Geek Life EP112 : หยุดคิดว่าตัวเองไม่เก่ง! บทเรียนจากโค้ชผู้สร้างแชมป์ ทำไมคนเก่งถึงพ่ายแพ้ให้คนมั่นใจ

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของการเป็นโค้ชฟุตบอลในระดับมหาวิทยาลัย Dr. Ivan Joseph ได้พบเจอกับความท้าทายและบทเรียนมากมายที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในสนามกีฬาและในชีวิตจริง หลังจากที่ทีมของเขาประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ระดับประเทศ

หลายคนมักเข้าใจผิดว่านักกีฬามากมายอยากเข้าร่วมทีมเพราะชื่อเสียงของทีมเขา แต่ความจริงแล้วแรงจูงใจหลักคือทุนการศึกษามูลค่า 25,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นโอกาสที่จะช่วยให้พวกเขาได้รับการศึกษาที่ดีควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะด้านกีฬา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4jekmy7j

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yttz8pex

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/5RNQzY_60bA

หยุดคิดว่าตัวเองไม่เก่ง! บทเรียนจากโค้ชผู้สร้างแชมป์ ทำไมคนเก่งถึงพ่ายแพ้ให้คนมั่นใจ

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของการเป็นโค้ชฟุตบอลในระดับมหาวิทยาลัย Dr. Ivan Joseph ได้พบเจอกับความท้าทายและบทเรียนมากมายที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในสนามกีฬาและในชีวิตจริง หลังจากที่ทีมของเขาประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ระดับประเทศ

หลายคนมักเข้าใจผิดว่านักกีฬามากมายอยากเข้าร่วมทีมเพราะชื่อเสียงของทีมเขา แต่ความจริงแล้วแรงจูงใจหลักคือทุนการศึกษามูลค่า 25,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นโอกาสที่จะช่วยให้พวกเขาได้รับการศึกษาที่ดีควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะด้านกีฬา

การพูดคุยกับผู้ปกครองในแต่ละฤดูกาลทำให้ Joseph ได้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า หลายครอบครัวยังคงให้ความสำคัญกับทักษะทางกายภาพมากเกินไป โดยมองข้ามปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักกีฬาประสบความสำเร็จในระยะยาว

เมื่อผู้ปกครองเข้ามาถามเขาว่า “ลูกของผมอยากมาเล่นให้ทีมของคุณ เราควรต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง? คุณกำลังมองหาคุณสมบัติแบบไหน?” ด้วยแนวทางการสอนแบบ Socratic ที่ทาง Joseph ยึดถือมาตลอด เขามักจะย้อนถามกลับไปว่า “ลูกของคุณมีความโดดเด่นในด้านใด?”

การตอบคำถามของผู้ปกครองส่วนใหญ่สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมในสังคมที่มักให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากกว่าการพัฒนาทักษะด้านจิตใจ

ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะยกย่องความสามารถทางกายภาพและทักษะการเล่น เช่น ลูกชายมีวิสัยทัศน์ดี มองเกมออก สามารถอ่านเกมและคาดการณ์สถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ หรือลูกสาววิ่งเร็วที่สุดในทีม ไม่มีใครสามารถไล่ตามทัน หรือลูกชายเตะบอลด้วยเท้าซ้ายได้อย่างแม่นยำ เล่นลูกกลางอากาศเก่ง

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ทักษะเหล่านี้กลับเป็นสิ่งสุดท้ายที่ Joseph ให้ความสำคัญในการพิจารณารับนักกีฬาเข้าทีม เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาพบว่าทักษะทางกายภาพสามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นคือการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง

ความเชื่อมั่นในตนเองคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาตนเอง ไม่เพียงแต่ในวงการกีฬา แต่รวมถึงในทุกแง่มุมของชีวิต เปรียบเสมือนรากฐานที่จะช่วยค้ำจุนให้ความสามารถด้านอื่นๆ เติบโตและแข็งแกร่งขึ้น

การขาดความเชื่อมั่นในตนเองเปรียบเสมือนการสร้างบ้านบนทรายที่ไม่มั่นคง ไม่ว่าคุณจะมีทักษะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่หากขาดความเชื่อมั่น ทุกอย่างก็อาจพังทลายลงได้ในพริบตา

Dr. Albert Bandura นักจิตวิทยาชื่อดังได้ศึกษาและพบว่า ความเชื่อมั่นในตนเอง หรือที่เขาเรียกว่า “Self-efficacy” มีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจ แรงจูงใจ และความพยายามที่บุคคลจะทุ่มเทให้กับเป้าหมาย บุคคลที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมักจะตั้งเป้าหมายที่ท้าทายและพยายามอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น แม้จะเผชิญกับอุปสรรคก็ตาม

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเองเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความอดทนและความทุ่มเท เปรียบเสมือนการสร้างกล้ามเนื้อที่ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

หลายคนมักจะบอกว่า “ฉันเป็นคนขี้อาย ฉันคงทำไม่ได้หรอก” แต่นั่นคือความเข้าใจผิดที่อันตราย เพราะความเชื่อมั่นเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้เช่นเดียวกับทักษะอื่นๆ

Malcolm Gladwell ในหนังสือ “Outliers: The Story of Success” ได้นำเสนอแนวคิดเรื่องกฎ 10,000 ชั่วโมง ซึ่งกล่าวว่าการจะเชี่ยวชาญในทักษะใดๆ ต้องใช้เวลาฝึกฝนประมาณ 10,000 ชั่วโมง

แนวคิดนี้สอดคล้องกับประสบการณ์จริงที่ Joseph ได้พบเห็นในการโค้ชนักกีฬา ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของผู้รักษาประตูจาก Colombia ที่เมื่อเริ่มต้นมาเล่นในทีม เขาแทบจะจับบอลไม่อยู่เลย ทักษะพื้นฐานยังต้องปรับปรุงอีกมาก แต่สิ่งที่ทำให้ Joseph ประทับใจคือความมุ่งมั่นของเขา

ทุกวัน เขาจะมาซ้อมก่อนเพื่อนร่วมทีมและกลับบ้านเป็นคนสุดท้าย การฝึกซ้อมวันละ 350 ครั้ง ต่อเนื่องเป็นเวลา 8 เดือน ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถพัฒนาได้ ในที่สุดเขาก็ได้รับโอกาสไปเล่นในยุโรป นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นในตนเองเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ

การพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองยังเกี่ยวข้องกับการสื่อสารภายในจิตใจ หรือที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “Self-talk” เสียงที่ดังอยู่ในหัวของเราคือตัวกำหนดทิศทางของความคิดและการกระทำ

Muhammad Ali เป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้คำพูดเชิงบวกกับตนเอง เมื่อเขาประกาศว่า “I am the greatest!” นั่นไม่ใช่เพียงคำโอ้อวด แต่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง เป็นการตอกย้ำความสามารถและศักยภาพที่มีอยู่ในตัว

Dr. Carol Dweck จาก Stanford University ได้ทำการวิจัยและพบว่า บุคคลที่มี Growth Mindset หรือความเชื่อว่าความสามารถสามารถพัฒนาได้ มักจะประสบความสำเร็จมากกว่าผู้ที่มี Fixed Mindset หรือเชื่อว่าความสามารถเป็นสิ่งตายตัว การสร้างความเชื่อมั่นในตนเองจึงเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อความสามารถของตนเอง

การสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้อื่นเป็นอีกทักษะสำคัญที่ต้องฝึกฝน การมองหาจุดดีและให้คำชมเชยอย่างจริงใจจะช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการพัฒนาความเชื่อมั่น

ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองจะสามารถมองสถานการณ์ต่างๆ ในแง่บวกและเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดี พวกเขามักจะมองความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา ไม่ใช่จุดจบของความพยายาม

ประสบการณ์ในการเป็นโค้ชสอน Joseph ว่าการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการพัฒนาความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ที่ผู้คนกล้าที่จะลองผิดลองถูก กล้าที่จะทำผิดพลาด และเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น

โดยในทีมของเขา แทบไม่เคยลงโทษนักกีฬาที่พยายามทำสิ่งใหม่ๆ แม้จะล้มเหลวก็ตาม เพราะนั่นคือส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และพัฒนา

สุดท้ายแล้วความเชื่อมั่นในตนเองเปรียบเสมือนเข็มทิศที่จะนำทางเราไปสู่ความสำเร็จ ไม่มีใครจะเชื่อในตัวคุณได้ถ้าคุณไม่เชื่อในตัวเองก่อน และเมื่อคุณกล้าที่จะแตกต่าง กล้าที่จะยืนหยัดในความเชื่อของตนเอง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการสร้างตัวตนที่แท้จริงของคุณ

References :
The skill of self confidence | Dr. Ivan Joseph | TEDxRyersonU
https://youtu.be/w-HYZv6HzAs?si=zWSXFRpO2BBMkdLv

Geek Life EP96 : ด้านมืดของการพัฒนาตนเอง ทำไมยิ่งพัฒนาตัวเอง ยิ่งรู้สึกแย่ พบคำตอบที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

การพัฒนาตนเองเป็นเส้นทางที่ท้าทายและมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างมีเส้นทางเดินในการพัฒนาตนเองที่แตกต่างกันไป และมันไม่มีสูตรสำเร็จตามหนังสือที่มันตายตัวสำหรับทุกคน

Suzanne Eder ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตนเองได้แบ่งปันมุมมองที่น่าสนใจผ่านเวที Ted Talks ในหัวข้อ The Dark Side of Self Improvement

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/y8kk8fys

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/38843bph

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/cVzJKapEwrs

Geek Life EP94 : เลิกแคร์สายตาคนอื่น หยุดทำร้ายตัวเองด้วยความคิดคนอื่นแบบถาวร

ในอดีตการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นอยู่กับความสามารถในการคาดการณ์ภัยคุกคาม โดยภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการถูกขับออกจากเผ่า เพราะหากไม่มีเผ่า เราจะไม่สามารถหาอาหารเมื่อเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ และไม่สามารถอยู่รอดได้นาน ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียนรู้ที่จะคาดการณ์และกลัวสิ่งที่ผู้อื่นคิดเกี่ยวกับเรา สิ่งนี้เรียกว่า FOBO (Fear of Other People’s Opinions – ความกลัวความคิดเห็นของผู้อื่น)

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ The First Rule of Mastery: Stop Worrying about What People Think of You โดย Michael Gervais หนึ่งในนักจิตวิทยาชั้นนำของโลกและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและประสิทธิภาพของมนุษย์

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5duvta97

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3vd4pswh

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/NAitX-6fOWY

ด้านมืดของการพัฒนาตนเอง : ทำไมยิ่งพัฒนาตัวเอง ยิ่งรู้สึกแย่ พบคำตอบที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

การพัฒนาตนเองเป็นเส้นทางที่ท้าทายและมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างมีเส้นทางเดินในการพัฒนาตนเองที่แตกต่างกันไป และมันไม่มีสูตรสำเร็จตามหนังสือที่มันตายตัวสำหรับทุกคน

Suzanne Eder ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตนเองได้แบ่งปันมุมมองที่น่าสนใจผ่านเวที Ted Talks ในหัวข้อ The Dark Side of Self Improvement

เธอเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจว่าทุกคนล้วนเคยพยายามพัฒนาตนเองในด้านใดด้านหนึ่ง แต่หลายครั้งกระบวนการนั้นกลับสร้างความอึดอัด ยากลำบาก และใช้เวลานานเกินคาด จนบางครั้งผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เป็นไปตามที่หวัง

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเราเริ่มต้นการพัฒนาตนเอง เรามักถูกดึงดูดเข้าสู่สิ่งที่ Eder เรียกว่า “ด้านมืดของการพัฒนาตนเอง” ซึ่งเกิดจากความเชื่อลึกๆ ในใจว่ามีบางสิ่งผิดปกติในตัวเราที่ต้องได้รับการแก้ไข แม้เราอาจไม่ได้ตระหนักถึงความเชื่อนี้อย่างชัดเจน แต่มันส่งผลกระทบต่อวิธีที่เรามองตัวเอง

เราจะพบกับประสบการณ์ที่ทำให้เราปฏิเสธตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสองด้าน ด้านแรกคือสติปัญญาที่หดหาย เพราะในเมื่อเราเชื่อว่ามีบางสิ่งผิดปกติในตัวเรา เรามักจะมองหาคำตอบจากภายนอก ทิ้งสัญชาตญาณและความต้องการที่แท้จริงของตัวเองไป แล้วหันไปพึ่งพาคำแนะนำของเหล่าโค้ช กูรูต่าง ๆ

ด้านที่สองคือเมื่อเราคิดว่าต้องแก้ไขบางสิ่งในตัวเอง การพัฒนาก็กลายเป็นเพียงการไล่ตามเป้าหมายปลายทาง ทำให้เราละเลยความพึงพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่

เรื่องราวของ Darla ลูกค้าคนหนึ่งของ Eder สะท้อนให้เห็นถึงการติดกับดักด้านมืดนี้ได้อย่างชัดเจน Darla รู้สึกไม่มีความสุขกับงานและหงุดหงิดที่ตัวเองติดแหง็กอยู่กับที่ เธอคิดว่าการได้งานใหม่ในบริษัทที่มีเป้าหมายตรงกับความต้องการของเธอจะทำให้ชีวิตสมบูรณ์แบบขึ้น

หลังจากนั้นเธอจึงทุ่มเทกับการหางานใหม่ตามวิธีทั่วไปที่คนส่วนใหญ่แนะนำ ไม่ว่าจะเป็นการอัพเดตเรซูเม่ สมัครงานผ่านเว็บไซต์ ติดต่อเครือข่ายเก่า ๆ และเข้าร่วมงานเน็ตเวิร์คกิ้ง

แม้ Darla จะเป็นคนเก็บตัวและไม่ชอบงานเน็ตเวิร์คกิ้งเลย แต่เธอก็ฝืนทำต่อไปเพราะต้องการบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ กระทั่งเธอรู้สึกฝืนใจจนเหนื่อล้าจนต้องขอความช่วยเหลือจาก Eder และตัดสินใจร่วมกันว่าให้หยุดการหางานไว้ก่อน

ในช่วงเวลาแห่งการค้นพบตัวเอง Darla ได้พบความจริงสำคัญหลายประการ เธอตระหนักว่าสิ่งที่เธอต้องการอย่างแท้จริงคือการได้ดูแลพ่อแม่ในช่วงบั้นปลายชีวิต เธอจึงคิดได้ว่าตนเองชื่นชอบงานด้านการฝึกอบรมและพัฒนา และที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักว่าเธอเข้มงวดกับตัวเองมากเกินไป

Eder จึงได้แบ่งปันแนวคิดสำคัญว่า “การตัดสินตัวเองจะไม่มีวันพาคุณไปถึงที่ที่คุณต้องการไป”

จากนั้นการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Darla หันมาให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเองก่อนเลย เธอเรียนรู้ที่จะรับฟัง เคารพ และไว้วางใจตัวเองมากขึ้น และตระหนักว่าการพยายามตัดสินตัวเองตลอดเวลานั้นเป็นนิสัยที่แย่ เธอเริ่มรับรู้ถึงสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง แทนที่จะบังคับตัวเองให้ทำตามสูตรสำเร็จของกูรูด้านการพัฒนาตนเองชั้นนำ

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นน่าประทับใจ เพราะ Darla ได้ใช้เวลากับพ่อแม่มากยิ่งขึ้น และเธอก็ได้ค้นพบความสุขในการเขียนเล่าประสบการณ์ของตัวเอง จนถึงขั้นวางแผนที่จะเขียนหนังสือเลยทีเดียว

นอกจากนี้ การที่เธอมีสติมากขึ้นทำให้เธอมองเห็นโอกาสในการทำงานฝึกอบรมและพัฒนาในองค์กรที่อยู่ปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นงานที่เธอรักในท้ายที่สุด

บทเรียนสำคัญจากเรื่องราวของ Darla คือการตระหนักว่าไม่มีสิ่งใดในตัวเธอที่ต้องแก้ไขเลย เธอแค่ต้องกลับมาตั้งสติ เพราะในความมืดเธอเคยคิดว่างานใหม่จะแก้ไขทุกอย่างได้ และพยายามทำตามวิธีที่คนอื่นบอก

แต่เมื่อได้พบกับแสงสว่างที่แท้จริง เธอค้นพบพรสวรรค์ในตัวเอง ความต้องการที่แท้จริงที่ต้องการที่จะดูแลพ่อแม่ในช่วงบั้นปลายชีวิตเท่านั้นเลย การเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของ Darla คือการตระหนักว่าเธอสามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้

Eder แนะนำว่า เมื่อใดที่เรารู้สึกว่าต้องพัฒนาตัวเอง แทนที่จะถามว่า “ฉันต้องแก้ไขอะไร?” ให้เปลี่ยนเป็นคำถามที่สร้างสรรค์มากขึ้น เช่น “ฉันต้องการสร้างอะไร?” “ฉันต้องการประสบพบเจอกับอะไร?” หรือ “ฉันต้องการเติบโตอย่างไร?” การมุ่งเน้นที่การเติบโตมากกว่าเป้าหมายจะช่วยให้เรารู้สึกเติมเต็มในทุกก้าวย่างของชีวิต

การเดินทางสู่การพัฒนาตนเองนั้นเปรียบเสมือนการเติบโตของต้นไม้ ที่ต้องการทั้งแสงแดด น้ำ และเวลาที่เหมาะสม การเร่งการเติบโตหรือพยายามดัดแปลงให้เป็นไปตามรูปแบบที่ผู้อื่นกำหนด อาจทำให้ต้นไม้นั้นอ่อนแอหรือเติบโตอย่างไม่สมดุล เช่นเดียวกับการพัฒนาตนเอง เราต้องให้เวลากับตัวเองในการเติบโตตามจังหวะที่เหมาะสม

ขณะที่ก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งการพัฒนา สิ่งสำคัญคือการไว้วางใจความรู้สึกภายในของตัวเองว่าอะไรถูกต้องและอะไรไม่ใช่ การรับฟังเสียงจากภายในที่บอกถึงสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่ Darla ได้ค้นพบ เพราะการเรียนรู้ที่จะรักตัวเองนั้น คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่แท้จริง

ท้ายที่สุดแล้ว การพัฒนาตนเองที่แท้จริงไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนละคน แต่เป็นการเดินทางกลับสู่ตัวตนที่แท้จริงของเรา การยอมรับว่าเรามีทุกสิ่งที่จำเป็นในการประสบความสำเร็จอยู่แล้ว เพราะสุดท้ายตัวเราเองนั่นแหละคือสิ่งที่จำเป็นที่สุด

References :
The Dark Side of Self Improvement | Suzanne Eder | TEDxWilmington
https://youtu.be/wljRiAofFJ8?si=bFsrXZeDVDmAAuI3