Richard Montañez กับการพลิกชีวิตด้วย 1 idea ที่เปลี่ยนจากภารโรงให้กลายเป็นผู้บริหารที่ PepsiCo

ก่อนที่จะเกิดความคิดที่พลิกชีวิตของเขาไปตลอดกาล Richard Montañez ลูกชายของผู้อพยพชาวเม็กซิกันเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่แสนจะลำบาก เขาและพี่น้องอีกสิบคนอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ แค่หนึ่งห้องนอนกับพ่อแม่ที่ฝ่าฟันต่อสู้เพื่อครอบครัว

ชีวิตของ Montañez ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เขากลับมองว่านี่คือจุดเริ่มต้นของปัญญาอันล้ำค่า “ผมมีปริญญาเอกของการเป็นคนที่น่าสงสาร ความหิวโหย และความมุ่งมั่น” อดีตภารโรงผู้นี้เคยให้สัมภาษณ์กับวอชิงตันโพสต์ด้วยความภาคภูมิใจ

“ผมเชื่อว่าเมื่อคุณได้สัมผัสทั้งสามสิ่งนี้แล้ว คุณจะเกิดปัญญามากมาย ความยากจนไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นแรงผลักดันให้เกิดนวัตกรรมหลายอย่าง” คำพูดที่เต็มไปด้วยพลังและแรงบันดาลใจจากชายผู้มีชีวิตโชกโชนวัย 67 ปี

จิตวิญญาณของนักสร้างสรรค์ในตัว Montañez เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่เขายังเด็ก วันแรกที่เขาไปโรงเรียนประถมปีที่ 3 แม่ของเขาเตรียมเบอร์ริโตให้เป็นอาหารกลางวัน แต่เขากลับรู้สึกอายเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นมีอาหารกลางวันที่แตกต่างจากเขา

“ในช่วงทศวรรษ 1960 มีคนเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นเบอร์ริโต” เขาเล่าในหนังสือของเขา “เด็กชายเบอร์ริโตและคุกกี้” “ทุกคนจ้องมองมาที่ผม ผมรีบใส่มันกลับเข้าไปในกระเป๋าและซ่อนมันไว้”

วันต่อมา เขาขอให้แม่ทำ “แซนวิชโบโลน่าและคัพเค้กเหมือนเด็กคนอื่นๆ” แทน แต่แม่กลับตอบสนองด้วยวิธีที่แตกต่าง เธอเตรียมเบอร์ริโตให้ถึงสองชิ้น หนึ่งสำหรับให้เขากิน และอีกชิ้นสำหรับให้เขาหาเพื่อน

เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ ผู้ประกอบการวัย 7 ขวบรายนี้เริ่มขายเบอร์ริโตในราคาชิ้นละ 0.25 ดอลลาร์ นี่คือจุดเริ่มต้นของการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่หลายคนมองข้าม ความเทพของเด็กน้อยที่หลายคนไม่เคยนึกถึง

หลังจากดิ้นรนกับการเรียนรู้การอ่านและการเขียนขั้นพื้นฐาน Montañez ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน ชีวิตพาเขาไปพบกับงานหลากหลายที่มีรายได้ต่ำ ทั้งการเชือดไก่และการทำสวน การขาดการศึกษาอย่างเป็นทางการไม่ได้ทำให้เขาถอดใจ แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เขาพยายามมากขึ้น

วันหนึ่งขณะที่เขากำลังทำงานที่ร้านล้างรถ เพื่อนของเขามาบอกข่าวที่เปลี่ยนชีวิตเขา Frito-Lay กำลังเปิดรับสมัครพนักงาน โอกาสที่จะเปลี่ยนชีวิตกำลังมาถึง

ด้วยความหวังและความกล้า Montañez ไปที่โรงงาน Frito-Lay ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ เขาขอใบสมัครแม้จะอ่านหรือเขียนแทบไม่ได้ เขาขอให้ภรรยาในอนาคตช่วยกรอกเอกสารแทน และส่งใบสมัครไปในวันนั้นเลย บริษัทตอบรับให้เขาเริ่มงานในตำแหน่งภารโรง

ความคิดสุดเจ๋งที่นำไปสู่การสร้าง Flamin’ Hot Cheetos เกิดขึ้นโดยบังเอิญในวันที่เครื่องจักรเกิดขัดข้องในสายการผลิต Cheetos บางส่วนไม่ได้รับการโรยด้วยผงชีสสีส้มมาตรฐาน นี่คือจุดเริ่มต้นของไอเดียสุดล้ำ

Montañez นำ Cheetos ธรรมดากลับบ้านและเริ่มทดลองใส่พริกป่นลงไป แรงบันดาลใจของเขามาจากพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนในละแวกบ้านที่ขายข้าวโพดย่างแบบเม็กซิกันราดด้วยมะนาวและพริก เพื่อนและครอบครัวของเขาต่างชื่นชอบรสชาตินี้เป็นอย่างมาก

ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 PepsiCo กำลังเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจ คู่แข่งมากมายและการขาดแคลนไอเดียใหม่ๆ ทำให้ Roger Enrico ซีอีโอของบริษัทต้องประกาศต่อพนักงานกว่า 300,000 คนว่าพวกเขาต้องการความคิดสร้างสรรค์เพื่อรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่

นี่คือโอกาสที่ Montañez รอคอย เขาตัดสินใจติดต่อ CEO โดยตรง ซึ่งหลังจากได้รับฟังไอเดียคร่าวๆ แล้ว Enrico ให้เวลาเขาสองสัปดาห์เพื่อเตรียมการนำเสนอกับผู้บริหารบริษัท การตัดสินใจครั้งนี้เปรียบเสมือนการเข้าถ้ำเสือ แต่เขาไม่ลังเล

ด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ Montañez มุ่งตรงไปที่ห้องสมุดเพื่อศึกษาเรื่องการตลาดและการออกแบบผลิตภัณฑ์ เขาสร้างบรรจุภัณฑ์ต้นแบบ และเดินเข้าห้องประชุมด้วยความมั่นใจด้วยเน็คไทราคาเพียง 3 ดอลลาร์

“พวกเขาทึ่งกับการออกแบบผลิตภัณฑ์” เขาเล่าด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ และแล้ว Flamin’ Hot Cheetos ก็ถือกำเนิดขึ้น จนถึงทุกวันนี้ สแน็คเผ็ดร้อนนี้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของ Frito-Lay และกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่

การนำเสนอครั้งนั้นไม่เพียงแต่สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับบริษัท แต่ยังเปิดประตูสู่เส้นทางอาชีพอันรุ่งโรจน์ของ Montañez Montañez สามารถไต่เต้าตำแหน่งจากภารโรงไปสู่ระดับผู้บริหารของ PepsiCo ได้อย่างน่าทึ่ง ความฝันที่หลายคนอาจมองว่าเป็นสิ่งเพ้อฝันกลับกลายเป็นความจริง

ทุกวันนี้ เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ นำเสนอเรื่องราวและแนวคิดเกี่ยวกับความสำคัญของความหลากหลายในธุรกิจต่อบริษัทชั้นนำต่างๆ Fox Searchlight Pictures ยังได้สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตที่น่าทึ่งของเขาอีกด้วย เรื่องราวของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอีกมากมาย

Montañez มักจะย้อนคิดว่าชีวิตของเขาคงแตกต่างออกไปมากหากเขาไม่กล้าที่จะนำเสนอไอเดียกับ CEO โดยตรง ประสบการณ์นี้ทำให้เขาได้บทเรียนสำคัญที่เขาแบ่งปันกับผู้อื่นอยู่เสมอ

“อย่ามองตำแหน่งของคุณอย่างไร้ค่า ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ตาม” Montañez กล่าว “จะเป็น CEO หรือภารโรง ก็จงทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของบริษัท”

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องราวอีกด้านที่ต้องรู้ เพราะคำกล่าวอ้างของ Richard Montañez ว่าเขาเป็นผู้คิดค้น Flamin’ Hot Cheetos ถูกโต้แย้งในรายงานปี 2021 ของ LA Times ทางบริษัท Frito-Lay ได้ออกแถลงการณ์ว่า:

“เราให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของ Richard ต่อบริษัทของเรา โดยเฉพาะข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวฮิสแปนิก แต่เราไม่ได้ให้เครดิตการสร้าง Flamin’ Hot Cheetos หรือผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของ Flamin’ กับเขาเพียงคนเดียว”

ในการตอบโต้ Montañez ยืนยันความถูกต้องของเรื่องราวของเขาใน Variety .com โดยอธิบายว่าเขาไม่รู้ว่าแผนกอื่นๆ ของบริษัทกำลังดำเนินการทดลองคล้ายๆ กันอยู่ในขณะนั้นเช่นกัน

ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เรื่องราวของ Montañez ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนมากมาย มันแสดงให้เห็นว่าความกล้าหาญ ความคิดสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่นสามารถพลิกชีวิตคนธรรมดาให้กลายเป็นเรื่องราวความสำเร็จที่น่าทึ่งได้

อดีตภารโรงผู้ซึ่งแทบจะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ได้กลายเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทระดับโลก เป็นเรื่องราวที่เป็นที่เตือนใจเราว่าไม่มีอุปสรรคใดที่ไม่สามารถก้าวผ่านได้หากมีความตั้งใจจริง

โลกธุรกิจและการตลาดเต็มไปด้วยความท้าทายและการแข่งขัน แต่เรื่องราวของ Montañez สอนให้เรารู้ว่า บางครั้งไอเดียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจมาจากสถานที่หรือบุคคลที่คาดไม่ถึงที่สุด

Richard Montañez ไม่ใช่แค่เรื่องราวของความสำเร็จทางธุรกิจ แต่เป็นตัวอย่างของพลังแห่งการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งไหนหรือมีภูมิหลังอย่างไร คุณสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หากคุณกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะลงมือทำ และกล้าที่จะไม่ยอมแพ้

References: [washingtonpost, latimes, variety, forbes, biography]

จากพนักงานเงินเดือนสู่มหาเศรษฐีแสนล้าน กับบทพิสูจน์ว่าทำงานประจำก็รวยได้แบบ Steve Ballmer

หลายคนอาจจะคุ้นกับชื่อของ Steve Ballmer เขาคือหนึ่งในมหาเศรษฐีระดับโลกที่มีเรื่องราวสุดเจ๋งมาก ๆ แตกต่างจากมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีคนอื่นๆ เพราะเขาสร้างความมั่งคั่งจากการเป็นแค่พนักงานบริษัท ไม่ใช่ผู้ก่อตั้ง

7 กรกฎาคม 2021 มูลค่าสินทรัพย์ของ Ballmer พุ่งทะลุ 100 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เขาเป็นคนที่ 9 ที่เข้าชมรมแสนล้าน ความเทพของเขาคือไม่ใช่เจ้าของ Google หรือ Amazon แต่เขาเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งที่ฉกฉวยโอกาสและผลักดันตัวเองให้กลายเป็นมหาเศรษฐีได้

Ballmer เกิดที่ Detroit ในปี 1956 ในครอบครัวผู้อพยพจากสวิตเซอร์แลนด์ พ่อเขาทำงานที่ Ford เป็นผู้จัดการทั่วไป ตั้งแต่เด็กเขาแสดงความฉลาดหลักแหลม จบจาก Detroit Country Day School ด้วยเกียรตินิยมสูงสุด

ความเทพทางการเรียนของเขาชัดเจนจากคะแนน SAT ที่ได้เต็ม 800 ในวิชาคณิตศาสตร์ แม้ว่าปัจจุบันผลการเรียนแบบนี้อาจเป็นแค่คุณสมบัติพื้นฐานสำหรับเข้า Harvard แต่ในปี 1973 มันเจ๋งพอที่จะทำให้เขาได้เข้าเรียนรุ่นปี 1977

ที่ Harvard เขาเลือกเรียนคณิตศาสตร์ประยุกต์และเศรษฐศาสตร์ ใช้เวลาว่างทำงานให้หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยและเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล Harvard Crimson จุดพีคในชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเขาได้รู้จัก Bill Gates

ช่วงนั้น Bill กำลังจะลาออกเพื่อสร้าง Microsoft มีข่าวลือว่า Bill ชวน Ballmer ให้ลาออกมาด้วยกัน แต่เขาเลือกเส้นทางปลอดภัยและขอเรียนจบที่ Harvard ก่อน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ใครจะไปสนใจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปี 1975 กัน

หลังจาก Bill ลาออก ทั้งคู่แยกทางกันชั่วคราว Bill มุ่งมั่นกับ Microsoft ส่วน Ballmer เรียนจนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับสองในปี 1977

จบแล้ว Ballmer ได้งานที่ดีมาก ๆ ที่ Procter & Gamble เป็นผู้จัดการโครงการ ทำงานที่นั่นสองปีก่อนกลับไปเรียนต่อ MBA ที่ Stanford ในช่วงฤดูร้อนถัดมา เขาติดต่อ Bill เพื่อขอทำงานช่วงปิดเทอม

แต่ Bill ไม่ต้องการแค่พนักงานชั่วคราว เขาขอให้ Ballmer ลาออกจาก Stanford มาเป็นผู้จัดการเต็มเวลาคนแรกของ Microsoft คราวนี้ Ballmer มั่นใจกว่าเดิม มีปริญญาจาก Harvard ประสบการณ์จาก P&G และเหลือเรียน MBA อีกแค่ปีเดียว

เมื่อ Ballmer บอกพ่อแม่เรื่องข้อเสนอจาก Microsoft พวกเขาแสดงความกังวล พ่อถามว่า “ซอฟต์แวร์คืออะไร” แม่สงสัยว่า “ทำไมคนต้องใช้คอมพิวเตอร์” แต่สุดท้าย Ballmer ตัดสินใจเข้าร่วม Microsoft วันที่ 11 มิถุนายน 1980

เขาเป็นพนักงานคนที่ 30 ได้เงินเดือน 50,000 ดอลลาร์ต่อปี (เทียบเท่า 163,000 ดอลลาร์ปัจจุบัน) Bill ยังสัญญาจะให้หุ้น 5-10% ในอนาคต ตำแหน่งคือผู้จัดการธุรกิจแต่จริงๆ แล้วทำทุกอย่างตั้งแต่จ้างคนไปจนถึงทำอาหารและล้างขวด

โอกาสทองมาถึงในปลายปี 1980 เมื่อ Microsoft มีประชุมกับ IBM Bill ขอให้ Ballmer เข้าร่วมไม่ใช่เพราะกลยุทธ์เจ๋งๆ ของ Ballmer แต่อย่างใด แต่เพราะเขาเป็นคนเดียวที่รู้วิธีผูกเนคไท แต่การมีส่วนร่วมของเขาพิสูจน์ว่ามีค่ามากกว่านั้น

ทั้ง Bill Gates และ Paul Allen ไม่มีประสบการณ์เจรจาธุรกิจ แม้ Ballmer จะประสบการณ์น้อย แต่ยังมากกว่าทั้งคู่ ระหว่างเจรจากับ IBM พวกเขาสามารถใส่ข้อตกลงไม่ผูกขาด (non-exclusivity) IBM จ่าย 430,000 ดอลลาร์ให้พัฒนา MS-DOS แต่ Microsoft สามารถขายต่อให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายอื่นได้

IBM ไม่ได้โง่ แต่ตอนนั้นพวกเขากำลังถูกสอบสวนเรื่องการผูกขาดทางธุรกิจ จึงยอมรับข้อตกลงนี้เพื่อลดแรงเสียดทานในเรื่องนี้

ระหว่างปี 1981-1985 Bill ดูแลด้านเทคนิคของ MS-DOS ส่วน Ballmer ดูแลด้านธุรกิจ ขายให้ผู้ผลิตหลายราย ส่งผลให้รายได้ Microsoft พุ่งกระฉูดจาก 16 ล้านดอลลาร์เป็น 140 ล้านดอลลาร์

ผลงานของ Ballmer ทำให้ Bill รักษาสัญญาให้หุ้นตามที่ตกลงไว้ เมื่อ Microsoft เข้าตลาดหุ้นปี 1986 มูลค่าบริษัทแตะ 780 ล้านดอลลาร์ หุ้น 8% ของ Ballmer มีมูลค่า 51.5 ล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับทำงานแค่ 6 ปีได้ปีละ 10 ล้านดอลลาร์ พ่อแม่เขาคงภูมิใจมากขึ้นแล้ว

หลังยุคบุกเบิก Ballmer รับบทบาทบริหารมากขึ้น จนถึงปี 1992 ได้เป็นรองประธานฝ่ายขายและสนับสนุน ช่วงนี้เขานำการพัฒนา .NET Framework เรียกได้ว่าสร้างผลงานได้อย่างน่าทึ่ง

กรกฎาคม 1998 เขาได้เลื่อนเป็นประธาน Microsoft เป็นอันดับสองรองจาก Bill Gates และเมื่อ Bill ลงจากตำแหน่ง CEO ในปี 2000 Ballmer ก็ได้เป็น CEO เต็มตัว

แม้ Ballmer มักถูกวิจารณ์ว่าเป็น CEO ที่ไม่เอาไหน แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น คนวิจารณ์มักชี้ว่าราคาหุ้น Microsoft ไม่เติบโตในช่วง 14 ปีที่เขาบริหาร แต่ลืมไปว่า Ballmer รับตำแหน่งตอนฟองสบู่ดอทคอมกำลังจะแตก

หลังเขารับตำแหน่งได้ไม่นาน หุ้น Microsoft ร่วงจาก 58 ดอลลาร์เหลือ 21 ดอลลาร์ภายใน 12 เดือน ลดฮวบไป 63% และเมื่อเริ่มฟื้น ก็เจอกับวิกฤตการเงินจนเหลือแค่ 15 ดอลลาร์

แต่พูดถึงความเจ๋งของ Ballmer เขาสนับสนุน Xbox อย่างเต็มที่ ทั้งที่ผู้บริหารหลายคนคิดว่า Microsoft ควรทำแค่ซอฟต์แวร์ ไม่ควรทำฮาร์ดแวร์ แต่เขายืนยันและปัจจุบัน Xbox เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ทำรายได้มหาศาลให้กับบริษัท

ในปี 2010 ภายใต้การนำของ Ballmer Microsoft เปิดตัวบริการคลาวด์ Azure ซึ่งกลายเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และแม้เขาจะไม่เห็นศักยภาพ iPhone แต่เขาเล็งเห็นโอกาสอื่น เช่นลงทุน 240 ล้านดอลลาร์ใน Facebook ปี 2007 ตอนมูลค่าเพียง 15 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันพุ่งทะยานเป็นล้านล้านดอลลาร์

ผลงานที่ชัดเจนของ Ballmer คือตัวเลขธุรกิจ ช่วงที่เขาเป็น CEO รายได้ Microsoft เพิ่มจาก 25 พันล้านเป็น 70 พันล้านดอลลาร์ กำไรเพิ่มจาก 9.4 พันล้านเป็น 22 พันล้านดอลลาร์ นักลงทุนเริ่มเห็นคุณค่าของเขาหลังจากที่เขาลาออกไปแล้ว

เขาได้เกษียณจาก Microsoft ในปี 2014 หลังจากนั้น Ballmer ได้เข้าซื้อทีม LA Clippers ด้วยเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Microsoft ขณะที่ Bill Gates ลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 45% เหลือแค่ 1.3% ส่วน Ballmer ยังถือ 4% จากเดิม 8%

มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากถ้าหาก Bill ไม่ขายหุ้นเลย ปัจจุบันจะมีมูลค่า 900 พันล้านดอลลาร์ และถ้า Ballmer ไม่ขายหุ้นเลย จะมี 160 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่า Bill Gates ในปัจจุบัน

แม้จะขายหุ้นไปบ้าง แต่ Ballmer ยังภูมิใจที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Microsoft เขาเทิดทูนบริษัทมาก ถึงขั้นห้ามทีม Clippers ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple และไม่ให้ครอบครัวใช้ iPhone

ความมุ่งมั่นของเขาไม่ใช่แค่การแสดง แต่เป็นความจริงใจเมื่อพูดว่า “ผมมีสี่คำจะบอกคุณ: ผมรักบริษัทนี้” นี่คือเรื่องราวสุดเจ๋งของ Steve Ballmer ที่สร้างสินทรัพย์มูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์จากการเป็นพนักงานธรรมดา ๆ

ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของบริษัทเสมอไป บางครั้งการเลือกเส้นทางการเป็นพนักงาน แต่ทำงานด้วยความมุ่งมั่น ซื่อสัตย์ และการพยายามคว้าโอกาสที่สำคัญ ๆ ไว้ก็สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ซึ่ง Ballmer เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า พนักงานเงินเดือนก็มีโอกาสรวยระดับโลกได้ ถ้ามีวิสัยทัศน์และกล้าที่จะเสี่ยง

Geek Book EP49 : 3 บทเรียนสำคัญจาก Winning เคล็ดลับที่ทำให้ Jordan และ Kobe กลายเป็นตำนาน

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของการทุ่มเทและความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ

Tim Grover ผู้เขียนหนังสือ Winning ได้ใช้เวลากว่าสองทศวรรษในการศึกษาและทำงานร่วมกับนักกีฬาระดับตำนานอย่าง Michael Jordan และ Kobe Bryant ในฐานะเทรนเนอร์ส่วนตัว ประสบการณ์อันล้ำค่านี้ทำให้เขาได้เรียนรู้และเข้าใจถึงแก่นแท้ของการเป็นผู้ชนะอย่างลึกซึ้ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yc3k3upt

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yeyzzret

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/45x8k9wk

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/f29EG9WQTvI

Geek Story EP294 : จากพนักงานเงินเดือนสู่มหาเศรษฐีแสนล้าน กับบทพิสูจน์ว่าทำงานประจำก็รวยได้แบบ Steve Ballmer

ในโลกของความสำเร็จและความมั่งคั่ง มีเรื่องราวมากมายที่เล่าถึงผู้ก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สร้างอาณาจักรด้วยความคิดสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์อันกว้างไกล แต่วันนี้ เราจะมาพบกับเรื่องราวที่แตกต่างออกไป เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่สร้างความมั่งคั่งมหาศาลจากการเป็นเพียงพนักงานบริษัท

วันที่ 7 กรกฎาคม 2021 เป็นวันสำคัญที่ Steve Ballmer ก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาเศรษฐีระดับแสนล้านอย่างเป็นทางการ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ทะลุ 100 พันล้านดอลลาร์ เขากลายเป็นสมาชิกคนที่ 9 ในกลุ่มมหาเศรษฐีระดับนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ Steve แตกต่างจากคนอื่นๆ ในกลุ่มคือ เขาไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Facebook, Oracle หรือ Amazon และไม่ได้โชคดีจากการลงทุนในช่วงจังหวะทองอย่างการซื้อ Bitcoin ในปี 2009 หรือลงทุนใน Amazon ในช่วงวิกฤต Dotcom

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yewatrvz

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/47mk8vtk

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yuy99xu6

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/jrnzTINKv9E

Geek Life EP136 : หยุดคิดว่าทำไม่ได้! 3 เคล็ดลับจิตวิทยาที่จะเปลี่ยนคุณเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

เรื่องราวอันน่าทึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลังของจิตใจ ในยามที่มอร์ฟีนขาดแคลน แพทย์สนามได้ใช้น้ำเกลือฉีดให้ทหารที่บาดเจ็บโดยบอกว่าเป็นมอร์ฟีน ผลปรากฏว่าน้ำเกลือสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับมอร์ฟีนจริง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/ayapm3xd

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yckyxfm2

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/n9yrQDGuGG4