ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 10 : Londongrad

เมื่อ Roman Abramovich ออกเดินทางเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ว่าการภูมิภาค Chukotka ทางตะวันออกไกล ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลที่มีน้ำแข็งปกคลุมข้ามช่องแคบ Bering จากอลาสก้า ในตอนนั้นยังคงเป็นปีแรกของตำแหน่งประธานาธิบดีของ Vladimir Putin จุดหมายปลายทางของเขาคือสถานที่ที่ดูเหมือนพระเจ้าทอดทิ้ง ณ สุดปลายแผ่นดินโลก ห่างจากมอสโก 3,700 ไมล์

Chukotka มีประชากรเบาบางมาโดยตลอด แต่ผู้อยู่อาศัยใน Chukotka ได้ละทิ้งพื้นที่ทั้งหมดหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ประชากรลดลงจาก 153,000 คน เป็น 56,000 คน

เมื่อ Abramovich มาถึงประชากรที่ยังหลงเหลืออยู่กำลังดิ้นรนเอาตัวรอด เต็มไปด้วยความยากจนและประชากรส่วนใหญ่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง Abramovich รู้สึกเบื่อหน่ายกับการทำเงินตลอดเวลา เขาต้องการหาความท้าทาย โดยอ้างว่าเขาต้องการขับเคลื่อน Chukotka สู่การปฏิวัติให้มีชีวิตที่มีอาระธรรม และสัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น เขาชนะการเลือกตั้งผู้ว่าการในเดือนธันวาคม 2000 ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 92

หลังได้รับตำแหน่ง Abramovich ได้ส่งทีมผู้บริหารมาทำงานเพื่อพัฒนามาตรฐานการครองชีพ พวกเขาสร้างรายการโทรทัศน์ และวิทยุใหม่ ลานโบว์ลิ่ง ลานสเก็ตน้ำแข็งที่มีระบบทำความร้อนในร่ม และโรงภาพยนตร์ ราวกับว่าเขากำลังโค้งคำนับทันทีเพื่อแสดงความรู้สึกจงรักภักดีต่อการที่ Putin เรียกร้องให้ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องรับผิดชอบทางสังคมมากขึ้นหลังจากยุค 90

อันที่จริง Abramovich เองก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก เขาถูกส่งไปยัง Chukotka ตามคำสั่งของ Putin เพราะ Putin ต้องการให้ Abramovich ทดแทนจากสิ่งที่เขาได้รับจากบริษัทน้ำมัน Sibneft และ Rusal ยักษ์ใหญ่อะลูมิเนียมที่ควบคุมการผลิตของประเทศมากกว่า 90%

ไม่เพียงเท่านั้นมูลนิธิ Pole of Hope การกุศลของ Abramovich พร้อมที่จะบริจาคเงินจำนวน 203 ล้านดอลลาร์ให้กับ Petromed ซึ่งเป็นบริษัทอุปกรณ์การแพทย์ที่เชื่อมโยงกับ Bank Rossiya เพราะ Putin ต้องการเข้าถึงเงินสดที่เหลือของ Abramovich ด้วย

สาเหตุสำคัญอีกประการก็คือ กฎหมายในสมัยนั้นทำให้การติดคุกของเจ้าหน้าที่ง่ายกว่านักธุรกิจเป็นอย่างมาก

“Putin บอกกับผมว่าถ้า Abramovich ทำผิดกฎหมายในฐานะผู้ว่าการ เขาจะจับ Abramovich เข้าคุกทันที” ผู้ร่วมงานของ Abramovich กล่าว

ความคิดนี้มีรากฐานมาจากระบบซาร์ ในความเชื่อของผู้ชายอย่าง Jean Goutchkov และ Serge de Pahlen สหาย KGB ของ Putin ที่กลายเป็นผู้ปกครองจักรวรรดินิยมคนใหม่ของประเทศ ทรัพย์สินของ Putin จะต้องถูกแบ่งให้คนโปรดของเครมลินที่สวามิภักดิ์ต่อรัฐ

Yevgeny Yasin นักเศรษฐศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพล ผู้ซึ่งเคยเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว กล่าวว่า “ภายในปี 2003 ระยะแรกของการเปลี่ยนผ่านรัสเซีย ระยะของระบบทุนนิยมแบบคณาธิปไตย ได้สิ้นสุดลงแล้ว และขั้นตอนที่ระบบทุนนิยมที่เป็นมิตรต่อรัฐกำลังเริ่มต้นขึ้น”

เขากล่าวว่า เหล่าชาย KGB ที่ขึ้นสู่อำนาจ ถือว่าพวกเขามีสิทธิ์ทุกประการที่จะถือว่าความมั่งคั่งของประเทศเป็นของตนเอง “พวกเขาเชื่อว่าพวกเขารักษาประเทศไว้จากการล่มสลายทั้งหมด แต่แท้จริงแล้ว มันคือการยึดอำนาจดี ๆ นี่เอง”

ดูเหมือนว่าในตอนนั้นตะวันตกแทบจะไม่เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งของรัสเซียที่กำลังเกิดขึ้น การขยายตัวของกลุ่ม KGB ในฐานะพันธมิตรของ Putin นั้น ได้เข้ามาควบคุมภาคส่วนพลังงานเชิงกลยุทธ์ของประเทศแทบจะเบ็ดเสร็จ

แต่สำหรับสายตาตะวันตก ธุรกิจที่เหลือของประเทศยังคงดูเหมือนจะเป็นอิสระอยู่ มหาเศรษฐีจากยุค Yeltsin อย่าง Abramovich ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและสนับสนุนตะวันตกในเศรษฐกิจของรัสเซีย

ที่สำคัญที่สุด ตะวันตกมองว่า เมื่อเศรษฐกิจเริ่มเฟื่องฟู พวกเขาก็มีความหวังเพิ่มขึ้นว่า วันหนึ่งชนชั้นกลางที่เกิดขึ้นใหม่จะเรียกร้องความต้องการมากขึ้นในกระบวนการทางการเมือง

ในขณะที่ Abramovich ทำงานหนักเพื่อปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพใน Chukotka ในมอสโกและเมืองใหญ่อื่น ๆ ของภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงก็กำลังเกิดขึ้นเช่นกัน

ห้างสรรพสินค้าสไตล์ยุโรปสว่างสดใสใจกลางเมืองผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แบรนด์ดัง ๆ ก็เริ่มบุกเข้ามา Mango,Benetton ,Diesel และ Adidas เข้ามาแทนที่ห้างสรรพสินค้าสไตล์โซเวียตแบบดั้งเดิม

ร้านอาหารหรูในเมืองต่าง ๆ แม้กระทั่งส่วนที่ไกลที่สุดอย่างไซบีเรียก็มีการเสริ์ฟเนื้อแกะจากนิวซีแลนด์ เนื้อลูกวัวจากออสเตรเลีย และไวน์จากฝรั่งเศส การใช้จ่ายของผู้บริโภคพุ่งสูงขึ้น กลุ่มประชากรชนชั้นกลางเริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดผู้คนในรัสเซียก็มีเงินจับจ่ายใช้สอย หลังจากที่ทศวรรษแห่งการออมเงินที่ภาวะเงินเฟ้อทำให้เงินพวกเขาหายไปชั่วข้ามคืน เมื่อราคาน้ำมันที่สูงขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจก็พุ่งขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6.6% ในช่วงหลายปีหลังจากที่ Putin ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี ในขณะที่ค่าจ้างรายเดือนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่า

มันได้กลายเป็นช่วงวันเวลาที่สถานะเหมือนพระเจ้าซาร์ของ Putin ได้ถูกสร้างขึ้น แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาที่ไม่ถูกขีดเขียนไว้ ประชาชนแทบไม่ตั้งข้อสังเกตการทุจริตของรัฐที่เพิ่มขึ้น เมื่อความเป็นอยู่ปากท้องดีขึ้น ก็ไม่มีใครสนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นอำนาจตามอำเภอใจของ FSB และการบังคับใช้กฎหมายทุกสาขาในธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดเล็ก พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับการปราบปรามเสรีภาพของสื่อตราบเท่าที่รายได้ของพวกเขาเติบโตขึ้น ตราบเท่าที่ประเทศกำลังมีเสถียรภาพ

ประชาชนชาวรัสเซียเริ่มใช้ชีวิตเหมือนกับเพื่อนบ้านอื่นๆ ในยุโรป Putin และเจ้าหน้าที่ KGB ของเขา ดูเหมือนจะสั่งจำคุกใครก็ได้ที่พวกเขาต้องการ ตราบใดที่ชนชั้นกลางที่เกิดใหม่ยังคงปลื้มกับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพวกเขา

บริษัทรัสเซียกำลังเร่งจดทะเบียนหุ้นในตลาดหุ้นตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลอนดอน ในปี 2005 เพียงปีเดียว พวกเขาจดทะเบียนไปมูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับ 1.3 พันล้านดอลลาร์ในทุกตลาดในช่วงสิบสามปีหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต

ธุรกิจที่มุ่งหน้าไปยังลอนดอนต้องมีบัญชีที่ได้รับการตรวจสอบตามมาตรฐานสากลเป็นเวลาสามปีภายใต้ข้อกำหนดของพวกเขา เช่นเดียวกับหุ้นอย่างน้อยหกเดือนที่จดทะเบียนในมอสโก เพื่อให้มีคุณสมบัติในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนได้

เหตุผลหนึ่งที่บริษัทรัสเซียมุ่งหน้าสู่ลอนดอนเป็นจำนวนมากก็คือมาตรฐานที่จำเป็นสำหรับการจดทะเบียนบริษัทนั้นเข้มงวดน้อยกว่าในนิวยอร์กมาก ในสหรัฐฯ หากปรากฎว่าสิ่งใดไม่เป็นความจริงหรือทำให้เข้าใจผิด ถือว่าเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งไม่มีบริษัทรัสเซียใด ๆ พร้อมสำหรับเรื่องนี้

เงินทุนของรัสเซียทำให้ลอนดอนมีรายได้มหาศาล ทั้งกองทัพนายธนาคาร ทนายความ ที่ปรึกษา และบริษัทประชาสัมพันธ์ ลอนดอนเต็มไปด้วยเงินสดจำนวนมหาศาลของรัสเซียว่อนกระจายไปทั้งเมือง

แทนที่จะเป็นการเปลี่ยนรัสเซียผ่านการบูรณาการเข้ากับตลาดตะวันตก กลับเป็นรัสเซียเองต่างหากที่เปลี่ยนตะวันตก ซึ่งแทนที่จะทำให้รัสเซียต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับระบบที่อิงตามกฎของตน ตะวันตกกลับค่อย ๆ ถูกคอร์รัปชั่น ราวกับว่าถูกฉีดไวรัสเข้าไปในเส้นเลือดประชาธิปไตยเสรีในอุดมคติของพวกเขาแทน

เส้นทางนั้นดูเหมือนจะราบรื่น เมื่อ Roman Abramovich ซื้อสโมสรฟุตบอลเชลซีของลอนดอนในฤดูร้อนปี 2003 ด้วยเงิน 150 ล้านปอนด์ (240 ล้านดอลลาร์) มันเป็นหนึ่งในเครื่อง PR ชั้นดีให้กับนักธุรกิจชาวรัสเซีย

Roman Abramovich ซื้อสโมสรฟุตบอลเชลซีของ   ลอนดอนในฤดูร้อนปี 2003 (CR:BBC)
Roman Abramovich ซื้อสโมสรฟุตบอลเชลซีของ ลอนดอนในฤดูร้อนปี 2003 (CR:BBC)

Roman Abramovich ผู้มีอำนาจลึกลับ หน้างุ่มง่าม และแต่งกายเรียบง่ายในกางเกงยีนส์ ได้รับการยกย่องในขณะที่ทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อซื้อนักเตะที่มีชื่อเสียงระดับโลกให้กับเชลซี และยกระดับสนามเหย้าของทีมอย่างสแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งมีไม่กี่คนที่คิดจะถามว่าเงินของเขามาจากไหน?

เครมลินของ Putin คำนวณอย่างแม่นยำว่าหนทางที่จะได้รับการยอมรับในสังคมอังกฤษนั้นมาจากความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ กีฬาประจำชาติที่พวกเขาภาคภูมิใจอย่างฟุตบอลนั่นเอง

Sergei Pugachev ได้กล่าวถึงการเข้าซื้อกิจการสโมสรฟุตบอลครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างหัวหาดสำหรับอิทธิพลของรัสเซียในสหราชอาณาจักร

“Putin บอกผมเป็นการส่วนตัวถึงแผนการของเขาที่จะซื้อสโมสรฟุตบอลเชลซี เพื่อเพิ่มอิทธิพลของเขาและยกระดับโปรไฟล์ของรัสเซีย ไม่เพียงแต่กับชนชั้นสูงเท่านั้น แต่กับคนอังกฤษทั่วไปด้วย” เขากล่าว

Putin เป็นคนสั่งให้ Abramovich ซื้อสโมสร โดยให้อ้างว่าเป็นมหาเศรษฐีชาวรัสเซียและอดีตผู้ร่วมงานของ Abramovich นั่นทำให้แทบไม่มีคำถามใด ๆ เกิดขึ้น ซึ่งการซื้อครั้งนี้ทำให้ Abramovich กลายเป็นคนดังในอังกฤษในทันที

แต่ก็มีข้อมูลอีกมุมนึงจากคนใกล้ชิด Abramovich ที่ปฏิเสธว่านักธุรกิจรายนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ภายใต้การดูแลของเครมลินเมื่อทำการซื้อสโมสร แต่ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร การเลือกเชลซีของ Abramovich กลายเป็นสัญลักษณ์ของเงินรัสเซียที่หลั่งไหลเข้ามาในสหราชอาณาจักรเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม Abramovich ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรของ Putin ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ที่เชื่อถือได้ของเครมลิน

เขามีบทบาทที่สำคัญในการสร้างระบบทุนนิยม KGB เมื่อมันขยายการเข้าถึงไปยังตะวันตก ซึ่งแทนที่ Abramovich จะลงเอยในคุกแบบ Khodorkovsky

Abramovich สามารถขาย Sibneft ให้กับรัฐได้เงินสด 13 พันล้านดอลลาร์ แทนที่จะรวมกิจการกับ Yukos และขายบริษัทให้กับ Exxon หรือ Chevron ของสหรัฐฯ ตามที่เขาและ Khodorkovsky เคยวางแผนไว้

Abramovich กลับโค้งคำนับตามคำสั่งของเครมลิน เขาแทบไม่มีทางเลือก การขาย Sibneft ให้กับ Gazprom ในช่วงปลายปี 2005 เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการในการปฏิวัติพลังงานของเครมลินที่ได้รับความชอบธรรมในระดับสากล เป็นการเติมเชื้อเพลิงให้กับตลาดหุ้นรัสเซียที่กำลังเฟื่องฟู

การพึ่งพาเครมลินของ Putin เริ่มเหนียวแน่นยิ่งขึ้นเมื่อเกิดวิกฤติการณ์ทางการเงินในปี 2008 การล่มสลายของ Lehman Brothers สะท้อนกลับในตลาดหุ้นรัสเซีย โดยลดลงเหลือ 230 พันล้านดอลลาร์ จากมูลค่ากว่า 300 พันล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายนและตุลาคมปีนั้นเพียงปีเดียว

มหาเศรษฐีของรัสเซียได้กู้เงินจำนวนมากจากธนาคารตะวันตกเพื่อใช้เป็นทุนในการขยายอาณาจักรธุรกิจอย่างรวดเร็ว แนวปฏิบัติที่เรียกว่า Margin Lending กลายเป็นที่แพร่หลาย โดยเหล่ามหาเศรษฐีจะจำนำหุ้นในธุรกิจของตนเพื่อเป็นหลักประกันเงินกู้หลายพันล้านดอลลาร์

ในขณะที่เกิดวิกฤติทำให้มูลค่าหุ้นลดลง ธนาคารต่างประเทศจึงเรียกร้องให้กู้ยืมเพิ่มเติม สัดส่วนการถือหุ้นที่สำคัญใน Rusal ของ Deripaska และ Vimpelcom ของ Mikhail Fridman ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่อันดับสองของประเทศกำลังตกอยู่ในอันตรายจากการถูกธนาคารตะวันตกยึด

เมื่อรัฐบาลของ Putin ก้าวเข้ามาช่วยมหาเศรษฐีของประเทศ Putin ก็ไม่ได้คืนทรัพย์สินของพวกเขา ธนาคารของรัฐเช่น Sberbank , VTB และ Vneshekonombank ได้ให้เงินกู้ยืมจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์แก่ผู้ประกอบการที่มีปัญหา ทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าของระบอบการปกครองมากยิ่งขึ้น

“Putin ต้องการให้ผู้คนติดหนี้บุญคุณเขา เขาช่วยบริษัทใหญ่ ๆ แบบนี้ หากรัฐบาลให้เงินกู้ 2 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3 พันล้านดอลลาร์ จากนั้นคุณก็ได้รับโทรศัพท์จากเครมลินว่าโปรดให้เงิน 1 พันล้านดอลลาร์สำหรับโครงการ คุณไม่สามารถปฏิเสธได้ คุณต้องปฏิบัติตาม” มหาเศรษฐีรายหนึ่งที่รอดพ้นวิกฤติจากการช่วยเหลือของเครมลินได้กล่าวไว้

มันกลายเป็นนโยบายที่สำคัญของระบอบการปกครองของ Putin นักธุรกิจใหญ่กล่าว “ผมให้เงินกู้แก่คุณ คุณต้องซื่อสัตย์กับผม” ซึ่งมันเป็นแนวทางแบบตะวันออกมาก มันเป็นระบบศักดินา อาณาเขตของผู้ปกครองในเครมลินกำลังขยายออกไปไกลเกินกว่าพันธมิตรของ Putin ในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ต้องบอกว่าข้อมูลเกี่ยวกับการไหลของเงินที่เข้ามาจากรัสเซียสู่ลอนดอนนั้นหายาก ส่วนใหญ่จะเข้ามาในเมืองผ่านเชลล์นอกชายฝั่งเช่น ไซปรัส หมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น และปานามา หรือผ่านทาง British Crown Dependencies of Jersey , Guernsey และ Isle of Man ซึ่งล้วนขึ้นชื่อในการปิดบังความเป็นเจ้าของผ่านขั้นต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนสูง

นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนต่างทราบดีว่าลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของพวกเขา ซึ่งทุ่มเงินหลายล้านในทรัพย์สินที่ดีที่สุดของลอนดอน มาจากอดีตสหภาพโซเวียต ในขณะที่ทนายความ และนายธนาคารของเมืองเข้าคิวรับเงินหลายพันล้านดอลลาร์ตามคำสั่งของมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ที่มาของเงินจำนวนนี้ และ ใครที่เป็นเจ้าของเงินจริง ๆ แทบไม่มีใครอยากรับรู้

เมื่อลอนดอนได้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ Londongrad มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดของรัสเซียสองคนคือ Roman Abramovich และ Alisher Usmanov ที่เป็นพันธมิตรที่ดีกับเครมลิน ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในลอนดอน

Alisher Usmanov อีกหนึ่งพันธมิตรที่สำคัญของเครมลินที่มาตั้งถิ่นฐานที่ลอนดอน (CR:Bol News)
Alisher Usmanov อีกหนึ่งพันธมิตรที่สำคัญของเครมลินที่มาตั้งถิ่นฐานที่ลอนดอน (CR:Bol News)

สำหรับผู้ประกอบการชาวรัสเซียคนหนึ่ง กระบวนการดังกล่าวนี้ทำให้เขานึกถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสหภาพโซเวียตเมื่อหลายปีก่อน

ในสมัยนั้น สหภาพโซเวียตกำลังจะล่มสลาย KGB กำลังเตรียมส่งตัวแทนไปยังสหรัฐอเมริกา มีแผนการที่จะให้เหล่าตัวแทนมาถึงอเมริกาในฐานะมหาเศรษฐีพร้อมกับเรือยอทช์และคฤหาสน์สุดหรู ซึ่งนั่นจะทำให้สังคมชั้นสูงของอเมริกันหันมามองพวกเขา

แต่เมื่อต้องขออนุมัติจากฝ่ายการเงินของ KGB ก็ต้องเปลี่ยนแนวคิดทันที เพราะรัฐกำลังถังแตกและไม่มีเงินสำหรับโครงการดังกล่าว ถ้าจะไปอเมริกา ก็ต้องไปในฐานะคนเร่ร่อนที่ไม่มีเงินแทน

แต่ตอนนี้ฝันของพวกเขากลายเป็นจริงแล้ว พวกเขามีเรือยอทช์ขนาดใหญ่และเครื่องบินส่วนตัว และที่นี่ (ลอนดอน) พวกเขามีคฤหาสน์สุดหรูหลังใหญ่โต มีสโมสรฟุตบอลเชลซี ไม่ใช่แค่ Abramovich แต่เป็นทั้งกลุ่มมหาเศรษฐีที่จงรักภักดีต่อเครมลิน ซึ่งการแทรกซึมของอาณาจักรรัสเซียเข้าสู่สหราชอาณาจักรประสบความสำเร็จแล้วนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 11 : The Empire Strikes Back

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 9 : Kremlin Inc

ต้องบอกว่านับตั้งแต่ Putin ขึ้นครองอำนาจในวาระที่สองของการเป็นประธานาธิบดี เขาก็ได้เปลี่ยนผู้บริหารทั้งในรัฐวิสาหกิจของรัฐ รวมถึงคณะรัฐมนตรีต่าง ๆ ด้วยพันธมิตรของเขาเองจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และ กลุ่ม KGB

หนึ่งในภารกิจสำคัญลำดับแรก ๆ ในวาระที่สองก็คือ การรวบรวมแหล่งผลิตเงินสดและสินทรัพย์ทางการเงินที่มีอยู่ทั้งหมดให้มาดูแลโดยคนวงในของกลุ่ม Siloviki ของเขา

แน่นอนว่ามันคงไม่สามารถทำได้ง่าย ๆ หากทีมงานของตระกูล Yeltsin ยังมีอำนาจอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Kasyanov และ Voloshin ซึ่งก่อนหน้านี้ ต้องมีการรับรองจากทีมงานของตระกูล Yeltsin Putin ถึงจะดำเนินการได้

แต่ในวาระที่สอง ทีมงานของ Yeltsin ถูกกำจัดไปทีละคน ๆ และถูกแทนที่ด้วยพันธมิตรของ Putin ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ทางเศรษฐกิจ ในขณะที่กลุ่ม Siloviki กำลังเข้ายึดระบบศาล บริการภาษีของรัฐบาลกลาง และหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐบาลก่อนหน้านี้ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้

มันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่กลายเป็นที่รู้จักในนาม ‘Kremlin Inc’ โดยเหล่าผู้จงรักภักดีของ Putin ได้เข้ามารับผิดชอบภาคยุทธศาสตร์ของเศรษฐกิจ

กระบวนการนี้มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด เมื่อเขาตั้งพันธมิตร KGB ที่ใกล้ชิดเขาที่สุด ไม่เพียงแต่รับผิดชอบในอุตสาหกรรมพลังงานที่ควบคุมโดยรัฐอย่าง Gazprom และ Rosneft แต่ยังรวมถึงบริษัทของรัฐอีกหลายแห่ง

อย่างแรกเลยก็คือ Aeroflot สายการบินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศักดินาของตระกูล Yeltsin ซึ่ง Viktor Ivanov สหาย KGB ของ Putin จากเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ได้เข้ามาดูแลในตำแหน่งประธานเมื่อปลายปี 2004

จากนั้นก็มี Russian Railways ซึ่งเป็นอาณาจักรการขนส่งทางรถไฟอันยิ่งใหญ่ที่มีพนักงาน 1.3 ล้านคน และรายได้รวมเกือบ 2% ของ GDP รัสเซีย ซึ่ง Vladimir Yakunin อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของ KGB ผู้ซึ่งเคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Bank Rossiya และเป็นสมาชิกของสหกรณ์ Ozero dacha ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานในเดือนมิถุนายน 2005

Andrei Akimov อดีตนายธนาคารของรัฐโซเวียตที่มีความสัมพันธ์กับหน่วยข่าวกรองต่างประเทศ ถูกส่งตัวกลับจากเวียนนาและได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้ดูแล Gazprombank

ส่วน Andrei Kostin อดีตนักการทูตโซเวียตที่เคยประจำอยู่ที่สถานทูตลอนดอน เข้ารับตำแหน่งที่ Vneshtorgbank หรือ VTB ซึ่งเป็นทายาทสายตรงของของธนาคารการค้าต่างประเทศของสหภาพโซเวียต

Putin ได้แต่งตั้ง Sergei Chemezov เพื่อนร่วมงานที่สนิทที่สุดของเขาที่เดรสเดน เป็นหัวหน้างานส่งออกอาวุธของรัฐ Rosoboronexport ในปี 2004

ผู้คนจาก KGB และนักการเงินของ KGB ได้ออกมาอยู่ในหน้าฉากแบบเต็มตัวแล้วในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในวาระที่สองของ Putin เหล่าผู้มีอำนาจในยุค 1990 ได้กลับมาทวงคืนอำนาจของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในเดือนพฤศจิกายน 2005 ประมาณหนึ่งปีนับตั้งแต่การปฏิวัติสีส้มที่ได้ส่งยูเครนออกจากวงโคจรของรัสเซียไปยังอ้อมแขนของตะวันตก Oleh Rybachuk เสนาธิการของประธานาธิบดี Viktor Yushchenko ประธานาธิบดีของยูเครนกำลังมุ่งไปยังมอสโกด้วยความประหม่าเป็นอย่างยิ่ง

Oleh Rybachuk เสนาธิการของประธานาธิบดี Viktor Yushchenko (CR:Bank Union)
Oleh Rybachuk เสนาธิการของประธานาธิบดี Viktor Yushchenko (CR:Bank Union)

จุดประสงค์ของการมาเยือนของเขาคือเพื่อจัดการเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงใหม่ในเรื่องการจัดหาก๊าซจากรัสเซียที่จะส่งไปยูเครน

ต้องบอกว่ายูเครนเองก็พึ่งพารัสเซียสำหรับก๊าซส่วนใหญ่ในประเทศ และสถานการณ์ในตอนนั้นเศรษฐกิจของประเทศก็เริ่มชะลอตัวลงแล้ว

เจ้าหน้าที่ของเครมลินได้เตือนว่าพวกเขาจะมีการขึ้นราคาก๊าซอย่างมีนัยสำคัญ และรัสเซียไม่จำเป็นต้องอุดหนุนเศรษฐกิจของยูเครนอีกต่อไป เพราะ Yushchenko เป็นพวกโปรตะวันตก โดยอ้างว่า ผู้นำของยูเครนได้รับเงินเดือนจากชาวอเมริกันไมว่าจะโดยตรงหรือแอบแฝง

Gazprom ที่เป็นศูนย์กลางของการค้าก๊าซระหว่างอดีตสาธารณรัฐโซเเวียต ที่มีก๊าซสำรองจำนวนมหาศาล และเครือข่ายท่อส่งก๊าซที่กว้างขวางครอบคลุมรัสเซีย ได้กลายเป็นกลไกสำคัญที่มีอิทธิของรัสเซียที่มีต่อเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ

ในขณะที่สาธารณรัฐเอเชียกลางมีก๊าซสำรองของตนเอง แต่ทั้ง จอร์เจีย เบลารุส และยูเครน ต้องพึ่งพา Gazprom และบริษัทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่ Gazprom จะให้สิทธิ์ในราคาพิเศษ เช่นเดียวกับตอนที่รัฐเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโซเวียต

ยูเครนมีความโดดเด่นในฐานะที่เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญสำหรับก๊าซรัสเซียไปยังยุโรป ซึ่งเป็นความต้องการสูงถึง 25% ของทั้งทวีปยุโรป แต่ในขณะที่ผู้นำคนใหม่เอนเอียงไปทางตะวันตก เคริมลินก็เลิกอุดหนุนเพิ่มเติมเหมือนในอดีตแทบจะทันที

เมื่อ Rybachuk ไปถึงเครมลิน Putin ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารัสเซียจะขึ้นราคาก๊าซ และยูเครนต้องยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว มิฉะนั้นจะถูกตัดการส่งก๊าซทันที

แต่ในการประชุมต่อมา Dmitry Medvedev ซึ่งเป็นเสนาธิการของเครมลิน และเป็นประธานคณะกรรมการของ Gazprom ได้เปิดช่องทางสำหรับการประนีประนอม หากยูเครนตกลงที่จะซื้อก๊าซเพิ่มผ่านผู้ค้าบางรายที่เครมลินเลือกแทนที่จะซื้อจาก Gazprom

Medvedev กล่าวว่าข้อตกลงใหม่ รัฐบาลยูเครนจะได้รับเงิน 500 ล้านดอลลาร์ต่อไตรมาสหรือ 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่รับประกันราคาก๊าซที่มีราคาถูกอย่างต่อเนื่อง

‘เขาบอกผมว่านี่คือส่วนแบ่งที่จะเป็นของเรา (รัฐบาลยูเครน)’ Rybachuk กล่าว

Rybachuk แทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่เขาได้รับฟังดูเหมือนเป็นแผนสำหรับการจ่ายใต้โต๊ะ มันเป็นข้อตกลงที่จะทำการคอร์รัปชั่นต่อรัฐบาล ซึ่ง Medvedev และเครมลินยืนกรานว่าพ่อค้าคนกลางชื่อ Rosukrenergo และความเป็นเจ้าของจะถูกปกปิดเป็นความลับ

สิ่งที่ Medvedev กำลังอธิบายคือรูปแบบล่าสุดของแผนงานใต้ดินที่ดำเนินการโดยเครมลินเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างรัสเซีย , ยูเครน และ เติร์กเมนิสถาน ก๊าซราคาถูกจำนวนมากจากเติร์กเมนิสถานสามารถส่งผ่านเครือข่ายท่อส่งก๊าซของรัสเซียและผสมกับก๊าซของรัสเซียแล้วส่งไปยังยูเครน

นั่นทำให้ราคาโดยรวมต่ำลง แม้ว่ารัสเซียจะขึ้นราคาแล้วก็ตามที แทนที่จะซื้อขายก๊าซโดยตรงผ่าน Gazprom ที่มีการกำหนดราคาที่โปร่งใส จะถูกขายผ่านตัวกลาง เปิดทางให้ผลกำไรหลายพันล้านดอลาร์ถูกดูดออกไป และอาจจะส่งเป็นเงินใต้โต๊ะ

Rosukrenergo เปรียบเสมือนกองทุนโคลนหรือ Kremlin Inc ที่สามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือที่มีอิทธิพลทางการเมืองเพื่อซื้อและทุจริตกับเจ้าหน้าที่ เพื่อบ่อนทำลายประชาธิปไตยในรัฐเพื่อนบ้านของรัสเซีย และเป็นศูนย์กลางของระบอบ KGB ของ Putin

เมื่อ Rybachuk เดินทางกลับไปยังเคียฟโดยคาดหวังให้ Yushchenko ปฏิเสธโครงการดังกล่าว ซึ่งสัญญาการจัดหาก๊าซธรรมชาติของยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งกำหนดราคาไว้ที่ระดับต่ำกว่า 50 ดอลลาร์ต่อพันลูกบาศก์เมตร จะมีผลบังคับใช้จนถึงเพียงแค่ปี 2009

เมื่อ Rybachuk กลับมา เขาได้ขอให้ Yushchenko ถามพันธมิตรตะวันตกของยูเครน ทั้งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และ กระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนี ว่าจะสามารถหาก๊าซทดแทนมาให้ยูเครนได้หรือไม่หากรัสเซียตัดการส่งก๊าซ

ภายในสองสัปดาห์ Rybachuk และครอบครัวของเขาเดินทางไปพักผ่อนช่วงวันหยุดปีใหม่ที่สโลวีเนีย โดยเชื่อว่า Yushchenko ไม่มีทางยอมแพ้ต่อแรงกดดันของรัสเซีย เขาคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่รัสเซียจะใช้มาตรการรุนแรงเช่น การตัดการจ่ายก๊าซ

แต่เมื่อเขาเปิดโทรทัศน์ในวันปีใหม่ พาดหัวข่าวของ CNN พบว่าวิกฤติได้เกิดขึ้นแล้ว รัสเซียปิดการจ่ายก๊าซให้ยูเครน และเนื่องจากยูเครนเป็นเส้นทางหลักที่สำคัญสำหรับก๊าซของรัสเซีย มันจะส่งผลไปทั่วยุโรปอย่างชัดเจน

ฤดูหนาวในปีนั้นหนาวผิดปรกติ และผู้นำชาวตะวันตกต่างตกตะลึง ในวันเดียวกันนั้นเอง ที่รัสเซียเข้ารับตำแหน่งประธานของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G8 ซึ่งควรจะเป็นการประกาศความก้าวหน้าครั้งใหญ่สำหรับการรวมประเทศเข้ากับเศรษฐกิจโลก

การปิดก๊าซในวันนั้นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนมาก ๆ ว่ารัสเซียทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองอย่างไร มันเป็นการบ่อนทำลายระบบโลกเพื่อให้เหมาะกับตัวเองมากกว่าที่จะปรับให้เข้ากับกฎของตะวันตก

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า การปิดการจ่ายก๊าซดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามร้ายแรงเกี่ยวกับการใช้เรื่องของพลังงานเพื่อมากดดันหวังผลทางการเมือง

Rybachuk ยังคาดหวังให้ตะวันตกมาสนับสนุน เขารู้ว่ารัสเซียไม่สามารถปิดก๊าซได้นานกว่าสามวัน ไม่เช่นนั้น เครือข่ายท่อส่งน้ำมันจะเสียหาย

เมื่อเวลา 15.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ก๊าซก็ถูกเปิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง Yushchenko ได้ตกลงกับข้อตกลงที่ Medvedev  สร้างเงื่อนไขที่น่าประหลาดใจ แทนที่จะสูญเสียส่วนแบ่งของตลาดที่มีอยู่แล้ว Rosukrenergo จะได้รับการผูกขาดแทน Gazprom ในการจัดหาก๊าซทั้งหมดไปยังยูเครนแทน

Dmitry Medvedev (ซ้าย) ซึ่งเป็นเสนาธิการของเครมลิน และเป็นประธานคณะกรรมการของ Gazprom (CR:Wikimedia)
Dmitry Medvedev (ซ้าย) ซึ่งเป็นเสนาธิการของเครมลิน และเป็นประธานคณะกรรมการของ Gazprom (CR:Wikimedia)

มันกลายเป็น Model ใหม่ที่ทางเครมลินเสนอให้กับยูเครน โดยก๊าซของรัสเซียจะถูกรวมเข้ากับก๊าซที่มาจากเอเชียกลางที่ถูกกว่า ทำให้ยูเครนจ่ายเพียงแค่ 95 ดอลลาร์ต่อพันลูกบาศก์เมตรโดยรวม

แต่สำหรับ Rybachuk มันชัดเจนว่ามันมีกลิ่นตุ ๆ ของเรื่องการทุจริตเกิดขึ้น ต้องบอกว่าแม้ยูเครนผ่านการปฏิวัติสีส้มมาแล้ว แต่ดูเหมือนหลายๆ อย่างมันจะไม่เปลี่ยนไปเลย ทั้งที่การปฏิวัติดังกล่าวต้องการทำให้ยูเครนมีความโปร่งใสมากขึ้น ใช้เศรษฐกิจแบบตะวันตก แต่สุดท้ายมันก็ซ้ำรอยเดิมจากผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น

Rybachuk กล่าวว่า เขาจะไม่มีวันลืมคำพูดที่เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเครนกล่าวกับเขาเมื่อเขากลับมาที่เคียฟ “ยินดีต้อนรับสู่สโมสรทุจริต”

ต้องบอกว่าข้อตกลงดังกล่าวทำให้รัฐบาลยูเครนอยู่ในความโกลาหล ทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นระหว่าง Yushchenko และนายกรัฐมนตรี Yulia Tymoshenko ที่มาจากคณะปฏิวัติสีส้ม ซึ่งต่อต้าน Rosukrenergo เพราะมันเป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนของ Kremlin Inc

นับตั้งแต่ช่วงเวลาของการลงนามในข้อตกลงดังกล่าว พันธมิตรที่สนับสนุนตะวันตกของยูเครนก็เริ่มแตกแยกมากขึ้นเรื่อย ๆ และประเทศก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายทางการเมือง เมื่อรัฐสภาลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลและการเลือกตั้งครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2006

Viktor Yanukovych ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่สนับสนุนรัสเซีย อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกโค่นอำนาจโดยการปฏิวัติสีส้ม กลับมาอยู่ในเส้นทางที่รุ่งเรืองอีกครั้ง

Yushchenko ถูกบ่อนทำลาย โดยข้อกล่าวหาในเรื่องข้อตกลงก๊าซกับ Rosukrenergo ที่ส่อแววว่าจะมีการทุจริตเกิดขึ้น นั่นทำให้ Yanukovych ได้กลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

ความฝันของปฏิวัติสีส้มของยูเครนในการสร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดตะวันตก ดูเหมือนจะจบลงแล้ว มันเป็นเวลาเพียงแค่หนึ่งปีหลังจากเริ่มขึ้นเท่านั้น

ต้องบอกว่าการดำเนินการต่าง ๆ ผ่าน Kremlin Inc นั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความพยายามของ Putin ในการฟื้นฟูอิทธิพลทั่วโลกของรัสเซีย

ในรัสเซียเอง การเปลี่ยนแปลงดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยกลุ่ม KGB ของ Putin ที่เข้าครอบครองพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น

เมื่อสิ้นสุดวาระที่สองของ Putin ในตำแหน่งประธานาธิบดี เศรษฐกิจของรัสเซียมีความคล้ายคลึงกับระบบศักดินามากขึ้น

การจัดการด้านกฎหมายกับ Khodorkovsky ทำให้เหล่าผู้ประกอบการที่เหลืออยู่ในยุค Yeltsin เริ่มสาบานตนเข้าสู่ระบอบการปกครองของ Putin ทีละคน ๆ

Gusinsky และ Berezovsky มหาเศรษฐีด้านสื่อที่ทำตัวออกนอกลู่นอกทางถูกเนรเทศ ทรัพย์สินของพวกเขาถูกเข้ายึดโดยรัฐ

การรวมทรัพย์สินกำลังเกิดขึ้นทั่วไปในทุก ๆ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคโลหะเชิงกลยุทธ์ และผู้นำหน้าใหม่ที่ปรากฎออกมาทั้งหมดก็น้อมรับอำนาจอยู่แทบเท้าของเครมลินแทบจะทั้งหมด

และกลายเป็น Roman Abramovich มหาเศรษฐีค้าน้ำมันที่ได้เข้ามายึดครองอาณาจักรธุรกิจของ Berezovsky เขาเป็นนายหน้าที่มีอำนาจและเป็นเจ้าของกระเป๋าเงินของตระกูล Yeltsin มาอย่างยาวนาน ผู้ซึ่งแสดงความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ และเปิดเผยมากที่สุด และตอนนี้เขากำลังจะบุกไปที่ลอนดอน หนึ่งในใจกลางของเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ของกลุ่มโลกตะวันตก เพื่อทำภารกิจบางอย่าง

-> อ่านตอนที่ 10 : Londongrad

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 8 : An Imperial Awakening

ในตอนเย็นของวันพุธที่ 23 ตุลาคม 2002 นักสู้ชาวเชเชนติดอาวุธอย่างหน้อยสี่สิบคนได้บุกเข้าไปในโรงละครดนตรี Dubrovka ในย่านชานเมืองมอสโกทางใต้ของเครมลิน โดยยิงไรเฟิลจู่โจมขึ้นไปในอากาศ ขณะที่นักเต้นแท็ปแดนซ์กำลังเดินข้ามเวทีเพื่อเปิดฉากที่สอง

ดูเหมือนจะกลายเป็นฝันร้ายที่สุดของ Putin ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี นักสู้ชาวเชชเนียที่นำโดย Movsar Barayev หลานชายของกลุ่มกบฎที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของเชชเนีย เรียกร้องให้ยุติสงครามที่กระทำโดยรัสเซีย

ข่าวปิดล้อมกระฉ่อนไปทั่วมอสโก เหล่านักการเมืองฝ่ายค้านและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงรวมตัวกันนอกโรงละครท่ามกลางความมืดและสายฝนที่หนาวเหน็บ ทุกคนต่างตกใจว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเพียงแค่สามไมล์ครึ่งจากเครมลิน มีกลุ่มกบฎจำนวนมากที่ติดอาวุธสามารถเข้าไปในโรงละครได้อย่างไร

Putin ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่ลุกลามจนควบคุมไม่ได้ ในขณะที่เขากำลังหาทางออกจากวิกฤติ เขาได้ยกเลิกการเดินทางไปเม็กซิโก ซึ่งเขาจะต้องเดินทางไปพบกับผู้นำระดับโลก รวมทั้งประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุชของสหรัฐฯ

กลุ่มกบฎได้อนุญาติให้บุคคลสำคัญบางคนเข้ามาในโรงละครเพื่อเจรจา ซึ่งรวมถึงสมาชิกรัฐสภาและนักร้องชื่อดัง Iosif Kobzon นักการเมืองฝ่ายค้านเสรีนิยม และ นักข่าว Anna Politkovskaya ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการรายงานอย่างไม่เกรงกลัวต่อสงครามในเชชเนีย

ในที่สุดหน่วยรักษาความปลอดภัยของรัสเซียก็ได้ลงมือก่อนรุ่นสางในวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ไห้กลุ่มกบฎวางระเบิด แก๊สจึงถูกปล่อยเข้าไปในโรงละครผ่านระบบระบายอากาศของอาคาร

ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ตัวประกันและนักสู้ชาวเชชเนียบางคนล้มลง แต่มันก็ทำให้ตัวประกันเสียชีวิตจำนวนมาก ผู้ที่รอดชีวิตถูกนำมาวางไว้ริมถนน อาเจียนบ้าง บางคนก็หมดสติ บางคนสำลักจากควันแก๊ส

การโจมตีโรงละคร Dubrovka ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก (CR:BBC)
การโจมตีโรงละคร Dubrovka ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก (CR:BBC)

วันถัดมา มีรายงานอย่างเป็นทางการพบว่ามีตัวประกันเสียชีวิต 115 ราย มีเพียงสองคนที่ถูกสังหารด้วยปืนจากกลุ่มกบฎ ส่วนที่เหลือล้วนเสียชีวิตจากแก๊ส

แต่ผลที่ตามมากลับกลายเป็นผลบวกสำหรับ Putin ประชาชนส่วนใหญ่ต่างโล่งใจที่รู้ว่ายอดผู้เสียชีวิตไม่ได้สูงมากนัก Putin ได้รับการยกย่องจากนานาชาติและนักการเมืองท้องถิ่นในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว

คะแนนความนิยมของเขาพุ่งขึ้นสูงสุดตั้งแต่เขาได้รับตำแหน่ง แทนที่จะเผชิญกับความสั่นคลอนที่ยอมให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายติดอาวุธเข้ามาในใจกลางกรุงมอสโก บริการด้านความมั่นคงของรัสเซียกลับได้รับเงินสนับสนุนที่เพิ่มขึ้น

และที่สำคัญการโจมตีในครั้งนี้ ทำให้คนของ Putin สามารถปฏิบัติการทางทหารในเชชเนีย ยกเลิกแผนการที่จะลดจำนวนทหาร ทำให้หลังจากนั้นชาวเชชเนียนับไม่ถ้วนเริ่มหายตัวไปจากบ้านของพวกเขาในตอนกลางคืน

Putin เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ในความฝันที่จะสร้างจักรวรรดิ์รัสเซียใหม่ เขาเริ่มที่จะเชื่อในอำนาจของเขาในฐานะซาร์องค์ใหม่ เขากล้าที่จะตัดสินใจที่เข้มงวดและมีความเผด็จการมากยิ่งขึ้น และเขาได้คนไว้ใจมาทดแทนกลุ่มคนจากตระกูล Yeltsin อย่าง Dmitry Medvedev ซึ่งได้ถูกแต่งตั้งให้เห็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเครมลินคนใหม่

การเลือกตั้งประธานาธิบดีในวาระเทอมสองของ Putin เขาสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายด้วยคะแนนเสียงมากกว่า 71% คู่แข่งอย่าง Gennady Zyuganov หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ และ Vladimir Zhirinovsky แห่งพรรคเสรีประชาธิปไตยแห่งชาติ ไม่สามารถจะต่อกรกับ Putin ได้เลยแม้แต่น้อย กลายเป็นว่า Nikolai Kharitonov ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมาเป็นอันดับสองด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 13

ต้องบอกว่ามันไม่ใช่การแข่งขันที่แท้จริง Putin ได้ควบคุมทุกอย่างไว้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทีวีของรัฐให้เวลาของคู่แข่งในการหาเสียงเท่ากับศูนย์สำหรับผู้สมัครฝ่ายค้าน

ในไม่ช้า KGB ของ Putin ก็เข้ามาควบคุมตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลที่สุดในคณะรัฐมนตรี พวกเขากำลังเริ่มดำเนินการวาระที่สองโดยแทบจะไม่มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจเหมือนในยุค Yeltsin อีกต่อไปแล้ว

กลายเป็นว่าคนเดียวที่คัดค้านการดำรงตำแหน่งในวาระที่สองของ Putin ก็คือ Lyudmilla ภรรยาของเขา เธอถูกเลี้ยงดูมาในหมู่บ้านที่ทรุดโทรมในคาลินินกราด พ่อของเธอเป็นคนขี้เมาหนักมาก และเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะปรับตัวให้เข้ากับภาระหน้าที่ใหม่ของ Putin

เป็นการยากที่ Lyudmilla จะปรับตัวให้กับ Putin ที่ทำงานอย่างหนัก ตลอดอาชีพการงานของ Putin เขาต้องออกไปทำงานเป็นเวลานานหลายชั่วโมงในทุก ๆ วัน Putin พยายามรักษาระยะห่างระหว่างเขากับภรรยา โดยพา Lyudmilla ไปออกงานอย่างเป็นทางการน้อยมาก ๆ

สำหรับอุดมการณ์ใหม่ของกลุ่ม KGB เพื่อฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของรัฐรัสเซียและสนับสนุนความสัมพันธ์ของจักรพรรดิกับอดีตสาธารณรัฐโซเวียตได้เกิดขึ้น หนึ่งในการกระทำครั้งแรกของ Putin ในฐานะประธานาธิบดี ที่สร้างความผิดหวังให้กับกลุ่ม Yeltsin คือการเรียกคืนเพลงโซเวียต ‘The Unbreakable Union of Freeborn Republics’ บทเพลงอันทรงพลัง

ซึ่งเป็นบทเพลงที่เป็นการเรียกร้องให้รื้อฟื้นอาณาจักรแห่งอดีตสหภาพโซเวียต มันได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นบทเพลงของสตาลินและความสำเร็จที่ประเทศประสบความสำเร็จในฐานะมหาอำนาจระดับโลก เช่นเดียวกับการเสียสละอันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นในระหว่างทาง

รวมถึงเรื่องของศาสนา ความร้อนแรงแบบใหม่สำหรับคริสตจักรออร์โธดอกซ์ดูเหมือนจะจับกลุ่มชนชั้นปกครอง Putin ได้เผยแพร่ความเชื่อทางศาสนาของเขาไปทั่วโลกในหนังสือสัมภาษณ์ที่ตีพิมพ์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของเขา

เขาเล่าอย่างภาคภูมิใจว่าแม่และเพื่อนบ้านในอพาร์ตเมนต์ของชุมชนเลนินกราดให้บัพติศมา (พิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน) เขาอย่างลับ ๆ โดยปกปิดไม่ให้พ่อของเขารู้ เพราะพ่อของเขาเป็นสมาชิกพรรคและไม่สามารถมีความเชื่อทางศาสนาได้

เขาเคยเล่าให้ฟังว่าในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 เมื่อเขาจะไปเยือนอิสราเอลในฐานะรองนายกเทศมนตรีเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก แม่ของเขาได้มอบไม้กางเขนบัพติศมาให้เขาเพื่อที่เขาจะได้พรที่สุสานของพระเยซู

“ผมไม่เคยถอดมันออกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา” เขากล่าว

มันดูเหมือนเป็นเรื่องแปลกสำหรับเจ้าหน้าที่ KGB ที่ใช้ชีวิตในอาชีพการงานของรัฐที่สั่งห้ามคริสตจักรออร์โธดอกซ์ให้ยอมรับความเชื่อทางศาสนา แต่ KGB ที่รายล้อมรอบตัว Putin กำลังค้นหาเอกลักษณ์ประจำชาติใหม่

หลังคำสอนของนิกายออร์โธดอกซ์ได้ก่อให้เกิดลัทธิการรวมพลังอันทรงพลังซึ่งย้อนไปไกลกว่ายุคโซเวียตจนถึงสมัยของอดีตจักรพรรดินิยมของรัสเซีย ที่กล่าวถึงความเสียสละ ความทุกข์ทรมาน และความอดทนอันยิ่งใหญ่ของชาวรัสเซีย

รวมถึงความเชื่อลึกลับว่ารัสเซียจะเป็นอาณาจักรที่สาม ต่อจาก โรม ที่จะปกครองโลกในยุคถัดไป มันเป็นอุดมคติที่จะสร้างชาติขึ้นมาใหม่จากความยากลำบากและความสูญเสีย ซึ่งมันกำลังได้รับการออกแบบเพื่อรัสเซียอีกครั้ง เพื่อให้ Putin สามารถปกครองด้วยอำนาจแบบเด็ดขาด

ในการค้นหาแนวคิดใหม่ในการสร้างประเทศหลังการล่มสลายเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ Putin และผู้สนับสนุนของเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

“คอมมิวนิสต์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีความสามารถในการพัฒนาตนเองที่ดีพอ ทำให้ประเทศของเราล้าหลังประเทศที่ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง มันเป็นถนนสู่ตรอกคนตาบอด ซึ่งห่างไกลจากกระแสหลักของอารยธรรมโลก” Putin กล่าวก่อนขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี

ดังนั้นในช่วงปีแรก ๆ ของการขึ้นสู่อำนาจของเขา เหล่าคณาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ถูกนำเข้ามาเพื่อปลูกฝังให้ประธานาธิบดีคนใหม่อยู่ในประวัติศาสตร์ของรัฐรัสเซียใหม่ของเขา

พวกเขาได้ดึงเอาเรื่องราวของอดีตจักรวรรดิ์ออร์โธดอกซ์ของรัสเซีย Putin ได้รับการสอนเกี่ยวกับผู้อพยพผิวขาวที่หนีออกจากรัสเซียช่วงการปฏิวัติบอลเชวิค และได้ใช้ช่วงเวลาที่พลัดถิ่นพยายามสร้างอุดมการณ์ใหม่สำหรับการฟื้นฟูประเทศเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย

จุดมุ่งหมายคือการสร้างเอกลักษณ์สำหรับระบอบการปกครองของ Putin ที่จะเสริมความแข็งแกร่งไม่ให้ล่มสลายจากภายในและถูกการโจมตีจากภายนอก ทายาทสายตรงของผู้อพยพชาวรัสเซียผิวขาว ซึ่งหลายคนมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับ KGB ถูกนำเข้าสู่กลุ่มคนวงในของ Putin เพื่อเป็นผู้นำในการเชื่อมต่อกับอดีตจักรพรรดิรัสเซีย

หนึ่งในกลุ่มคนดังกล่าวอธิบายปรัชญาของการปกครองของ Putin ว่า “เป็นระบอบที่มีสามองค์ประกอบ อย่างแรกคือเผด็จการ – รัฐบาลที่เข้มแข็ง , ผู้ชายที่เข้มแข็ง องค์ประกอบที่สองคืออาณาเขต ความรักชาติ และอื่น ๆ องค์ประกอบที่สามคือคริสตจักร เป็นองค์ประกอบในการรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน”

Putin ระมัดระวังเป็นอย่างมากในการนำองค์ประกอบทั้งสามมารวมกัน มันเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาประเทศได้ หากมีใครนำองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งออกไป ระบอบดังกล่าวจะพังทลายลงทันที

ดูเหมือนว่าภัยคุกคามที่เพิ่มสูงขึ้นต่ออิทธิพลของรัสเซียที่มีต่อเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงที่สุดในยูเครน ซึ่งในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น การเลือกตั้งประธานาธิบดีของยูเครนกำลังใกล้เข้ามา

วาระตามรัฐธรรมนูญของ Leonid Kuchma อดีตหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ที่สร้างสมดุลระหว่างตะวันออกและตะวันตกตั้งแต่ปี 1994 กำลังจะสิ้นสุดลง

Viktor Yanukovych ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่สนับสนุนเครมลิน ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้รับการยกย่องจากที่มั่นของโดเนตสค์โปรรัสเซียในยูเครนตะวันออก กำลังเผชิญความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจาก Viktor Yushchenko ผู้สมัครที่ชื่นชอบการบูรณาการที่ใกล้ชิดกับตะวันตก และสาปแช่งแผนการของ Putin สำหรับยูเครน

Viktor Yanukovych (ซ้าย) ฝ่ายโปรรัสเซีย vs Viktor Yushchenko (ขวา) ฝ่ายโปรตะวันตก (CR:Spiegel)
Viktor Yanukovych (ซ้าย) ฝ่ายโปรรัสเซีย vs Viktor Yushchenko (ขวา) ฝ่ายโปรตะวันตก (CR:Spiegel)

ในบรรดาอดีตสาธารณรัฐโซเวียตทั้งหมด มอสโกมักจะรู้สึกถึงการสูญเสียยูเครนหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตอย่างดีที่สุด ราวกับว่ามันเป็นแขนขาของจักรวรรดิที่รัสเซียยังคงเชื่อว่าติดอยู่กับพวกเขา

ยูเครนเคยเป็นสาธารณรัฐโซเวียตที่ใหญ่เป็นอันดับสามรองจากรัสเซียและคาซัคสถาน ประชากรเกือบ 30% พูดภาษารัสเซียเป็นภาษาหลัก และเศรษฐกิจของประเทศนั้นมีความเชื่อมโยมอย่างใกล้ชิดกับรัสเซียตั้งแต่สมัยโซเวียต

ในขณะที่ Putin พยายามยืนยันการคืนชีพของจักรวรรดิ์รัสเซีย สิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการคือให้ยูเครนหันไปทางตะวันตก แต่ประเทศถูกแบ่งแยกมานานแล้ว ซึ่งเป็นทางแยกระหว่างตะวันออกกับตะวันตกตั้งแต่สมัยก่อนการปฏิวัติ

โปแลนด์และลิทัวเนียได้ควบคุมพื้นที่กว้างใหญ่ของยูเครนตะวันตกมาตั้งแต่ปี 1686 เมื่อรัสเซียและโปแลนด์แบ่งประเทศระหว่างสองประเทศหลังสงครามสามสิบปี แม้ว่าการปกครองของสหภาพโซเวียตในภายหลังจะยุติเศษเสี้ยวของสิ่งนั้น

อิทธิพลของตะวันตกยังคงตราตรึงอย่างไม่อาจลบเลือนทางตะวันตกของยูเครน และขบวนการเรียกร้องอิสระภาพที่สนับสนุนยุโรปก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในระหว่างการปกครองของ Kuchma ได้ดำเนินการสร้างสมดุลระหว่างกองกำลังฝ่ายตะวันตกและฝ่ายสนับสนุนรัสเซียของประเทศอย่างราบรื่น

แต่ตอนนี้ Yushchenko ได้ออกมาท้าทายแผนการของ Putin ในการกระชับสหภาพแรงงานผ่านการสร้างเขตเศรษฐกิจร่วมยูเรเซียน ซึ่งรัฐสภาของทั้งสองประเทศได้ให้สัตยาบันการสร้างเขตเศรษฐกิจร่วมกันในเดือนเมษายน

ในใจของ Putin มองว่า Yushchenko ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลตะวันตกซึ่งมุ่งมั่นที่จะขัดขวางการฟื้นคืนชีพของรัสเซีย

Yushchenko สนับสนุนการรวมยูเครนเข้ากับสหภาพยุโรปและ NATO อย่างแข็งขัน แต่ทาง Kuchma ไล่เขาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเรื่องที่ Westerninising ภรรยาชาวยูเครน-อเมริกันของเขาได้รับการเลี้ยงดูในชิคาโก และไปรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่ง Putin มองว่า Yushchenko ได้รับการคัดเลือกจาก CIA

Putin ได้ประกาศคำเตือนครั้งแรกของเขาเกี่ยวกับยูเครนทางตะวันตกในฤดูร้อนนั้นแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคำเตือนของเขาจะไม่เป็นผล ความนิมยมของ Yushchenko ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวัน แม้ว่า Putin จะมีการส่งทีมงานไปยังเคียฟเพื่อระดมคะแนนเสียงของ Yanukovych

ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานฝ่ายตรงข้ามของ Yushchenko ก็เริ่มบุกโจมตี เมื่อ Yushchenko ไปทานอาหารเย็นที่กระท่อมของนายพล Ihor Smeshko หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของยูเครน

วันรุ่งขึ้นเขารู้สึกไม่สบายและซีสต์ที่น่ากลัวก็ขึ้นเต็มบนใบหน้าของเขาในวันต่อมา แพทย์ในออสเตรียซึ่งเขาบินไปรับรักษา สรุปว่าเขาได้รับพิษจากไดออกซินที่เป็นพิษสูง

และเมื่อถึงการเลือกตั้งจริง ๆ ในปลายเดือนพฤศจิกายน การแทรกแซงของ Putin ดูเหมือนจะได้ผลอีกครั้ง เมื่อ Yanukovych ได้รับชัยชนะอย่างน่าอัศจรรย์ แม้ว่าผลสำรวจความนิยมจะชี้ชัดไปที่ Yushchenko ก็ตาม

นั่นทำให้ผู้สนับสนุน Yushchenko หลายหมื่นคนพากันออกไปตามถนน รวมถึงกลุ่มคนหนุ่มสาวจำนวนมาก หลายคนรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นที่นำโดยกลุ่มเยาวชน Pora! ที่ Maidan จัตุรัสกลางเมืองเคียฟ

แม้อากาศจะหนาวเย็นยะเยือก การประท้วงก็เพิ่มขึ้น โดยมีผู้คนนับล้านมารวมตัวกันที่จัตุรัส Maidan และในท้ายที่สุด Kuchma ถูกบังคับให้มีการลงคะแนนใหม่ ภายใต้ผู้สังเกตการณ์ของทั้งในและต่างประเทศ และจบลงด้วยชัยชนะของ Yushchenko ผู้สมัครที่เกลียด Putin เข้าเส้นเลือด

สำหรับ Putin และผู้สนับสนุนของเขา มันเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่มาก ๆ ผลพวงจากเรื่องดังกล่าวที่เรียกกันว่า “การปฏิวัติสีส้ม” นั้นยิ่งใหญ่มาก

สำหรับ Putin และพันธมิตร กองกำลังของตะวันตกดูเหมือนจะเข้ามาย่างกรายใกล้ตัวเขามากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ มันเป็นฝันร้ายที่สุดของ Putin

มันเป็นการทำให้ประเทศรัสเซียอยู่ในการปิดล้อม สิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครนและจอร์เจียจะมีอิทธิพลต่อการกระทำของเครมลินของ Putin ในอีกหลายปีต่อมา

Putin มองว่าพวกเขาต้องต่อสู้เพื่ออาณาจักรและต่อสู้เพื่อตัวเอง จึงไม่สามารถปล่อยให้อิทธิพลภายนอกเกิดขึ้นได้

ในเดือนธันวาคม ไม่กี่วันก่อนการลงคะแนนเสียงครั้งที่สองในยูเครน Putin ใช้การแถลงข่าวประจำปีของเขาเพื่อต่อต้านตะวันตก ซึ่งเขาอ้างว่ากำลังพยายามแยกรัสเซียออกจากกันโดยปลุกปั่นให้เกิดการปฏิวัติในต่างประเทศที่อยู่ใกล้ ๆ กับรัสเซีย

เมื่อถึงเวลาที่ Putin กล่าวสุนทรพจน์ประจำปีเกี่ยวกับชาติในเดือนเมษายนถัดมา ประเด็นสำคัญที่เขาได้เรียนรู้จากผู้อพยพชาวรัสเซียผิวขาวในอดีตของจักรวรรดิก็ปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจน

Putin ได้กล่าวว่า รัสเซียกำลังเดินตามเส้นทางที่ไม่เหมือนใคร รูปแบบของประชาธิปไตยจะไม่เป็นไปตามแบบอย่างของตะวันตก การล่มสลายของสหภาพโซเวียต เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ยี่สิบ

ก่อนหน้านั้นหนึ่งปี คำปราศรัยของ Putin ได้เน้นเกือบทั้งหมดในด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเพิ่ม GDP เป็นสองเท่า เพื่อสร้างชีวิตที่สุขสบายสำหรับพลเมืองชาวรัสเซีย และบูรณาการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เข้ากับเศรษฐกิจโลกและยุโรป

“การขยายตัวของสหภาพยุโรปไม่ควรเพียงแค่ทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์ แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจและจิตวิญญาณด้วย” เขากล่าวในการปราศรัยของเขาเมื่อหนึ่งปีก่อน

แต่สุนทรพจน์ในปีนี้กลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

“รัสเซียควรดำเนินภารกิจด้านอารยธรรมต่อไปในทวีปยูเรเซียน เราถือว่าการสนับสนุนระหว่างประเทศในการเคารพสิทธิของรัสเซียในต่างประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งไม่สามารถเป็นเรื่องของการเจรจาทางการเมืองและการทูตได้”

มาถึงจุดนี้ต้องบอกว่า รัสเซียกำลังประกาศให้โลกรู้ถึงขอบเขตอิทธิพลของตนใหม่ แม้จะล่าช้า แต่ตอนนี้มันกำลังอยู่บนวิถีใหม่ เพื่อเป็นการสร้างสะพานไปสู่อดีตของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ของรัสเซียอีกครั้งแล้วนั่นเองครับผม

–> อ่านตอนที่ 9 : Kremlin Inc

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 7 : Operation Energy

ทางตะวันออกของมอสโก เหนือเทือกเขาอูราล เป็นที่ตั้งบนที่ราบกว้างใหญ่ของแอ่งน้ำมันไซบีเรียตะวันตก นับตั้งแต่นักธรณีวิทยาของสหภาพโซเวียตค้นพบแหล่งน้ำมันและก๊าซขนาดใหญ่ที่นั่น ภูมิภาคนี้จึงกลายเป็นพลังงานเบื้องหลังความทะเยอทะยานระดับโลกของจักรวรรดิโซเวียต

เหล่าวิศวกร นักขุดเจาะ และนักธรณีวิทยาที่พัฒนาพื้นที่รกร้างว่างเปล่าเหล่านี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษของสหภาพโซเวียต พวกเขาต่อสู้กับน้ำแข็งและอุณหภูมิที่ลดลงของฤดูหนาวเพื่อสร้างแท่นขุดเจาะและท่อส่งน้ำมันข้ามภูมิประเทศที่กลายเป็นทะเลสาบที่ผ่านไม่ได้และแอ่งน้ำที่มียุงระบาดในฤดูร้อน

แรงงานและหยาดเหงื่อแรงกายของพวกเขาช่วยเปลี่ยนสหภาพโซเวียตให้กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเมื่อปลายทศวรรษที่ 80 กลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ที่สุดของโลก

นั่นทำให้น้ำมันและก๊าซที่สกัดได้ส่วนใหญ่จำหน่ายในประเทศในราคาที่คงที่ โดยให้เงินอุดหนุนการผลิตรถถังและอาวุธอื่น ๆ จำนวนมากเพื่อเป็นอาวุธแก่จักรวรรดิโซเวียตในการต่อต้านตะวันตก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกน้้ำมันที่ถูกจับตามองโดย KGB ผลกำไรที่ Soyuzneftexport ผู้ส่งออกน้ำมันผูกขาดของสหภาพโซเวียตสร้างขึ้นมาจากความแตกต่างระหว่างราคาน้ำมันในโซเวียตกับราคาโลก ซึ่งต่างกันถึงหกเท่า

มันเป็นเงินทุนที่สำคัญมาก ๆ ของจักรวรรดิโซเวียต ที่ใช้เป็นทุนในการโจมตีตะวันออกกลางและแอฟริกา รวมถึงมาตรการเชิงรุกเพื่อขัดขวางตะวันตก

เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายและสายการบังคับบัญชาของกระทรวงน้ำมันพังทลาย อุตสาหกรรมน้ำมันได้แตกออกเป็นสี่บริษัทที่แยกจากกัน Lukoil , Yukos , Surgutneftegaz และ Rosneft

แม้ว่าบริษัทเหล่านี้จะยังถูกควบคุมโดยรัฐในนาม แต่ส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยกรรมการ เหล่านายพลที่เคยบริหารสมัยโซเวียต ขณะที่กลุ่มอาชญากรที่อาละวาดในเมืองภูมิภาคของรัสเซีย พยายามลุกล้ำเข้ามา

เมื่อภาคส่วนที่มีกำไรมากที่สุดของอุตสาหกรรมดังกล่าวถูกขายออกไปในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 ภายใต้การประมูลเงินกู้เพื่อหุ้น ขุมทรัพย์ทองคำจำนวนมากสำหรับเครือข่าย KGB เหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของเอกชน

Yukos และ Sibneft ผู้ผลิตน้ำมันไซบีเรียตะวันตกที่อยู่ใกล้เคียงถูกขายไปอยู่ในมือของนายธนาคารรุ่นเยาว์ที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาล Yeltsin นั่นก็คือ Khodorkovsky และหุ้นส่วนของ Berezovsky รวมถึง Roman Abramovich ด้วยราคาเพียง 300 ล้านดอลลาร์และ 100 ล้านดอลลาร์เพียงเท่านั้น

Khodorkovsky และ Abramovich เศรษฐีน้ำมันรุ่นใหม่ของรัสเซียในยุคนั้น (CR:GettyImage)
Khodorkovsky และ Abramovich เศรษฐีน้ำมันรุ่นใหม่ของรัสเซียในยุคนั้น (CR:GettyImage)

สำหรับ Putin และพรรคพวก KGB ของเขา แน่นอนว่าบริษัทน้ำมันเหล่านี้เป็นสิ่งเย้ายวนใจพวกเขาทันทีหลังขึ้นสู่อำนาจ ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้นเกือบจะทันทีที่ Putin ได้รับการสืบทอดตำแหน่งของ Yeltsin ในฤดูร้อน 1999

Mikhail Khodorkovsky ซึ่งเริ่มต้นจากการเป็นนักศึกษาวิชาเคมีที่พูดน้อย กลายเป็นมหาเศรษฐีทีมีทรัพย์สิน 7 พันล้านดอลลาร์ การเปิดเผยอย่างเป็นทางการทำให้ Khodorkovsky กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในรัสเซีย

ในขณะที่งบประมาณของรัฐรัสเซียทั้งหมดอยู่ที่ 67 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าตลาดของบริษัท Gazprom รัฐวิสาหกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของรัสเซียอยู่ที่ 25 พันล้านดอลลาร์

กลุ่ม KGB มักมองว่าอุตสาหกรรมน้ำมันของประเทศเป็นหนึ่งในเกมอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ และในมุมมองของพวกเขา การควบคุมทรัพยากรน้ำมันของรัสเซียจะมีความสำคัญทั้งในการรักษาตำแหน่งของตนเองในอำนาจและในการฟื้นฟูจุดยืนของรัสเซียต่อตะวันตก 

แต่คำถามก็คือพวกเขาจะไปจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะตอนนี้มันไม่ใช่รัฐคอมมิวนิสต์เหมือนในอดีตที่จะยึดอะไรมาเป็นของรัฐได้ง่าย ๆ เหมือนเดิม

Putin เริ่มกระชับอำนาจด้วย Gazprom ที่เป็นของรัฐก่อน เขานำทีมงานจากเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กเข้ามายึดครอง Gazprom นำโดยกลุ่ม Siloviki (กลุ่มคนวงในของ Putin) รวมถึงกลุ่มอาชญากร Tambov มันเป็นสัญญาณครั้งแรกที่ว่ากลุ่มพันธมิตรของ Putin กำลังจะเข้ามายึดครองทรัพย์สินในระดับรัฐบาลกลาง

หัวหน้าผู้บริหารคนใหม่ของ Gazprom คือ Alexi Miller อายุ 39 ปี ชายร่างเตี้ยที่มีหนวดเครา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศของสำนักงานนายกเทศมนตรีเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กของ Putin

กลุ่ม Siloviki เริ่มต้นสิ่งที่เรียกว่า ‘Operation Energy’ อย่างเงียบ ๆ ครอบครัว Yeltsin ยังคงรู้สึกปลอดภัยในความเชื่อที่ว่า Putin คงไม่ได้มีควาทะเยอทะยานเกินกว่าจะเป็นประธานาธิบดีมากกว่า 1 สมัย และยังคงเชื่อมั่นในความจงรักภักดีของ Putin ที่คิดว่าเชื่อฟังพวกเขาอยู่

แต่พวกเขาไม่รู้ถึงความทะเยอทะยานของ Putin ในอุตสาหกรรมน้ำมัน ที่พวกเขาเริ่มเตรียมแผนการที่จะแปรรูป Rosneft ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่แห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่

Roman Abramovich จับตาดูบริษัทนี้มานานแล้ว เขาและ Berezovsky หวังจะควบรวบกิจการเข้ากับ Sibneft เมื่อมันถูกกำหนดให้มีการแปรรูปในปี 1997

Abramovich วิ่งเต้นอย่างเงียบ ๆ เพื่อให้เส้นทางในการเข้าซื้อกิจการราบรื่น ทันใดนั้น ชุดสูทและรองเท้าอิตาลีชั้นดีก็ปรากฎขึ้นแขวนอยู่ที่โถงทางเดินของบ้านพักโนโว-โอกาเรโวของ Putin ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จาก Abramovich

ในบรรดาผู้มีอำนาจในมอสโก Khodorkovsky เป็นคนที่พยายามรวมบริษัทน้ำมันของเขาเข้ากับตะวันตกอย่างแข็งขันที่สุด ซึ่งมันได้ดึงดูดนักลงทุนและกลุ่มผู้นำชาวตะวันตกอย่างเปิดเผย

นั่นทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นกับกลุ่ม Siloviki ของ Putin เพื่อแย่งชิง Khodorkovsky ในการควบคุมบ่อน้ำไซบีเรียตะวันตกของ Yukos เป็นการประทะกันของวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตรัสเซียและการต่อสู้เพื่อจักรวรรดิ มันคือการกำหนดการฟื้นคืนชีพของจักรพรรดิรัสเซียและความพยายามของ Putin ในการฟื้นฟูประเทศของเขาในฐานะกองกำลังอิสระต่อตะวันตก

การเข้าซื้อกิจการ VNK หรือ Eastern Oil Company ของ Khodorkovsky เป็นหนึ่งในการแปรรูปอุตสาหกรรมน้ำมันขนาดใหญ่ครั้งสุดท้ายในยุค 90 และมันก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับผู้ชายที่ชื่อ Vladimir Putin เช่นเดียวกัน

นั่นทำให้ Khodorkovsky เริ่มเดิมพันทั้งหมด เขาได้เร่งขยายอาณาจักรของเขา โดยขับเคลื่อนผ่านข้อตกลงมูลค่า 36 พันล้านดอลลาร์ที่จะรวม Yukos เข้ากับ Sibneft ของ Abramovich ทำให้เกิดผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก และใหญ่เป็นอันสองในแง่ของเงินสำรอง

Khodorkovsky เชื่อว่าการควบรวมกิจการจะช่วยให้เขาได้รับความคุ้มครองอีกชั้นหนึ่ง เขาเพิ่มแรงผลักดันในการบูรณาการกับชาติตะวันตก โดยเปิดการเจรจาเบื้องหลังประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการขายหุ้นใน YukosSibneft ที่ควบรวมกิจการให้กับบริษัทน้ำมันของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น ExxonMobil หรือ Chevron ซึ่งจะเป็นเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่งสำหรับ Yukos เพราะทำให้มันอยู่ไกลเกินเอื้อมจากเงื้อมมือของ Putin ที่รัสเซีย

ไม่นานก่อนที่จะมีการประกาศควบรวมกิจการระหว่าง Yukos และ Sibneft เขาได้ทำให้ความทะเยอทะยานทางการเมืองของเขาชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยบอกกับโลกว่าเขาต้องการลงจากตำแหน่งผู้นำของ Yukos เมื่ออายุครบสี่สิบห้าปี นั่นคือในปี 2007 ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำหนดไว้ในปี 2008 ดูเหมือนว่าเขาจะส่งสัญญาณถึงความตั้งใจที่จะลงสมัครและขึ้นมาท้าทาย Putin อย่างชัดเจน

อำนาจของ Khodorkovsky ที่มีอิทธิพลในรัฐสภาเริ่มที่จะท้าทายอำนาจของเครมลิน สถานการณ์ทั้งหมดเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในเดือนพฤษภาคม 2003 เมื่อ Khodorkovsky พยายามหาเสียงของรัฐสภาให้มากพอที่จะสกัดกั้นความพยายามของเครมลินในการปฏิรูปภาษีภาคน้ำมันซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีเป้าหมายในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจรัสเซียให้พ้นจากการพึ่งพาน้ำมันมากเกินไป

ในไม่ช้า Putin ก็เริ่มแสดงความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจน เขาได้เรียก Khodorkovsky, Abramovich และร้อยโทคนสำคัญของพวกเขามารับประทานอาหารค่ำแบบส่วนตัวในห้องรับแขกที่ปูด้วยไม้โอ๊คของบ้านพักโนโว-โอกาเรโว ของเขา

ระหว่างมื้ออาหาร พวกเขาจะหารือเกี่ยวกับข้อตกลงของ Exxon/Chevron แต่เมื่อพวกเขาเริ่มดื่มคอนยัคชั้นดี Putin สั่งให้ Khodorkovsky หยุดให้ทุนสนับสนุนคอมมิวนิสต์ เขาค้านโดยบอกว่าเขาตกลงที่จะให้เงินทุนกับ Voloshin และ Surkov หัวหน้าและรองเสนาธิการ แต่ Putin บอกเขาว่า ‘ปล่อยให้มันเป็นไป คุณมีบริษัทใหญ่ คุณมีธุรกิจมากมายที่ต้องทำ คุณไม่มีเวลาสำหรับสิ่งนี้’ 

และฟางเส้นสุดท้ายจริง ๆ ของ Putin ก็มาถึง ระหว่างการเยือนอเมริกา เขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมที่ตลาดหลักทัพย์ของนิวยอร์ก ซึ่งเขาได้พูดคุยกับผู้บริหารระดับสูงของสหรัฐฯ หลายสิบคน และยืนยันกับพวกเขาถึงความมุ่งมั่นของรัสเซียที่มีต่อเศรษฐกิจแบบตลาด

Putin ได้พบปะเป็นการส่วนตัวกับผู้บริหารระดับสูงของ ExxonMobil อย่าง Lee Raymond ซึ่งเป็นผู้นำ Exxon ผ่านการควบรวมกิจการกับ Mobil เพื่อเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีมูลค่ากว่า 375 พันล้านดอลลาร์

Raymond เป็นที่รู้จักจากสไตล์ที่ดุดันและไม่เคยมีการประนีประนอม คำพูดของเขากับ Putin เป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า เขาต้องการซื้อกิจการ YukosSibneft ในท้ายที่สุด แม้ตอนแรกจะเข้ามาถือหุ้นแค่ส่วนน้อยก็ตาม

 Lee Raymond ผู้นำของ ExxonMobil หวังจะฮุบกิจการของ YukosSibneft (CR:Financial Times)
Lee Raymond ผู้นำของ ExxonMobil หวังจะฮุบกิจการของ YukosSibneft (CR:Financial Times)

Putin ตกตะลึงอย่างชัดเจน เขาไม่เคยคิดถึงเหตุการณ์นี้ ที่ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของสหรัฐฯ สามารถที่จะควบคุมทุนสำรองของรัสเซีย ผ่าน Khodorkovsky หรือกับ Abramovich เขาคิดว่า Exxon หรือ Chevron จะถือหุ้นในส่วนน้อยเพียงเท่านั้น

สำหรับ Putin การขายหุ้นที่มีอำนาจควบคุมใน YukosSibneft ให้กับ ExxonMobile นั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เขาไม่อาจอนุมัติการขายการควบคุมทุนสำรองทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียให้กับสหรัฐฯ อย่างเด็ดขาด มันขัดกับทุกสิ่งที่ Putin สายเลือด KGB ต้องยืนหยัดเพื่อพยายามฟื้นฟูอำนาจของจักรวรรดิรัสเซีย

Ree Raymond เดินทางมาถึงมอสโกในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เห็นได้ชัดว่าหวังจะทำข้อตกลงให้เสร็จสิ้น มีรายงานข่าวจาก Financial Times ว่า Exxon กำลังเจรจาเพื่อซื้อหุ้น 40% ใน YukosSibneft เป็นเงิน 25 พันล้านดอลลาร์

แต่แทนที่จะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากฝั่ง YukosSibneft Raymond กลับได้รับการต้อนรับจากหน่วยตำรวจลับมากกว่า 50 คนถือปืนกลและเสื้อเกราะกันกระสุนที่กำลังบุกเข้าไปในถานที่ที่เกี่ยวข้องกับ Yukos ทั่วมอสโก รวมถึงบ้านของหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดของ Khodorkovsky ด้วย

เมื่อ Khodorkovsky ได้รับโทรศัพท์จากภรรยาของเขาว่าตำรวจกำลังจับกลุ่มอยู่นอกประตูรั้วบ้าน เขารีบส่งสัญญาณให้ Raymond เดินทางกลับไปก่อน

อย่างไรก็ตาม Khodorkovsky ปฏิเสธที่จะยอมจำนน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าเขาพร้อมที่จะเข้าคุก หากนั่นคือสิ่งที่ต้องใช้เพื่อปกป้องบริษัทของเขา เขาจะไม่ออกจากประเทศและไม่มีทางยอมแพ้อย่างเด็ดขาด

ไม่นานก่อนรุ่งสางในเช้าวันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม 2003 เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของ Khodorkovsky ลงจอดที่สนามบินในโนโวซีบีสค์เพื่อเติมเชื้อเพลิง ได้มีหน่วยคอมมานโดติดอาวุธของ FSB บุกเข้าไปที่เครื่องบินและตะโกนว่า ‘FSB! วางอาวุธลงบนพื้น! อย่าขยับ ไม่งั้นเราจะยิง!”

Khodorkovsky ถูกจับด้วยข้อหาฉ้อโกงและการหลีกเลี่ยงภาษี และในตอนเย็นเขาอยู่ในคุก Matrosskaya Tishina ที่โด่งดังของมอสโก แทบจะทันที

การจับกุม Khodorkovsky ทำให้ชุมชนธุรกิจทั้งหมดต่างตกตะลึง เขาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศ เป็นผู้สนับสนุนตลาดเสรีที่โดดเด่นที่สุด ชายที่ถูกเล่นงานจากการทำข้อตกลงแห่งศตวรรษ การขายบริษัทของเขาในราคา 25,000 ล้านดอลลาร์ เพียงเจ็ดปีหลังจากได้มาในราคาเพียงแค่ 300 ล้านดอลลาร์

แน่นอนว่า Putin ไม่มีทางถอยหลังอีกแล้ว แม้ว่าเขาจะปฏิเสธอย่างต่อเนื่องว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับกุม Khodorkovsky การจับกุม Khodorkovsky แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจหลักการพื้นฐานของกฎของ Putin ซึ่งต่อมาผู้มีอำนาจคนอื่น ๆ ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด

“เมื่อคุณซื้อบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ในรัสเซียด้วยเงิน 150 ล้านดอลลาร์จากเงินฝากของกระทรวงการคลัง คุณต้องเล่นตามกฎของรัสเซีย” Dmitry Gololobov ทนายความคนหนึ่งซึ่งเคยทำงานกับ Khodorkovsky กล่าว

“คุณไม่สามารถพูดได้ว่าคุณเป็นเจ้าของที่ถูกต้องตามกฎหมาย การแปรรูปไม่ได้สร้างทรัพย์สินที่ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้มีอำนาจคนอื่นเข้าใจเรื่องนี้ดี ไม่มีใครอ้างว่าเขาเป็นเจ้าของธุรกิจจริง ๆ”

วิธีคิดนี้เรียกได้ว่าขัดกับทุกสิ่งที่ Putin เคยประกาศไว้เมื่อเขาลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดี มันเป็นการหลอกลวงที่มีรากฐานมาจากความเชื่อของ KGB ที่พวกเขาใช้นักธุรกิจเป็นเครื่องมือเมื่อรัสเซียเปลี่ยนไปใช้ระบบแบบตลาดเสรี ทุกสิ่งทุกอย่างที่มหาเศรษฐีใหม่เหล่านี้ได้รับนั้นถือว่าเป็นหนี้พวกเขา

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Khodorkovsky คือการแก้แค้นให้กับยุคอดีต เมื่อ KGB พ่ายแพ้ในการช่วงชิงทรัพยากรของประเทศจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งใหญ่ พวกเขาถูกผลักไสจากมหาเศรษฐีที่เอนเอียงไปทางตะวันตก

“สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Putin ในตอนนี้คือการที่ KGB ถูกปรับปรุงโฉมใหม่” อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองทหารระดับสูงคนหนึ่งกล่าว

‘KGB สร้างคณาธิปไตย และจากนั้นพวกเขาก็ต้องรับใช้มัน ตอนนี้พวกเขากำลังแก้แค้น”

ดังนั้นหลังจากการจับกุม Khodorkovsky มหาเศรษฐีที่เหลือของประเทศต่างจับตามองด้วยความสยดสยอง ในขณะที่อัยการเข้ายึดหุ้นมูลค่า 15 พันล้านดอลลาร์ของ Khodorkovsky ใน YukosSibneft

ในวันจันทร์หลังจากการจับกุม Putin ได้ตอบโต้อย่างรุนแรงและชัดเจนต่อการเรียกร้องของผู้มีอำนาจเพื่อความชัดเจน

“จะไม่มีการประชุมหรือเจรจาเกี่ยวกับกิจกรรมของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ตราบใดที่หน่วยงานเหล่านี้อยู่ภายใต้กฎหมายของรัสเซีย ทุกคนควรเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงว่าใครจะรวยหรือจน ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน”

มันได้ก้าวสู่ยุคใหม่ของ Putin อย่างชัดเจนแล้ว Putin ได้ละทิ้งความลังเลใจในช่วงสองปีแรกของการเป็นประธานาธิบดี ต้องบอกว่าสถานการณ์มาถึงตอนนี้ Putin พร้อมที่จะท้าทายทุกอำนาจรวมถึงทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์ของประเทศ เพื่อต่อสู้กับตะวันตก มันได้เดินทางมาถึงวันที่รัสเซียจะจะไม่มีวันเดินย้อนกลับไปจุดที่ตกต่ำเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว

–> อ่านตอนที่ 8 : An Imperial Awakening

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 6 : The Inner Circle

มันคือวันที่ 7 พฤษภาคม 2000 อดีตเจ้าหน้าที่ KGB ซึ่งเมื่อแปดเดือนก่อนเป็นเพียงข้าราชการที่แทบจะไม่มีใครรู้จักคนหนึ่งกำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซีย ทองคำที่หยดลงมาจากผนังและโคมระย้าเป็นเครื่องยืนยันถึงแผนการของ KGB ในการฟื้นคืนชีพของจักรพรรดิ์รัสเซียได้สำเร็จอีกครั้ง

ประวัติศาสตร์ของอาณาจักรรัสเซีย ไม่เคยมีความสง่างามเช่นนี้มาก่อนในการสถาปนาเครมลิน เพราะส่วนใหญ่แล้วในอดีตที่ผ่านมาการเปลี่ยนผ่านผู้นำแต่ละครั้งเต็มไปด้วยการนองเลือด

ในแถวหน้าของบรรดาผู้ที่ปรบมือให้ Vladimir Putin ประธานาธิบดีคนใหม่ในวันนั้นคือเจ้าหน้าที่ของตระกูล Yeltsin ที่ช่วยให้เขาได้ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด

คนแรกในหมู่พวกเขาคือ Alexander Voloshin อดีตนักเศรษฐศาสตร์ที่เคยดำรงตำแหน่งเสนาธิการของ Yeltsin ถัดจากเขาคือ Mikhail Kasyanov ที่ไต่ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในยุคของ Yeltsin

สิ่งที่ Putin เคยรับปากไว้กับตระกูล Yeltsin สิ่งแรกที่เขาทำในฐานะประธานาธิบดีคือการแต่งตั้ง Kasyanov เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาได้เรียก Voloshin กลับมาเป็นเสนาธิการเครมลิน

ในหมู่พวกเขามีนักธุรกิจที่เชื่อมโยงกับ KGB เช่น Yury Kovalchuk อดีตนักฟิสิกส์ที่กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Bank Rossiya ซึ่งเป็นธนาคารในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กที่สร้างขึ้นโดยพรรคคอมมิวนิสต์ในยุครุ่งเรืองของสหภาพโซเวียต

นอกจากนี้ยังมี Gennady Timchenko ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ KGB ที่เคยทำงานใกล้ชิดกับ Putin เพื่อควบคุมการส่งออกน้ำมันของเมือง คนเหล่านี้ต่อสู้เพื่อเงินและสูบเอาสินทรัพย์จากเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กมาแทบหมดสิ้น ตอนนี้พวกเขากำลังหิวโหยกับความมั่งคั่งของมอสโกที่กำลังรอพวกเขาอยู่

ต้องบอกว่าในช่วงสองสามปีแรกในการเป็นประธานาธิบดีของ Putin กลุ่มเลนินกราด KGB เหล่านี้ คือทีมงานวงในที่สำคัญที่สืบทอดมาจากระบอบของ Yeltsin

Putin ได้ประกาศปฏิรูปแบบเสรีนิยมหลายครั้ง ซึ่งทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชนจากนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เขาปฏิรูปภาษีเงินได้ที่ทำให้รัสเซียกลายเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันแห่งหนึ่งของโลก

Putin ได้เริ่มดำเนินการในการปฏิรูปที่ดินที่อนุญาติให้มีการซื้อและขายทรัพย์สินส่วนตัว รวมถึงได้ว่าจ้าง Andrei Illarionov ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์เสรีที่มีหลักการมากที่สุดของประเทศ เข้ามาร่วมทีมเศรษฐกิจ

ด้วยการส่งออกน้ำมันที่เป็นฐานรายได้หลักของประเทศ เมื่อราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้น รัฐบาลของ Putin จึงเริ่มจ่ายหนี้จำนวนมหาศาลจากกองทุนที่ฝ่ายบริหารของ Yeltsin ยืมมาจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ได้สำเร็จ ความไม่มั่นคงและความโกลาหลในยุคของ Yeltsin ดูเหมือนจะสิ้นสุดลงเสียที

โลกยังส่งเสียงเชียร์จากความพยายามของ Putin ในการสร้างความสัมพันธ์กับตะวันตก หนึ่งในนโยบายสานสัมพันธ์แรก ๆ ก็คือการปิดสถานีดักฟัง Lourdes ในคิวบา

เขาพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชของสหรัฐฯ และเป็นผู้นำระดับโลกคนแรก ๆ ที่โทรแจ้งและแสดงความเสียใจภายหลังการโจมตีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001

เขายังฝ่าฝืนคำแนะนำของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของเขาเอง และอนุญาติให้สหรัฐฯ เข้าถึงฐานทัพทหารในเอเชียกลาง ซึ่งจะทำให้สามารถเริ่มโจมตีในประเทศเพื่อนบ้านของอัฟกานิสถานได้

ในช่วงแรกดูเหมือนว่า DNA ของอดีต KGB ของ Putin นั้นจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ขณะที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช กล่าวว่าเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา (Putin) บุช สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณลึก ๆ ของ Putin

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นแค่ช่วงเวลาฮันนีมูนสั้นๆ เพียงเท่านั้น สมัยแรก ๆ ในการเป็นประธานาธิบดีของ Putin เป็นยุคแห่งการคิดใคร่ครวญและความไร้เดียงสาตามประสามือใหม่ ความพยายามในการสร้างสายสัมพันธ์กับตะวันตกไม่ได้เกิดจากความจริงใจใด ๆ แต่เนื่องจาก Putin คาดหวังอะไรบางอย่างเป็นการตอบแทน

ในเดือนมิถุนายน 2002 จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประกาศว่าสหรัฐฯ จะถอนตัวจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ ซึ่งเป็นข้อตกลงด้านอาวุธที่สำคัญที่สืบเนื่องมาจากสงครามเย็น

Putin รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกหักหลัง การถอนตัวจากสนธิสัญญาจะทำให้สหรัฐฯ เริ่มทดสอบระบบป้องกันขีปนาวุธที่เสนอให้ติดตั้งในอดีตรัฐของสหภาพโซเวียตที่อยู่ในสนธิสัญญาวอร์ซอ

มันเป็นเล่ห์เหลี่ยมของสหรัฐฯ ที่ทำให้ Putin รู้สึกเหมือนโดนดูถูก ซึ่งสหรัฐฯ อ้างว่ามีจุดประสงค์เพื่อป้องกันขีปนาวุธของอิหร่าน แต่ฝ่ายบริหารของ Putin มองว่ามันมีจุดมุ่งหมายโดยตรงมาที่รัสเซียเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

Voloshin ที่เป็นเสนาธิการของเครมลินถึงกับกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “เจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันยังคงหลงเหลือแมลงสาบที่ตกทอดมาจากสงครามเย็น”

Voloshin (ซ้าย) ที่เป็นเสนาธิการของเครมลินออกมาประนามสหรัฐฯ(CR:Wikipedia.org)

ในเวลาเดียวกัน NATO ก็ยังคงเดินทัพไปทางตะวันตกอย่างไม่หยุดยั้ง คำสัญญาจากผู้นำตะวันตกที่มีต่อ Gorbachev อดีตประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต ถูกเหยียบย่ำอย่างไม่ใยดี มันเป็นความโสมมของโลกตะวันตก

ปีสุดท้ายของการปกครองของ Boris Yeltsin ในช่วงสุขภาพที่ย่ำแย่ ตะวันตกทำการย่ำยีด้วยการทำให้ NATO เข้ามากลืนกินโปแลนด์ ฮังการี และสาธารณรัฐเช็ก

ในปี 2000 NATO ได้เชิญอีกเจ็ดประเทศในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกให้เข้าร่วม มันเป็นการขยายอำนาจอย่างบ้าคลั่งของตะวันตกในช่วงที่รัสเซียกำลังอ่อนแอ

ในช่วงแรกของการบริหาร Putin พยายามกระชับอำนาจต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น และได้พยายามสร้างความสมดุลระหว่างทีมงานของครอบครัว Yeltsin ที่มีแนวคิดเสรี และค่อนข้างชอบตะวันตก กับทีมงาน KGB ของเขา

แต่ในท้ายที่สุดอิทธิพลของ KGB เริ่มมากลบสิ่งอื่นแทบจะทั้งหมด โลกทัศน์ของเขาเต็มไปด้วยตรรกะของสงครามเย็น และค่อย ๆ เข้ามากำหนดและหล่อหลอม Putin อย่างช้า ๆ เพื่อพยายามฟื้นฟูอำนาจรัสเซีย เพื่อต่อสู้กับตะวันตกที่ขยายอำนาจเข้ามาใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อย ๆ

ฝั่งของ Pugachev เขาพยายามอยู่ในเงามืด เฝ้าดูลูกน้องของเขาเหมือนเหยี่ยว พยายามสร้างสมดุลระหว่างอิทธิพลของกองกำลังที่เป็นปฏิปักษ์ ทั้งฝั่งตระกูล Yeltsin และ KGB

ในช่วงปีแรกที่ Putin ดำรงตำแหน่ง Pugachev ใช้เงิน 50 ล้านดอลลาร์ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของครอบครัว Putin เขาได้ซื้ออพาร์ทเมนท์สำหรับอัยการของรัฐเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของ Putin และตัวเขาเอง

Boris Berezovsky ได้กลายเป็นตัวแทนผู้มีอำนาจตามแบบฉบับของยุค Yeltsin เขาเป็นบุคคลตัวอย่างที่ดีของการติดต่อกับคนวงในของ Yeltsin เมื่อกลุ่มนักธุรกิจเล็ก ๆ ต่อรองกันเบื้องหลังเพื่อแย่งชิงทรัพย์สินระดับเกรด A รวมถึงตำแหน่งข้าราชการสูง ๆ

แต่ความผูกพันที่เขาปลูกฝังกับผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนของเชชเนียทำให้เขากลายเป็นคนทรยศในสายตาของกลุ่ม KGB

คนที่รายรอบตัว Putin จะกลัวสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือสื่อ แม้ว่าช่อง ORT TV จะถูกควบคุมโดยรัฐซึ่งถือหุ้น 51% แต่ Berezovsky ซึ่งเป็นเจ้าของส่วนที่เหลือ และกรรมการและผู้บริหารในสื่อก็เป็นคนของ Berezovsky

ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม Berezovsky ได้ออกมาต่อต้าน Putin อย่างชัดเจนครั้งแรก วันรุ่งขึ้นหลังจากผู้ก่อการร้ายวางระเบิดผ่านอุโมงค์ใต้ดินใจกลางมอสโก มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ 90 ราย

เขาได้จัดงานแถลงข่าวเพื่อประกาศว่าเขากำลังสร้างกลุ่มต่อต้านเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่เขาเรียกว่าลัทธิอำนาจนิยมของ Putin ที่กำลังเพิ่มขึ้น เขาได้เตือนว่าระเบิดดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้อีกหากเครมลินยังคงคิดจะทำลายกลุ่มกบฎในเชชเนีย มันแทบจะเป็นการจุดฉนวนระเบิดไปยัง Putin อย่างชัดเจน

Boris Berezovsky ที่ออกมาเดินหน้าท้าชน Putin (CR:Wikipedia.org)
Boris Berezovsky ที่ออกมาเดินหน้าท้าชน Putin (CR:Wikipedia.org)

Putin ต้องเผชิญวิกฤติครั้งสำคัญครั้งแรกของเขาในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อตอร์ปิโดบนเรือดำน้ำนิวเคลียร์ Kursk ลำหนึ่งของประเทศได้ถูกจุดฉนวนขึ้น ทำให้เกิดระเบิดอย่างรุนแรง และทำให้ลูกเรือจมหายไปใต้ท้องทะเล

Berezovsky ใช้ช่อง ORT TV อย่างเต็มกำลังเพื่อวิจารณ์ว่า Putin จะจัดการกับโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นอย่างไร

มันได้เกิดความสับสนเข้าครอบงำเป็นเวลาหกวัน ในขณะที่ประธานาธิบดีของประเทศกลับซ่อนตัวอยู่ในบ้านพักฤดูร้อนของเขาใกล้โซซีบนชายฝั่งทะเลดำ

Putin นิ่งเงียบโดยสิ้นเชิงในขณะที่กองทัพเรือต่างงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ครอบครัวของลูกเรือต่างตกอยู่ในความสิ้นหวัง ที่สำคัญรัสเซียยังปฏิเสธข้อเสนอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ เนื่องจากกลัวว่าจะมีการเปิดเผยความลับเกี่ยวกับสถานะของกองเรือนิวเคลียร์ของตน

ในช่วงแรกนั้น Putin เป็นผู้นำที่ไม่มีประสบการณ์มากนัก แม้ว่าเขาทำงานมาหลายปีในการจัดการกับตะวันตกและปฏิบัติการทางทหารที่เด็ดขาดในเชชเนีย แต่เรื่องดังกล่าว ปูติน กลับตกอยู่ในความกลัว เขาแทบไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องดังกล่าวอย่างไร

ผ่านไปถึงวันที่เจ็ด Putin บินกลับมอสโกอย่างเงียบ ๆ แต่เพียงสามวันต่อมาเขาก็ปรากฎตัวต่อสาธารณะ เขาบินไป Vidyayevo เมืองที่อยู่เหนืออาร์กติกเซอร์เคิล ที่ตั้งของท่าเรือ Kursk

มีญาติของลูกเรือได้มารวมตัวกันด้วยความสิ้นหวัง พร้อมความโกรธในตัวผู้นำของพวกเขา ทางการรัสเซียอมรับในที่สุดว่าลูกเรือทั้งหมด 118 คนเสียชึวิต

สื่ออย่าง ORT TV ของ Berezovsky กล่าวหา Putin มีการสัมภาษณ์ญาติผู้โศกเศร้าและชี้ให้เห็นว่า Putin ขาดความเป็นผู้นำ Putin ต้องเผชิญกับความโกรธแค้นของภรรยาและญาติ ๆ ของผู้เสียชีวิตที่เข้ามาด่าทอเขา และถูกถ่ายทอดสดออกทีวี

นั่นทำให้ Putin เดือดดาลกับสื่อเป็นอย่างมาก และพุ่งเป้าไปที่ Berezovsky ที่ Putin มองว่าพยายามนำการเมืองเข้ามาหากินบนความโศกเศร้าของโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้น

ในช่วงกลางเดือนตุลาคม Putin เล่นงานกลับ โดยให้อัยการ เปิดคดีที่กล่าวหาว่า Berezovsky ใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ผ่านบริษัทสวิสจาก Aeroflot สายการบินของรัสเซียที่เขาเป็นเจ้าของ และพร้อมที่จะตั้งข้อกลาวหากับ Berezovsky ซึ่งทำให้เขาได้หนีออกจากรัสเซียและประกาศว่าจะไม่กลับมาเหยียบแผ่นดินรัสเซียอีก

Putin และคนของเขากกำลังใช้กลวิธีที่ได้รับการทดสอบและทดลองในสมัยที่อยู่ในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งในตอนนั้นสิ่งที่พวกเขาทำเพื่อเข้ายึดท่าเรือของเมืองและกองเรือบอลติกคือการส่งผู้อำนวยการคนเก่าเข้าคุก

แต่ในช่วงเริ่มการปกครอง พวกเขาทำอะไรได้เพียงเล็กน้อย เพราะต้องได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่ม Yeltsin ที่ยังหลงเหลืออยู่ในเครมลิน และกลุ่มของ Putin ก็ใช้แผนการเดียวกันกับการยึดท่าเรือที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในการยึดสื่อทั้งหมดให้มาตกอยู่ในมือของรัฐ

เขาให้ Gazprom เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในสื่ออย่าง NTV และตั้งทีมผู้บริหารใหม่ หน่วย KGB ได้เข้าไปในอาคารสำนักข่าวอย่างเงียบ ๆ และทำหน้าที่แทนยามรักษาการณ์ชุดเดิมของอาคาร

นักข่าวที่มาถึงที่ทำงานในเช้าวันนั้นจะได้รับอนุญาติให้เข้ามาได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อผู้บริหารคนใหม่ นักข่าวอาวุโสลาออกเพื่อประท้วงการยึดเอาอิสรภาพที่ได้มาอย่างยากเย็นของพวกเขา

“รัฐประหารกำลังเกิดขึ้นในประเทศ” Igor Malashenko ผู้ร่วมก่อตั้งสำนักข่าว NTV กล่าว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในการเข้ามาจัดการสื่อในประเทศแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของ Putin

เครมลินของ Putin ได้ควบคุมทุกสื่อไว้สำเร็จแล้ว ความอิสระของสื่อในยุคของ Yeltsin นั้นจบลงแล้ว

–> อ่านตอนที่ 7 : Operation Energy

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ