ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสร้างนิสัยที่ดีอาจเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในชีวิต Charles Duhigg ผู้เขียนหนังสือขายดี “The Power of Habit” ได้ศึกษาวิจัยเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง และค้นพบว่าการเข้าใจกลไกการทำงานของนิสัยสามารถช่วยให้เราเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างมหัศจรรย์
เรื่องราวของ Duhigg เริ่มต้นจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเอง เมื่อเขาพบว่าตัวเองมีนิสัยกินคุกกี้ทุกบ่ายที่โรงอาหารของอาคาร New York Times แม้จะพยายามห้ามตัวเองด้วยการติดโน้ตเตือนใจ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้
นิสัยนี้ส่งผลให้น้ำหนักของเขาเพิ่มขึ้นถึง 8.7 ปอนด์ ประสบการณ์นี้ทำให้ Duhigg สงสัยว่าทำไมคนที่ประสบความสำเร็จอย่างเขา (ซึ่งเคยได้รับรางวัล Pulitzer) ถึงไม่สามารถควบคุมนิสัยเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ได้
การค้นคว้าของ Duhigg นำไปสู่การค้นพบที่น่าสนใจเกี่ยวกับกลไกการทำงานของนิสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดเรื่อง “วงจรนิสัย (Habit Loop)” ซึ่งประกอบด้วยสามองค์ประกอบหลัก: สิ่งกระตุ้น (Cue) กิจวัตร (Routine) และรางวัล (Reward) การเข้าใจวงจรนี้เป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนิสัย
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน Duhigg ยกตัวอย่างการทดลองที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนูทดลอง Dr. Ann Graybiel นักประสาทวิทยาชื่อดัง ได้ทำการทดลองโดยการฝังเซ็นเซอร์ขนาดเล็กจำนวน 150 ชิ้นเข้าไปในสมองของหนู เพื่อวัดกิจกรรมทางระบบประสาทขณะที่หนูเรียนรู้ที่จะวิ่งผ่านเขาวงกตเพื่อหาช็อกโกแลต
ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า ในครั้งแรกที่หนูถูกปล่อยลงในเขาวงกต สมองของมันจะทำงานอย่างหนักเพื่อประมวลผลข้อมูลรอบตัว แต่เมื่อหนูได้รับการฝึกซ้ำๆ จนเกิดเป็นนิสัย กิจกรรมในสมองของมันจะลดลงอย่างมาก ยกเว้นช่วงเริ่มต้นเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณ (สิ่งกระตุ้น) และช่วงท้ายเมื่อได้รับช็อกโกแลต (รางวัล) นี่แสดงให้เห็นว่าเมื่อพฤติกรรมกลายเป็นนิสัย สมองจะทำงานน้อยลงในระหว่างการทำกิจวัตร
การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับพฤติกรรมของมนุษย์ การวิจัยของ Wendy Wood พบว่าประมาณ 40-45% ของการกระทำในชีวิตประจำวันของเราเป็นนิสัยที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยที่เราแทบไม่ต้องคิด นี่อธิบายว่าทำไมบางครั้งเราถึงรู้สึกเหมือนทำอะไรโดยไม่รู้ตัว เช่น เดินทางไปทำงานโดยจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง
การเข้าใจกลไกนี้เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับปรุงพฤติกรรมของพนักงาน ยกตัวอย่างเช่น Starbucks ซึ่งเผชิญปัญหาพนักงานให้บริการไม่ดีในบางครั้ง โดยเฉพาะในช่วงท้ายของกะการทำงาน ผู้บริหารของ Starbucks จึงต้องหาวิธีเสริมสร้างพลังใจให้พนักงานสามารถรักษามาตรฐานการบริการได้ตลอดทั้งวัน
ในการแก้ปัญหานี้ Starbucks ได้นำแนวคิดเรื่องพลังใจ (Willpower) มาประยุกต์ใช้ โดยอ้างอิงจากการทดลองที่มีชื่อเสียงอย่าง “การทดสอบมาร์ชเมลโลว์ (Marshmallow Test)” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเด็กที่สามารถอดทนรอรางวัลที่ใหญ่กว่าได้ มักจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าในระยะยาว
การศึกษาเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าพลังใจเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการทำนายความสำเร็จในอนาคต มากกว่า IQ หรือฐานะทางการเงินของครอบครัว แต่คำถามสำคัญคือ เราจะสอนหรือพัฒนาพลังใจได้อย่างไร?
คำตอบอยู่ที่การสร้างนิสัยที่ดี โดยการเตรียมตัวล่วงหน้าสำหรับสถานการณ์ที่ท้าทาย และฝึกฝนการตอบสนองที่เหมาะสม นี่คือแนวคิดที่เรียกว่า “Hot-Cold Empathy Gap” ซึ่งอธิบายว่าทำไมเราถึงมักตั้งใจทำสิ่งดีๆ เมื่ออยู่ในสภาวะปกติ แต่กลับทำไม่ได้เมื่อเผชิญกับสถานการณ์จริง
วิธีการพัฒนาพลังใจคือการตัดสินใจล่วงหน้าว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อเจอสถานการณ์ท้าทาย และฝึกฝนการตอบสนองนั้นจนเป็นนิสัย เช่น แทนที่จะแค่ตั้งใจว่าจะลดน้ำหนัก เราควรวางแผนอย่างละเอียดว่าจะทำอย่างไรเมื่อรู้สึกอยากกินของหวาน เช่น เดินไปคุยกับเพื่อนแทนที่จะไปที่โรงอาหาร
Duhigg เองก็ได้นำวิธีการนี้มาใช้ในการแก้ปัญหานิสัยการกินคุกกี้ของตัวเอง โดยเขาตัดสินใจว่าแทนที่จะขึ้นไปที่โรงอาหารเพื่อกินคุกกี้ เขาจะเดินไปคุยกับเพื่อนร่วมงานแทน วิธีการนี้ช่วยให้เขาสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 21 ปอนด์
บทเรียนสำคัญที่ได้จากการศึกษาเรื่องนิสัยคือ การตระหนักรู้ถึงสิ่งกระตุ้นและรางวัลที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของเรา การมีสติรู้ตัวและตัดสินใจล่วงหน้าว่าจะตอบสนองอย่างไรเมื่อเจอสถานการณ์ท้าทาย จะช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยและพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเข้าใจและประยุกต์ใช้แนวคิดเรื่องวงจรนิสัยนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราพัฒนาตนเองเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาองค์กรและสังคมได้อีกด้วย เช่น การปรับปรุงระบบการศึกษา การพัฒนาทักษะของพนักงาน หรือแม้แต่การแก้ปัญหาสังคมต่างๆ
เมื่อเราเข้าใจกลไกการทำงานของนิสัย เราจะสามารถมองเห็นโอกาสในการปรับปรุงและพัฒนาตนเองได้ในทุกๆ ด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน ความสัมพันธ์ หรือสุขภาพ การฝึกฝนการมีสติและการตระหนักรู้ถึงสิ่งกระตุ้นและรางวัลที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของเรา จะช่วยให้เรามีอำนาจควบคุมชีวิตของตนเองมากขึ้น
ท้ายที่สุด การเรียนรู้เรื่องพลังของนิสัยไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวและการทำงานเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสังคมที่ดีขึ้น เมื่อเราเข้าใจว่านิสัยส่วนบุคคลสามารถส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างได้อย่างไร เราจะตระหนักถึงความรับผิดชอบของเราในฐานะส่วนหนึ่งของสังคม และมีแรงบันดาลใจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ไม่เพียงแต่สำหรับตัวเราเอง แต่สำหรับทุกคนรอบข้างด้วยนั่นเองครับผม
References :
The Power of Habit: Charles Duhigg at TEDxTeachersCollege
https://youtu.be/OMbsGBlpP30?si=EX0tHagbt5UGyL-N