พรสวรรค์ VS ความพากเพียร อะไรสำคัญกว่ากัน? พบคำตอบที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

หากจะพูดถึงปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต หลายคนอาจนึกถึงพรสวรรค์เป็นอันดับแรก แต่งานวิจัยของ Angela Duckworth นักจิตวิทยาจาก University of Pennsylvania กลับชี้ให้เห็นว่า ความพากเพียรต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ

ในหนังสือ “Grit: The Power of Passion and Perseverance” Angela ได้ทุ่มเทศึกษาวิจัยเพื่อค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่า “อะไรคือปัจจัยที่แท้จริงที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ”

โดยเธอได้ศึกษากลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จในหลากหลายด้าน ตั้งแต่ผู้ชนะการแข่งขันสะกดคำระดับชาติ ทหารชั้นยอดที่ผ่านการฝึกอันเข้มข้น ไปจนถึงพนักงานขายที่มีผลงานโดดเด่นในองค์กรชั้นนำ

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้สังคมจะปลูกฝังให้เราเชื่อว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ แต่ผลการวิจัยกลับแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่พรสวรรค์มีค่าเท่ากับหนึ่ง ความพยายามกลับมีค่าถึงสอง

Angela ได้อธิบายความสัมพันธ์นี้ผ่านสูตรง่ายๆ ที่ว่า พรสวรรค์คูณด้วยความพยายามจะได้ทักษะ และเมื่อนำทักษะมาคูณด้วยความพยายามอีกครั้ง จะได้ผลลัพธ์คือความสำเร็จที่ยั่งยืน

ยกตัวอย่างเช่น Charles Darwin นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาเคยยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีสติปัญญาเฉียบแหลมเป็นพิเศษในการค้นพบความลับของธรรมชาติ แต่สิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จคือความหลงใหลและความมุ่งมั่นที่จะค้นหาคำตอบอย่างไม่ลดละ เขาพกพาคำถามติดตัวไปทุกที่ สังเกตทุกสิ่งรอบตัว จนในที่สุดก็ค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงโลกวิทยาศาสตร์ไปตลอดกาล

แล้วเราจะสร้างความพากเพียรให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? Angela ได้เสนอแนวทางสำคัญ 4 ประการ

ประการแรกคือการค้นหาและพัฒนาความหลงใหลในสิ่งที่ทำ โดยเริ่มจากการสำรวจใน 3 มิติ ได้แก่ ความท้าทายในวัยเยาว์ที่หล่อหลอมตัวตนของเรา ความสนใจที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา และบุคคลต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจให้เรา

ประการที่สองคือการมุ่งมั่นพัฒนาตนเองทุกวัน ดังเช่น Rowdy Gaines นักว่ายน้ำเหรียญทองโอลิมปิก ที่ตั้งเป้าหมายเอาชนะตัวเองในทุกการฝึกซ้อม หรือ Tiger Woods ที่ยอมอุทิศเวลาทั้งวันเพื่อพัฒนาทักษะเพียงด้านเดียวให้ดีขึ้นแม้เพียง 1% การฝึกฝนควรแบ่งเป็นช่วงสั้นๆ ที่เข้มข้น มีเป้าหมายชัดเจน และได้รับข้อมูล feedback ที่รวดเร็วแม่นยำ

ประการที่สามคือการเชื่อมโยงสิ่งที่ทำกับจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่า จากการสำรวจชาวอเมริกันกว่า 16,000 คน พบว่าผู้ที่มีความพากเพียรสูงมักมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างงานของตนกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกใบนี้ เปรียบเสมือนช่างก่ออิฐที่ไม่ได้เพียงแค่วางอิฐซ้อนกัน แต่กำลังสร้างบ้านของพระเจ้า

ประการสุดท้ายคือการปรับใช้กรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ดังที่ Bill McNab อดีต CEO ของ Vanguard บริษัทกองทุนรวมยักษ์ใหญ่ของโลก ได้ค้นพบว่าผู้นำที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวคือผู้ที่เชื่อในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ผู้ที่ยึดติดกับความเชื่อว่าความสามารถของตนเองนั้นตายตัว

ประสาทวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ยืนยันว่า สมองของเรามีความยืดหยุ่นและสามารถพัฒนาได้ตลอดชีวิต แม้แต่ในวัยผู้ใหญ่ ระบบประสาทก็ยังสามารถสร้างการเชื่อมต่อใหม่ๆ และปรับตัวตามประสบการณ์การเรียนรู้ได้อย่างน่าทึ่ง

การพัฒนาความพากเพียรจึงเป็นเหมือนการเดินทางที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เราต้องเริ่มจากการยอมรับว่าความพยายามสำคัญกว่าพรสวรรค์ จากนั้นค่อยๆ บ่มเพาะความหลงใหล มุ่งมั่นพัฒนาตนเอง เชื่อมโยงกับจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ และเชื่อมั่นในความสามารถที่จะเติบโต ทั้งหมดนี้จะหล่อหลอมให้เกิดพลังแห่งความพากเพียรที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในที่สุด

References :
หนังสือ Grit: The Power of Passion and Perseverance โดย Angela Duckworth

5 นิสัยเศรษฐี : อะไรที่ทำให้มหาเศรษฐีแตกต่างจากคนทั่วไปโดย Tony Robbins

ต้องบอกว่าไม่ใช่แค่เรื่องของโชค พรสวรรค์ หรือจังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของนิสัยที่เหล่ามหาเศรษฐียึดถือปฏิบัติกันในชีวิตประจำวัน นิสัยเหล่านี้หล่อหลอมความคิด ผลักดันการกระทำ และเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริง

หากคุณเคยสงสัยว่าอะไรทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ Tony Robbins ได้เปิดเผยว่าพวกเขาเหล่านี้มีนิสัยที่เหมือนกัน มันไม่ใช่ความลับ แต่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป แล้วนิสัยเหล่านั้นคืออะไร ทำไมมันถึงทรงพลังมาก และคุณจะใช้มันเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้อย่างไร

สิ่งนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับคนรวยที่สุดเท่านั้น แต่สำหรับทุกคนที่พร้อมจะคิดใหญ่ ลงมือทำอย่างชาญฉลาด และควบคุมอนาคตของตัวเอง มาดูกันเลย

1. การมุ่งเน้นการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง (Relentless Focus on Growth)

รากฐานที่ทำให้มหาเศรษฐีแตกต่างจากคนทั่วไปคือการมุ่งเน้นการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ใช่แค่เรื่องการสะสมความมั่งคั่งหรือการบรรลุเป้าหมาย แต่เป็นเรื่องของการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้ และการขยายขีดความสามารถในการรับมือกับความท้าทายและการคว้าโอกาส

แรงผลักดันสู่การเติบโตนี้มาจากความเข้าใจลึกๆ ว่าความสำเร็จไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ตายตัว แต่เป็นการเดินทางแห่งการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มหาเศรษฐีมีกรอบความคิดที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง เพราะพวกเขารู้ว่าจะเติบโตเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาก้าวข้ามขีดจำกัดปัจจุบัน

พวกเขาไม่กลัวที่จะถามคำถาม ทำผิดพลาด หรือก้าวเข้าสู่สิ่งที่ไม่รู้ เพราะประสบการณ์เหล่านี้เป็นเหมือนก้าวย่างสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า

2. การจัดลำดับความสำคัญอย่างแม่นยำ (Laser-like Prioritization)

หนึ่งในนิสัยที่โดดเด่นที่สุดของมหาเศรษฐีคือความสามารถในการจัดลำดับความสำคัญอย่างแม่นยำ และนี่คือกุญแจสู่ความสามารถในการบรรลุผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม มหาเศรษฐีเข้าใจว่าเวลาคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของพวกเขา และพวกเขาปฏิบัติกับมันเช่นนั้น

พวกเขาไม่เสียพลังงานไปกับสิ่งรบกวนหรือกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย แต่มุ่งเน้นอย่างแม่นยำในสิ่งที่สำคัญจริงๆ โดยทุ่มเทความพยายามไปที่งานที่สร้างผลกระทบสูงและให้ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุด

3. วิสัยทัศน์ระยะยาว (Long-term Vision)

ลักษณะเด่นที่แยกมหาเศรษฐีออกจากคนทั่วไปคือวิสัยทัศน์ระยะยาว พวกเขาไม่ติดอยู่กับสิ่งรบกวนระยะสั้นหรือความพึงพอใจทันทีที่คนส่วนใหญ่ไล่ตาม แต่คิดไกลเกินกว่าสัปดาห์ เดือน หรือปีถัดไป และมุ่งเน้นไปที่การสร้างอนาคตที่สอดคล้องกับเป้าหมายสูงสุดของพวกเขา

การคิดไปข้างหน้าแบบนี้ช่วยให้พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยจุดประสงค์และความชัดเจน โดยมองภาพใหญ่เสมอ วิสัยทัศน์ของพวกเขาทำหน้าที่เป็นเข็มทิศนำทาง ช่วยในการตัดสินใจและดำเนินการในวันนี้ที่สอดคล้องกับอนาคตที่ต้องการสร้าง

4. วินัยและความสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน (Daily Discipline and Consistency)

วินัยและความสม่ำเสมอคือกระดูกสันหลังของความสำเร็จของมหาเศรษฐีแทบจะทุกคน ในขณะที่หลายคนพึ่งพาแรงจูงใจหรือแรงบันดาลใจชั่วครู่ มหาเศรษฐีรู้ว่าความก้าวหน้าที่แท้จริงมาจากการลงมือทำทุกวัน ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม

วินัยคือความสามารถในการยึดมั่นกับแผน ทำตามข้อผูกมัด และทำสิ่งที่ต้องทำแม้จะไม่สะดวกหรือน่าตื่นเต้น การยึดมั่นกับเป้าหมายอย่างไม่สั่นคลอนนี้ช่วยให้พวกเขาสร้างนิสัยที่ทบทวีขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม

5. พลังของการทวีคูณ (Power of Leverage)

หนึ่งในนิสัยที่สำคัญที่สุดที่มหาเศรษฐีใช้เพื่อทวีคูณผลกระทบและบรรลุความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมคือพลังของการทวีคูณ นี่คือความสามารถในการทำมากขึ้นด้วยความพยายามน้อยลง เพื่อเพิ่มผลลัพธ์สูงสุดโดยใช้ทรัพยากรอย่างมีกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นเวลา เงิน คน หรือเทคโนโลยี

มหาเศรษฐีเข้าใจว่าพวกเขาไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดได้โดยพึ่งพาความพยายามของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขามุ่งเน้นการหาวิธีขยายผลงานผ่านการร่วมมือ นวัตกรรม และการตัดสินใจที่ชาญฉลาด

บทสรุป

นิสัยของมหาเศรษฐีไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่เป็นทางเลือก กรอบความคิด และวินัยที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้ ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งเน้นการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ความสามารถในการจัดลำดับความสำคัญอย่างแม่นยำ ความมุ่งมั่นต่อวิสัยทัศน์ระยะยาว วินัยและความสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน หรือความเชี่ยวชาญในการใช้พลังของการทวีคูณ

นิสัยเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นและผลักดันไปสู่ความสูงที่ยอดเยี่ยม มหาเศรษฐีส่วนใหญ่ไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่โชคหรือพรสวรรค์เท่านั้น แต่พวกเขาสร้างความสำเร็จของตัวเองโดยการทำให้การกระทำสอดคล้องกับเป้าหมาย รักษาความสม่ำเสมอ และหาวิธีเพิ่มผลกระทบให้สูงสุด

ความงดงามของนิสัยเหล่านี้คือมันไม่ได้สงวนไว้สำหรับคนกลุ่มพิเศษ แต่มีไว้สำหรับทุกคนที่เต็มใจจะรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง มุ่งมั่นกับวิสัยทัศน์ และลงมือทำทุกวัน ความสำเร็จในแก่นแท้คือผลลัพธ์ของนิสัยที่ทบทวีขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลา

Robbins แนะนำให้เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ สร้างแรงผลักดัน และจดจ่อกับภาพใหญ่ไว้ หากคุณนำนิสัยเหล่านี้ไปปฏิบัติแม้เพียงอย่างเดียวและทำอย่างสม่ำเสมอ คุณจะพบว่าตัวเองประสบความสำเร็จมากกว่าที่เคยคิดว่าเป็นไปได้

ตื่นตี 5 เปลี่ยนชีวิต : อย่าเพิ่งกดเลื่อนนาฬิกาปลุก เพราะนี่คือเวลาทองของคุณ เคล็ดลับจาก The 5 AM Club

ในยุคที่ทุกคนต่างมุ่งแสวงหาความสำเร็จ การจัดการเวลาให้มีประสิทธิภาพกลายเป็นทักษะที่สำคัญยิ่ง หนังสือ The 5 AM Club โดย Robin Sharma ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะผู้นำระดับโลก ได้นำเสนอแนวคิดที่อาจฟังดูเรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือการตื่นนอนตั้งแต่ตี 5

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยชินกับการกดเลื่อนนาฬิกาปลุกหลายครั้ง แล้วต้องรีบแต่งตัวออกจากบ้านอย่างเร่งรีบเพื่อไปทำงานให้ทัน บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้วิธีเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยการเริ่มต้นวันใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่

ต้องบอกว่าเวลา 5 นาฬิกาของทุกวันคือช่วงเวลาพิเศษที่มีความเงียบสงบมากที่สุด เป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ตื่น ไร้ซึ่งเสียงรบกวนและสิ่งดึงดูดความสนใจ ความสงบในยามเช้าตรู่นี้มีค่ามากกว่าที่หลายคนคิด มันเป็นโอกาสทองที่จะได้ใช้เวลากับตัวเองอย่างมีคุณภาพ ทำงานที่สำคัญ หรือพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ

Sharma ได้แบ่งปันประสบการณ์ว่า แต่ก่อนเขาเคยตื่นเวลา 8 นาฬิกา รีบเร่งแต่งตัวเพื่อไปทำงานให้ทันเวลา 9 โมง เมื่อถึงตอนเย็นมักรู้สึกหงุดหงิดที่ทำงานได้ไม่เต็มที่ และมีเวลาส่วนตัวน้อยนิดในช่วงค่ำ วันแล้ววันเล่าที่ชีวิตวนเวียนอยู่ในวงจรเดิมๆ จนกระทั่งได้ค้นพบพลังของการตื่นแต่เช้า

ช่วงเวลาระหว่าง 5 ถึง 8 นาฬิกา กลายเป็นช่วงเวลาทองที่เขาได้เริ่มต้นทำงานสำคัญโดยปราศจากการรบกวน สามารถใช้สมาธิอย่างเต็มที่กับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ การตื่นเช้าจึงไม่ใช่เรื่องน่าหวาดกลัวอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นความตื่นเต้นที่จะได้ควบคุมชีวิตและความสำเร็จด้วยตัวเอง

หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่ Robin Sharma นำเสนอคือ ชั่วโมงแรกและชั่วโมงสุดท้ายของวันมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด วิธีที่เราใช้เวลาในช่วงแรกของวันจะกำหนดทิศทางของวันที่เหลือทั้งหมด

ซึ่งปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักเริ่มต้นวันด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข้อความ เล่นโซเชียลมีเดีย หรืออ่านข่าว และจบวันด้วยกิจกรรมเหล่านี้เช่นกัน พฤติกรรมดังกล่าวทำให้สมองต้องประมวลผลข้อมูลมากมายที่ส่วนใหญ่ไม่จำเป็น ส่งผลให้สูญเสียพลังงานสมองที่ควรเก็บไว้ใช้กับงานสำคัญ

แทนที่จะเริ่มต้นวันด้วยการจมอยู่กับหน้าจอ Sharma แนะนำให้ใช้เวลา 60-90 นาทีแรกของวันไปกับงานที่สำคัญที่สุด เพราะนี่คือช่วงที่เรามีพลังงาน สมาธิ และความมุ่งมั่นสูงสุด

ส่วนชั่วโมงสุดท้ายของวันควรใช้เวลาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เรียนรู้บทเรียนจากวันนั้น หรือระลึกถึงสิ่งที่ควรรู้สึกขอบคุณ การจบวันด้วยจิตใจที่สงบจะช่วยให้หลับสบายและตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นในวันใหม่

หัวใจสำคัญของการตื่นตี 5 คือสูตร 20/20/20 ซึ่งแบ่งเวลาหนึ่งชั่วโมงแรกของวันออกเป็นสามช่วง ช่วงละ 20 นาที โดยเริ่มจากการออกกำลังกาย แม้บางครั้งอาจรู้สึกไม่อยากลุกจากที่นอน แต่การเคลื่อนไหวร่างกายคือสิ่งแรกที่เราควรทำในตอนเช้า เพราะจะช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกสดชื่น และลดระดับคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดที่มักสูงในช่วงเช้า

20 นาทีต่อมาควรอุทิศให้กับการทำสมาธิและไตร่ตรองความคิด ความเงียบยามเช้าตรู่เป็นโอกาสดีที่จะได้ทำความเข้าใจตัวเอง เขียนไดอารี่ หรือวางแผนสิ่งที่ต้องการทำในวันนั้น การฝึกสติในช่วงนี้จะช่วยให้จิตใจสงบและพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ส่วน 20 นาทีสุดท้าย ควรใช้เวลากับการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือที่ให้แง่คิดดีๆ หรือฟังพอดแคสต์จากผู้นำที่น่าสนใจ การสร้างนิสัยรักการเรียนรู้จะช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การจะตื่นตี 5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการนอนที่ดีเป็นอันดับแรก ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่ผู้คนทั่วโลกกำลังประสบปัญหาการนอนไม่เพียงพอ เพราะผู้คนส่วนใหญ่มักเชื่อมโยงความสำเร็จและความขยันกับการอดหลับอดนอน แต่ความจริงแล้ว การพักผ่อนไม่เพียงพอจะส่งผลเสียต่อทั้งร่างกายและสมอง ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงอย่างมาก

จากการศึกษาพบว่า การนอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนเป็นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ การตื่นตี 5 จึงหมายความว่าคุณควรเข้านอนประมาณ 4 ทุ่ม และหากรู้สึกเหนื่อยล้าระหว่างวัน การงีบสั้นๆ 20 นาทีก็เป็นวิธีเพิ่มประสิทธิภาพที่ได้ผลดี

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ อย่างต่อเนื่องสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ เริ่มจากการตื่นเร็วขึ้น 15 นาทีในสัปดาห์แรก แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ถัดไป การพัฒนาแค่ 1% ต่อวันจะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเวลาผ่านไป

ปัจจัยสำคัญอีกประการที่ Robin Sharma เน้นย้ำคือการลดการพึ่งพาเทคโนโลยี โทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจนแทบแยกไม่ออก แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่การติดอุปกรณ์เหล่านี้กำลังขโมยศักยภาพด้านความคิดสร้างสรรค์ของเราไป เพราะเรามักใช้มันเพื่อความบันเทิงมากกว่าการทำงานที่ต้องใช้สมาธิอย่างลึกซึ้ง

นอกจากนี้ Sharma ยังชี้ให้เห็นว่าสังคมได้หล่อหลอมให้เราเชื่อในเส้นทางชีวิตแบบตายตัว เช่น ต้องเรียนจบปริญญา ทำงานประจำ 9-5 จึงจะประสบความสำเร็จ

แต่ความจริงแล้ว ชีวิตของแต่ละคนมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถูกหล่อหลอมจากประสบการณ์และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน การกล้าเลือกเส้นทางที่แตกต่างจึงเป็นสิ่งสำคัญ แม้บางครั้งอาจดูแปลกแยกในสายตาผู้อื่น เช่น การตื่นตี 5 แต่หากคุณต้องการเป็นคนกลุ่มแรก 5% ที่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องกล้าที่จะไม่ทำตัวเหมือนอีก 95%

สิ่งสำคัญที่สุดที่ The 5 AM Club นำเสนอคือแนวคิดเรื่องการสร้างสมดุลชีวิตที่สมบูรณ์ ในขณะที่หนังสือพัฒนาตนเองส่วนใหญ่มักเน้นเรื่อง mindset หรือกรอบความคิด

Robin Sharma ได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง “Interior Empires” ที่ประกอบด้วยปัจจัยสามประการ ได้แก่ Healthset หรือสุขภาพกายที่แข็งแรง ซึ่งจะช่วยให้มีพลังงานมากขึ้น ความเครียดน้อยลง และมีความสุขมากขึ้น Heartset หรือความมั่นคงทางอารมณ์ที่ช่วยให้เราสามารถจัดการกับความรู้สึกได้อย่างเหมาะสม และ Soulset หรือจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงกับตัวตนที่แท้จริง การรู้จักและเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้เรารู้ว่าต้องการจะเป็นอะไรและต้องการบรรลุอะไรในชีวิต

การตื่นตี 5 จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนเวลาตื่นนอน แต่เป็นการปฏิวัติวิถีชีวิตทั้งหมด เป็นการให้โอกาสตัวเองได้ใช้ช่วงเวลาที่มีคุณภาพที่สุดของวันเพื่อพัฒนาตนเองในทุกมิติ ทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ความสงบในยามเช้าตรู่จะกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เราได้เชื่อมต่อกับตัวเอง ได้ทำงานที่มีความหมาย และได้ก้าวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจอย่างมั่นคง

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า คนที่ตื่นเช้ามีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า มีความสุขมากกว่า และมีสุขภาพดีกว่าคนที่ตื่นสาย เพราะแสงธรรมชาติในตอนเช้าช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้วงจรการนอนหลับเป็นปกติ และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าอีกด้วย

The 5 AM Club ไม่ใช่แค่หนังสือที่สอนให้ตื่นเช้า แต่เป็นคู่มือที่จะพาคุณค้นพบพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง ผ่านการใช้เวลายามเช้าอย่างมีคุณค่า วิธีที่คุณใช้ชั่วโมงแรกของวันจะกำหนดคุณภาพของชีวิตที่เหลือทั้งหมด คำถามสำคัญคือ คุณพร้อมจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองตั้งแต่วันนี้หรือยัง?

References :
หนังสือ The 5AM Club: Own Your Morning. Elevate Your Life โดย Robin Sharma

Geek Talk EP46 : 40 คำแนะนำสู่ชีวิตที่ดีกว่า มุมมองและประสบการณ์จากคนวัย 40 ที่เงินก็ซื้อไม่ได้

ได้มีโอกาสฟังเรื่องราวที่น่าสนใจจากช่อง Simon Alexander Ong ที่ได้มาพูดถึง 40 คำแนะนำในวันเกิดครบรอบ 40 ปีของเขา ซึ่งตัวของ Simon อยากจะแบ่งปันกับตัวเองหากย้อนเวลากลับไปคุยกับตัวเขาในวัย (20) ได้ ซึ่งเป็น 40 ความจริงอันแสนโหดร้ายที่คิดว่าหลายคนควรที่จะรู้ตอนอายุ 20

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mryysybw

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bdfkpj49

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/49w9y2fz

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/YwQc3svejC0

Geek Life EP100 : กฎแห่งร้อยวัน กับ 100 วันที่จะเปลี่ยนคนธรรมดาให้เป็นคนที่พิเศษกว่าใคร

ในชีวิตของคนเราล้วนมีจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง และค้นพบว่าความสำเร็จนั้นไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อมอย่างที่คิด วันนี้จะมาชวนคุยถึงเคล็ดลับที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นคือ “กฎแห่งร้อยวัน” หรือที่เรียกว่า Law of 100 ซึ่งเป็นหลักการที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณอย่างถาวร

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4n6zvrhu

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5ja46bha

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/NaBgmQEVQTk