Geek Life EP80 : ซื้อเวลาคืนชีวิต! หมดยุคทำทุกอย่างเอง กับเคล็ดลับจาก CEO ระดับโลก

ในโลกธุรกิจปัจจุบัน เวลาคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด Dan Martell ผู้ที่ประสบความสำเร็จในฐานะนักลงทุนและที่ปรึกษาด้านธุรกิจ ได้นำเสนอแนวคิดการ “ซื้อเวลาคืน (Buy Back Your Time)” ที่จะเปลี่ยนมุมมองของผู้ประกอบการต่อการบริหารเวลาไปอย่างสิ้นเชิง

ปัญหาที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เผชิญคือการติดกับดักความคิดที่ว่าตนเองต้องทำทุกอย่าง เพราะไม่มีใครทำได้ดีเท่า ไม่มีเงินจ้างคนอื่น หรือการสอนงานยุ่งยากเกินไป แต่ความจริงแล้ว ความคิดเหล่านี้เป็นเพียงข้ออ้างที่ขัดขวางการเติบโตของธุรกิจ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yeyp7n6z

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ydz3nyse

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/zqvTCOwxe-c

ซื้อเวลาคืนชีวิต! หมดยุคทำทุกอย่างเอง เคล็ดลับจาก CEO ระดับโลกที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

ในโลกธุรกิจปัจจุบัน เวลาคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด Dan Martell ผู้ที่ประสบความสำเร็จในฐานะนักลงทุนและที่ปรึกษาด้านธุรกิจ ได้นำเสนอแนวคิดการ “ซื้อเวลาคืน (Buy Back Your Time)” ที่จะเปลี่ยนมุมมองของผู้ประกอบการต่อการบริหารเวลาไปอย่างสิ้นเชิง

ปัญหาที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เผชิญคือการติดกับดักความคิดที่ว่าตนเองต้องทำทุกอย่าง เพราะไม่มีใครทำได้ดีเท่า ไม่มีเงินจ้างคนอื่น หรือการสอนงานยุ่งยากเกินไป แต่ความจริงแล้ว ความคิดเหล่านี้เป็นเพียงข้ออ้างที่ขัดขวางการเติบโตของธุรกิจ

Martell นำเสนอหลักการสำคัญสามประการที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการหลุดพ้นจากกับดักนี้ ได้แก่ Buyback Loop, Camcorder Method และ Test First Principle โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การยอมรับว่างานที่คนอื่นทำได้ 80% ของมาตรฐานที่เราต้องการ ถือว่าเพียงพอแล้ว

วงจรแห่งการเติบโต: Buyback Loop

Buyback Loop คือกระบวนการที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสร้างอิสรภาพทางเวลาและการเงินไปพร้อมกัน โดยเริ่มจากการนำรายได้ส่วนหนึ่งมาลงทุนจ้างผู้อื่นทำงานที่ไม่จำเป็นต้องทำด้วยตนเอง เวลาที่ประหยัดได้จะถูกนำไปใช้ในการสร้างรายได้เพิ่ม ซึ่งจะนำมาใช้จ้างคนเพิ่มได้อีก กลายเป็นวงจรที่เสริมแรงกันอย่างต่อเนื่อง

การคำนวณอัตราการจ้างที่เหมาะสมทำได้โดยใช้สูตร:

  1. รายได้ต่อชั่วโมง = รายได้ต่อปี ÷ 2,000 ชั่วโมง
  2. อัตราการซื้อเวลาคืน = รายได้ต่อชั่วโมง ÷ 4

ตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบการที่มีรายได้ปีละ 2.4 ล้านบาท จะมีรายได้ต่อชั่วโมงประมาณ 1,200 บาท ดังนั้น ควรจ้างผู้อื่นในอัตราประมาณ 300 บาทต่อชั่วโมง ซึ่งจะให้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด

การวิเคราะห์และจัดสรรเวลาอย่างชาญฉลาด

ก่อนเริ่มใช้ Buyback Loop ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจการใช้เวลาของตนเองอย่างละเอียด โดยทำการบันทึกกิจกรรมทุก 15 นาทีเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นให้ประเมินแต่ละกิจกรรมใน 2 มิติ:

  1. มูลค่าทางธุรกิจ: ใช้เครื่องหมาย $ (1-4 เครื่องหมาย) โดย
  • $ = งานพื้นฐานทั่วไป
  • $$ = งานที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง
  • $$$ = งานที่สร้างมูลค่าสูง
  • $$$$ = งานที่สร้างการเติบโตให้ธุรกิจ

2. ผลกระทบต่อพลังงาน: ใช้สีไฮไลท์

  • สีแดง = งานที่ทำให้เหนื่อยล้า
  • สีเขียว = งานที่สร้างแรงบันดาลใจ

Camcorder Method: เครื่องมือถ่ายทอดความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เป็นอุปสรรคสำคัญในการมอบหมายงาน Camcorder Method คือวิธีการที่ช่วยให้การสร้างคู่มือการทำงานเป็นเรื่องง่าย โดยใช้เทคโนโลยีการบันทึกภาพและเสียงมาช่วย

ขั้นตอนการใช้ Camcorder Method:

  1. เลือกใช้เครื่องมือบันทึกที่เหมาะสม เช่น Camtasia, Loom หรือกล้องโทรศัพท์มือถือ
  2. บันทึกการทำงานพร้อมอธิบายทุกขั้นตอนอย่างเป็นธรรมชาติ
  3. บันทึกซ้ำอย่างน้อย 3 ครั้งเพื่อให้ได้มุมมองที่หลากหลาย
  4. นำวิดีโอที่ดีที่สุดไปถอดความ
  5. แปลงเป็นเอกสารขั้นตอนที่ชัดเจน พร้อมภาพประกอบ
  6. สร้างรายการตรวจสอบสำหรับการประเมินผลงาน

Test First Principle: หลักการคัดเลือกผู้ร่วมงานที่เหมาะสม

Seth Godin นักการตลาดและนักเขียนชื่อดังเคยกล่าวว่า การทำงานร่วมกันก่อนการจ้างงานจริงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ Test First Principle จึงเน้นการทดสอบความสามารถและความเข้ากันได้ก่อนการตัดสินใจจ้างงาน

กระบวนการทดสอบประกอบด้วย:

  1. คัดเลือกผู้สมัคร 3 คนจากแพลตฟอร์มที่เหมาะสม
  2. มอบหมายงานทดสอบพร้อมคู่มือที่สร้างไว้
  3. กำหนดกรอบเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง
  4. ประเมินผลงานตามเกณฑ์:
  • การทำตามคำแนะนำ
  • การส่งงานตรงเวลา
  • คุณภาพงานเทียบกับมาตรฐาน
  • ทักษะการสื่อสาร

การทดสอบนี้ไม่เพียงช่วยคัดกรองความสามารถ แต่ยังช่วยให้เห็นทัศนคติและวิธีการทำงานของผู้สมัครได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาว

กฎ 10-80-10: สูตรสำเร็จการมอบหมายงาน

สำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง Martell แนะนำให้ใช้กฎ 10-80-10:

  • 10% แรก: เจ้าของธุรกิจวางแผนและกำหนดทิศทาง
  • 80% กลาง: ทีมงานดำเนินการตามแผน
  • 10% สุดท้าย: เจ้าของธุรกิจตรวจสอบและปรับแต่ง

วิธีนี้ช่วยรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมคุณภาพและการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เป็นคอขวดในกระบวนการทำงาน

บทสรุป

การ “ซื้อเวลาคืน” ไม่ใช่เพียงการจ้างคนมาทำงานแทน แต่เป็นการลงทุนในอนาคตของธุรกิจและคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบการ แนวคิดนี้เน้นการสร้างระบบที่ยั่งยืน การถ่ายทอดความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และการคัดเลือกทีมงานที่เหมาะสม

ความสำเร็จไม่ได้วัดจากจำนวนชั่วโมงที่ทำงาน แต่วัดจากคุณค่าที่สร้างให้กับธุรกิจและความสุขในการทำงาน การเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและไว้วางใจผู้อื่นจึงเป็นทักษะสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องพัฒนา

การเริ่มต้นอาจไม่ง่าย แต่ทุกก้าวที่กล้าเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่อิสรภาพทางเวลาและการเงินที่ยั่งยืน เพราะเวลาคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดที่เราทุกคนมีเท่ากัน การใช้มันอย่างชาญฉลาดคือกุญแจสู่ความสำเร็จที่แท้จริง

References :
หนังสือ Buy Back Your Time: Get Unstuck, Reclaim Your Freedom, and Build Your Empire โดย Dan Martell

Geek Life EP67 : เปิดโมเดลธุรกิจ 5-25-30 จาก 0 ถึง 1 ล้านดอลลาร์ ใน 1 ปี วิธีสร้างแบรนด์แบบ Ryan Moran

ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การสร้างธุรกิจให้เติบโตจนมีมูลค่าถึงหลักล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียงหนึ่งปีอาจฟังดูเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ Ryan Moran ผู้เขียนหนังสือ “12 Months to 1 Million” เชื่อว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และได้วางแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้

แนวคิดจากหนังสือของ Moran มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเราสามารถนําหลักการเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยอาจจะใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปีเพียงเท่านั้น

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/4h7Thjn

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3NxblGc

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/m-eN2vuBS4w

เปิดโมเดลธุรกิจ 5-25-30 : จาก 0 ถึง 1 ล้านดอลลาร์ ใน 1 ปี วิธีสร้างแบรนด์แบบ Ryan Moran

ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การสร้างธุรกิจให้เติบโตจนมีมูลค่าถึงหลักล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียงหนึ่งปีอาจฟังดูเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ Ryan Moran ผู้เขียนหนังสือ “12 Months to 1 Million” เชื่อว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และได้วางแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้

แนวคิดจากหนังสือของ Moran มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเราสามารถนําหลักการเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยอาจจะใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปีเพียงเท่านั้น

เริ่มต้นด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

ให้ลองจินตนาการภาพนี้: คุณเพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกในฐานะผู้ประกอบการหน้าใหม่ ในวันแรกคุณขายได้เพียง 5 ชิ้น แต่แล้วคําวิจารณ์ในแง่บวกก็เริ่มทยอยเข้ามา ทําให้ยอดขายของคุณพุ่งขึ้นเป็น 25 ชิ้นต่อวันอย่างรวดเร็ว

ความสําเร็จเบื้องต้นนี้ทําให้คุณเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ คุณเริ่มมองเห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมอีก 4 รายการที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน

คุณนําบทเรียนและกําไรจากความสําเร็จครั้งแรกมาต่อยอด และเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สองออกสู่ตลาด ซึ่งสามารถทํายอดขายได้ถึง 25 ชิ้นต่อวันเร็วกว่าผลิตภัณฑ์แรกมาก ก่อนสิ้นปี คุณสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้ครบทั้ง 5 รายการ โดยมีราคาเฉลี่ยชิ้นละ 30 ดอลลาร์ และแต่ละผลิตภัณฑ์สามารถทํายอดขายได้เฉลี่ย 25 ชิ้นต่อวัน

นั่นหมายความว่าคุณประสบความสําเร็จแล้ว! เพราะคุณสามารถสร้างธุรกิจและแบรนด์ที่สร้างรายได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี นี่คือพลังของการทําตามแนวทาง 5-25-30:

  • 5 ผลิตภัณฑ์
  • ขายได้ 25 ชิ้นต่อวัน
  • ราคาเฉลี่ย 30 ดอลลาร์ต่อชิ้น (ประมาณ 1,000 บาท)

แม้ว่าเป้าหมายนี้อาจดูเหมือนความฝันที่ไกลเกินเอื้อม แต่ Moran เชื่อว่าทุกคนสามารถทําได้โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ และมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าหลักอย่างแม่นยํา

กําหนดกลุ่มลูกค้าหลักของคุณ

ก้าวแรกสู่ความสําเร็จคือการระบุกลุ่มลูกค้าหลักของคุณให้ชัดเจน Moran แนะนําให้คิดถึงคนที่มีความหลงใหลในสิ่งที่พวกเขาสนใจ และยินดีจ่ายเงินเพื่อสิ่งนั้น อาจเป็นคนที่เรารู้จักเป็นการส่วนตัว เช่น เพื่อน สมาชิกในครอบครัว

ยกตัวอย่างเช่น:

  • คนรักสุขภาพวัย 30 ปี ที่ชื่นชอบการออกกําลังกายและพร้อมลงทุนกับอาหารเสริมคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกําลังกาย
  • คุณแม่วัย 40 ปี ที่เพิ่งเริ่มสนใจการฝึกโยคะ และต้องการอุปกรณ์คุณภาพดีที่ช่วยให้รู้สึกมั่นใจระหว่างการฝึก
  • คอกาแฟวัย 35 ปี ที่หลงใหลในการชงกาแฟแบบ specialty และชอบทดลองวิธีการชงแบบต่างๆ

สิ่งที่น่าสนใจคือลูกค้าเหล่านี้มักไม่ได้ซื้อเพียงผลิตภัณฑ์เดียว แต่มีแนวโน้มที่จะซื้อหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกัน เช่น คอกาแฟอาจลงทุนซื้อทั้งเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง เครื่องบดกาแฟ อุปกรณ์ชงแบบ pour-over และเครื่องชงกาแฟพกพาสำหรับเดินทาง ในขณะที่คนรักการออกกําลังกายอาจซื้อทั้งโปรตีนผง อาหารเสริมก่อนออกกําลังกาย และชุดออกกําลังกายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ

หน้าที่ของเราคือการระบุความสนใจเฉพาะด้านที่ลูกค้าพร้อมจะจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์ 3-5 รายการ ด้วยแนวคิด “ตะกร้าสินค้าในฝัน” ที่มี 3-5 ผลิตภัณฑ์ของลูกค้าจะช่วยให้เราเข้าใจความต้องการและคุณค่าที่ลูกค้าให้ความสําคัญได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถกําหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

การคิดผลิตภัณฑ์ 3-5 รายการที่เราต้องการขายยังช่วยให้กําหนดแนวทางของแบรนด์ได้ชัดเจนขึ้นด้วย ผู้คนมักซื้อแบรนด์ที่พวกเขารู้สึกมีความเชื่อมโยง และยินดีจ่ายเงินเพิ่มสําหรับผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับแบรนด์นั้น

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Bulletproof Coffee ของ Dave Asprey แม้จะเข้าสู่ตลาดกาแฟที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว แต่ Bulletproof Coffee ก็ประสบความสําเร็จอย่างมาก เพราะพวกเขาไม่ได้ขายแค่กาแฟ แต่ขายไลฟ์สไตล์และแนวคิดเรื่องสุขภาพทั้งหมด ลูกค้าซื้อเพราะพวกเขาชื่นชอบแนวคิดและภาพลักษณ์ของแบรนด์

กรอบความคิดแบบล้านดอลลาร์

Moran เน้นย้ำว่าการคิดถึงแบรนด์ควรมาก่อนการคิดถึงตัวผลิตภัณฑ์ หากเราสามารถสร้างแบรนด์ที่ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ 3-5 รายการที่มีคนประมาณ 1,000 คนรักมาก และรู้สึกว่าแบรนด์ของเราสร้างมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ พวกเขาจะไม่เพียงแค่ซื้อผลิตภัณฑ์ของเราเท่านั้น แต่จะกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่ช่วยบอกต่อและแนะนําผลิตภัณฑ์ของเราให้คนอื่นๆ รู้จัก

นอกจากนี้ โอกาสที่หนึ่งในลูกค้าหลัก 1,000 คนนั้นจะเป็น influencer ที่มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียจํานวนมาก หรือมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถแนะนําแบรนด์ของเราให้กลุ่มคนที่กว้างขึ้นก็มีสูง

ให้ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดในการสื่อสารและให้บริการลูกค้าหลัก 1,000 คนแรกอย่างดีที่สุด และพวกเขาจะช่วยดูแลการเติบโตของคุณเอง ลูกค้าหลัก 1,000 คนนี้มีความสําคัญต่อความสําเร็จของเรามาก Moran แนะนําให้เริ่มดึงดูดพวกเขาซักระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรก

ในความเป็นจริง เมื่อเราพร้อมที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เราก็ควรมีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียอย่างน้อย 1,000 คน หรือมีรายชื่ออีเมลผู้รับข่าวสาร (Mailing list) 1,000 รายชื่อที่ชื่นชอบแนวคิดและภาพลักษณ์ของแบรนด์เรา

วิธีรวบรวมผู้ติดตาม 1,000 คนแรก

การสร้างฐานผู้ติดตาม 1,000 คนแรกอาจดูเป็นงานที่ยาก แต่ Moran มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจดังนี้:

  1. สร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดีย: เลือกแพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายของเราใช้งานบ่อย อาจเป็น Facebook, Instagram, TikTok หรือ YouTube ขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจและกลุ่มลูกค้าของเรา
  2. แจกคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ฟรี: สร้างคู่มือ แนวทางปฏิบัติ หรือเคล็ดลับที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เช่น “คู่มือโยคะสําหรับผู้เริ่มต้น” หรือ “รายการอุปกรณ์กาแฟที่ต้องมีสําหรับการชงกาแฟที่บ้าน” การให้ข้อมูลที่มีคุณค่าโดยไม่คิดเงินจะช่วยสร้างความไว้วางใจและดึงดูดผู้ติดตามที่สนใจจริงๆ
  3. แบ่งปันเรื่องราวการเรียนรู้และพัฒนา: เล่าถึงกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาความเข้าใจของเราในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ การแสดงให้เห็นว่าตัวเราเองก็เป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นในตัวเรา

Moran ยกตัวอย่างว่าเขาสามารถดึงดูดผู้ติดตามหลายพันคนมายังเพจ Facebook “I Love Yoga” ของเขาโดยใช้งบโฆษณา Facebook เพียงวันละ 300 บาท จากนั้นเขาใช้เพจนี้เป็นพื้นที่บันทึกการเดินทางสู่การสร้างผลิตภัณฑ์โยคะชิ้นแรก โดยโพสต์รูปภาพ แสดงขั้นตอนการทําต้นแบบ และนําความคิดเห็นที่ได้รับจากคนในกลุ่ม Facebook มาปรับปรุงผลิตภัณฑ์

ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนแสดงความเห็นว่าอยากได้เสื่อโยคาที่มีสายรัดหนาขึ้น เขาก็นําข้อมูลนี้ไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์ทันที การทําเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น แต่ยังทําให้ผู้ติดตามรู้สึกมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย

เลือกผลิตภัณฑ์แรก

ในขณะที่เรากําลังสร้างกลุ่มผู้ติดตามที่อาจเป็นลูกค้าหลัก Moran แนะนําให้เราตัดสินใจว่าผลิตภัณฑ์ 3-5 รายการที่พวกเขาอาจซื้อคืออะไร จากนั้นพิจารณาว่าอะไรควรจะเป็น “ผลิตภัณฑ์เริ่มต้น (Gateway product)”

ผลิตภัณฑ์เริ่มต้นคือสิ่งที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะซื้อก่อน และอาจนําไปสู่การซื้อผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เราวางแผนไว้ในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น สําหรับคนรักการออกกําลังกาย อาจเป็นอาหารเสริมก่อนออกกําลังกายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและกระตุ้นให้พวกเขาออกกําลังกายอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเรามีไอเดียผลิตภัณฑ์เริ่มต้นแล้ว Moran แนะนําให้ทําการวิจัยตลาดอย่างละเอียด โดยมองหาเวอร์ชันที่ขายดีที่สุดของผลิตภัณฑ์นั้นบน e-commerce platform ยอดนิยม ถ้าเป็นในประเทศไทยก็เช่น Shopee หรือ Lazada ที่มีรีวิวแบบละเอียด จากนั้นพิจารณาว่าผลิตภัณฑ์ขายดีเหล่านั้นยังไม่ตอบโจทย์ลูกค้าของเราตรงจุดไหนบ้าง

ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับข้อร้องเรียนที่พบบ่อยที่สุด แล้วระดมความคิดหาวิธีปรับปรุงผลิตภัณฑ์ขายดีในตลาดของเรา เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นและเพิ่มความแตกต่างที่สําคัญอย่างน้อยหนึ่งอย่าง

Moran ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของตัวเอง เมื่อเขากําลังคิดผลิตภัณฑ์แรกสําหรับธุรกิจอาหารเสริม Sheer Strength ของเขา เขาได้ตัดสินใจเพิ่มส่วนผสมพิเศษอีกหนึ่งอย่างคือสารสกัดจากบีทรูทลงในอาหารเสริมก่อนออกกําลังกายทั่วไป ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและกลายเป็นจุดขายสําคัญที่ทําให้ผลิตภัณฑ์ของเขาโดดเด่นในตลาด ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนี้กลายเป็นรากฐานของธุรกิจที่เขาสามารถขายได้ในราคา 300 ล้านบาทในเวลาต่อมา

การพัฒนาผลิตภัณฑ์

เมื่อเรารู้แล้วว่าต้องการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่อย่างไร ขั้นตอนต่อไปคือการหาผู้ผลิตที่สามารถทําตามแนวคิดของเราได้ Moran แนะนําให้ค้นหาผู้ผลิต OEM บนแพลตฟอร์มอย่าง Alibaba ที่สามารถทำวิศวกรรมย้อนกลับ  (Reverse Engineering) และปรับแต่งผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ได้

ในบริบทของประเทศไทย อาจพิจารณาหาผู้ผลิตในประเทศหรือในภูมิภาคอาเซียนเพื่อลดต้นทุนการขนส่งและภาษีนําเข้า นอกจากนี้การทํางานกับผู้ผลิตในพื้นที่ใกล้เคียงยังช่วยให้การสื่อสารและการแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

พูดคุยกับผู้ผลิตที่เราเลือกและปรับปรุงจนได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่เราคิดว่าลูกค้าจะชอบ Moran แนะนําให้สั่งผลิตในจํานวนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในครั้งแรก หากรุ่นแรกยังไม่ดีพอที่จะขาย ให้ส่งออกไปเป็นตัวอย่างให้ลูกค้าที่มีศักยภาพและขอคําติชมเฉพาะเจาะจงเพื่อปรับปรุงการผลิตครั้งต่อไป

การทําเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้เราได้ผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างความผูกพันกับลูกค้าตั้งแต่ก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะวางจําหน่ายจริง ทําให้พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาและมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของเราเมื่อวางจําหน่ายจริง

เตรียมพร้อมสําหรับวันเปิดตัว

เมื่อเรามีผลิตภัณฑ์เริ่มต้นที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแล้ว Moran แนะนําให้สร้างความตื่นเต้นสําหรับวันเปิดตัวโดยให้ผู้ติดตามได้เห็นตัวอย่างก่อนใคร และมอบสิทธิพิเศษสําหรับผู้ซื้อก่อน

ในบริบทของประเทศไทย อาจพิจารณาทําแคมเปญพรีออเดอร์พร้อมส่วนลดพิเศษ หรือของแถมสําหรับ 100 คนแรกที่สั่งซื้อ การสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและการมีของจํากัดเช่นนี้มักได้ผลดีในการกระตุ้นยอดขายช่วงเปิดตัว

Moran เชื่อว่าเมื่อเรามีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียมากกว่า 1,000 คน หรือมีรายชื่ออีเมลมากกว่า 1,000 รายชื่อ ยอดขายจะเริ่มทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่าลังเลที่จะขอรีวิวจากลูกค้า ซึ่งเราต้องมีการสร้าง social proof เพื่อให้ผู้ติดตามคนอื่นๆ กล้าตัดสินใจซื้อ

ในประเทศไทย การใช้รีวิวจากลูกค้าจริงและการร่วมมือกับ micro-influencer ในช่วงแรกอาจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขยายธุรกิจ

เมื่อยอดขายเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Moran แนะนำให้ใช้กำไรส่วนหนึ่งมาลงทุนในการโฆษณาและการทำการตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาแนะนำให้จ่ายค่าโฆษณาให้กับเหล่า micro-influencers ที่พูดถึงกลุ่มเป้าหมายของเรา เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ของเราให้กับผู้ติดตามของพวกเขา

Moran เน้นย้ำให้มุ่งเป้าไปที่ influencer ที่มีผู้ติดตามระหว่าง 10,000 ถึง 30,000 คน เหตุผลก็คือ influencer เหล่านี้มักมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้ชมของพวกเขา และการรับรองของพวกเขาสามารถสร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการทำงานร่วมกับ micro-influencers มักจะต่ำกว่าการจ้าง macro-influencers ที่มีผู้ติดตามหลายแสนหรือหลายล้านคน

ในบริบทของประเทศไทย อาจพิจารณาใช้แพลตฟอร์มอย่าง Instagram, TikTok หรือ YouTube ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย การทำงานร่วมกับ micro-influencers ท้องถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญหรือความสนใจตรงกับผลิตภัณฑ์ของเราอาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนกับดาราหรือคนดังระดับประเทศ

นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์การตลาดแบบปากต่อปาก (word-of-mouth marketing) ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในสังคมไทย อาจพิจารณาสร้างโปรแกรมแนะนำเพื่อน (referral program) ที่ให้ส่วนลดหรือของรางวัลแก่ลูกค้าที่แนะนำเพื่อนมาซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา

Moran แนะนำให้ปฏิบัติตามแผนการนี้อย่างต่อเนื่อง และตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่ามีสินค้าคงคลังเพียงพอที่จะรองรับยอดขายที่เพิ่มขึ้น หากทำได้ตามนี้ เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายยอดขาย 25 ชิ้นต่อวันสำหรับผลิตภัณฑ์แรกของเราได้อย่างแน่นอน

เมื่อถึงจุดนี้ Moran แนะนำให้เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ถัดไป โดยใช้สูตรเดียวกับที่เราใช้กับผลิตภัณฑ์แรก เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ถัดไปสามารถทำยอดขายได้ 25 ชิ้นต่อวันเช่นกัน

ซึ่งเราอาจพบว่าการบรรลุเป้าหมายนั้นง่ายขึ้นมากในครั้งที่สอง เพราะเรามีฐานลูกค้าหลัก รายชื่ออีเมล และความสัมพันธ์กับ influencer อยู่แล้ว นอกจากนี้ ลูกค้าหลักของเราจะช่วยให้เราสามารถสร้างต้นแบบและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้น และเกือบจะรับประกันได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาชื่นชอบ

ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่แต่ละครั้ง เราจะสามารถต่อยอดความสำเร็จจากการเปิดตัวครั้งก่อน และค่อยๆ สร้างแบรนด์มูลค่าหนึ่งล้านดอลลาร์ได้อย่างมั่นคง สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะเรามุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าหลักแบบเฉพาะเจาะจงตั้งแต่เริ่มต้น

ดังที่ Moran กล่าวไว้ว่า “กุญแจสำคัญสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วคือการเจาะจงกลุ่มเป้าหมายให้แคบลงอย่างมาก ยิ่งคุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจงมากเท่าไหร่ คุณก็จะเติบโตได้เร็วขึ้นเท่านั้น”

บทสรุป

แนวคิดของ Ryan Moran ใน “12 Months to 1 Million” นำเสนอแนวทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่าการสร้างธุรกิจมูลค่าล้านดอลลาร์ภายใน 12 เดือนอาจเป็นเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ แต่หลักการพื้นฐานที่ Moran นำเสนอสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการโฟกัสที่กลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจง สร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาอย่างแท้จริง และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าหลักของเรา การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราสามารถสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีและพร้อมจะสนับสนุนธุรกิจของเราในระยะยาว

นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลและการทำงานร่วมกับ micro-influencers ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขยายฐานลูกค้าโดยไม่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ที่อาจมีทรัพยากรจำกัด

แม้ว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จอาจไม่ได้ราบรื่นเสมอไป แต่ด้วยความมุ่งมั่น การวางแผนที่ดี และการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เราก็สามารถนำแนวคิดเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ 12 Months to $1 Million: How to Pick a Winning Product, Build a Real Business, and Become a Seven-Figure Entrepreneur โดย Ryan Daniel Moran