Ego คือศัตรู : ทำไมคนเก่งถึงพังในวันสำคัญ เผยวิธีรับมือแบบนักกีฬามืออาชีพ

ณ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว Sochi 2014 Craig Manning ยืนอยู่ท่ามกลางโค้ชและนักกีฬาทีมชาติสหรัฐอเมริกาในพื้นที่ที่พวกเขาเรียกว่า “the pit” ขณะชมการแข่งขันรายการแรก คำถามหนึ่งผุดขึ้นในความคิด: อะไรคือปัจจัยที่ทำให้นักกีฬาประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดเช่นนี้?

การได้เป็นตัวแทนประเทศในกีฬาโอลิมปิกนั้นถือเป็นจุดสูงสุดของนักกีฬาอยู่แล้ว แต่พวกเขายังต้องแข่งขันกับนักกีฬาที่เก่งที่สุดจากทั่วโลก นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องเป็นที่สุดในบรรดาผู้ที่เป็นที่สุดอยู่แล้ว แล้วเมื่อก้าวมาถึงจุดนี้ พวกเขาจะทำอย่างไรให้ไม่เพียงแค่ได้เหรียญ แต่ต้องเป็นเหรียญทองด้วย?

จากประสบการณ์หลายทศวรรษในการสังเกตและทำงานร่วมกับนักกีฬาเหล่านี้ Manning ได้เรียนรู้ว่ากุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่พรสวรรค์หรือความรู้ที่สั่งสมมา แต่อยู่ที่ความสามารถในการใช้จิตใจให้เป็น

เพราะจะมีประโยชน์อะไรหากคุณมีพรสวรรค์และความรู้มากมาย แต่ไม่สามารถปลดล็อกศักยภาพเหล่านั้นออกมาใช้ได้? ในแวดวงวิทยาศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า “cognitive control” หรือ “grit” แต่ Manning ชอบเรียกมันว่า “ความเข้มแข็งทางจิตใจ”

Ego : ศัตรูตัวร้ายในใจเรา

Ego เป็นตัวการสำคัญที่สร้างความวุ่นวายในชีวิตของเรา มันคอยเรียกร้องการยอมรับอยู่ตลอดเวลา ลองนึกดู หากคุณต้องการการยอมรับจากคนเพียงคนเดียว คุณต้องการมันบ่อยแค่ไหนต่อวัน? แล้วถ้าเป็นสองคน สามคน หรือห้าคนล่ะ? สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จิตใจของคุณจะกลายเป็นที่อยู่ของความกระวนกระวาย หรือแม้กระทั่งความคลั่งไคล้ในการแสวงหาการยอมรับ

แล้ว Ego จะได้รับการยอมรับที่ต้องการได้อย่างไร? คำตอบคือ ผ่านผลลัพธ์ เพราะผลลัพธ์คือเส้นทางลัดสู่การได้รับการยอมรับ แต่ปัญหาของการมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์คือ ผลลัพธ์มาจากอนาคต และนั่นคือที่มาของความกลัว

ทุกสิ่งที่เราหวาดกลัวล้วนมาจากอนาคตทั้งสิ้น Manning ได้ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัว ในฐานะคนออสเตรเลียที่อาศัยอยู่ในดินแดนของจระเข้ เมื่อครั้งที่เขาเข้าพบที่ปรึกษา และถูกถามว่าเขากลัวอะไร Manning ตอบว่า “จระเข้”

ที่ปรึกษาจึงชวน Manning วิเคราะห์ลึกลงไปว่า ถ้าจระเข้เข้ามาทางประตูตอนนี้ จะทำอย่างไร? คำตอบคือ ทุกคนคงวิ่งหนีออกประตูทันที แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ความกลัวไม่ได้เกิดจากจระเข้ที่อยู่ตรงหน้า แต่เกิดจากความคิดที่ว่าจระเข้อาจจะทำอะไรเราในอนาคต

เช่นเดียวกับคนที่กลัวการบิน พวกเขาไม่ได้กลัวการนั่งเครื่องบินจริงๆ แต่กลัวความคิดที่ว่าเครื่องบินอาจจะตก นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าความกลัวทั้งหมดมาจากอนาคต และนี่คือปัญหาของการมีจิตใจที่มุ่งเน้นแต่ผลลัพธ์

ความสมบูรณ์แบบ: อีกด้านของ Ego

สำหรับผู้ที่กำลังสงสัยว่า “ฉันเป็นคนที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ แสดงว่าฉันมี Ego มากเกินไปหรือไม่?” คำตอบคือ ไม่เสมอไป คนที่เป็น Perfectionist ในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นคนดีที่เพียงแค่ต้องการการยอมรับจากผู้อื่น พวกเขามักจะแสดงพฤติกรรมคล้ายคนที่ยึดติดกับ Ego เพราะต่างก็มุ่งเน้นที่ผลลัพธ์เช่นกัน

จากการศึกษาทางจิตวิทยาการกีฬาพบว่า นักกีฬาที่มีลักษณะ Perfectionist มักจะมีความเครียดและความวิตกกังวลสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญ

เรื่องราวของ Olga: บทเรียนแห่งความมุ่งมั่น

Manning ยกตัวอย่างที่ชัดเจนจากประสบการณ์การเป็นโค้ชที่มหาวิทยาลัย BYU เป็นเวลาหนึ่งทศวรรษ เรื่องราวของ Olga นักเทนนิสจากรัสเซียที่เขาได้คัดตัวมา เธอไม่ได้มีพรสวรรค์โดดเด่น และไม่มีลูกตบแบบสมัยใหม่ แต่เธอมีคุณสมบัติที่สำคัญกว่านั้น นั่นคือความถ่อมตัวและจิตใจที่มุ่งเน้นที่งานจริง ๆ

Manning เริ่มพัฒนาเกมของเธอโดยอาศัยจุดแข็งที่มีอยู่ ด้วยการมุ่งเน้นที่งานและประสิทธิภาพ เธอพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จนกระทั่งในปีสุดท้าย เธอขึ้นมาอยู่อันดับที่ 61 ของประเทศ และผ่านเข้ารอบ 32 คนสุดท้ายในการแข่งขันที่ Columbus รัฐ Ohio โดยต้องเผชิญหน้ากับนักเทนนิสอันดับที่ 25 ของประเทศ

ในการแข่งขันนัดนั้น Olga เล่นตามแผนได้อย่างยอดเยี่ยม เธอใช้จุดแข็งในการรับลูกเร็วและเล่นแต้มระยะสั้น จนนำ 4-1 แต่แล้วจิตใจของเธอก็เปลี่ยนไป

เมื่อความคิดที่ว่า “เดี๋ยวนะ ฉันอาจจะชนะได้” แทรกเข้ามา นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนจากจิตใจที่มุ่งเน้นที่งานไปสู่จิตใจที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ ความวิตกกังวลเข้าครอบงำ กลไก fight-or-flight เริ่มทำงาน เธอเกร็งและเล่นแบบเคยชิน จนแพ้ห้าเกมรวดและตามหลัง 1-4 ในเซตที่สอง

การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจในช่วงเวลาวิกฤตนี้เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยในวงการกีฬา นักจิตวิทยาการกีฬาเรียกว่า “choking under pressure” ซึ่งเกิดจากการที่นักกีฬาให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อการแสดงความสามารถ

การกลับคืนสู่จิตใจที่มุ่งเน้นที่งาน

ในฐานะโค้ช Manning พยายามช่วยดึง Olga กลับมาสู่สภาวะจิตใจที่เหมาะสม แต่วิธีปกติไม่ได้ผล เขาจึงใช้จิตวิทยาแบบย้อนกลับ เมื่อเธอนั่งลงตอนเปลี่ยนข้าง Manning พูดว่า “Olga รีบๆ จบเกมนี้หน่อย ผมหิวแล้ว” เธอหันมามองอย่างไม่พอใจ เขาจึงพูดต่อ “เธอเล่นแย่มาก ร้าน Outback ปิดแล้ว รีบๆ จบซะ ผมอยากกินสเต็ก”

กลยุทธ์นี้ได้ผล เมื่อความโกรธของเธอเปลี่ยนจากการโกรธตัวเองไปเป็นโกรธเขาแทน เธอกลับมามุ่งเน้นที่งานอีกครั้ง และสามารถพลิกเกมกลับมาชนะได้ด้วยสกอร์ 6-1, 4-6, 6-4, 6-1 นี่คือพลังของจิตใจเมื่ออยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง

การท้าทายครั้งใหญ่: เผชิญหน้ากับมือหนึ่งของประเทศ

หลังจบเกม ขณะที่ Manning ตรวจดูสายการแข่งขัน และพบว่าคู่ต่อไปของ Olga คือมือหนึ่งของประเทศ เขาอดคิดไม่ได้ว่า “โอ้ นี่จะเป็นงานที่ยากมาก”

ในคืนถัดมา Olga ลงแข่งในแมตช์สุดท้าย เธอเล่นเทนนิสได้อย่างยอดเยี่ยมแม้จะแพ้เซตแรกไป 6-4 แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ เธอไม่ได้ท้อแท้หรือยอมแพ้ แม้จะทำดีที่สุดแล้วแต่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่หวัง เธอยังคงมุ่งเน้นที่งานและถาม Manning ว่า “ฉันต้องทำอะไรให้ดีขึ้น?” นี่คือลักษณะของจิตใจที่มุ่งเน้นที่การพัฒนา

การรักษาสมาธิและความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองแม้ในยามที่เผชิญความท้าทายเป็นคุณลักษณะสำคัญที่พบในนักกีฬาระดับโลก พวกเขามักจะมองความพ่ายแพ้เป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา มากกว่าจะมองว่าเป็นความล้มเหลว

บทเรียนสุดท้าย: มั่นใจและถ่อมตัว

จากประสบการณ์ในโอลิมปิกและการทำงานกับนักกีฬาระดับยอดเยี่ยมมาหลายปี Manningได้ข้อสรุปสำคัญสองประการที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับชีวิตประจำวัน นั่นคือ เราต้องมั่นใจในทักษะของตัวเอง ไม่ใช่ทักษะของคนอื่น และในขณะเดียวกัน เราต้องถ่อมตัว

“Confident Humility” หรือ “อ่อนน้อมถ่อมตนแบบมั่นใจ” คือกุญแจสำคัญที่ Manning หวังว่าทุกคนจะจดจำไว้ จงมั่นใจในทักษะของคุณ แต่ถ่อมตัวพอที่จะตระหนักว่าความสำเร็จไม่ได้มาฟรีๆ เราต้องทำงานเพื่อมัน และเราต้องมุ่งเน้นที่งานหากต้องการใช้ศักยภาพของเราได้อย่างเต็มที่

การรักษาสมดุลระหว่างความมั่นใจและความถ่อมตัวเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่นักกีฬาต้องฝึกซ้อมทักษะทางกายภาพ การพัฒนาทักษะทางจิตใจก็ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

บทสรุป

ความสำเร็จในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นในวงการกีฬาหรือในชีวิตประจำวัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์หรือความรู้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความสามารถในการรักษาสมดุลระหว่างความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองและการควบคุม Ego การมีจิตใจที่มุ่งเน้นที่งานไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นหรือดึงดูดความสนใจ แต่เป็นหนทางที่แท้จริงสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

References :
Overcoming Our Egos | Craig Manning | TEDxBYU
https://youtu.be/SalS7dlNKRU?si=4kUA_EvVJE4NwbvU

Geek Life EP94 : เลิกแคร์สายตาคนอื่น หยุดทำร้ายตัวเองด้วยความคิดคนอื่นแบบถาวร

ในอดีตการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นอยู่กับความสามารถในการคาดการณ์ภัยคุกคาม โดยภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการถูกขับออกจากเผ่า เพราะหากไม่มีเผ่า เราจะไม่สามารถหาอาหารเมื่อเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ และไม่สามารถอยู่รอดได้นาน ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียนรู้ที่จะคาดการณ์และกลัวสิ่งที่ผู้อื่นคิดเกี่ยวกับเรา สิ่งนี้เรียกว่า FOBO (Fear of Other People’s Opinions – ความกลัวความคิดเห็นของผู้อื่น)

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ The First Rule of Mastery: Stop Worrying about What People Think of You โดย Michael Gervais หนึ่งในนักจิตวิทยาชั้นนำของโลกและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและประสิทธิภาพของมนุษย์

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5duvta97

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3vd4pswh

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/NAitX-6fOWY

Geek Life EP90 : Mind Over Matter จากล้มเหลวสู่สำเร็จ วิธีใช้พลังจิตเปลี่ยนชีวิต

มนุษย์เรามักไม่รู้ขีดความสามารถที่แท้จริงของตนเอง จนกว่าจะได้ลงมือทำสิ่งนั้นจริงๆ ประสบการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการสอบได้คะแนนยอดเยี่ยม การเลื่อนตำแหน่งในที่ทำงาน หรือแม้แต่การจัดการเรื่องยุ่งยากให้สำเร็จลุล่วง สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในตอนแรก แต่เมื่อเราลงมือทำ เราก็จะค้นพบว่าตัวเองมีศักยภาพมากกว่าที่คิด

เป็นข้อมูลทีน่าสนใจจากเวที Ted Talks อีกครั้ง โดย Paneez Oliai จาก Harvard Law School เธอจบการศึกษาสาขาประวัติศาสตร์และจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ที่ได้มาพูดถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเรา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3enxt9az

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/54axr7ne

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/G6t8hbrJibw

เลิกแคร์สายตาคนอื่น : หยุดทำร้ายตัวเองด้วยความคิดคนอื่น กับวิธีปลดล็อกความกลัวแบบถาวร

ในอดีตการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นอยู่กับความสามารถในการคาดการณ์ภัยคุกคาม โดยภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการถูกขับออกจากเผ่า เพราะหากไม่มีเผ่า เราจะไม่สามารถหาอาหารเมื่อเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ และไม่สามารถอยู่รอดได้นาน ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียนรู้ที่จะคาดการณ์และกลัวสิ่งที่ผู้อื่นคิดเกี่ยวกับเรา สิ่งนี้เรียกว่า FOBO (Fear of Other People’s Opinions – ความกลัวความคิดเห็นของผู้อื่น)

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ The First Rule of Mastery: Stop Worrying about What People Think of You โดย Michael Gervais หนึ่งในนักจิตวิทยาชั้นนำของโลกและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและประสิทธิภาพของมนุษย์

ในปัจจุบัน FOBO แสดงออกในหลายรูปแบบ:

  • เราลังเลที่จะแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม
  • เราละทิ้งค่านิยมของตัวเองภายใต้แรงกดดันทางสังคม
  • เราหลีกเลี่ยงการทุ่มเทให้กับสิ่งที่เราหลงใหล เพื่อไม่ให้ดูเหมือนคนหมกมุ่นมากเกินไป

ลองพิจารณาดูว่าเราใช้เวลาในแต่ละสัปดาห์ไปกับการกังวลเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้อื่นมากแค่ไหน เมื่อหัวสมองเต็มไปด้วยความคิดว่าคนอื่นกำลังตัดสินเรา มันยากที่จะตัดสินใจอะไรได้อย่างเด็ดขาด และเมื่อเรากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร มันก็ยากที่จะโฟกัสอย่างเต็มที่ในงานของเรา

David Foster Wallace เคยกล่าวไว้ว่า “คุณจะกังวลเกี่ยวกับความคิดของคนอื่นน้อยลง เมื่อคุณตระหนักว่าพวกเขาแทบจะไม่ได้คิดถึงคุณเลย”

นี่ไม่ใช่แค่คำพูดธรรมดา แต่มีงานวิจัยรองรับ ในช่วงปลายทศวรรษ 90 ศาสตราจารย์ Thomas Gilovich จาก Cornell ได้ทำการทดลองทางสังคม โดยให้นักศึกษา 109 คนเข้าไปในห้องที่มีเพื่อนๆ อยู่ทีละคน โดยสวมเสื้อยืดที่น่าอายซึ่งมีรูปนักร้อง Barry Manilow ขนาดใหญ่

นักศึกษาที่สวมเสื้อได้รับการบอกว่าอย่างน้อย 50% ของเพื่อนๆ จะสังเกตเห็นเสื้อของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อ Gilovich สอบถามคนในห้องภายหลัง กลับมีเพียงแค่ 25% เท่านั้นที่สังเกตเห็นเสื้อที่น่าอับอายนั้น

งานวิจัยหลายชิ้นหลังจากนั้นแสดงให้เห็นว่า เรามักมีความรู้สึกว่าตัวเองสำคัญเกินจริง และมักฉายภาพความคิดของเราไปสู่ผู้อื่น ทำให้เราเชื่อว่าโลกภายนอกกำลังตัดสินเรามากกว่าความเป็นจริง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Spotlight Effect”

ตลอดทั้งวัน เรามักจะคิดว่าเหมือนมีไฟสปอตไลท์ลอยอยู่เหนือศีรษะ ส่องแสงลงมาที่ตัวเรา แต่ความจริงคือ หากคุณไม่ได้อยู่ในสปอตไลท์ของใคร พวกเขาก็ไม่ได้คิดถึงคุณ และแม้เมื่อคนอื่นส่องสปอตไลท์มาที่คุณ คุณก็จะอยู่ในความคิดของพวกเขาเพียงช่วงสั้นๆ เพราะพวกเขาจะรีบหันสปอตไลท์กลับไปที่ตัวเอง และกลับไปคิดว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรเกี่ยวกับพวกเขา

กฎสำคัญ 3 ข้อในการกรองความคิดเห็นของผู้อื่น:

1. สกรีนจุดมุ่งหมาย (Purpose Screen)
ทุกช่วงเวลาในชีวิต เราควรมีเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ อาจเป็นการพัฒนาตัวเองในสิ่งที่รัก หรือการใช้ชีวิตตามค่านิยมของตนเองและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เราก็จะกังวลกับการยอมรับจากผู้อื่นน้อยลง

การแสวงหาการยอมรับเปรียบเหมือนการแสวงหากำไรระยะสั้นในธุรกิจ ทุกธุรกิจต้องการกำไร แต่ถ้ายึดติดกับมันมากจนเกินไป ก็มีโอกาสที่จะทำให้เราหลงทางได้

2. สกรีนโต๊ะกลม (Round Table Screen)
มีเพียงความคิดเห็นของคนไม่กี่คนที่สำคัญจริงๆ ความเห็นจากเพื่อนในเฟซบุ๊กสมัยมัธยม หรือเสียงบีบแตรจากคนขับรถที่โมโหที่คุณจะไม่มีวันได้เจออีก ล้วนไม่สำคัญ

ความคิดเห็นที่สำคัญมาจากคนที่ต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคุณ คนที่คุณเคารพอย่างลึกซึ้ง และคนที่ไม่กลัวที่จะบอกความจริงกับคุณ

3. สกรีนแห่งความตาย (Death Screen)
เมื่อคุณเริ่มปล่อยให้ความคิดเห็นของผู้อื่นขัดขวางการใช้ชีวิตตามเป้าหมายของคุณ ให้ถามตัวเองว่า: “เมื่อฉันต้องตายในไม่ช้า (อาจเป็น 1 ปีหรือ 70 ปี) มันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะปล่อยให้ความคิดเห็นของคนอื่นกำหนดชีวิตของฉัน?”

Michael Gervais กล่าวว่า เมื่องานเลี้ยงใกล้จบและทุกคนพร้อมความคิดเห็นของพวกเขากลับบ้านไปแล้ว คุณจะสงสัยว่าทำไมคุณถึงให้อำนาจพวกเขามากมายขนาดนั้นในชีวิตของคุณ

บทสรุป

หยุดกลัวสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเรา ผู้คนต่างยุ่งกับชีวิตของตัวเองและกังวลว่าคนอื่นคิดอะไรกับพวกเขามากเกินกว่าจะสังเกตสิ่งที่เราทำ แม้เมื่อมีคนสังเกตเห็นสิ่งที่เราทำและเราอาจจะได้ยินความคิดเห็นในแง่ลบ อย่าให้ความคิดเห็นเหล่านั้นขัดขวางตัวตนของเรา หากเรากำลังใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย รับฟังข้อเสนอแนะที่จริงใจจากคนที่เราเคารพ

ยิ่งเราเลิกสนใจความคิดเห็นของผู้อื่นเร็วเท่าไร เราก็จะยิ่งเป็นอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเองได้เร็วขึ้นเท่านั้น และค้นพบว่าตัวเราเองมีศักยภาพที่จะเป็นอะไรได้มากมายแค่ไหนนั่นเองครับผม

References:
หนังสือ The First Rule of Mastery: Stop Worrying about What People Think of You โดย Michael Gervais

Mind Over Matter : จากล้มเหลวสู่สำเร็จ วิธีใช้พลังจิตเปลี่ยนชีวิตแบบที่วิทยาศาสตร์ยืนยัน

มนุษย์เรามักไม่รู้ขีดความสามารถที่แท้จริงของตนเอง จนกว่าจะได้ลงมือทำสิ่งนั้นจริงๆ ประสบการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการสอบได้คะแนนยอดเยี่ยม การเลื่อนตำแหน่งในที่ทำงาน หรือแม้แต่การจัดการเรื่องยุ่งยากให้สำเร็จลุล่วง สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในตอนแรก แต่เมื่อเราลงมือทำ เราก็จะค้นพบว่าตัวเองมีศักยภาพมากกว่าที่คิด

เป็นข้อมูลทีน่าสนใจจากเวที Ted Talks อีกครั้ง โดย Paneez Oliai จาก Harvard Law School เธอจบการศึกษาสาขาประวัติศาสตร์และจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ที่ได้มาพูดถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเรา

Oliai ได้นำเสนอมุมมองใหม่ โดยใช้หลักการทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “Mind Over Matter” หรือ การให้เรามีสติ ควบคุมจิตใจให้ดี เพื่อต่อสู้กับปัญหา มาอธิบายให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของจิตใจมนุษย์

จิตใจของเรามีพลังมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงความเป็นจริง ดังจะเห็นได้จากปรากฏการณ์ทางการรับรู้ที่น่าทึ่งอย่าง Bezold Effect ที่ค้นพบโดย Wilhelm Von Bezold

ให้ลองนึกภาพแถบสีเทาที่วางอยู่บนพื้นหลังที่มีการไล่ระดับสีจากอ่อนไปเข้ม แม้แถบสีเทาจะเป็นสีเดียวกันตลอดทั้งแถบ แต่สมองของเรากลับรับรู้ว่ามีการไล่ระดับสีในทิศทางตรงกันข้ามกับพื้นหลัง นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการรับรู้ของเราไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงเสมอไป

Bezold Effect (CR:Wikipedia)
Bezold Effect (CR:Wikipedia)

ภาพลวงตาอีกชิ้นที่น่าสนใจคือ Checker Shadow Illusion ที่สร้างโดย Edward Adelson เป็นภาพกระดานหมากรุกที่มีช่องสีเทาสองช่องถูกทำเครื่องหมายไว้ด้วยตัวอักษร A และ B แม้ทั้งสองช่องจะเป็นสีเทาเข้มเท่ากัน แต่สมองของเรากลับรับรู้ว่าช่อง A มืดกว่าช่อง B อย่างชัดเจน เพราะอิทธิพลของแสงและเงาในภาพ

Checker Shadow Illusion (CR:Wikipedia)
Checker Shadow Illusion (CR:Wikipedia)

อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Cafe Wall Illusion ที่พบครั้งแรกบนผนังร้านกาแฟ ภาพประกอบด้วยแถวของสี่เหลี่ยมสีขาวดำที่วางสลับกัน โดยแต่ละแถวมีการเยื้องเล็กน้อย แม้เส้นแนวนอนที่กั้นระหว่างแถวจะขนานกันอย่างสมบูรณ์ แต่สมองของเรากลับรับรู้ว่าเส้นเหล่านั้นเอียงและกำลังจะบรรจบกัน

Cafe Wall Illusion (CR:Wikipedia)
Cafe Wall Illusion (CR:Wikipedia)

ภาพลวงตาเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทำให้เราสับสนหรือหวาดระแวงในการรับรู้ของตัวเอง แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าสมองของเรามีวิธีจัดการกับข้อมูลที่ได้รับอย่างไร

ในอดีตการแยกแยะความแตกต่างระหว่างวัตถุได้อย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญต่อการอยู่รอด สมองจึงพัฒนากลไกการรับรู้ที่ไวต่อความแตกต่างของแสง เงา และสี เพื่อช่วยให้เราตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากการรับรู้ทางสายตาแล้ว พลังของจิตใจยังแสดงออกผ่านปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ปรากฏการณ์ยาหลอก (Placebo Effect)” ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ความเชื่อสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายได้จริง เมื่อคนไข้ได้รับยาหลอกที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ใดๆ แต่เชื่อว่าเป็นยาจริง ร่างกายก็จะตอบสนองราวกับได้รับยาจริง โดยสมองจะหลั่งสารโดพามีนและเอนดอร์ฟินที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและทำให้รู้สึกดีขึ้น

อีกหนึ่งเทคนิคที่แสดงให้เห็นพลังของจิตใจคือ Biofeedback วิธีการนี้ช่วยให้คนเราสามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้โดยการรับรู้และตอบสนองต่อข้อมูลทางสรีรวิทยาแบบทันที เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต หรือคลื่นสมอง เพียงแค่การมีสมาธิจดจ่อกับข้อมูลที่ได้รับ คนเราก็สามารถเรียนรู้ที่จะควบคุมการทำงานของร่างกายได้อย่างน่าทึ่ง

การตระหนักถึงพลังของจิตใจไม่เพียงช่วยในการจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวล แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและผู้อื่นได้ดีขึ้น เมื่อเราเข้าใจว่าการรับรู้และความเชื่อมีอิทธิพลต่อประสบการณ์ชีวิตมากเพียงใด เราก็จะสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้

การจัดการกับปัญหาการผัดวันประกันพรุ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้แนวคิดนี้ แทนที่จะปล่อยให้ความเคยชินเดิมๆ ครอบงำ เราสามารถสร้างกำหนดเวลาจำลองที่เร็วกว่าความเป็นจริง เพื่อกระตุ้นให้ตัวเองลงมือทำงานเร็วขึ้น วิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้งานเสร็จตามเวลา แต่ยังช่วยลดความเครียดและทำให้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้นด้วย

การเปลี่ยนมุมมองต่อเวลายังช่วยจัดการกับ “การคิดหายนะ (Catastrophization)” หรือแนวโน้มที่จะคิดถึงสถานการณ์แย่ที่สุดเมื่อเกิดปัญหาเล็กๆ การถามตัวเองว่าปัญหาที่กำลังเผชิญจะสำคัญแค่ไหนในอีก 1 ปี 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมและจัดการกับความวิตกกังวลได้ดีขึ้น

การเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์จากหลากหลายสาขาเข้าด้วยกันเป็นอีกวิธีที่แสดงให้เห็นพลังของจิตใจ เมื่อเราตระหนักว่าทุกศาสตร์ล้วนเชื่อมโยงกับการทำความเข้าใจมนุษย์ เราก็จะสามารถสร้างความรู้และความเข้าใจใหม่ๆ ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง แต่ยังสามารถส่งต่อไปยังผู้อื่นและสร้างผลกระทบในวงกว้าง

Mind Over Matter ไม่ได้หมายความว่าเราสามารถควบคุมทุกสิ่งได้ แต่เป็นการตระหนักว่าวิธีที่เรารับรู้และตีความโลกนั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อประสบการณ์ชีวิตของเรา การเข้าใจความจริงข้อนี้ช่วยให้เรามองเห็นศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง และเป็นก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการสร้างผลกระทบต่อสังคม

เมื่อเราเข้าใจและยอมรับว่าพลังแห่งจิตใจสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้ เราจะเริ่มมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตนเอง การสร้างความสัมพันธ์ หรือการทำงานเพื่อส่วนรวม ทุกสิ่งล้วนเริ่มต้นจากความเชื่อและการรับรู้ของเราทั้งสิ้น

สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักว่า แม้เราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตได้ แต่เรามีอำนาจเหนือวิธีที่เรามองและตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ นี่คือของขวัญล้ำค่าที่ธรรมชาติมอบให้กับมนุษย์ทุกคน และเป็นหน้าที่ของเราที่จะใช้มันเพื่อสร้างชีวิตและโลกที่ดีกว่าสำหรับทุกคน

References :
Mind over Matter: Why You’re Capable of More Than You Think | Paneez Oliai | TEDxGeorgetown
https://youtu.be/I5x1wQ6kHX0?si=X_7mtCxpaSdGVnHY