ความรู้เครื่องยนต์สันดาปที่ไร้ค่า! จากเบอร์ 1 สู่ผู้ไล่ตาม กับวิกฤต Volkswagen ในสงครามรถไฟฟ้าจีน

จีนในปี 1983 เป็นประเทศที่แทบไม่มีใครหมายปองในฐานะตลาดรถยนต์ ให้ลองจินตนาการดูว่าสถานการณ์ในตอนนั้น GDP ต่อหัวของพวกเขาแค่เพียง 32 ดอลลาร์สหรัฐ อยู่อันดับ 161 ของโลก แย่กว่าแอฟริกากลางกับยูกันดาเสียอีก

เศรษฐกิจจีนแบบปิดและควบคุมจากส่วนกลางทำให้บริษัทตะวันตกเข้าไม่ถึง แม้จะมีประชากรมหาศาล แต่ใครจะอยากเสี่ยงลงทุน

แต่ทุกอย่างเปลี่ยนเมื่อ เติ้งเสี่ยวผิง ขึ้นสู่อำนาจและปฏิรูปเศรษฐกิจ เปิดประตูให้ผู้ผลิตรถตะวันตกเข้ามาร่วมทุนกับบริษัทจีน

Volkswagen (VW) คว้าโอกาสทองนี้ รถรุ่นแรกออกจากสายการผลิตที่เซี่ยงไฮ้ในปี 1983 การจับมือกับ Shanghai Automotive Industry Corporation (SAIC) เกิดขึ้นในจังหวะที่ perfect สุด ๆ

การปฏิรูปที่ทำให้ VW เข้าตลาดได้นี่แหละที่พลิกโฉมจีนให้กลายเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจ รายได้คนจีนพุ่งกระฉูด ชนชั้นกลางขยายตัว ยอดขายรถก็บูมตาม

VW เนื้อหอมในจีนมากกว่าบริษัทรถตะวันตกคู่แข่งทั้งหมด ช่วงต้นทศวรรษ 2000 จีนสร้างกำไรให้ VW ครึ่งหนึ่งของกำไรทั่วโลก ต้นทุนผลิตต่ำ ยอดขายสูง อัตรากำไรโครตโหด

ความสำเร็จนี้มาจากการเป็นเจ้าแรกที่เข้าตลาด ทำให้แบรนด์แข็งแกร่งและได้รับการเทิดทูนจากผู้บริโภคชาวจีน

หลายทศวรรษผ่านไป ยอดขายในจีนเติบโตต่อเนื่อง ส่วนแบ่งตลาดของ VW คงที่ ปี 2019 ยอดขายทะลุเกือบ 4 ล้านคัน แต่หลังจากนั้น…ดิ่งลงเหวแบบฉุดไม่อยู่

แม้โควิดจะเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่มันไม่สามารถอธิบายการตกฮวบอย่างต่อเนื่อง ช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2024 ยอดขายแค่ 2 ล้านคัน จาก 39 โรงงานในจีน กำไรลดลงเกือบ 50% จากจุดพีคในปี 2015

Skoda ที่ VW เป็นเจ้าของก็เจ๊งยับไม่แพ้กัน ยอดขายร่วงหนักตลอดทศวรรษ 2020 ทั้งที่เคยปลุกปั้นรุ่นพิเศษเพื่อตลาดจีนโดยเฉพาะ

สิ่งที่ทำให้ทุกคนอ้าปากค้างคือการเติบโตของ BYD บริษัทรถใหม่ของจีน จากส่วนแบ่งตลาด 1.8% ในปี 2020 พุ่งเป็น 11% ตอนนี้ ไม่ใช่แค่เบอร์หนึ่งในจีน แต่เป็นผู้ผลิตรถไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงแม้แต่ Tesla

ความเจ๋งของ BYD มาจากการผสมผสานระหว่างการวางแผนจากรัฐบาลและตลาดเสรี รัฐบาลจีนทุกระดับอัดฉีดเงินสนับสนุนรถไฟฟ้ากว่า 230 พันล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2009-2023

ความท้าทายสุดโหดของ VW คือการปรับตัวเข้าสู่ยุครถไฟฟ้า โดยเฉพาะเรื่องซอฟต์แวร์ ช่วงต้นทศวรรษ 2010 การผลิตรถเป็นแค่การโชว์ความเทพด้านอุตสาหกรรม

แต่พอ Tesla เข้ามาพลิกเกมด้วยนวัตกรรมสุดล้ำ ทั้งระบบช่วยขับ จอแสดงผลที่กระจกด้านหน้า รถต้องมีความสามารถในการประมวลผลที่ซับซ้อนขึ้น

ปี 2019 VW ตัดสินใจจัดหนักด้วยการตั้ง CARIAD บริษัทซอฟต์แวร์ของตัวเอง แทนที่จะพึ่งซัพพลายเออร์ภายนอกแบบผู้ผลิตรถรายอื่น แต่มันกลายเป็นการติดสินใจที่ผิดพลาด!

ทั้งความล่าช้า ปัญหาคุณภาพ การขาดประสบการณ์พัฒนาซอฟต์แวร์ ทำให้การเปิดตัวรถหลายรุ่นล่าช้าต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ และซอฟต์แวร์ก็ยังตามหลัง BYD กับ Tesla อยู่มาก

วิกฤตนี้ลุกลามไปทั่วโลก โรงงานในบรัสเซลส์ ที่ผลิต Volkswagen มาตั้งแต่ทศวรรษ 1950 กำลังจะปิดตัวในกุมภาพันธ์ 2025 เพราะยอดขาย Audi Q8 e-tron ตกต่ำหนัก

ไม่หยุดแค่นั้น VW ยังประกาศปิดโรงงานอีกสามแห่งในเยอรมนี นี่คือการปรับโครงสร้างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศบ้านเกิดของพวกเขา

VW รับมือวิกฤตด้วยการปรับโครงสร้างและลดค่าใช้จ่าย โดยลดค่าจ้าง 10% ทั่วองค์กร โดยเฉพาะกับผู้จัดการผ่านการลดโบนัส

พวกเขาเริ่มหันไปมองตลาดเกิดใหม่อย่างบราซิล ที่ VW มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่เปิดโรงงานต่างประเทศแห่งแรกในทศวรรษ 1950 ปัจจุบันมีโรงงาน 4 แห่ง

VW ตั้งเป้าเติบโต 40% ในบราซิลภายในปี 2027 ด้วยการรังสรรค์รถไฟฟ้าและรถ hybrid 15 รุ่นใหม่ แต่สิ่งที่สำคัญคือการฟื้นฟูตลาดจีน

VW ยอมเข้าสู่สงครามราคากับผู้ผลิตจีน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประกาศว่าจะไม่ทำ พร้อมกับแนะนำ ID.Code รถไฟฟ้าที่ขับอัตโนมัติได้ ออกแบบเฉพาะสำหรับจีน

รถรุ่นนี้มาพร้อมฟีเจอร์ล้ำๆ แบบเดียวกับที่ช่วยผลักดันการเติบโตของ BYD เช่น โหมดทำความสะอาดตัวเองด้วยแสง UV และหุ่นยนต์ดูดฝุ่นในตัว

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน VW ซื้อหุ้น 4.99% ใน Xpeng สตาร์ทอัพรถไฟฟ้าจีน การร่วมมือนี้จะช่วยลดเวลาผลิต 30% และลดต้นทุน 40% สำหรับรถสองรุ่นที่จะเปิดตัวในปี 2026

การพัฒนาซอฟต์แวร์ยังเป็นกุญแจสำคัญ VW ประกาศร่วมทุนกับ Rivian ดาวรุ่งรถไฟฟ้าอเมริกา ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 1 พันล้านดอลลาร์ ตามด้วยอีก 4.8 พันล้านในปีต่อไป

Rivian พัฒนาสถาปัตยกรรมแบบใหม่ ช่วยลดความซับซ้อนในการเดินสายไฟและฮาร์ดแวร์ VW จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับ Porsche และ Audi ก่อน แล้วค่อยขยายสู่รถ VW รุ่นอื่น

การเปลี่ยนสู่ยุครถไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ผลิตรายเก่า ความรู้และประสบการณ์กว่าศตวรรษในการผลิตรถเครื่องยนต์แบบดั้งเดิมแทบจะไม่มีประโยชน์เลย สิ่งเดียวที่ยังมีค่าคือความแข็งแกร่งของแบรนด์

ผู้ผลิตรถจีนกำลังสยายปีกสู่ตลาดโลก แม้จะเจอภาษีนำเข้าที่สูงในยุโรปและอเมริกา แต่พวกเขาปรับกลยุทธ์ได้เจ๋ง เช่น BYD หันมาเน้นไฮบริดในยุโรปแทนรถไฟฟ้าล้วน

บทเรียนของ VW มีค่ามากโข ไม่ใช่แค่สำหรับพวกเขา แต่สำหรับผู้ผลิตรถทุกรายที่กำลังฝ่าฝันต่อสู้กับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้

อนาคตของ VW จะเป็นอย่างไร? จะกลับมาเป็นพี่ใหญ่อีกครั้งหรือจะกู่ไม่กลับ? ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและพัฒนานวัตกรรมของพวกเขา

การแข่งขันในวงการยานยนต์มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันได้กลายเป็นสงครามเทคโนโลยีที่ต้องใช้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ชั้นเทพ VW มีโอกาส แต่ต้องลืมไปซะว่าชื่อเสียงในอดีตจะช่วยพวกเขาได้

ฟ้าลิขิตให้บริษัทอย่าง VW ต้องพิสูจน์ตัวเองว่ายังเป็นของแท้หรือไม่? หรือจะกลายเป็นเพียงตำนานแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ที่คอยถวิลหาความรุ่งโรจน์ในอดีต

วิกฤตครั้งนี้อาจเป็นบทเรียนสำหรับบริษัทที่เคยนอนนิ่งบนความสำเร็จ เพราะสนามแข่งใหม่ต้องการทั้งความเร็วและความยืดหยุ่น ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงและประวัติศาสตร์

BYD กับผู้ผลิตจีนรายอื่นไม่ได้เกิดมาพร้อมกับภาระจากอดีต พวกเขาสร้างตัวขึ้นมาใหม่จากศูนย์ในยุคดิจิทัล เข้าใจว่าความสำเร็จของรถไฟฟ้าอยู่ที่ชิป ไม่ใช่เครื่องยนต์อีกต่อไป

ในขณะที่ VW พยายามปรับตัว การร่วมทุนกับ Rivian และ Xpeng คือความหวังที่จะเร่งกระบวนการเรียนรู้ แต่คำถามคือ มันเร็วพอหรือไม่?

ราคาหุ้น VW ในตอนนี้มันเริ่มส่งสัญญาณอย่างชัดเจน นักลงทุนเริ่มสั่นคลอนความเชื่อมั่น หลายคนมองว่าการรับมือกับวิกฤตของผู้บริหารยังมั่วซั่วและไร้ทิศทาง

ที่น่าตะหงิดใจคือบริษัทที่เคยเป็นเชิดหน้าชูตาของวิศวกรรมเยอรมัน ตอนนี้ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ คือพึ่งเทคโนโลยีจากสตาร์ทอัพที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่ปี

ถ้ามองในแง่ดี VW ยังมีเงินทุนมากโข มีฐานลูกค้าทั่วโลก และมีความโชกโชนในการฟันฝ่าวิกฤต การที่พวกเขายอมจับมือกับคู่แข่งแสดงว่าเริ่มลดอีโก้ของตัวเองลงไปบ้างแล้ว

ซอฟต์แวร์อาจเป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขา VW คิดว่าแค่ตั้งบริษัทใหม่ก็จะได้ซอฟต์แวร์เทพ แต่ความจริงคือต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรทั้งหมด จากฮาร์ดแวร์สู่ซอฟต์แวร์

แนวคิดของ Rivian อาจช่วยให้ VW พลิกเกมได้ แต่การนำไปใช้จริงต้องผ่านระบบราชการภายในที่ลึกลับซับซ้อน ซึ่งอาจทำให้นวัตกรรมถอยหลังเข้าคลอง

ประวัติศาสตร์บอกเราเสมอว่า ยักษ์ใหญ่มักปรับตัวช้า แต่บางครั้งก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้ เหมือน Apple ที่เกือบล้มละลายในยุค 90 ก่อนกลับมา จนกลายเป็นบริษัทล้านล้าน

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น VW กำลังขีดชะตาชีวิตตัวเองในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของอุตสาหกรรม ถ้าพวกเขาทำสำเร็จ นี่จะเป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่

แต่ถ้าล้มเหลว นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสิ้นสุดของอดีตยักษ์ใหญ่ และเป็นบทเรียนสำคัญว่าไม่มีบริษัทไหนใหญ่เกินล้ม ไม่ว่าจะเก่าแก่และมีประวัติศาสตร์ยาวนานแค่ไหน

ด้วยความท้าทายรอบด้าน VW อาจต้องระทมทุกข์อีกพักใหญ่ก่อนจะเห็นแสงสว่าง หรืออาจพบหนทางใหม่ที่พลิกโฉมบริษัทให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

ทุกสายตาจับจ้องว่ายักษ์เยอรมันจะลุกขึ้นสู้หรือยอมจบเห่ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้นั่งรอความตายอย่างเดียว การเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้น แม้จะสายไปหน่อยก็ตาม

อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะพัง? ราคาพุ่ง ภาษีแพง เครดิตหาย ฝันร้ายของชาวอเมริกัน

โลกของยานยนต์ไฟฟ้ากำลังพบกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจเขียนขีดชะตาอุตสาหกรรมนี้ในทศวรรษหน้า ตัวเลขการเติบโตทั่วโลกนั้นต้อบบอกว่ายอดขายพุ่งกระฉูดขึ้น 18% ในปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่กระแสชั่วครู่

ทั่วโลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ทั้งยุโรปและจีนทุ่มสุดตัวกับนโยบายสนับสนุน แต่ในสหรัฐอเมริกา สถานการณ์กลับลึกลับซับซ้อนกว่าที่คิด

Jim Farley ซีอีโอของ Ford ออกมาส่งสัญญาณเตือนว่าภาษีนำเข้าใหม่อาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานมีปัญหา ขณะที่กลุ่มวุฒิสมาชิกที่ได้รับการอัดฉีดเงินจากธุรกิจน้ำมันกำลังผลักดันให้ยกเลิกเครดิตภาษี 7,500 ดอลลาร์

ไม่แค่นั้น พวกเขายังจะเพิ่มค่าธรรมเนียมพิเศษอีก 1,000 ดอลลาร์สำหรับเจ้าของรถไฟฟ้า ราวกับต้องการที่จะถีบส่งให้ธุรกิจนี้ดิ่งลงเหว

คำถามใหญ่คือ สหรัฐอเมริกาจะรักษาตำแหน่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาในวงการยานยนต์ไฟฟ้าได้หรือไม่ หรือจะยอมแพ้ให้คู่แข่งอย่างจีนและยุโรปที่กำลังทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเดินหน้าพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มสูบ จีนได้ก้าวขึ้นเป็นพี่ใหญ่ในวงการนี้อย่างชัดเจน จัดเต็มทั้งการลงทุนในเทคโนโลยีแบตเตอรี่ โรงงานผลิต และสถานีชาร์จทั่วประเทศ

ส่วนในสหรัฐฯ ภาษีนำเข้าที่อาจเกิดขึ้นจะทำให้ต้นทุนพุ่งทะยาน ซึ่งแน่นอนว่าผู้บริโภคจะเป็นคนแบกรับภาระ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้อาจบั่นทอนแรงผลักดันที่อุตสาหกรรมพยายามสร้างมาหลายปี

นอกจากนั้น อุปสรรคทางการค้าเหล่านี้อาจขัดขวางการไหลเวียนของนวัตกรรม ซึ่งเป็นจุดสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งบริษัทใหญ่อย่าง Ford, GM และ Tesla ได้ทุ่มทรัพยากรมหาศาลไปกับยานยนต์ไฟฟ้า

แต่ถ้าต้องเจอกับความผันผวนของราคาวัตถุดิบหรือข้อจำกัดทางการค้าแบบไม่ทันตั้งตัว การวางแผนธุรกิจของพวกเขาก็จะมีปัญหาทันที

ที่น่าตะหงิดใจคือกลุ่มวุฒิสมาชิกที่มีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมน้ำมันกำลังผลักดันให้ยกเลิกเครดิตภาษี 7,500 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ราคายานยนต์ไฟฟ้าจับต้องได้สำหรับคนทั่วไป

พวกเขาอ้างว่าผู้ขับขี่ยานยนต์ไฟฟ้าไม่ได้จ่ายภาษีน้ำมัน และสิ่งจูงใจมากเกินไปทำให้ตลาดมันบูมแบบผิดธรรมชาติ แต่อีกฝั่งโต้กลับว่าการยกเลิกเครดิตและเพิ่มค่าธรรมเนียมจะทำลายความพยายามในการลดมลพิษ

หากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นจริง คนที่กำลังคิดจะซื้อรถไฟฟ้าก็อาจถอยห่างเมื่อรู้ว่าสิ่งจูงใจทางการเงินหายไปและจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

ความไม่แน่นอนนี้สร้างความซับซ้อนให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค หากราคายานยนต์ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ความสนใจกำลังเติบโต ก็เหมือนเป็นการซ้ำเติมตลาดให้แย่ลง

เมื่อนโยบายเหล่านี้ชัดเจน ความเป็นผู้นำในตลาดอาจย้ายขั้วไปยังจีนหรือยุโรปอย่างถาวร ทำให้สหรัฐฯ อยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบในการแข่งขันระยะยาว

ผลกระทบของการถกเถียงเหล่านี้กำลังส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจน คำถามใหญ่สำหรับผู้บริโภคคือ รถไฟฟ้าที่อยากซื้อจะยังมีราคาจับต้องได้ไหม หากภาษีนำเข้าเพิ่มและเครดิตหายไป

นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงค่าธรรมเนียมการใช้ถนนแบบใหม่เพื่อชดเชยรายได้จากภาษีน้ำมันที่หายไป แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะนำมาใช้อย่างไรโดยไม่ทำให้ความต้องการรถไฟฟ้าลดลง

ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือ อุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐฯ พร้อมแค่ไหนสำหรับการแข่งขันสุดโหดในเวทีโลก ประเทศอื่นปรับนโยบายให้เรียบง่ายเพื่อสนับสนุนรถไฟฟ้า

ในหลายเมืองยุโรป มีการห้ามใช้รถที่ปล่อยมลพิษในเขตเมือง หรือเก็บค่าธรรมเนียมการจราจรที่ยกเว้นให้รถไฟฟ้า หากสหรัฐฯ สร้างภาระเพิ่มด้วยภาษีนำเข้าและยกเลิกสิ่งจูงใจ อุตสาหกรรมอาจต้องฝ่าฝันต่อสู้เพื่อความอยู่รอด

รัฐบาลระดับรัฐ เช่น แคลิฟอร์เนีย มีมาตรการสนับสนุนของตัวเองที่อาจชดเชยการถอยหลังของรัฐบาลกลางได้บางส่วน ผู้ผลิตหลายรายลงทุนพันล้านดอลลาร์ไปแล้ว

การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ยังคงเดินหน้าอย่าง มีการค้นพบวัสดุและเทคนิคใหม่ๆ ที่อาจลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในเร็ววัน

คำถามสำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสัญญาณของจุดจบสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ หรือไม่ แม้จะเป็นความท้าทาย แต่อนาคตก็คงยังไม่ถึงทางตัน

เทคโนโลยียังก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนแบตเตอรี่ลดลงเร็วกว่าที่คาดการณ์ และความสนใจของผู้บริโภคยังเพิ่มขึ้น แต่อุปสรรคทางนโยบายอาจทำให้การยอมรับช้าลงจนติดหล่ม

ถ้าสหรัฐฯ สูญเสียตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ จะกระทบไม่เฉพาะธุรกิจรถยนต์ แต่รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงบริการด้านพลังงาน

โลกของยานยนต์ไฟฟ้ากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ความท้าทายด้านนโยบายสร้างความไม่แน่นอนให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

ในขณะที่โลกกำลังขับเคลื่อนสู่การคมนาคมด้วยไฟฟ้าอย่างเต็มสปีด นโยบายของสหรัฐฯ กลับเจอแรงต้านจากกลุ่มผลประโยชน์น้ำมัน ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ ตามหลังในการแข่งขันระดับโลก

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจว่าจะรักษาหรือยกเลิกนโยบายสนับสนุนรถไฟฟ้าไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคหรือการเงิน แต่เป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่จะกำหนดว่าประเทศสหรัฐฯจะรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้หรือไม่ และเป็นบททดสอบความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาโลกร้อนผ่านการลดมลพิษจากการขนส่งของพวกเขาอย่างแท้จริง

Geek Story EP319 : Wan Gang บิดาแห่งรถไฟฟ้าจีน สุดยอดกุนซือผู้พาจีนครองตลาดรถไฟฟ้าโลก

ในทศวรรษ 1930 รัฐบาลสหรัฐฯ จ่ายเงินเพื่อก่อสร้างถนนมากกว่า 100,000 ไมล์ภายใต้นโยบาย New Deal ของประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ต่อมาได้จัดตั้งโครงการวิจัยเพื่อผลักดันให้มีเครื่องยนต์ที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้นและกำหนดระเบียบด้านความปลอดภัยที่ดีขึ้น ในทศวรรษเดียวกัน รัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ ให้ทุนโครงการเทคโนโลยี และใช้ภาษีศุลกากรเพื่อลดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตสหรัฐฯ เพื่อปกป้องบริษัทในประเทศ กล่าวอีกนัยหนึ่ง แนวทางนโยบายอุตสาหกรรมของจีน ซึ่งจะพึ่งพาเงินอุดหนุนและกฎระเบียบ เป็นวิธีที่ผ่านการทดสอบและพิสูจน์แล้วในการกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์

แผนของ Wan Gang ยิ่งใหญ่กว่านั้น ผู้ผลิตรถยนต์ที่เขาจะปลดปล่อยจะไม่เพียงรับใช้ลูกค้าชาวจีนเท่านั้น แต่จะผลิตรถยนต์แบบที่จะครองอนาคตของอุตสาหกรรมรถยนต์ – ด้วยการทิ้งเครื่องยนต์สันดาปภายในและทุ่มเทการลงทุนทั้งหมดของประเทศไปที่การขนส่งที่ไม่ปล่อยมลพิษ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5xtt8j8v

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ydk5ezez

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/hvs4zfby

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/DoIo3g_iDmc

Geek Talk EP71 : สมาร์ทโฟนบนล้อ VS วิศวกรรมชั้นเยี่ยม การต่อสู้เชิงปรัชญาระหว่างรถจีนและญี่ปุ่น

ก็ต้องบอกว่าเป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้วที่ญี่ปุ่นเป็นกำลังสำคัญในโลกยานยนต์ ลองจินตนาการถึงถนนในเมืองต่างๆ ช่วงทศวรรษ 70 และ 80 คุณอาจเห็นคลื่นแบรนด์ญี่ปุ่น ตั้งแต่รถขนาดเล็กประหยัดน้ำมันไปจนถึงรถสปอร์ตที่ได้รับความนิยมในหมู่นักขับขี่ ผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Toyota, Nissan และ Honda ไม่เพียงประสบความสำเร็จในประเทศ แต่ยังพิชิตตลาดต่างประเทศได้ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป สูตรลับของพวกเขาคือความน่าเชื่อถือ เทคนิคการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันได้ดีเยี่ยม

การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากวิกฤตน้ำมันในทศวรรษ 1970 ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น และผู้ขับขี่ทั่วโลกต้องการรถที่กินน้ำมันน้อย ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นซึ่งได้พัฒนาการผลิตภายใต้ข้อจำกัดในประเทศจนเกือบสมบูรณ์แบบ เข้ามาพร้อมกับรถขนาดเล็กประหยัดที่เปลี่ยนเกมไปเลย เช่น Toyota Corolla และ Honda Civic ซึ่งกลายเป็นไอคอนระดับโลก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3evzppt8

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mu8348jw

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/y7fkvmuy

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/VgzdHFfJ0Ik

Geek Talk EP68 : อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะพัง? ราคาพุ่ง ภาษีแพง เครดิตหาย ฝันร้ายของชาวอเมริกัน

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเดินหน้าสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางการพัฒนาในทศวรรษหน้า โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านนโยบายภาษี สิ่งจูงใจทางการเงิน หรือแม้แต่การแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ

เมื่อมองในระดับโลก ตัวเลขการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้านั้นน่าประทับใจอย่างยิ่ง ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 18% ในปีที่ผ่านมาตามรายงานล่าสุดของอุตสาหกรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่การคมนาคมด้วยพลังงานไฟฟ้านั้นไม่ใช่เพียงกระแสชั่วครู่ แต่เป็นแนวโน้มที่มีความยั่งยืน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/ycy2ubd7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2s4huxm2

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/uum2z362

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/PyKF9LwqmkA