Geek Story EP326 : 5 สุดยอดนักคิด ผู้อยู่เบื้องหลัง iPod เมื่อ Steve Jobs รวมพลทวยเทพ สร้างผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลก

หลายคนอาจเข้าใจว่า iPhone คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก แต่แท้จริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ Apple เริ่มต้นขึ้นก่อนหน้านั้น เมื่อบริษัทตัดสินใจก้าวออกจากการเป็นเพียงผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ มาสู่การสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค โดยมี iPod เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้

ความสำเร็จของ iPod ไม่เพียงช่วยพลิกฟื้น Apple จากบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย ให้กลายเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่นำไปสู่การพัฒนา iPhone และ iPad ในเวลาต่อมา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/2s46wk87

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/32dy3dwr

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/45u58kbn

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/VWLRZ4ExGjI

ทำไม Steve Jobs ถึงถูกไล่ออก? ตำนานผู้กลับมาแก้แค้น เพื่อเปลี่ยน Apple ให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

Steve Jobs คือหนึ่งในตำนานผู้ก่อตั้ง Apple ที่ใครๆ ก็รู้จัก เขาเป็นผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์สุดเจ๋ง สามารถพลิกโฉมธุรกิจจากห้องใต้ดินให้กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก

เส้นทางชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย จากเด็กที่ถูกยกให้เป็นบุตรบุญธรรม สู่เศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุแค่ 22 ปี แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเขามีชื่อเสียงในการเป็นคนที่ทำงานด้วยยากเอามาก ๆ

เขาใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนหลายคนมองว่าเป็นความบ้าคลั่ง แต่ความพิถีพิถันนี้เองที่ทำให้ผลงานของเขาออกมาสมบูรณ์แบบ

Apple ก่อตั้งโดยชายสองคน คือ Steve Jobs และ Steve Wozniak (หรือที่เรียกกันว่า “Woz”) พวกเขาร่วมกันประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประกอบด้วยมือทั้งหมดชื่อ Apple One

จริงๆ แล้วมีผู้ร่วมก่อตั้งคนที่สามชื่อ Ronald Wayne แต่เขาอยู่แค่ 12 วันเท่านั้น ก่อนจะขายหุ้น 10% ของเขาคืนให้กับ Steve และ Woz ในราคาแค่ 800 ดอลลาร์ ซึ่งหุ้นส่วนนี้ปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 200 พันล้านดอลลาร์ พูดได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่น่าเจ็บปวดรวดร้าวมากที่สุดอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ธุรกิจเลยทีเดียว

Jobs และ Wozniak มีบทบาทต่างกันอย่างชัดเจน Jobs เป็นคนคิดไอเดียใหญ่ๆ ดูแลการตลาดและการขาย ส่วน Woz เป็นอัจฉริยะทางเทคนิค ผู้ดูแลการสร้างและพัฒนาคอมพิวเตอร์ ทั้งคู่มีความทะเยอทะยานไม่ต่างกัน แต่ไม่มีใครมีประสบการณ์จริงในการบริหารบริษัทใหญ่

ยอดขาย Apple One ทำให้พวกเขามีเงินพอที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่คือ Apple II ซึ่งเป็นเครื่องที่ดันให้ Apple ก้าวพ้นจากตลาดงานอดิเรกเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคทั่วไป ความสำเร็จนี้ดึงดูดนักลงทุนเข้ามา และนำไปสู่การจดทะเบียนบริษัทอย่างเป็นทางการในปี 1976

Mike Markkula หนึ่งในนักลงทุนรายแรกมองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของ Apple แต่เขาก็รู้สึกว่า Jobs และ Woz ยังขาดประสบการณ์ในการบริหารบริษัท เขาจึงนำ Michael Scott มาเป็นซีอีโอคนแรกของ Apple ในปี 1977 ซึ่งต่อมา Markkula จะเข้ามารับตำแหน่งแทนในปี 1981

เพื่อให้แน่ใจว่า Apple จะเติบโตอย่างถูกทิศทาง Jobs ต้องการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์มากกว่าการบริหารบริษัท เขาจึงดึงตัว John Sculley ซีอีโอของ Pepsi มาดูแล Apple โดยชักชวนด้วยประโยคอันโด่งดังว่า “คุณต้องการขายน้ำตาลผสมน้ำไปตลอดชีวิตหรือคุณต้องการมากับผมและเปลี่ยนโลก”

ในช่วงนี้ Apple ทำงานหนักกับโปรเจกต์ใหญ่สองโปรเจกต์พร้อมกัน คือ Lisa และ Macintosh ซึ่งพัฒนาโดยทีมที่แตกต่างกัน สิ่งนี้ได้สร้างการแข่งขันภายในบริษัทที่นำไปสู่ความขัดแย้งมากมาย

Jobs มีชื่อเสียงด้านการบริหารงานแบบโหดเหี้ยม เขามักเรียกร้องความสมบูรณ์แบบจากทีมงานตลอดเวลา วิธีการบริหารแบบนี้ทำให้เกิดรอยร้าวกับฝ่ายบริหาร จนเขาถูกผลักออกจากโปรเจกต์ Lisa

เขาหันไปมุ่งเน้นที่โปรเจกต์ Macintosh แทน ที่นี่เองที่เขาตั้งกลุ่ม “โจรสลัด Apple” ซึ่งเป็นทีมพัฒนาที่ทำงานอิสระและท้าทายกฎเกณฑ์เดิมๆ

Lisa ไม่ประสบความสำเร็จในที่สุด มันมีราคาแพงลิบลิ่วถึง 9,995 ดอลลาร์ ส่วน Macintosh แม้จะมีโฆษณาสุดเจ๋งในงาน Super Bowl ที่กำกับโดย Ridley Scott แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้า

ไม่นานก็ชัดเจนว่าวิสัยทัศน์ของ Jobs และ John Sculley แตกต่างกันมาก Jobs มุ่งเน้นที่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เทพๆ ในขณะที่ Sculley ต้องการเน้นกำไรและการเติบโตทางธุรกิจ ความแตกต่างนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มเสื่อมถอย

ในเดือนพฤษภาคม 1985 Sculley วางแผนปรับโครงสร้าง Apple โดยจะถอด Jobs ออกจากกลุ่ม Macintosh ให้ไปดูแลการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่แทน ซึ่งจะทำให้ Jobs ไร้อำนาจในบริษัทที่เขาก่อตั้ง

Jobs ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาพยายามวางแผนกำจัด Sculley เพื่อควบคุม Apple แต่แผนของเขาถูกแทงข้างหลัง มีคนไปบอกบอร์ดบริหาร เมื่อถูกเผชิญหน้า Jobs บอกว่าจะลาออก แต่บอร์ดปฏิเสธและขอให้เขาทบทวน

อย่างไรก็ตาม Sculley ยืนกรานจะควบคุม Jobs และได้รับการสนับสนุนจากบอร์ด สุดท้ายในวันที่ 17 กันยายน 1985 Jobs ส่งจดหมายลาออกครั้งสุดท้ายจาก Apple

การจากไปของ Jobs เป็นช่วงเวลาเจ็บปวดที่สุด เขาเคยกล่าวว่า “ตอนอายุ 30 ปี ผมถูกไล่ออกจากบริษัทที่ผมก่อตั้ง สิ่งที่เคยเป็นจุดโฟกัสของชีวิตผมหายไปและมันทำลายจิตใจมาก”

หลังจากการลาออกของ Jobs Apple เริ่มดิ่งลงเหว บริษัทสูญเสียตำแหน่งในการแข่งขันในตลาดคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นช่วงที่ Apple เละเทะเป็นอย่างมาก

ในขณะเดียวกัน Jobs ไม่ได้มัวแต่มานั่งเศร้าซึม เขาไปก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT มุ่งเน้นสร้างคอมพิวเตอร์สำหรับการศึกษาระดับสูง NeXT ไม่ประสบความสำเร็จด้านฮาร์ดแวร์เพราะราคาสูงลิ่วถึง 9,999 ดอลลาร์ แต่ซอฟต์แวร์ที่พัฒนากลับเทพมาก

นอกจากนี้ ในปี 1986 Jobs ยังซื้อแผนกกราฟิกคอมพิวเตอร์จาก Lucasfilm ในราคา 10 ล้านดอลลาร์ และตั้งชื่อว่า Pixar เขาลงทุนเพิ่มอีก 40 ล้านดอลลาร์จากเงินส่วนตัวเพื่อปลุกปั้นบริษัทนี้

Pixar เริ่มต้นด้วยการพัฒนาเครื่องมือแอนิเมชัน 3D สุดล้ำ ต่อมาได้ร่วมมือกับ Disney สร้าง Toy Story ภาพยนตร์แอนิเมชัน CGI 3D เรื่องแรกของโลกที่กวาดรายได้สูงสุดในปี 1995

ปลายปี 1996 Apple กำลังเละไม่เป็นท่า บริษัทขาดทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 1997 มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 4% หุ้นร่วงลงถึงจุดต่ำสุดตลอดกาล หลายคนคาดว่าบริษัทอาจจบเห่ในอีกไม่กี่ปี

การเปลี่ยนแปลงมาในรูปแบบการซื้อ NeXT ในราคา 429 ล้านดอลลาร์ ดีลนี้ไม่เพียงนำระบบปฏิบัติการทันสมัยมาให้ Apple แต่ยังนำ Jobs กลับมาด้วยในฐานะที่ปรึกษาซีอีโอ

ด้วยสถานการณ์ทางการเงินที่แย่ลงเรื่อยๆ Gil Amelio ซีอีโอในขณะนั้นถูกบังคับให้ออก และ Jobs เข้ามาเป็นซีอีโอชั่วคราว แต่เขาไม่รอการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ และเริ่มปรับเปลี่ยนองค์กรทันที

Jobs จัดหนักด้วยการปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ เขายกเลิกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำกำไรหลายรายการ ลดสายผลิตภัณฑ์จาก 15 สายเหลือแค่ 4 สาย ตัดงบประมาณวิจัยและพัฒนา และลดจำนวนพนักงานลงเกือบหนึ่งในสาม

Jobs ยังทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือร่วมมือกับคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft เพื่อรับประกันการลงทุน 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยให้ Apple มีเงินทุนที่จำเป็น

ปี 1998 ผลิตภัณฑ์ที่จะเปลี่ยนโชคชะตา Apple ได้รับการเปิดตัว นั่นคือ iMac คอมพิวเตอร์ all-in-one ดีไซน์โดดเด่นด้วยรูปทรงกลมมนและตัวเครื่องโปร่งใส iMac ไม่เพียงสวยงามแต่ยังมีประสิทธิภาพสูงและใช้งานง่าย ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น

iMac ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น และเปลี่ยนเส้นทางของ Apple ไปตลอดกาล ในปี 2000 Jobs ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการให้เป็นซีอีโอเต็มตัว

ภายใต้การนำของ Jobs Apple ขยายธุรกิจนอกเหนือจากคอมพิวเตอร์ ในปี 2001 บริษัทเปิดตัว iPod และ iTunes Store ซึ่งปฏิวัติวงการเพลง iPod กลายเป็นเครื่องเล่นเพลงพกพายอดนิยมที่สุดในโลก ขายได้กว่า 100 ล้านเครื่องภายในหกปี

ความสำเร็จครั้งใหญ่ต่อมาเกิดขึ้นในปี 2007 เมื่อ Jobs เปิดตัว iPhone โทรศัพท์ที่รวมความสามารถของมือถือ iPod และอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตเข้าด้วยกัน พร้อมหน้าจอสัมผัสที่ใช้งานง่าย iPhone ปฏิวัติอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถืออย่างสิ้นเชิง

ในปี 2010 Apple ยิ่งพุ่งทะยานด้วยการเปิดตัว iPad แท็บเล็ตที่สร้างหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ระหว่างสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป ขายได้มากกว่า 15 ล้านเครื่องในปีแรกเพียงปีเดียว

ในขณะเดียวกัน Pixar ก็โคตรเทพในฐานะสตูดิโอแอนิเมชัน สร้างภาพยนตร์ฮิตหลายเรื่อง ในปี 2006 Disney ซื้อ Pixar ในราคา 7.4 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ Jobs กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดใน Disney

ปี 2011 Apple กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก แซงหน้า ExxonMobil ความสำเร็จที่ไม่น่าเชื่อสำหรับบริษัทที่เกือบล้มละลายเพียง 15 ปีก่อน

แต่น่าเศร้าที่สุขภาพของ Jobs เริ่มถดถอยลงอย่างรุนแรง เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนในปี 2003 ในเดือนสิงหาคม 2011 เขาลาออกจากตำแหน่งซีอีโอและแต่งตั้ง Tim Cook เป็นผู้สืบทอด

เพียงหกสัปดาห์หลังจากลาออก Steve Jobs เสียชีวิตในวันที่ 5 ตุลาคม 2011 ด้วยวัย 56 ปี การจากไปของเขาสร้างความเศร้าโศกไปทั่วโลก

การกลับมาของ Jobs ที่ Apple เป็นเรื่องราวความสำเร็จทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมที่สุด และเป็นบทเรียนเกี่ยวกับความล้มเหลวและการฟื้นตัว

ในสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัย Stanford ปี 2005 Jobs ได้กล่าวว่าการถูกไล่ออกจาก Apple เป็น “สิ่งที่ดีที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับผม” เพราะปลดปล่อยให้เขาเข้าสู่ “ช่วงเวลาแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่สำคัญที่สุดในชีวิต”

เขากล่าวว่า “ความรู้สึกหนักอึ้งของความสำเร็จถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการเริ่มต้นใหม่ ความไม่แน่นอนของทุกสิ่ง ทำให้ผมได้ก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต”

บทเรียนสำคัญจากชีวิตของ Jobs คือการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคและการรักษาความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ แม้จะเจออุปสรรคหนักๆ เขาก็ไม่เคยหยุดสร้างสรรค์ เขาเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นโอกาสในการเติบโต

Jobs สอนเราเกี่ยวกับความสำคัญของการรักในสิ่งที่ทำ ดังที่เขากล่าวว่า “งานของคุณจะเป็นส่วนสำคัญของชีวิต และวิธีเดียวที่จะรู้สึกพอใจอย่างแท้จริงคือการทำสิ่งที่คุณเชื่อว่ายอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำงานยอดเยี่ยมคือการรักในสิ่งที่คุณทำ”

มรดกของ Jobs ยังคงอยู่ผ่านผลิตภัณฑ์ที่เขาช่วยสร้าง ผ่านวัฒนธรรมของนวัตกรรมที่ไม่ประนีประนอม การให้ความสำคัญกับการออกแบบสวยงาม และการทำให้เทคโนโลยีเข้าถึงได้ง่าย

ปัจจุบัน Apple ยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และผลิตภัณฑ์อย่าง iPhone, iPad และ Mac ยังคงเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรม

เรื่องราวของ Steve Jobs เป็นการเตือนใจว่าแม้ในความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็มีโอกาสสำหรับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า หากคุณมีความกล้าที่จะยืนหยัดในความเชื่อและไม่ลดละในการไล่ตามวิสัยทัศน์ของคุณ

เขาสอนเราว่าการคิดต่าง ไม่ใช่แค่การท้าทายสถานะเดิม แต่เป็นการมองเห็นความเป็นไปได้ที่คนอื่นอาจมองข้าม และนั่นคือความเทพที่แท้จริงของ Steve Jobs

ทำไม Apple ถึงทิ้ง Intel? ความกล้าที่เปลี่ยนโลก เส้นทาง 30 ปีของ Apple สู่การปฏิวัติวงการชิป

หลายคนอาจจะสงสัยกันว่าทำไม Apple ถึงเลิกใช้ชิป Intel? เรื่องนี้ต้องบอกว่าน่าสนใจมากๆ เพราะเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สั่นคลอนวงการเทคโนโลยี แถมยังเป็นการตัดสินใจที่กำหนดชะตาอนาคตของ Apple ไปอีกหลายสิบปี

ย้อนกลับไปในปี 2005 Steve Jobs เคยกล่าวชื่นชม Intel ว่าเป็นผู้ผลิตชิปที่โครตเทพทั้งในด้านประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน แต่ความสัมพันธ์ที่ว่าก็มีรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ

ในยุคแรกของ Macintosh นั้นใช้ชิปจาก Motorola ซึ่งตอนแรกทำงานได้เข้าท่าอยู่ แต่พอถึงปี 1990 Motorola ก็เริ่มหันไปให้ความสนใจกับตลาด embedded computer แทน ทำให้การพัฒนาชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเริ่มล่าช้า

ตอนนั้นชิป x86 ของ Intel มีความเร็วเหนือกว่าและรองรับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ PC ได้หลากหลายกว่า แต่เมื่อ Apple ต้องหาผู้ผลิตชิปรายใหม่ พวกเขากลับไม่เลือก Intel เพราะอีกฝ่ายมีพันธมิตรกับ Microsoft และผู้ผลิต PC รายใหญ่อยู่แล้ว

Apple จึงร่วมมือกับ IBM ซึ่งกำลังประสบปัญหาส่วนแบ่งตลาดลดฮวบจาก 40% ในปี 1981 เหลือแค่ 14% ในปี 1990 และเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ ที่ IBM ที่เคยโดน Steve Jobs ชูนิ้วกลางใส่ในปี 1985 กลับมาจับมือเป็นพันธมิตรกัน

ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นเพราะตลาด PC กำลังถูกครอบงำโดย PC โคลนที่นำโดย Compaq ที่ใช้วิธีวิศวกรรมย้อนกลับเพื่อสร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ของ IBM ได้ 100% และมีราคาถูกกว่า

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 1991 เมื่อ Apple, IBM และ Motorola รวมตัวกันก่อตั้ง AIM Alliance โดยมีเป้าหมายสร้างชิปประมวลผลใหม่ชื่อ PowerPC

PowerPC เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ จนทำให้ Intel ต้องออกโฆษณาทีวีซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากสำหรับผู้ผลิตชิป นี่เป็นที่มาของสติกเกอร์ “Intel Inside” ที่ติดอยู่บนคอมพิวเตอร์เกือบทุกเครื่อง

แม้ Steve Jobs กลับมาที่ Apple ในปี 1996 แต่เขาไม่ได้ยกเลิก AIM Alliance กลับสนับสนุนการพัฒนา PowerPC G3 ที่เร็วกว่า Intel 2-3 เท่า เรียกได้ว่าเป็นความเจ๋งที่สุดของยุคนั้น

จุดพีคของชิป PowerPC คือ G5 ที่เปิดตัวเป็นโปรเซสเซอร์เดสก์ท็อป 64 บิตตัวแรกของโลก แต่ความเจ๋งนี้อยู่ได้แค่ 1 เดือน ก่อนที่ AMD จะเปิดตัว Opteron 64 บิต ที่เร็วกว่าประมาณ 25%

ปัญหาใหญ่ของ G5 คือใช้พลังงานมากกว่า G4 ทำให้ต้องมีระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน และแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะนำไปใช้ในแล็ปท็อป ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะ 64% ของ Mac ทั้งหมดที่ขายเป็นแล็ปท็อป

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายเมื่อ IBM ชะลอการพัฒนาชิป PowerPC เพื่อไปโฟกัสกับธุรกิจเซิร์ฟเวอร์ที่ทำกำไรได้มากกว่า ทำให้ Motorola ขาดทุน และ Apple ต้องรอนานขึ้นสำหรับชิปรุ่นใหม่

Steve Jobs ถึงขั้นต้องกลับคำพูดที่เคยสัญญาว่าจะมีชิป 3 กิกะเฮิรตซ์ภายในหนึ่งปี โดยบอกว่าอุตสาหกรรมทั้งหมด “ชนกำแพง” ที่เทคโนโลยี 90 นาโนเมตร ซึ่งจริงๆ แล้วมีเพียงแค่ PowerPC เท่านั้นที่มีปัญหา

ในที่สุด ปี 2005 Jobs ก็ประกาศเปลี่ยนจาก PowerPC ไปใช้ Intel โดยเหตุผลหลักคือประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่ Intel ให้ได้ถึง 70 หน่วย เทียบกับ PowerPC ที่ให้ได้แค่ 15 หน่วย

การเปลี่ยนไปใช้ Intel ทำให้ Mac มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างชัดเจน MacBook Pro ใหม่เร็วกว่า PowerBook G4 ถึง 4-5 เท่า ในดีไซน์ที่บางกว่าเดิม นอกจากนี้ยังทำให้เกิด MacBook Air ที่บางที่สุดในโลกในปี 2008

แต่ความสัมพันธ์กับ Intel ก็มีรอยร้าวเมื่อ Apple ขอให้ Intel สร้างชิปสำหรับ iPhone แต่ถูกปฏิเสธ ทำให้ Apple ต้องจับมือกับ Samsung แทน และเริ่มตระหนักว่าพวกเขาควรมีชิปของตัวเองเพื่อไม่ต้องพึ่งพาใคร

ในปี 2008 Apple ตัดสินใจซื้อกิจการ PA Semi มูลค่า 278 ล้านดอลลาร์ เพื่อเริ่มต้นพัฒนาชิปของตัวเอง ซึ่งตอนนั้นหลายคนมองว่าเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ เพราะไม่มีบริษัทเทคโนโลยีไหนเคยทำสำเร็จ

ผลงานชิ้นแรกคือชิป A4 ที่ใช้ใน iPhone 4 ในปี 2010 ซึ่งไม่เพียงทำให้เครื่องเร็วขึ้น 40% แต่ยังเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่จาก 5 เป็น 7 ชั่วโมง ในดีไซน์ที่บางลง 21%

จุดเปลี่ยนใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2015 เมื่อ Apple พบปัญหากับชิป Skylake ของ Intel และความล่าช้าในการพัฒนาชิป 10 นาโนเมตร จนอดีตวิศวกรของ Intel เผยว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ Apple ตัดสินใจเลิกใช้ Intel

ในปี 2020 Apple เปิดตัวชิป M1 ของตัวเอง ซึ่งเป็นชิปที่โครตโหดทั้งความเร็วและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จนทำให้ The Verge ยกให้ MacBook Air M1 เป็นแล็ปท็อปที่น่าประทับใจที่สุดในรอบหลายปี

ปัจจุบันชิป M4 Max ของ Apple เป็นโปรเซสเซอร์สำหรับผู้บริโภคที่เร็วที่สุดในโลก สามารถถอดเสียงได้เร็วกว่า PC ที่แข่งขันเกือบสองเท่า ในขณะที่ใช้พลังงานน้อยกว่า 7.5 เท่า นับเป็นความเทพองค์ใหม่ของวงการชิป

ความสำเร็จนี้ยังขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Apple ไม่ว่าจะเป็นชิป W1 สำหรับ AirPods, ชิป T1 ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และชิป M-series ที่จัดการข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆ

ด้าน Intel กลับประสบปัญหารุมเร้า ทั้งรายได้ลด 6%, ส่วนแบ่งตลาดลดลง 88.9% และราคาหุ้นดิ่งลงเหว 59% จนต้องตัดงบประมาณบริษัท 20% และ CEO ต้องลาออก

การที่ Apple พัฒนาชิปเองไม่เพียงสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้บริษัทอื่นๆ อย่าง Huawei, Google และ Microsoft หันมาพัฒนาชิปของตัวเองตาม

เส้นทางของ Apple จากการพึ่งพาผู้ผลิตชิปภายนอกสู่การพัฒนาชิปเองแสดงให้เห็นว่าการควบคุมเทคโนโลยีหลักเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล และใครที่กล้าลงทุนในนวัตกรรมย่อมได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาว

สรุปง่ายๆ คือ Apple ไม่ยอมยืมจมูกคนอื่นหายใจอีกต่อไป พวกเขาสร้างทุกอย่างเองตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด และนี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกแบบที่ไม่มีใครเทียบได้

Geek Story EP312 : ทำไม Steve Jobs ถึงถูกไล่ออก? ตำนานผู้กลับมาแก้แค้น เพื่อเปลี่ยน Apple ให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Apple เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในวงการเทคโนโลยีโลก เขาเป็นผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล สามารถผลักดันบริษัทเทคโนโลยีจากธุรกิจเริ่มต้นในห้องใต้ดินให้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทรงอิทธิพล สำคัญ และทำกำไรมากที่สุดในโลก เส้นทางชีวิตและอาชีพของเขาเต็มไปด้วยความท้าทาย อุปสรรค และบทเรียนมากมายที่ทำให้เราได้เห็นว่าความล้มเหลวสามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสแห่งความสำเร็จได้อย่างไร

Jobs กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุเพียง 22 ปี เขามีชื่อเสียงในด้านการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และการไม่ยอมประนีประนอมกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ในขณะเดียวกัน เขาก็มีชื่อเสียงในการเป็นคนที่ยากจะทำงานด้วย มีวิธีการบริหารจัดการแบบเข้มงวด และมีวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลกว่าคนในยุคเดียวกัน สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การถูกไล่ออกจากบริษัทของเขาเอง ก่อนที่จะกลับมาปฏิวัติ Apple และวงการเทคโนโลยีโลกอีกครั้ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/37hxdkps

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/nssmdeek

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4ffmsx7u

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/oaISfckaUwE

After Steve กับเวทมนตร์ที่หายไป Apple ยุคเปลี่ยนผ่าน จากบริษัทดีไซน์สู่บริษัทที่เน้นทำกำไร

Steve Jobs ปั้นให้ Apple กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เมื่อเขาจากไปในปี 2011 ทุกคนสงสัยว่าอนาคตของ Apple จะเป็นอย่างไร เพราะเขาคือคนที่รังสรรค์นวัตกรรมล้ำเลิศมากมายให้กับ Apple

เมื่อ Tim Cook ขึ้นเวทีในเดือนมิถุนายน 2011 เพื่อเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ เขาพยายามบอกผู้ชมว่า “นี่เป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งแรกของผมในฐานะ CEO” แต่ไม่มีใครสนใจเท่าไร ทุกคนถวิลหา Jobs ที่ตอนนั้นป่วยหนักจากมะเร็งตับอ่อน และเสียชีวิตในวันถัดมา

Jony Ive หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Apple ไม่ได้อยู่ในงานนั้น เขาไปอยู่เคียงข้าง Jobs ในช่วงเวลาสุดท้าย Jobs มองว่า Ive สำคัญที่สุดอันดับสองใน Apple รองจากตัวเขาเอง พวกเขาทั้งคู่ทานอาหารกลางวันด้วยกันเกือบทุกวัน

Jobs มักพูดกับ Ive ว่า “เฮ้ Jony นี่เป็นไอเดียโง่ๆ นะ” แต่ก็ให้อิสระ Ive ในการสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ นี่คือความสัมพันธ์ที่ก่อร่างสร้างตัวเป็นผลิตภัณฑ์สุดเจ๋งของ Apple มาแล้วนับไม่ถ้วน

หลัง Jobs จากไป Apple เปลี่ยนการโฟกัสจากการออกแบบไปให้ความสำคัญกับผลกำไรมากขึ้น Cook ทำให้ Apple พุ่งทะยานด้านการเงิน รายได้พุ่งกระฉูดจาก 108.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2011 เป็น 394.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022

Cook ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในจีนและขยายธุรกิจบริการได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ผลิตภัณฑ์ทำเงินสูงสุดยังคงเป็น iPhone ที่สร้างรายได้มากกว่าครึ่งของรายได้ทั้งหมด

Samsung ถึงกับล้อเลียน Apple ในโฆษณาเรื่องนวัตกรรมที่หยุดนิ่ง ว่า “ภาพถ่ายดวงจันทร์สุดอลังการนั้นจะไม่ใช่ของคุณ เพราะนวัตกรรมนี้จะไม่มาถึง iPhone ในเร็วๆ นี้ มันมีอยู่แล้วใน Galaxy”

นักวิเคราะห์ต่างวิจารณ์ Cook ว่าขาดความหลงใหลในเทคโนโลยี David Sobotta อดีตผู้บริหารฝ่ายขายบอกว่า “ผมไม่เคยรู้สึกถึงความหลงใหลในเทคโนโลยีจาก Tim เหมือนที่ผมเคยเห็นจาก Steve”

Jobs เคยทำให้ iPhone เปลี่ยนจากพลาสติกเป็นกระจกแม้ทีมออกแบบจะกังวลว่าจะแตกง่าย เขายืนกรานและบอก Jeff Williams ว่า “ผมไม่รู้ว่าเราจะทำยังไง แต่เมื่อมันวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน มันต้องเป็นกระจก”

Cook แทบไม่เคยแวะเวียนไปที่สตูดิโอออกแบบเลย เขาเลือกเน้นธุรกิจและการดำเนินงาน Cook ตื่นนอนก่อน 4 นาฬิกาเพื่อตรวจสอบข้อมูลการขาย เขาเคยบอกว่า “สินค้าคงคลังเป็นสิ่งชั่วร้ายโดยพื้นฐาน”

Ive ต้องรับผิดชอบทั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์และซอฟต์แวร์ หลังจาก Scott Forstall หัวหน้าฝ่ายออกแบบซอฟต์แวร์ถูกไล่ออกเพราะความล้มเหลวของ Apple Maps ที่เละเทะไม่เป็นท่า

ปี 2012 Ive จัดให้ผู้บริหารระดับสูงประชุมเกี่ยวกับอุปกรณ์สวมใส่ที่มีเซ็นเซอร์ตรวจสุขภาพ แต่ Cook ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม โดยส่งข้อความมาบอกว่าเขาไม่มีแผนที่จะนำพา Apple ไปในรูปแบบเดียวกับ Jobs

Apple Watch เปิดตัวในเดือนกันยายน 2014 สามปีหลังจาก Jobs จากไป แม้จะมีความตื่นเต้นในงานเปิดตัว แต่ปฏิกิริยาของสื่อค่อนข้างเย็นชา Bloomberg พาดหัวว่า “คุณจะอยากได้มัน แต่คุณไม่จำเป็นต้องมีมัน”

Ive คาดว่าจะขาย Apple Watch ได้ 40 ล้านเรือนในปีแรก แต่ขายได้เพียง 12 ล้านเรือน การพัฒนานาฬิกาดูดพลังงานออกไปจาก Ive มาก เขาบอกกับ New Yorker ว่ารู้สึก “เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก”

Ive ต้องต่อสู้เพื่อวิสัยทัศน์ของเขา เช่น การโน้มน้าวทีมการตลาดว่านาฬิกาต้องทำการตลาดในฐานะเครื่องประดับแฟชั่นมากกว่าอุปกรณ์เทคโนโลยี

Cook ดูเหมือนจะบีบคั้น Ive มากเกินไป จนเขาต้องไปพักผ่อนสามสัปดาห์ที่ฮาวายเพื่อผ่อนคลาย เป็นการพักยาวที่สุดที่เขาเคยมีในรอบหลายปี

เมื่อ Ive บอกว่าต้องการออกจาก Apple Cook ตกใจมาก ทางออกคือให้ Ive ลดบทบาทลงเป็นพาร์ทไทม์ และมุ่งเน้นที่โครงการในอนาคต เช่น การออกแบบสำนักงานใหญ่ใหม่ของ Apple

Apple พยายามสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใน Project Titan ซึ่ง Ive จินตนาการถึงรถที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่ Apple พบว่าการสร้างรถยนต์อัตโนมัติยากมาก และไม่มีผู้นำที่มีความมุ่งมั่นอย่าง Jobs

Apple จึงหันไปทำหูฟังไร้สาย AirPods แทน แม้ตอนแรกผู้คนจะมองว่ามันดูแปลกและอาจหล่นจากหูง่าย แต่ AirPods ก็กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว

อิทธิพลของ Ive ในบริษัทเริ่มลดลงเรื่อยๆ Cook แต่งตั้ง James Bell อดีทประธานฝ่ายการเงินของ Boeing เข้าคณะกรรมการ Apple แทนที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดที่ Ive ต้องการ

ผู้บริหาร Apple บางคนไม่พอใจที่ Ive ย้ายการประชุมไปที่คลับส่วนตัวในซานฟรานซิสโก และรู้สึกว่าเขาได้รับค่าตอบแทนมากเกินไป ซึ่งไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะเพราะไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่บริหาร

นักออกแบบหลายคนเริ่มลาออก Imran Chaudhri ส่งอีเมลอำลาโดยเขียนว่า “น่าเสียดายที่สายน้ำเหือดแห้ง และเมื่อเป็นเช่นนั้น คุณก็มองหาสายน้ำใหม่” ทำให้ผู้บริหารโกรธจนไล่เขาออก

ปี 2019 Apple เตรียมฉลองการเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ แต่พ่อของ Ive มีอาการหลอดเลือดสมอง เขารีบกลับไปอยู่กับพ่อที่สหราชอาณาจักร เหตุการณ์นี้ทำให้ Ive ตัดสินใจกลับไปอยู่ที่อังกฤษกับครอบครัว

เดือนมิถุนายน 2019 Ive บอกทีมออกแบบว่าเขาจะออกจาก Apple เพราะ “ไม่อยากไปประชุมบ้าๆ พวกนั้นอีกแล้ว” เขาตั้งบริษัทออกแบบ LoveFrom และทำสัญญาที่ปรึกษากับ Apple มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ แต่ความร่วมมือนี้ก็จบลงในปี 2022

Jobs เคยเตือนเรื่องชะตากรรมของบริษัทยักษ์ใหญ่หลังผู้ก่อตั้งจากไป เขาบอกว่า “เมื่อบริษัทเริ่มให้คุณค่ากับพนักงานขายที่เก่งๆ เพราะพวกเขาเป็นคนที่สร้ายรายได้ให้กับบริษัท ไม่ใช่วิศวกรผลิตภัณฑ์และนักออกแบบ สุดท้ายบริษัทเหล่านี้ก็จะประสบพบเจอกับชะตากรรมเดียวกันที่จะนำไปสู่ความล่มสลาย”

ทุกวันนี้ Apple ยังเป็นบริษัทมูลค่าสูงที่สุดในโลก แต่หลายคนสงสัยว่าบริษัทจะยังสร้างผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนโลกได้อีกหรือไม่ ตอนนี้ Apple ดูเหมือนจะเน้นสร้างระบบนิเวศผลิตภัณฑ์และบริการมากกว่าการปฏิวัติวงการเหมือนในยุค Jobs

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การเปลี่ยนแปลงที่ Apple แสดงให้เห็นว่าไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวในการบริหารบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก แต่ความสำเร็จในระยะยาวขึ้นอยู่กับการรักษาสมดุลระหว่างกำไรและนวัตกรรม ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายสุดโหดที่ไม่มีใครทำได้ง่ายๆ นั่นเองครับผม