เปลี่ยนชีวิตด้วยวิธีคิดแบบไคเซ็น : ก้าวเล็กๆ สู่ความสำเร็จครั้งใหญ่ ด้วยวิธีคิดแบบปรัชญาญี่ปุ่น

ท่ามกลางความวุ่นวายของโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน มีปรัชญาการพัฒนาที่น่าสนใจจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจาก Robert Maurer นักจิตวิทยาคลินิกแห่ง UCLA ที่ได้สังเกตเห็นโฆษณารถยนต์ Lexus ซึ่งภาคภูมิใจนำเสนอรางวัลคุณภาพมากมายที่ได้รับตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

สิ่งนี้จุดประกายความสงสัยในใจของเขาว่า อะไรทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นสามารถรักษามาตรฐานคุณภาพระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง

คำตอบของปริศนานี้ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1940 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Dr. Edward Deming ชาวอเมริกันเดินทางมาญี่ปุ่นเพื่อช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิต ด้วยประสบการณ์จากการมีส่วนสำคัญในการพัฒนาการผลิตของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงคราม ทำให้ชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจแนวคิดของเขาเป็นอย่างมาก

Deming ได้มอบหลักการสำคัญให้กับคนงานในโรงงานญี่ปุ่น นั่นคือการตั้งคำถามกับตัวเองทุกวันว่า “มีขั้นตอนเล็กๆ อะไรบ้างที่ฉันสามารถทำเพื่อพัฒนากระบวนการหรือผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น”

แนวคิดนี้ได้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “Kaizen” หรือ “ไคเซ็น” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากความเสียหายของสงครามและก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตในช่วงปลายศตวรรษที่ 20

จากความสำเร็จในภาคอุตสาหกรรม Robert Maurer จึงเกิดแนวคิดที่จะนำหลักการ Kaizen มาประยุกต์ใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา

เขาเริ่มแนะนำให้คนไข้ทำการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย แทนที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทันที เช่น แทนที่จะแนะนำให้ลาออกจากงานที่ไม่พอใจ เขากลับให้คนไข้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีต่อวันในการจินตนาการถึงงานในฝัน หรือแทนที่จะกำหนดให้ออกกำลังกายที่ยิมนาน 30 นาที เขาแนะนำให้เริ่มจากการเดินอยู่หน้าทีวีในช่วงโฆษณาเพียง 1 นาที

การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เหล่านี้ดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญ แต่กลับสร้างผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง เพราะสมองของมนุษย์มีกลไกการทำงานที่น่าสนใจ เมื่อเราเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สมองส่วน amygdala จะถูกกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองแบบ “สู้หรือหนี” ทำให้เราหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความท้าทายและหันไปหาความสบายใจชั่วคราวแทน

แต่เมื่อเราใช้หลักการ Kaizen การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยจะช่วยให้เราหลบผ่านระบบเตือนภัยของสมอง ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกกลัวหรือต่อต้าน เราจึงสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง

ตัวอย่างความสำเร็จที่น่าประทับใจมาจากกรณีของ Jack St. นักธุรกิจที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อย่างรุนแรง จนต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการข้ออักเสบกว่า 20 จุด แม้แพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายทั้งหมด แต่ Jack เลือกที่จะใช้หลักการ Kaizen ด้วยการเริ่มจากก้าวเล็กๆ และให้รางวัลกับตัวเองในทุกความสำเร็จ

ทุกเช้า Jack จะตั้งเป้าหมายเพียงแค่การลุกจากเตียง เมื่อทำสำเร็จ เขาจะให้กำลังใจตัวเองด้วยคำชมสั้นๆ แต่จริงใจ จากนั้นเขาจึงเดินทางไปยิม โดยตั้งใจเพียงแค่จะพูดคุยกับพนักงานที่นั่น

เมื่อก้าวขึ้นลู่วิ่ง เขาเริ่มต้นด้วยการเดินเพียง 2 นาที พร้อมให้รางวัลตัวเองด้วยคำชมและกำลังใจ ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งคือ เมื่อ Jack อายุ 70 ปี เขาสามารถคว้าแชมป์การแข่งขัน Mr. World bodybuilding ในรุ่นอายุของเขาได้สำเร็จ

การเปลี่ยนแปลงแบบ Kaizen ไม่เพียงใช้ได้ผลในการพัฒนาร่างกาย แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการพัฒนาในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ การพัฒนาอาชีพ หรือแม้แต่การสร้างความสัมพันธ์

Michael Ondaatje ผู้เขียนนวนิยายรางวัลวรรณกรรมเรื่อง “The English Patient” ใช้หลักการคล้ายคลึงกันในการสร้างสรรค์ผลงาน

แทนที่จะตั้งคำถามใหญ่ว่าจะสร้างตัวละครที่น่าประทับใจได้อย่างไร เขาเลือกที่จะเริ่มจากคำถามเล็กๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์หนึ่ง เช่น “ใครคือชายในเครื่องบินที่ตก” “เขามาที่นี่ได้อย่างไร” “ทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุ” คำถามเล็กๆ เหล่านี้ค่อยๆ นำไปสู่การสร้างเรื่องราวและตัวละครที่มีมิติลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในโลกปัจจุบันที่ผู้คนมักถูกกดดันให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว หลักการ Kaizen อาจดูขัดกับกระแสหลัก แต่การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยกลับเป็นวิธีที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะช่วยให้เราสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและพัฒนาไปอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องต่อสู้กับความกลัวหรือแรงต้านจากภายในจิตใจของเราเอง

การนำหลักการ Kaizen มาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้หมายความว่าเราต้องล้มเลิกความฝันหรือเป้าหมายใหญ่ แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีการเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้น ด้วยการแบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นก้าวเล็กๆ ที่จับต้องได้ และให้รางวัลกับตัวเองในทุกความสำเร็จ

วิธีการนี้อาจดูเรียบง่ายเกินไปสำหรับบางคน แต่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่มักเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ ที่มั่นคง

References :
หนังสือ One Small Step Can Change Your Life: The Kaizen Way โดย Robert Maurer Ph.D.

Geek Life EP122 : ไม่มีความฝันไหนใหญ่เกินไป ถูกไล่ออกจากงาน แต่กลับมาเป็นซีอีโอ กับบทเรียนจากบ้านสีชมพู

ณ เมืองเล็กๆ ชื่อ Wrens ในรัฐ Georgia ห่างจากเมือง Atlanta ไปทางใต้ราว 2.5 ชั่วโมง มีบ้านสีชมพูหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนดิน ติดกับทางหลวง East 88 บ้านหลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัยของคุณยาย แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของบทเรียนชีวิตอันล้ำค่าที่หล่อหลอมให้เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/423x2c4t

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3sdkxcec

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/v8xXFO89LE0

Geek Life EP117 : Ego คือศัตรู ทำไมคนเก่งถึงพังในวันสำคัญ เผยวิธีรับมือแบบนักกีฬามืออาชีพ

ณ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว Sochi 2014 Craig Manning ยืนอยู่ท่ามกลางโค้ชและนักกีฬาทีมชาติสหรัฐอเมริกาในพื้นที่ที่พวกเขาเรียกว่า “the pit” ขณะชมการแข่งขันรายการแรก คำถามหนึ่งผุดขึ้นในความคิด: อะไรคือปัจจัยที่ทำให้นักกีฬาประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดเช่นนี้?

การได้เป็นตัวแทนประเทศในกีฬาโอลิมปิกนั้นถือเป็นจุดสูงสุดของนักกีฬาอยู่แล้ว แต่พวกเขายังต้องแข่งขันกับนักกีฬาที่เก่งที่สุดจากทั่วโลก นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องเป็นที่สุดในบรรดาผู้ที่เป็นที่สุดอยู่แล้ว แล้วเมื่อก้าวมาถึงจุดนี้ พวกเขาจะทำอย่างไรให้ไม่เพียงแค่ได้เหรียญ แต่ต้องเป็นเหรียญทองด้วย?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5ccr2492

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4mtxk4ub

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/sdYsWmv5wCY

ไม่มีความฝันไหนใหญ่เกินไป : ถูกไล่ออกจากงาน แต่กลับมาเป็นซีอีโอ กับบทเรียนจากบ้านสีชมพู

ณ เมืองเล็กๆ ชื่อ Wrens ในรัฐ Georgia ห่างจากเมือง Atlanta ไปทางใต้ราว 2.5 ชั่วโมง มีบ้านสีชมพูหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนดิน ติดกับทางหลวง East 88 บ้านหลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัยของคุณยาย แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของบทเรียนชีวิตอันล้ำค่าที่หล่อหลอมให้เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก สนามหญ้ากว้างใหญ่หน้าบ้านคือสนามเด็กเล่นที่สมบูรณ์แบบสำหรับเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ที่นั่นเธอได้วิ่งเล่น แข่งวิ่งกับไก่พร้อมลูกพี่ลูกน้อง และเรียนรู้บทเรียนแรกของชีวิตผ่านกิจวัตรประจำวันเล็กๆ น้อยๆ เช่น การเก็บไข่ในเล้า หรือการเลือกไก่สำหรับมื้อเย็น

คำพูดของคุณยายที่ว่า “Valerie ถึงเวลาที่หนูต้องไปเก็บไข่ในเล้าไก่แล้ว” กลายเป็นเสียงที่ปลูกฝังความรับผิดชอบและความมั่นใจให้กับเธอ

บ้านสีชมพูหลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่แห่งความสุข แต่ยังเป็นที่พักพิงในยามที่ครอบครัวต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแม่ของ Valerie ที่ต้องหาที่หลบภัยจากความรุนแรงในครอบครัว แม่ของเธอกลายเป็นแบบอย่างแรกของความเป็นผู้นำที่แท้จริง ผู้ซึ่งกล้าตัดสินใจเด็ดขาดเพื่อปกป้องลูกๆ ทั้งสี่คน

เมื่อ Valerie เติบโตขึ้น เธอก้าวเข้าสู่เส้นทางการแพทย์และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เธอเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคต่อมไร้ท่อและการมีบุตรยาก ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าภาควิชา ก่อตั้งศูนย์วิจัยสุขภาพสตรีแห่งแรกที่ Meharry Medical College และได้รับตำแหน่งคณบดีคณะแพทยศาสตร์ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศ

แต่แล้ววันหนึ่ง ทุกอย่างก็พังทลายลงเมื่อประธานมหาวิทยาลัยคนใหม่ขอให้เธอลาออกจากตำแหน่ง เธอต้องเผชิญกับความรู้สึกพ่ายแพ้ อับอาย และความกลัวที่เข้ามาครอบงำจิตใจของเธอ แต่บทเรียนจากบ้านสีชมพูก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ โดยเฉพาะภาพของแม่ที่กล้าเผชิญหน้ากับวิกฤตชีวิต

ตามคำกล่าวของนักเขียนที่เธอชื่นชอบ Paulo Coelho ที่ว่า “ก่อนที่ความฝันจะเป็นจริง โลกจะทดสอบทุกสิ่งที่คุณได้เรียนรู้มา” Valerie ตระหนักว่านี่คือการทดสอบครั้งสำคัญของชีวิต เธอเลือกที่จะยอมรับความสูญเสียแต่ไม่ยอมแพ้ เช่นเดียวกับที่แม่ของเธอเคยทำ

ความกลัวอาจเป็นอารมณ์ที่หลายคนไม่อยากประสบพบเจอ แต่มันก็เป็นแรงผลักดันให้เราลงมือทำในสิ่งที่จำเป็น Valerie เรียนรู้ว่าความกล้าหาญไม่ได้หมายถึงการไม่รู้สึกกลัว แต่คือการเผชิญหน้ากับความกลัวนั้นต่างหาก

เธอต้องสัมภาษณ์งานซ้ำแล้วซ้ำเล่า เผชิญกับคำปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งได้ยินคำตอบรับที่นำพาเธอไปสู่ตำแหน่งที่เหมาะสม

ปัจจุบัน ในฐานะประธานและซีอีโอของ Morehouse School of Medicine เธอได้ใช้ตำแหน่งและเสียงของเธอในการผลักดันความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความหลากหลายในวงการแพทย์ การต่อสู้เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ หรือการสนับสนุนสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ของผู้หญิง

เธอยังเป็นผู้บุกเบิกในการผลักดันนโยบายด้านสุขภาพที่คำนึงถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม และเป็นเสียงสำคัญในการเรียกร้องให้มีการพิจารณาทบทวนนโยบาย affirmative action ในวงการการศึกษาและการแพทย์ เพราะเธอเชื่อว่าความหลากหลายในบุคลากรทางการแพทย์จะนำไปสู่การดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

บ้านสีชมพูหลังนั้นได้หล่อหลอมให้ Valerie เข้าใจว่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้วัดกันที่จำนวนตำแหน่งหรือปริญญา แต่วัดจากประสบการณ์ชีวิต ระยะทางที่เดินทาง และความกล้าที่จะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิ่งที่เชื่อ

เธอได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความเด็ดเดี่ยว และความกล้าหาญที่ได้รับการปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์ สามารถนำพาผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งไปสู่การเป็นผู้นำที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้

ปัจจุบัน Dr. Valerie Montgomery Rice ยังคงทำงานอย่างหนักในการสร้างโอกาสทางการศึกษาและการแพทย์ให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้หญิงและชนกลุ่มน้อย เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวงการแพทย์และสังคมเช่นเดียวกับที่เธอได้ทำ

References :
How to Break Through Fear and Become a Leader | Valerie Montgomery Rice | TED
https://youtu.be/5uTDzBwwyho?si=KitQTOjd3U-nEJMb

Ego คือศัตรู : ทำไมคนเก่งถึงพังในวันสำคัญ เผยวิธีรับมือแบบนักกีฬามืออาชีพ

ณ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว Sochi 2014 Craig Manning ยืนอยู่ท่ามกลางโค้ชและนักกีฬาทีมชาติสหรัฐอเมริกาในพื้นที่ที่พวกเขาเรียกว่า “the pit” ขณะชมการแข่งขันรายการแรก คำถามหนึ่งผุดขึ้นในความคิด: อะไรคือปัจจัยที่ทำให้นักกีฬาประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดเช่นนี้?

การได้เป็นตัวแทนประเทศในกีฬาโอลิมปิกนั้นถือเป็นจุดสูงสุดของนักกีฬาอยู่แล้ว แต่พวกเขายังต้องแข่งขันกับนักกีฬาที่เก่งที่สุดจากทั่วโลก นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องเป็นที่สุดในบรรดาผู้ที่เป็นที่สุดอยู่แล้ว แล้วเมื่อก้าวมาถึงจุดนี้ พวกเขาจะทำอย่างไรให้ไม่เพียงแค่ได้เหรียญ แต่ต้องเป็นเหรียญทองด้วย?

จากประสบการณ์หลายทศวรรษในการสังเกตและทำงานร่วมกับนักกีฬาเหล่านี้ Manning ได้เรียนรู้ว่ากุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่พรสวรรค์หรือความรู้ที่สั่งสมมา แต่อยู่ที่ความสามารถในการใช้จิตใจให้เป็น

เพราะจะมีประโยชน์อะไรหากคุณมีพรสวรรค์และความรู้มากมาย แต่ไม่สามารถปลดล็อกศักยภาพเหล่านั้นออกมาใช้ได้? ในแวดวงวิทยาศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า “cognitive control” หรือ “grit” แต่ Manning ชอบเรียกมันว่า “ความเข้มแข็งทางจิตใจ”

Ego : ศัตรูตัวร้ายในใจเรา

Ego เป็นตัวการสำคัญที่สร้างความวุ่นวายในชีวิตของเรา มันคอยเรียกร้องการยอมรับอยู่ตลอดเวลา ลองนึกดู หากคุณต้องการการยอมรับจากคนเพียงคนเดียว คุณต้องการมันบ่อยแค่ไหนต่อวัน? แล้วถ้าเป็นสองคน สามคน หรือห้าคนล่ะ? สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จิตใจของคุณจะกลายเป็นที่อยู่ของความกระวนกระวาย หรือแม้กระทั่งความคลั่งไคล้ในการแสวงหาการยอมรับ

แล้ว Ego จะได้รับการยอมรับที่ต้องการได้อย่างไร? คำตอบคือ ผ่านผลลัพธ์ เพราะผลลัพธ์คือเส้นทางลัดสู่การได้รับการยอมรับ แต่ปัญหาของการมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์คือ ผลลัพธ์มาจากอนาคต และนั่นคือที่มาของความกลัว

ทุกสิ่งที่เราหวาดกลัวล้วนมาจากอนาคตทั้งสิ้น Manning ได้ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัว ในฐานะคนออสเตรเลียที่อาศัยอยู่ในดินแดนของจระเข้ เมื่อครั้งที่เขาเข้าพบที่ปรึกษา และถูกถามว่าเขากลัวอะไร Manning ตอบว่า “จระเข้”

ที่ปรึกษาจึงชวน Manning วิเคราะห์ลึกลงไปว่า ถ้าจระเข้เข้ามาทางประตูตอนนี้ จะทำอย่างไร? คำตอบคือ ทุกคนคงวิ่งหนีออกประตูทันที แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ความกลัวไม่ได้เกิดจากจระเข้ที่อยู่ตรงหน้า แต่เกิดจากความคิดที่ว่าจระเข้อาจจะทำอะไรเราในอนาคต

เช่นเดียวกับคนที่กลัวการบิน พวกเขาไม่ได้กลัวการนั่งเครื่องบินจริงๆ แต่กลัวความคิดที่ว่าเครื่องบินอาจจะตก นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าความกลัวทั้งหมดมาจากอนาคต และนี่คือปัญหาของการมีจิตใจที่มุ่งเน้นแต่ผลลัพธ์

ความสมบูรณ์แบบ: อีกด้านของ Ego

สำหรับผู้ที่กำลังสงสัยว่า “ฉันเป็นคนที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ แสดงว่าฉันมี Ego มากเกินไปหรือไม่?” คำตอบคือ ไม่เสมอไป คนที่เป็น Perfectionist ในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นคนดีที่เพียงแค่ต้องการการยอมรับจากผู้อื่น พวกเขามักจะแสดงพฤติกรรมคล้ายคนที่ยึดติดกับ Ego เพราะต่างก็มุ่งเน้นที่ผลลัพธ์เช่นกัน

จากการศึกษาทางจิตวิทยาการกีฬาพบว่า นักกีฬาที่มีลักษณะ Perfectionist มักจะมีความเครียดและความวิตกกังวลสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญ

เรื่องราวของ Olga: บทเรียนแห่งความมุ่งมั่น

Manning ยกตัวอย่างที่ชัดเจนจากประสบการณ์การเป็นโค้ชที่มหาวิทยาลัย BYU เป็นเวลาหนึ่งทศวรรษ เรื่องราวของ Olga นักเทนนิสจากรัสเซียที่เขาได้คัดตัวมา เธอไม่ได้มีพรสวรรค์โดดเด่น และไม่มีลูกตบแบบสมัยใหม่ แต่เธอมีคุณสมบัติที่สำคัญกว่านั้น นั่นคือความถ่อมตัวและจิตใจที่มุ่งเน้นที่งานจริง ๆ

Manning เริ่มพัฒนาเกมของเธอโดยอาศัยจุดแข็งที่มีอยู่ ด้วยการมุ่งเน้นที่งานและประสิทธิภาพ เธอพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จนกระทั่งในปีสุดท้าย เธอขึ้นมาอยู่อันดับที่ 61 ของประเทศ และผ่านเข้ารอบ 32 คนสุดท้ายในการแข่งขันที่ Columbus รัฐ Ohio โดยต้องเผชิญหน้ากับนักเทนนิสอันดับที่ 25 ของประเทศ

ในการแข่งขันนัดนั้น Olga เล่นตามแผนได้อย่างยอดเยี่ยม เธอใช้จุดแข็งในการรับลูกเร็วและเล่นแต้มระยะสั้น จนนำ 4-1 แต่แล้วจิตใจของเธอก็เปลี่ยนไป

เมื่อความคิดที่ว่า “เดี๋ยวนะ ฉันอาจจะชนะได้” แทรกเข้ามา นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนจากจิตใจที่มุ่งเน้นที่งานไปสู่จิตใจที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ ความวิตกกังวลเข้าครอบงำ กลไก fight-or-flight เริ่มทำงาน เธอเกร็งและเล่นแบบเคยชิน จนแพ้ห้าเกมรวดและตามหลัง 1-4 ในเซตที่สอง

การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจในช่วงเวลาวิกฤตนี้เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยในวงการกีฬา นักจิตวิทยาการกีฬาเรียกว่า “choking under pressure” ซึ่งเกิดจากการที่นักกีฬาให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อการแสดงความสามารถ

การกลับคืนสู่จิตใจที่มุ่งเน้นที่งาน

ในฐานะโค้ช Manning พยายามช่วยดึง Olga กลับมาสู่สภาวะจิตใจที่เหมาะสม แต่วิธีปกติไม่ได้ผล เขาจึงใช้จิตวิทยาแบบย้อนกลับ เมื่อเธอนั่งลงตอนเปลี่ยนข้าง Manning พูดว่า “Olga รีบๆ จบเกมนี้หน่อย ผมหิวแล้ว” เธอหันมามองอย่างไม่พอใจ เขาจึงพูดต่อ “เธอเล่นแย่มาก ร้าน Outback ปิดแล้ว รีบๆ จบซะ ผมอยากกินสเต็ก”

กลยุทธ์นี้ได้ผล เมื่อความโกรธของเธอเปลี่ยนจากการโกรธตัวเองไปเป็นโกรธเขาแทน เธอกลับมามุ่งเน้นที่งานอีกครั้ง และสามารถพลิกเกมกลับมาชนะได้ด้วยสกอร์ 6-1, 4-6, 6-4, 6-1 นี่คือพลังของจิตใจเมื่ออยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง

การท้าทายครั้งใหญ่: เผชิญหน้ากับมือหนึ่งของประเทศ

หลังจบเกม ขณะที่ Manning ตรวจดูสายการแข่งขัน และพบว่าคู่ต่อไปของ Olga คือมือหนึ่งของประเทศ เขาอดคิดไม่ได้ว่า “โอ้ นี่จะเป็นงานที่ยากมาก”

ในคืนถัดมา Olga ลงแข่งในแมตช์สุดท้าย เธอเล่นเทนนิสได้อย่างยอดเยี่ยมแม้จะแพ้เซตแรกไป 6-4 แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ เธอไม่ได้ท้อแท้หรือยอมแพ้ แม้จะทำดีที่สุดแล้วแต่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่หวัง เธอยังคงมุ่งเน้นที่งานและถาม Manning ว่า “ฉันต้องทำอะไรให้ดีขึ้น?” นี่คือลักษณะของจิตใจที่มุ่งเน้นที่การพัฒนา

การรักษาสมาธิและความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองแม้ในยามที่เผชิญความท้าทายเป็นคุณลักษณะสำคัญที่พบในนักกีฬาระดับโลก พวกเขามักจะมองความพ่ายแพ้เป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา มากกว่าจะมองว่าเป็นความล้มเหลว

บทเรียนสุดท้าย: มั่นใจและถ่อมตัว

จากประสบการณ์ในโอลิมปิกและการทำงานกับนักกีฬาระดับยอดเยี่ยมมาหลายปี Manningได้ข้อสรุปสำคัญสองประการที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับชีวิตประจำวัน นั่นคือ เราต้องมั่นใจในทักษะของตัวเอง ไม่ใช่ทักษะของคนอื่น และในขณะเดียวกัน เราต้องถ่อมตัว

“Confident Humility” หรือ “อ่อนน้อมถ่อมตนแบบมั่นใจ” คือกุญแจสำคัญที่ Manning หวังว่าทุกคนจะจดจำไว้ จงมั่นใจในทักษะของคุณ แต่ถ่อมตัวพอที่จะตระหนักว่าความสำเร็จไม่ได้มาฟรีๆ เราต้องทำงานเพื่อมัน และเราต้องมุ่งเน้นที่งานหากต้องการใช้ศักยภาพของเราได้อย่างเต็มที่

การรักษาสมดุลระหว่างความมั่นใจและความถ่อมตัวเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่นักกีฬาต้องฝึกซ้อมทักษะทางกายภาพ การพัฒนาทักษะทางจิตใจก็ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

บทสรุป

ความสำเร็จในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นในวงการกีฬาหรือในชีวิตประจำวัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์หรือความรู้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความสามารถในการรักษาสมดุลระหว่างความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองและการควบคุม Ego การมีจิตใจที่มุ่งเน้นที่งานไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นหรือดึงดูดความสนใจ แต่เป็นหนทางที่แท้จริงสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

References :
Overcoming Our Egos | Craig Manning | TEDxBYU
https://youtu.be/SalS7dlNKRU?si=4kUA_EvVJE4NwbvU