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาด มันสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราจัดการกับเวลา ทรัพยากร และความสัมพันธ์ได้อย่างสิ้นเชิง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2ek8srpf

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/42vw2m2k

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/zcKyJNAIrFg

20% ที่ใช่ ชีวิตก็เปลี่ยนได้ : ทำน้อยแต่ได้เยอะ กับวิธีการปฏิวัติชีวิตด้วยกฎพาเรโต

ต้องบอกว่าหลักการหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนได้อย่างมหาศาล คือหลักการ 80/20 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กฎพาเรโต” ซึ่งคิดค้นโดย Vilfredo Pareto นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลียนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

แก่นแท้ของหลักการนี้ก็คือ 80% ของผลลัพธ์มาจาก 20% ของสาเหตุ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ 80% ของสิ่งที่เราต้องการในชีวิตมาจาก 20% ของสิ่งที่เราทำ แนวคิดนี้อาจฟังดูเรียบง่าย แต่เมื่อนำไปประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาด มันสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราจัดการกับเวลา ทรัพยากร และความสัมพันธ์ได้อย่างสิ้นเชิง

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้ามากมาย แต่คุณมักจะหยิบเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชิ้นมาใส่ซ้ำๆ นี่คือตัวอย่างง่ายๆ ของหลักการ 80/20 ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้า 20% ในตู้ของคุณถูกใช้งาน 80% ของเวลา ส่วนที่เหลือแทบไม่ได้ถูกแตะต้องเลย

แต่หลักการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเสื้อผ้าเท่านั้น มันสามารถนำไปใช้ได้กับเกือบทุกแง่มุมของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่การพักผ่อนหย่อนใจ ลองมาดูตัวอย่างที่น่าสนใจกันครับ

ในด้านการทำงาน หากคุณเป็นพนักงานขาย คุณอาจพบว่า 80% ของยอดขายของคุณมาจากลูกค้าเพียง 20% เท่านั้น หรือถ้าคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ คุณอาจพบว่า 80% ของข้อผิดพลาดในโค้ดของคุณมาจากเพียง 20% ของโค้ดทั้งหมด การตระหนักถึงความจริงนี้จะช่วยให้คุณจัดลำดับความสำคัญและทุ่มเทความพยายามไปในทิศทางที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด

ในด้านความสัมพันธ์ คุณอาจพบว่า 80% ของความสุขและความพึงพอใจในชีวิตของคุณมาจากการใช้เวลากับคนเพียง 20% ในชีวิตของคุณ นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณควรละเลยคนอื่นๆ แต่มันเป็นการเตือนใจให้คุณให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าและมีความหมายอย่างแท้จริง

แม้แต่ในเรื่องของการพักผ่อนหย่อนใจ หลักการ 80/20 ก็สามารถนำมาใช้ได้ คุณอาจพบว่า 80% ของความสนุกสนานและความผ่อนคลายของคุณมาจากกิจกรรมยามว่างเพียง 20% ที่คุณทำ ดังนั้น แทนที่จะพยายามทำกิจกรรมมากมายเพื่อ “พักผ่อน” คุณอาจจะโฟกัสไปที่กิจกรรมที่ให้ความสุขและความผ่อนคลายกับคุณจริงๆ

การนำหลักการ 80/20 ไปใช้ในชีวิตประจำวัน

  1. สำรวจและวิเคราะห์: ขั้นตอนแรกในการนำหลักการ 80/20 ไปใช้คือการสำรวจและวิเคราะห์กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตของคุณ ลองจดบันทึกสิ่งที่คุณทำในแต่ละวันและผลลัพธ์ที่ได้ คุณอาจจะประหลาดใจที่พบว่ามีเพียงไม่กี่กิจกรรมที่สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
  2. จัดลำดับความสำคัญ: เมื่อคุณระบุ 20% ที่สร้างผลลัพธ์ 80% ได้แล้ว ให้จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมเหล่านี้ ทุ่มเทเวลาและพลังงานให้กับสิ่งที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด
  3. ลดหรือกำจัด: พิจารณาลดหรือกำจัดกิจกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำ (80% ของกิจกรรมที่ให้ผลลัพธ์เพียง 20%) ออกไป นี่อาจหมายถึงการเลิกนิสัยบางอย่าง การปฏิเสธงานบางชิ้น หรือการมอบหมายงานให้ผู้อื่น
  4. ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง: การนำหลักการ 80/20 ไปใช้ไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องฝึกฝนและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทบทวนและปรับเปลี่ยนวิธีการของคุณเป็นระยะ
  5. ยืดหยุ่นและปรับตัว: แม้ว่าหลักการ 80/20 จะมีประโยชน์มาก แต่ก็ไม่ควรยึดติดกับมันจนเกินไป บางครั้งสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงและคุณต้องปรับตัวให้เข้ากับความท้าทายใหม่ๆ

ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งของการใช้หลักการ 80/20

เมื่อคุณเริ่มนำหลักการ 80/20 ไปใช้อย่างจริงจัง คุณอาจพบกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งในชีวิตของคุณ:

  1. เพิ่มประสิทธิภาพ: คุณจะพบว่าคุณสามารถทำงานได้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง เพราะคุณโฟกัสไปที่สิ่งที่สำคัญจริงๆ
  2. ลดความเครียด: การตัดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นออกไปจะช่วยลดความเครียดและความวุ่นวายในชีวิตของคุณ
  3. เพิ่มความพึงพอใจ: การใช้เวลากับสิ่งที่มีความหมายและให้ผลตอบแทนสูงจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจในชีวิตของคุณ
  4. พัฒนาความสัมพันธ์: การให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าจะช่วยพัฒนาคุณภาพของความสัมพันธ์ในชีวิตของคุณ
  5. เพิ่มโอกาสความสำเร็จ: การโฟกัสไปที่สิ่งที่สร้างผลกระทบมากที่สุดจะเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จของคุณ

ข้อควรระวังในการใช้หลักการ 80/20

แม้ว่าหลักการ 80/20 จะมีประโยชน์มาก แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการที่คุณควรคำนึงถึง:

  1. อย่าละเลยสิ่งสำคัญอื่นๆ: แม้ว่า 20% จะสร้างผลลัพธ์ส่วนใหญ่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า 80% ที่เหลือไม่สำคัญเลย บางครั้งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็มีความสำคัญในการสร้างภาพรวมที่สมบูรณ์
  2. ระวังการตีความผิด: หลักการ 80/20 เป็นแนวคิด ไม่ใช่กฎตายตัว อย่ายึดติดกับตัวเลขมากเกินไป บางครั้งอาจเป็น 70/30 หรือ 90/10 ก็ได้
  3. อย่าละเลยการพัฒนาตนเอง: การโฟกัสเฉพาะสิ่งที่คุณเก่งอยู่แล้วอาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการพัฒนาทักษะใหม่ๆ
  4. รักษาสมดุล: การใช้หลักการ 80/20 ไม่ได้หมายความว่าคุณควรทำงานหนักขึ้นในเวลาที่น้อยลง แต่หมายถึงการทำงานอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  5. ยืดหยุ่นและปรับตัว: สิ่งที่เป็น 20% ที่สำคัญในวันนี้อาจไม่ใช่ในอนาคต ดังนั้นต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนและประเมินสถานการณ์ใหม่อยู่เสมอ

บทส่งท้าย: พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

หลักการ 80/20 ไม่ใช่เพียงทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเปลี่ยนแปลงชีวิต การนำหลักการนี้ไปใช้อย่างชาญฉลาดสามารถช่วยให้เราบรรลุเป้าหมาย มีความสุขมากขึ้น และใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมากขึ้น

แต่เช่นเดียวกับเครื่องมืออื่นๆ ประสิทธิภาพของหลักการ 80/20 ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งาน การนำไปปฏิบัติจริงอย่างต่อเนื่อง และการปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละคนเป็นสิ่งสำคัญ

ท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเข้าใจในหลักการ 80/20 คุณสามารถเริ่มต้นการเดินทางสู่ชีวิตที่มีประสิทธิภาพ มีความสุข และประสบความสำเร็จมากขึ้นได้ เริ่มต้นวันนี้ด้วยการมองหา 20% ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ และดูว่ามันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ 80% ได้อย่างไร

ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะโฟกัสไปที่สิ่งที่สำคัญที่สุดได้ และนั่นคือพลังที่แท้จริงของหลักการ 80/20

References :
THE 80/20 PRINCIPLE by Richard Koch | Core Message
https://youtu.be/2YDR5-Mij1c?si=E2n3UMHSrE-EuICL