เปลี่ยนชีวิตด้วยวิธีคิดแบบไคเซ็น : ก้าวเล็กๆ สู่ความสำเร็จครั้งใหญ่ ด้วยวิธีคิดแบบปรัชญาญี่ปุ่น

ท่ามกลางความวุ่นวายของโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน มีปรัชญาการพัฒนาที่น่าสนใจจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจาก Robert Maurer นักจิตวิทยาคลินิกแห่ง UCLA ที่ได้สังเกตเห็นโฆษณารถยนต์ Lexus ซึ่งภาคภูมิใจนำเสนอรางวัลคุณภาพมากมายที่ได้รับตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

สิ่งนี้จุดประกายความสงสัยในใจของเขาว่า อะไรทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นสามารถรักษามาตรฐานคุณภาพระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง

คำตอบของปริศนานี้ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1940 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Dr. Edward Deming ชาวอเมริกันเดินทางมาญี่ปุ่นเพื่อช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิต ด้วยประสบการณ์จากการมีส่วนสำคัญในการพัฒนาการผลิตของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงคราม ทำให้ชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจแนวคิดของเขาเป็นอย่างมาก

Deming ได้มอบหลักการสำคัญให้กับคนงานในโรงงานญี่ปุ่น นั่นคือการตั้งคำถามกับตัวเองทุกวันว่า “มีขั้นตอนเล็กๆ อะไรบ้างที่ฉันสามารถทำเพื่อพัฒนากระบวนการหรือผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น”

แนวคิดนี้ได้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “Kaizen” หรือ “ไคเซ็น” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากความเสียหายของสงครามและก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตในช่วงปลายศตวรรษที่ 20

จากความสำเร็จในภาคอุตสาหกรรม Robert Maurer จึงเกิดแนวคิดที่จะนำหลักการ Kaizen มาประยุกต์ใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา

เขาเริ่มแนะนำให้คนไข้ทำการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย แทนที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทันที เช่น แทนที่จะแนะนำให้ลาออกจากงานที่ไม่พอใจ เขากลับให้คนไข้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีต่อวันในการจินตนาการถึงงานในฝัน หรือแทนที่จะกำหนดให้ออกกำลังกายที่ยิมนาน 30 นาที เขาแนะนำให้เริ่มจากการเดินอยู่หน้าทีวีในช่วงโฆษณาเพียง 1 นาที

การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เหล่านี้ดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญ แต่กลับสร้างผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง เพราะสมองของมนุษย์มีกลไกการทำงานที่น่าสนใจ เมื่อเราเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สมองส่วน amygdala จะถูกกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองแบบ “สู้หรือหนี” ทำให้เราหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความท้าทายและหันไปหาความสบายใจชั่วคราวแทน

แต่เมื่อเราใช้หลักการ Kaizen การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยจะช่วยให้เราหลบผ่านระบบเตือนภัยของสมอง ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกกลัวหรือต่อต้าน เราจึงสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง

ตัวอย่างความสำเร็จที่น่าประทับใจมาจากกรณีของ Jack St. นักธุรกิจที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อย่างรุนแรง จนต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการข้ออักเสบกว่า 20 จุด แม้แพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายทั้งหมด แต่ Jack เลือกที่จะใช้หลักการ Kaizen ด้วยการเริ่มจากก้าวเล็กๆ และให้รางวัลกับตัวเองในทุกความสำเร็จ

ทุกเช้า Jack จะตั้งเป้าหมายเพียงแค่การลุกจากเตียง เมื่อทำสำเร็จ เขาจะให้กำลังใจตัวเองด้วยคำชมสั้นๆ แต่จริงใจ จากนั้นเขาจึงเดินทางไปยิม โดยตั้งใจเพียงแค่จะพูดคุยกับพนักงานที่นั่น

เมื่อก้าวขึ้นลู่วิ่ง เขาเริ่มต้นด้วยการเดินเพียง 2 นาที พร้อมให้รางวัลตัวเองด้วยคำชมและกำลังใจ ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งคือ เมื่อ Jack อายุ 70 ปี เขาสามารถคว้าแชมป์การแข่งขัน Mr. World bodybuilding ในรุ่นอายุของเขาได้สำเร็จ

การเปลี่ยนแปลงแบบ Kaizen ไม่เพียงใช้ได้ผลในการพัฒนาร่างกาย แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการพัฒนาในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ การพัฒนาอาชีพ หรือแม้แต่การสร้างความสัมพันธ์

Michael Ondaatje ผู้เขียนนวนิยายรางวัลวรรณกรรมเรื่อง “The English Patient” ใช้หลักการคล้ายคลึงกันในการสร้างสรรค์ผลงาน

แทนที่จะตั้งคำถามใหญ่ว่าจะสร้างตัวละครที่น่าประทับใจได้อย่างไร เขาเลือกที่จะเริ่มจากคำถามเล็กๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์หนึ่ง เช่น “ใครคือชายในเครื่องบินที่ตก” “เขามาที่นี่ได้อย่างไร” “ทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุ” คำถามเล็กๆ เหล่านี้ค่อยๆ นำไปสู่การสร้างเรื่องราวและตัวละครที่มีมิติลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในโลกปัจจุบันที่ผู้คนมักถูกกดดันให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว หลักการ Kaizen อาจดูขัดกับกระแสหลัก แต่การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยกลับเป็นวิธีที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะช่วยให้เราสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและพัฒนาไปอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องต่อสู้กับความกลัวหรือแรงต้านจากภายในจิตใจของเราเอง

การนำหลักการ Kaizen มาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้หมายความว่าเราต้องล้มเลิกความฝันหรือเป้าหมายใหญ่ แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีการเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้น ด้วยการแบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นก้าวเล็กๆ ที่จับต้องได้ และให้รางวัลกับตัวเองในทุกความสำเร็จ

วิธีการนี้อาจดูเรียบง่ายเกินไปสำหรับบางคน แต่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่มักเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ ที่มั่นคง

References :
หนังสือ One Small Step Can Change Your Life: The Kaizen Way โดย Robert Maurer Ph.D.

Geek Life EP131 : 3 บทเรียนสำคัญจาก Winning เคล็ดลับที่ทำให้ Jordan และ Kobe กลายเป็นตำนาน

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของการทุ่มเทและความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ

Tim Grover ผู้เขียนหนังสือ Winning ได้ใช้เวลากว่าสองทศวรรษในการศึกษาและทำงานร่วมกับนักกีฬาระดับตำนานอย่าง Michael Jordan และ Kobe Bryant ในฐานะเทรนเนอร์ส่วนตัว ประสบการณ์อันล้ำค่านี้ทำให้เขาได้เรียนรู้และเข้าใจถึงแก่นแท้ของการเป็นผู้ชนะอย่างลึกซึ้ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mf47sh7z

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/332xza22

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/vd5sshfeiLU

Geek Life EP130 : เลียนแบบอย่างไรให้เป็นตำนานลัดคิว! สู่ความสำเร็จด้วยวิธีคิดที่อัจฉริยะใช้

ในโลกแห่งการพัฒนาตนเอง หนังสือ “Decoding Greatness” โดย Ron Friedman ได้เปิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ ซึ่งแตกต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิมที่มีมาอย่างยาวนาน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4zbajd29

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4ejwup5t

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/UD3F3uefQbk

Geek Life EP129 : เปลี่ยนคนขี้ลืมเป็นสุดยอดโฟกัส Hyperfocus สุดยอดเทคนิคจัดการสมาธิ ทำงานได้เท่า 3 เท่าใน 1 วัน

ในยุคที่ความวุ่นวายและสิ่งเร้ารอบตัวมีมากมาย Chris Bailey นักเขียนและนักวิจัยด้านประสิทธิภาพการทำงาน ได้นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจผ่านหนังสือ Hyperfocus ซึ่งรวบรวมผลการศึกษาและงานวิจัยเกี่ยวกับการบริหารจัดการความใส่ใจของมนุษย์

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ใช้เวลาเกือบครึ่งหนึ่งของชีวิต หรือประมาณ 47 เปอร์เซ็นต์ไปกับภาวะจิตใจที่วอกแวก ไม่จดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ตรงหน้า

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2m76fmts

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/32878emw

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/kqbC_WbcXcQ

หยุดคิดว่าทำไม่ได้! 3 เคล็ดลับจิตวิทยาที่จะเปลี่ยนคุณเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

เรื่องราวอันน่าทึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลังของจิตใจ ในยามที่มอร์ฟีนขาดแคลน แพทย์สนามได้ใช้น้ำเกลือฉีดให้ทหารที่บาดเจ็บโดยบอกว่าเป็นมอร์ฟีน ผลปรากฏว่าน้ำเกลือสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับมอร์ฟีนจริง

เหตุการณ์ที่ Minnesota ยิ่งตอกย้ำพลังของจิตใจได้ชัดเจน เมื่อชายคนหนึ่งในการทดลองยาต้านซึมเศร้ากินยาเกินขนาดถึง 29 เม็ด เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการซีด ง่วงซึม สั่น และความดันโลหิตต่ำมาก

แพทย์พยายามรักษาอยู่ 4 ชั่วโมงแต่อาการไม่ดีขึ้น จนกระทั่งแพทย์จากการทดลองมาถึงและเปิดเผยความจริงว่ายาที่เขากินเป็นเพียงยาหลอก ทันทีที่ได้ยินความจริง อาการทั้งหมดของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง!

นักจิตวิทยา Dan Ariely ได้ทำการทดลองที่น่าสนใจในปี 2011 โดยแจกแว่นกันแดดที่เหมือนกันทุกประการให้ผู้ร่วมทดลอง แต่บอกราคาต่างกัน ปรากฏว่ากลุ่มที่เชื่อว่าตนใส่แว่น Ray-Ban ราคาแพงสามารถอ่านตัวอักษรใต้แสงจ้าได้แม่นยำกว่ากลุ่มที่คิดว่าใส่แว่นราคาปานกลางถึงสองเท่า

ในทำนองเดียวกัน การทดลองกับหูฟังก็ให้ผลลัพธ์คล้ายคลึงกัน ผู้ที่คิดว่าใช้หูฟังราคาแพงสามารถได้ยินเสียงชัดเจนกว่าผู้ที่คิดว่าใช้หูฟังราคาถูก

นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “The Expectation Effect” หรือผลของความคาดหวัง David Robson ได้รวบรวมงานวิจัยและนำเสนอวิธีการที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากผลของความคาดหวังในชีวิตประจำวัน

พิธีกรรมคือกุญแจสำคัญประการแรก นักกีฬาระดับโลกอย่าง Serena Williams และ Rafael Nadal ต่างมีพิธีกรรมเฉพาะตัวก่อนการแข่งขัน งานวิจัยยืนยันว่าพิธีกรรมไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพที่ได้ผลจริง นักบาสเกตบอลที่ทำพิธีกรรมก่อนยิงจุดโทษมีโอกาสยิงสำเร็จมากกว่าถึง 12.4%

การทดลองที่ Harvard แสดงให้เห็นว่าแม้แต่พิธีกรรมที่ดูไร้สาระก็สามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพได้ ผู้เข้าร่วมที่ทำพิธีกรรมง่ายๆ อย่างการวาดรูป โรยเกลือ และขยำทิ้ง มีคะแนนร้องเพลงดีขึ้นถึง 13 คะแนน แต่เมื่อเรียกการกระทำเดียวกันว่าเป็น “พฤติกรรมสุ่ม” กลับไม่เกิดผลใดๆ

กุญแจสำคัญประการที่สองคือการจินตนาการ การทดลองกับนักเรียนนายทหารพบว่า เมื่อพวกเขาจินตนาการว่าตนเองเป็นนักบิน พวกเขาสามารถมองเห็นตัวอักษรขนาดเล็กได้ชัดเจนขึ้น แม้ว่าในการทดสอบสายตามาตรฐานจะมองไม่เห็น นี่แสดงให้เห็นว่าการจินตนาการว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญสามารถยกระดับความสามารถได้จริง

ประการสุดท้ายคือความเชื่อในพลังใจที่ไม่มีขีดจำกัด งานวิจัยพบว่าผู้ที่เชื่อว่าพลังใจเพิ่มขึ้นตามการใช้งานมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่าผู้ที่เชื่อว่าพลังใจมีจำกัด พวกเขาฟื้นตัวได้เร็วกว่าหลังจากวันที่เหนื่อยล้า และมี productivity สูงขึ้นในวันถัดไป

เทคนิคที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังของความคาดหวังคือการใช้วิธี “สองแล้วหยุด” เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า ให้ผลักดันตัวเองต่อไปอีกสองครั้งแล้วค่อยหยุดพัก วิธีนี้จะช่วยให้เราค้นพบว่าขีดจำกัดที่แท้จริงของเราอยู่ไกลกว่าที่คิด

Henry Ford เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณทำได้หรือทำไม่ได้ คุณก็คิดถูก” คำกล่าวนี้สอดคล้องกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าความคาดหวังของเรามีผลต่อความเป็นจริง

การเปลี่ยนกรอบความคิดอย่างง่ายๆ สามารถผลักดันขีดจำกัดของสิ่งที่เราทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพิธีกรรม การจินตนาการ หรือการเชื่อในพลังใจที่ไม่มีขีดจำกัด ล้วนเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง

การค้นพบเกี่ยวกับผลของความคาดหวังยังแสดงให้เห็นว่า แม้แต่การคิดถึงกาแฟก็สามารถกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวได้ เพราะร่างกายเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงกลิ่นและรสชาติของกาแฟกับการทำงานที่มีประสิทธิภาพ นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ในอดีตสามารถสร้างความคาดหวังที่ส่งผลต่อพฤติกรรมและประสิทธิภาพในปัจจุบันได้

นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าความคาดหวังมีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การศึกษาที่ Harvard Medical School แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกแต่เชื่อว่าเป็นยาจริงมีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าจิตใจมีพลังในการกระตุ้นการทำงานของร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์

David Robson ได้เสนอแนะว่าการนำผลของความคาดหวังมาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยในการดูแลสุขภาพกายและใจได้ด้วย เขายกตัวอย่างว่าการมองการออกกำลังกายว่าเป็นกิจกรรมที่สนุกและผ่อนคลาย แทนที่จะมองว่าเป็นภาระหน้าที่ จะทำให้เราได้ประโยชน์จากการออกกำลังกายมากขึ้น

นอกจากนี้ การฝึกสร้างความคาดหวังเชิงบวกยังสามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ เมื่อเราเชื่อว่าความเครียดเป็นกลไกที่ร่างกายใช้เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทาย แทนที่จะมองว่าเป็นอันตราย เราจะสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่กดดันได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม Robson เตือนว่าการใช้พลังของความคาดหวังควรอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ใช่การหลอกตัวเองหรือปฏิเสธข้อจำกัดที่มีอยู่จริง แต่เป็นการเปิดใจยอมรับว่าศักยภาพของเรามักจะสูงกว่าที่เราคิด และความเชื่อของเราสามารถผลักดันขีดจำกัดนั้นให้ขยายออกไปได้

การศึกษาล่าสุดในปี 2023 ยังพบว่าผลของความคาดหวังสามารถส่งต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ เมื่อครูเชื่อว่านักเรียนมีศักยภาพสูง นักเรียนมักจะแสดงผลการเรียนที่ดีขึ้น เมื่อผู้จัดการเชื่อในความสามารถของทีม สมาชิกในทีมมักจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าพลังของความคาดหวังไม่ได้จำกัดอยู่เพียงระดับบุคคล แต่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับองค์กรและสังคมได้

“The Expectation Effect” ของ David Robson ไม่เพียงรวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่งเกี่ยวกับพลังของจิตใจ แต่ยังเสนอแนวทางปฏิบัติที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพิธีกรรมส่วนตัว การใช้จินตนาการอย่างสร้างสรรค์ หรือการเชื่อในพลังใจที่ไม่มีขีดจำกัด ล้วนเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดที่เราเคยเชื่อว่ามีอยู่ และเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเองได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The Expectation Effect: How Your Mindset Can Change Your World โดย David Robson