PayPal Wars ตอนที่ 3 : Mega-Merger

FEBRUARY—MARCH 2000

X.com ก่อได้ก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อการแข่งขันกับ PayPal ของ Confinity ซึ่งแม้ว่าความสำเร็จของ PayPal ใน ebay จะช่วยเร่งการเติบโตให้ PayPal ได้มากเพียงใด แต่การเปิดตัวที่ฉูดฉาดกว่าของ X.com รวมถึงเงินทุนสำรองที่มีมหาศาลจาก Elon Musk เมื่อเทียบกับสถานะของ PayPal ที่ดูเหมือนทุนจะร่อยหรอลงไปทุกที

แม้การแข่งขันจะเป็นเรื่องดีต่อผู้บริโภค แต่เมื่อมองเกมนี้ในระยะยาวแล้วนั้น PayPal จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ X.com เป็นอย่างมาก เพราะทาง X.com นั้นพร้อมที่จะกระโจนมาเล่นในตลาดเดียวกับ PayPal ด้วยข้อเสนอที่เย้ายวนกว่านั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโบนัส หรือ ค่าธรรมเนียม ที่ X.com นั้นพร้อมจะตัดราคาสู้

สุดท้าย Thiel จึงต้องตัดสินในครั้งสำคัญ นั่นก็คือ การควบรวมกิจการกับ X.com โดยให้คนกลางอย่าง Bill Harris ซึ่งมีชื่อเสียงจากการที่เคยเป็น CEO ของ Intuit บริษัที่สร้าง Quicken และ QuickBooks

Thiel จะรับตำแหน่งรองประธานอาวุโสด้านการเงิน ส่วน Elon Musk ประธานของ X.com จะเป็นประธานของบริษัทใหม่นี้ เนื่องจาก Musk จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของบริษัทใหม่ และให้ Max รับตำแหน่ง CTO ของบริษัท

โดยในขณะที่ทั้ง PayPal และ X.com กำลังจูบปากกันอย่างดูดดื่มนั้น มันก็ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งสอง เพราะบริการของพวกเขาที่ตอนนี้มีผู้ใช้งานส่วนใหญ่อยู่ในเว๊บไซต์ประมูลชื่อดังอย่าง ebay นั้น กำลังจะมีคู่แข่งคนสำคัญโผล่ขึ้นมาอีก 1 ราย

เพราะ ebay ได้ประกาศเปิดตัว Billpoint บริการชำระเงินออนไลน์ของตัวเองขึ้นมา เนื่องจากเห็นความสำเร็จของทั้ง PayPal และ X.com ที่กำลังไปได้ดีบนแพลตฟอร์มของ ebay

แล้วทำไม ebay จะไม่ทำเสียเอง เพราะเป็นบริการที่ช่วยตอบโจทย์ลูกค้าของพวกเขาเองแทบจะทั้งสิ้นอยู่แล้ว ซึ่งการสร้างบริการประมวลผลบัตรเครดิตที่ใช้งานได้สำหรับผู้ขายใน ebay ผ่าน Billpoint นั้น มีจุดประสงค์ก็เพื่อปรับปรุงธุรกิจหลักของ ebay เอง

ซึ่งรูปแบบการประมูลที่มีการหมุนเวียนอยู่ในระบบของ ebay นั้นจะเกิด transaction จำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของค่าธรรมเนียมซึ่งเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของ ebay และมันจะเพิ่มขึ้นได้หากมีบริการของ Billpoint เข้ามาเสริมในจุดนี้ และที่สำคัญยังได้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Wells Fargo เข้ามาร่วมลงทุนใน Billpoint เพิ่มเติมอีกด้วย

ebay ส่งบริการอย่าง Billpoint มาสู้กับ X.com และ PayPal
ebay ส่งบริการอย่าง Billpoint มาสู้กับ X.com และ PayPal

และการชำระเงินออนไลน์ ก็ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่แข่งกันอย่างดุเดือด ในเดือนมีนาคมปี 2000 การที่ Confinity และ X.com ได้รวมตัวกัน รวมถึง ebay ที่ได้ผนึกหุ้นส่วนกับ Wells Fargo หรือ รายอื่น ๆ อย่าง dotBank และ PayMe ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาด มันทำให้ศึกนี้เต็มไปด้วยความดุเดือด

Yahoo ที่เป็นยักษ์ใหญ่ด้าน เว๊บไซต์พอร์ทัล ในขณะนั้น ก็เริ่มสนใจในตลาดนี้เช่นกัน ซึ่ง Yahoo ก็มองว่าบริการชำระเงินออนไลน์นั้นจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการซื้อขายบนเว๊บไซต์ของ Yahoo เช่นเดียวกัน จึงมีความคิดที่จะซื้อกิจการของ PayPal ที่ควบรวมกับ X.com แต่โดน Thiel และ Musk ปฏิเสธไป

หรือแม้กระทั่ง ebay เองก็ตาม Yahoo ก็เคยพยายามตามตื้อที่จะเข้าซื้อกิจการอยู่เช่นเดียวกัน เนื่องจากมีเงินสดจำนวนมากหลังจากได้ทำ IPO ได้สำเร็จ แต่ ebay เองที่มีผู้บริหารคือ Meg Whitman ก็ต้องการที่จะนำ ebay ทำ IPO เช่นเดียวกัน Deal ดังกล่าวจึงไม่ได้เกิดขึ้น

สุดท้าย Yahoo จึงได้ไปทำการซื้อกิจการของ Dotbank แทน แต่ตอนนั้นมันก็ช้าไปเสียแล้วเนื่องจากดูเหมือนว่า Dotbank จะตามคนอื่นไม่ทันแล้วในตลาดชำระเงินออนไลน์ โดย Yahoo ได้ประกาศปิดเว๊บไซต์ Dotbank และเปลี่ยนบริการมันให้กลายเป็น Yahoo PayDirect แทนในที่สุด

และภายในเพียงแค่ 6 เดือนหลังจากนั้น ตลาดบริการชำระเงินออนไลน์ ก็มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามามากมาย นั่นคือ บริษัท startup 4 แห่ง (X.com ,PayMe, PayPlace และ gMoney) บริการพอร์ทัลอย่าง Yahoo PayDirect รวมถึงบริการของธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง eMoneyMail ของ Bank One และ พันธมิตร ebay-Wells Fargo (Billpoint) ซึ่งทุกฝ่ายต่างต้องการรที่จะก้าวไปสู่จุดสูงสุดด้วยการครอบงำตลาดการชำระเงินออนไลน์ให้ได้ทั้งหมด

Yahoo ก็ลงมาเล่นในตลาดนี้ด้วยบริการ Pay Direct
Yahoo ก็ลงมาเล่นในตลาดนี้ด้วยบริการ Pay Direct

แต่ดูเหมือนว่าในบรรดาคู่แข่งทั้งหมดนั้น บริการที่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของ X.com (หลังควบรวมกับ PayPal) ก็คือ Billpoint ที่มี ebay คอยหนุนหลังอยู่นั่นเอง เพราะเป็นตลาดใหญ่ของ X.com เช่นเดียวกันในขณะนั้น

ebay เริ่มเล่นงาน X.com ทันทีด้วยการประกาศนโยบายใหม่ โดยอ้างเรื่องความจำเป็นในการรักษาภาพลักษณ์ของเว๊บไซต์ ebay ให้ไม่ดูรกตา เพราะตอนนั้น X.com ได้เข้าไปสร้างบริการที่ ผูกไว้กับ ebay แบบหลวม ๆ และเต็มไปด้วยหน้าจอต่างๆ มากมายสำหรับลูกค้าไว้ใช้งานบริการของ X.com ในการชำระเงินผ่านการประมูล

การอ้างเรื่องนโยบายใหม่ของ ebay นั้นต้องบอกว่าทำให้ X.com นั้นลำบากขึ้นมากในการให้บริการบน ebay ซึ่ง Reid Hoffman ได้กล่าวถึงภัยคุกคามดังกล่าว ไม่เพียงแต่ทำให้ PayPal เสี่ยงต่อการสูญเสียลูกค้าปัจจุบันเพียงเท่านั้น แต่นโยบายนี้ ยังขัดขวางไม่ให้พวกเขาสามารถหาลูกค้าใหม่ได้สะดวกเหมือนเก่าอีกต่อไป มันเป็นการเล่นเกมสงครามประสาทจาก ebay แทบจะทั้งสิ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมันเป็นแพลตฟอร์มของพวกเขา

และที่สำคัญ ณ ขณะนั้น PayPal เริ่มมีอัตราการเผาเงินที่เพิ่มสูงขึ้น และธุรกรรมต่าง ๆ ของ PayPal และ X.com นั้นยังคงฟรีสำหรับผู้ใช้งานทุกคน โดยในไตรมาสแรกของปี 2000 นั้นพวกเขามีรายรับเพียงแค่ 1.2 ล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงถึง 23.5 ล้านเหรียญ ทำให้ดุลบัญชีเงินสดของพวกเขาเริ่มร่อยหรอ ลงไปทุกที

ซึ่งเป็นหน้าที่ของ Thiel ที่จะต้องปิดการระดมทุนเงินเข้าบริษัท ให้ได้ 100 ล้านเหรียญโดยเร็วที่สุด โดย Thiel และ ทีมงานของเขาได้เดินทางรอบโลก เพื่อเข้าแถวหานักลงทุน เพราะในขณะนั้น ต้องบอกว่า ตลาดทุนทั้งภาครัฐ และเอกชน ทั่วโลกมีความกระหายที่ไม่รู้จักพอสำหรับบริษัทเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัท ที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจดอทคอม

โดยในช่วงเวลาดังกล่าวอเมริกา มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางด้านการเงินบางอย่างที่ทำให้ปริมาณเงินในระบบลดลง รวมถึงราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด และเศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว แม้นักลงทุนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้น

แต่มันมีสัญญาณบางอย่าง ที่เริ่มส่งสัญญาณไม่ดีออกมา ซึ่ง Thiel นั้นสังเกตเห็นก่อนใคร รีบพยายามปิดดีลการลงทุนทั้งหมด สั่งทีมงานของเขาให้เร่งโทรศัพท์อย่างไม่หยุดยั้งจนกระทั่งได้เงินครบ 100 ล้านเหรียญตามความต้องการของเขาในที่สุด

ฟองสบู่ดอทคอมแตก ที่ X.com และ PayPal รอดมาได้อย่างหวุดหวิด
ฟองสบู่ดอทคอมแตก ที่ X.com และ PayPal รอดมาได้อย่างหวุดหวิด

และวันแห่งความวิบัติ ก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ในวันที่ 3 เมษายน ปี 2000 หุ้น NASDAQ ทรุดตัวลงสู่ 4,223 จุด เกิดฟองสบู่ดอทคอมแตก ทำให้บริษัทมากมายต้องล้มหายตายจากไปจากธุรกิจดอทคอม ซึ่งต้องบอกว่าเป็นสถานการณ์ที่หวุดหวิดมาก ๆ สำหรับ Thiel เพราะหากเขาปิดดีลเงินลงทุนช้าไปเพียงแค่ 2-3 วัน การล่มสลายของตลาดหุ้นจะทำให้ X.com ล้มครืนลงไปได้ทันที

และการที่รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ด้วยเงินทุน 100 ล้านเหรียญก้อนนั้น การควบรวมกิจการ และการเติบโตอย่างรวดเร็วของพวกเขา ก็พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปแล้ว แล้วบททดสอบครั้งต่อไปของพวกเขาจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง กับเป้าหมายที่พวกเขาต้องการที่จะปฏิวัติระบบชำระเงินแบบออนไลน์ให้สำเร็จให้ได้ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 4 : Growing Pains

อนกลับไปตอนที่ 1 :The New Recruit *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

PayPal Wars ตอนที่ 1 : The New Recruit

NOVEMBER—DECEMBER 1999

Eric Jackson นั้นได้มีโอกาสพบกับ Peter Thiel ครั้งแรก ในกิจกรรมของหนังสือพิมพ์อิสระที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่ก่อตั้งโดย Peter Thiel ในปี 1987 โดยหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวนั้นก็คือ แสตนฟอร์ด รีวิว ที่มีบทบาทสำคัญต่อมหาวิทยาลัยในขณะนั้น

หลังจากจบการศึกษาที่ สแตนฟอร์ดในปี 1998 ตัว Eric นั้นได้เข้าไปร่วมงานกับบริษัทที่ปรึกษาชื่อดังอย่าง Arthur Andersen ในเมืองซานฟรานซิสโก โดยเขาได้เตรียมการที่จะสั่งสมประสบการณ์ที่ Andersen เพื่อไต้เต้าขึ้นไปตามวิถีทางปรกติของเหล่าพนักงานมืออาชีพทั่วไป

แต่การได้มาพบกับ Peter Thiel อีกครั้ง เมื่อตัว Thiel ได้กลับไปที่มหาวิทยาลัย เพื่อบรรยายเรื่องเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างตลาดทุนนิยมกับเสรีภาพทางด้านการเมือง ซึ่งการบรรยายครั้งนั้น แน่นอนว่ามีผู้เข้าชมการบรรยายของเขามากมายเพราะ Thiel ถือเป็นหนึ่งในศิษย์เก่าที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของมหาลัยสแตนฟอร์ดในขณะนั้น

โดยตอนนั้น Thiel เพิ่งกลับมาอยู่ที่ซานฟรานซิสโก หลังจากได้ไปท่องอยู่ในวอลล์สตรีทอยู่นานหลายปี โดยเขากลับมาตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยงของตัวเอง และการบรรยายในครั้งนี้นั่นแน่นอนว่า มันช่วยส่งแรงบันดาลใจให้ชายหนึ่งที่จะกลายมาเป็นคนที่บทบาทสำคัญกับบริษัทใหม่ของ Thiel นั่นเอง

Max Levchin ชายหนุ่มโปรแกรมเมอร์อายุ 24 ปีในขณะนั้น สนใจในคำพูดของ Thiel ที่ไปบรรยายเป็นอย่างมาก โดย Max นั้นเติบโตขึ้นเป็นชาวยิว ในสหภาพโซเวียต เขาต้องดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตในโซเวียตเป็นอย่างมาก เพราะปัญหาเรื่องความเป็นยิวของเขานั่นเอง

จึงทำให้เขาต้องดิ้นรนอพยพมาอยู่ที่เมืองชิคาโกในปี 1991 โดย Max นั้นเริ่มต้นด้วยการศึกษาคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง และเขาพยายามดิ้นรนจนสามารถเรียนจบการศึกษาจาก University of Illinois ที่ Urbana-Champaign ได้สำเร็จ

หลังจากเรียนจบ Max ได้ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า NetMeridian ขึ้น โดยสร้างเครื่องมือทางการตลาดแบบอัตโนมัติ หลังจากประสบความสำเร็จก็ได้ขาย NetMeridian ให้กับ Microsoft แล้วตัว Max ก็ย้ายไปที่ Silicon Valley โดยเริ่มมองหาแนวคิดที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ครั้งใหม่ของตัวเขาเอง

ซึ่งด้วยความที่เคมีตรงกันอย่างมากหลังจากงานบรรยาย และได้ทำการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในอีกไม่กี่อาทิตย์หลังจากนั้น ทั้งคู่ได้ตัดสินใจที่จะร่วมกันสร้างบริษัทที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลของลูกค้า ซึ่งจะสร้างบริการให้ผู้ใช้งานสามารถเก็บข้อมูลที่เข้ารหัสบน Palm Pilots รวมถึงเครื่อง PDA ชนิดอื่น ๆ ที่กำลังเป็นตลาดที่เติบโตสูงในยุคนั้น

พวกเขาตั้งชื่อมันว่า Fieldlink เนื่องจาก Palm ใช้พอร์ตอินฟาเรดเพื่อเชื่อมโยงและส่งสัญญาณข้อมูลระหว่างกัน ซึ่ง Thiel นั้นได้เริ่มต้นลงทุนโดยช่วยหาทุนจากกองทุนของเขาเอง และทำการโน้มน้าว Max ให้กลายเป็น CEO แบบเต็มเวลา

Max Levchin ผู้ร่วมก่อตั้งคนสำคัญ
Max Levchin ผู้ร่วมก่อตั้งคนสำคัญ

แม้ว่าการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลนั้นจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่การจะมาทำบริการดังกล่าวให้เป็นเชิงพานิชนั้นมีข้อจำกัดอยู่มาก จะมีลูกค้ากลุ่มใดที่ต้องการเข้ารหัสข้อมูลพวกนี้บน PDA ของพวกเขา และทำไปเพื่ออะไร? แล้วรายได้บริษัทจะมาจากไหน?

แต่มันเป็นที่มาของการนำพา Thiel ให้คิดถึงเรื่องการชำระเงินออนไลน์ เพราะความต้องการชำระเงินนั้นเป็นเรื่องสากล แต่ตอนนั้นตลาดยังโบราณคร่ำครึ ผู้คนใช้แค่บัตรเครดิต กับ ATM เท่านั้นในการชำระเงิน และใช้มันมาเป็นเวลานานมาแล้วด้วย

ซึ่งแนวคิดของ Fieldlink นี่เอง ที่เป็นก้าวแรกในการพัฒนาโซลูชั่นให้กับ Palm Pilots เพื่อให้เจ้าของสามารถใช้งานแพลตฟอร์มที่เป็นกระเป๋าเงินแบบดิจิตอลได้นั่นเอง ซึ่ง Thiel และ Max ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น Confinity ซึ่งเป็นการรวมกันของคำว่า “ความมั่นใจ” และ “ไม่สิ้นสุด”

ด้วยความสามารถในการดึงดูดนักลงทุนของ Thiel เพียงไม่นาน ก็มีเหล่าธนาคารรวมถึงกลุ่มทุนต่าง ๆ อัดฉีดเงินเข้ามาอย่างมากมาย ทำให้พนักงานของ Confinity เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นคือ Kenny Howery ที่ Thiel ดึงตัวมากจากบริษัทกองทุนความเสี่ยงของตัวเอง เพื่อให้มาช่วยเหลืองานของ Confinity และได้ตั้งสำนักงานใหม่ขึ้นที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และตอนนี้ Confinity ก็พร้อมที่จะปฏิวัติการชำระเงินออนไลน์โลกแล้ว

และ Eric Jackson ก็ได้ตกลงเข้ามาทำงานกับ Thiel เช่นเดียวกันในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด หลังจากได้ไปฟังงานบรรยายเดียวกับ Max Levchin โดย Eric ได้ลาออกจากงานที่ค่อนข้างมั่นคงที่ Andersen เพื่อมาลุยกับบริษัท Startup หน้าใหม่อย่าง Confinity ที่กำลังจะพลิกโฉมการเงินของโลกไปตลอดกาล

รวมถึง Reid Hoffman ที่มาดำรงตำแหน่งประธานของบริษัท ที่รายงานตรงต่อ Thiel เนื่องจากเป็นเพื่อนเก่าแก่ของ Thiel มาตั้งแต่สมัยเรียนที่สแตนฟอร์ด และยังเพื่อนที่ Thiel นั้นไว้ใจค่อนข้างมาก

Reid Hoffman เพื่อนสนิทของ Thiel สมัยเรียนสแตนฟอร์ด
Reid Hoffman เพื่อนสนิทของ Thiel สมัยเรียนสแตนฟอร์ด

ในช่วงแรกนั้น Confinity แทบจะไม่ใช่สภาพของบริษัทจริงจังเลยด้วยซ้ำ เพราะเต็มไปด้วยเหล่าเนิร์ดคอมพิวเตอร์มากมาย คอยมุ่งมั่นเขียนโปรแกรม และพัฒนา version แรกของ PayPal ออกมาให้สำเร็จ

เป็นสภาพแวดล้อมการทำงานแบบบริษัทดอทคอมยุคแรก ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนหอพักเสียมากกว่า เต็มไปด้วยบอร์ดเกมส์ เกลื่อนพื้นห้องทำงาน กล่องพิซซ่าที่เรี่ยราด เหล่าพนักงานก็สวมเสื้อยืด และกางเกงขาสั้น เพื่อทำงานได้อย่างสะดวกสบาย มันเป็นบรรยากาศที่แตกต่างอย่างมากที่ Eric ต้องเจอ เรียกได้ว่าเป็น Culture Shock ของเขาเลยทีเดียวเมื่อย้ายมาจากบริษัทชั้นนำอย่าง Anderssen ที่เต็มไปด้วยมืออาชีพ และ ออฟฟิสที่ดูหรูหราย่านใจกลางเมืองซานฟรานซิสโก

ที่ Confinity นั้นพนักงานโดยเฉลี่ยอายุประมาณ 25 ปี ดูเหมือนว่า Thiel นั้นจะแก่สุดในบรรดาพนักงานทั้งหมดของบริษัทเลยด้วยซ้ำ ตัว Max Levchin ก็อายุเพียง 25 และวิศวกรส่วนใหญ่ที่เขาจ้างมาก็เป็นร่วมชั้นเรียนในสมัยมหาวิทยาลัยแทบจะทั้งสิ้น

แต่สิ่งเหล่านี้มันดูสวนทางกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของ Thiel ในการสร้าง PayPal ซึ่งคนทั่วโลกต้องใช้เงิน เพื่อรับเงินหรือแลกเปลี่ยนเพื่อมีชีวิตอยู่ เงินกระดาษนั้นเป็นเทคโนโลยีโบราณและเป็นวิธีการชำระเงินที่ไม่สะดวกเอามาก ๆ

ในศตวรรษที่ 21 ผู้คนต้องการรูปแบบของเงินที่สะดวก และปลอดภัยมากขึ้น และสามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ด้วย PDA หรือการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ซึ่ง Thiel นั้นเชื่อว่า Paypal จะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ ซึ่ง Paypal จะทำให้พลเมืองทั่วโลก สามารถควบคุมสกุลเงินของพวกเขาได้โดยตรงกว่าที่เคยมีมา และ Paypal จะกลายเป็น Microsoft ของการชำระเงิน หรือระบบปฏิบัติการทางการเงินของโลกนั่นเอง

Doohan ที่ดูแลฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทนั้นเลือกที่จะเปิดตัว Paypal อย่างยิ่งใหญ่ ให้กับสื่อเป็นครั้งแรก โดยเขาได้ทำการว่าจ้าง Scotty ซึ่งเป็นดารานำของหนังดังอย่าง Star Trek ให้มารับบท Presenter ของ Paypal ในงานเปิดตัวครั้งนี้

และที่สำคัญที่สุด ตอนนี้ PayPal เวอร์ชั่นแรก นั้นพร้อมแล้ว ที่จะเปิดตัวให้โลกได้เห็นถึงวิวัฒนาการ การชำระเงินรูปแบบใหม่ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกไปตลอดกาล แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ PayPal และเหล่าทีมงานยอดอัจฉริยะของ Confinity โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 2 : BreakThrough

Blog Series : The PayPal Wars

เรื่องราวของ Paypal นั้นต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในสงครามการต่อสู้ทางธุรกิจครั้งใหญ่ที่ได้เกิดขึ้นด้วยความเฉลียวฉลาด ความมุ่งมั่น เมื่อบริการชำระเงินออนไลน์ของ Paypal ได้เปิดตัวขึ้นในช่วงปลายยุคดอตคอม

ซึ่งแน่นอนว่ามันหนึ่งในการปฏิวัติเทคโนโลยีครั้งสำคัญ ที่เหล่ากลุ่มคนยุคใหม่กล้าที่จะต่อสู้กับระบบการเงินของโลก และปฏิวัติมันได้สำเร็จ ด้วยการเริ่มต้นจาก Startup ใน Silicon Valley

ด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดครั้งนึงของการปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยีการชำระเงิน ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งที่เป็นเหล่าสถาบันทางการเงิน รวมถึงธนาคารข้ามชาติ ก็เห็นถึงศักยภาพในการทำกำไรของระบบการชำระเงินออนไลน์แบบที่ Paypal คิดจะทำ แน่นอนว่าย่อมมีผู้เสียประโยชน์ และที่สำคัญเหล่าคนที่เสียประโยชน์นั้น เป็นกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจและอิทธิพลอย่างยิ่งของโลกการเงินในขณะนั้น

แน่นอนว่ากว่าพวกเขาจะผ่านมาได้นั้น เรียกได้ว่า ผ่านสิ่งต่าง ๆ มามากมาย ก่อนที่โลกเราจะสามารถปฏิวัติระบบการเงินแบบออนไลน์นี้ขึ้นมาได้สำเร็จ Blog Series ชุดนี้จะพาไปย้อนเวลา ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ Paypal ที่ต้องต่อสู้ด้วยเหลี่ยม ด้วยกล ด้วยวิถีทางต่าง ๆ มากมาย กว่าจะเอาชนะกลุ่มผู้มีอิทธิพลต่อการเงินของโลกลงได้สำเร็จ

และที่สำคัญมันได้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเหล่า Paypal Mafia ที่มาเป็นกำลังขับเคลื่อนทางด้านเทคโนโลยีให้กับประเทศอเมริกาจนประสบความสำเร็จมากมายอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั่นเองครับ

สำหรับเรื่องราวชุดนี้จะนำมาจากหนังสือ The PayPal Wars โดย Eric M.Jackson ผู้ที่เป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ของการปฏิวัติครั้งสำคัญครั้งนี้นั่นเองครับ

The PayPal Wars by Eric M.Jackson
The PayPal Wars by Eric M.Jackson

ถ้ายังไงก็อย่าพลาดติดตามกันนะครับ สำหรับ Blog Series ชุดนี้ รับรองสนุกไม่แพ้เรื่องไหน ๆ ที่ผ่านมาอย่างแน่นอนครับผม

–> อ่านตอนที่ 1 : The new Recruit

Paypal Mafia ตอนที่ 13 : Russel Simmons

Russel Simmons เป็นหนึ่งใน Paypal Mafia ชาวอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและอดีต CTO ของ Yelp, Inc ร่วมกับ กับ Stoppelman ในปี 2004 ก่อนที่เขาจะออกไปในเดือนมิถุนายน 2010 

Simmons จบการศึกษาปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ Urbana-Champaignในปี 1998 สาขาวิทยาศาสตร์ในสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์

Simmons นั้นได้เริ่มต้นเป็นวิศวกร PayPal คนแรกในตำแหน่ง CTO (Chief Technology Officer) โดยเขาได้ช่วยออกแบบและพัฒนาระบบ PayPal ตั้งแต่เริ่มต้น ในฐานะผู้นำด้านซอฟต์แวร์ ซึ่งตอนนั้นเป็นทีมเล็ก ๆ โดยตัวเขานั้นถือเป็นวิศวกรที่มีอาวุโสสูงที่สุดในช่วงเริ่มแรกของ Paypal

งานรวมถึงซอฟต์แวร์ด้านความสามารถใน Scale ขนาดของเว๊บไซต์ให้รองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้น รวมถึงงานด้านการรักษาความปลอดภัย รวมถึงการปรับ paypal ให้มีความพร้อมใช้งานในระดับสากล เขายังทำการการจัดการเรื่อง Sourcecode ของเหล่าวิศวกรภายในทีม และเป็นที่ปรึกษาเหล่าผู้บริหารยุคแรก ๆ ในการการตัดสินใจทางด้านเทคโนโลยี

หลังจาก Paypal ถูกขายให้กับ Ebay เขาก็ยังอยู่ทำงานกับ Paypal ก่อนที่ในปี 2004 จะมาร่วมกับ Stoppelman เพื่อนร่วมงานสร้างบริการของ Yelp ซึ่งเริ่มแรกเป็นบริการแนะนำอีเมล โดยเขาได้ปรับเปลี่ยนเป็นเว็บไซต์ Yelp ให้กลายเป็นบริการที่ใช้ในการค้นหาธุรกิจท้องถิ่นสำหรับพื้นที่ในเมือง ซานฟรานซิสโกในเดือนตุลาคม 2004 

ร่วมกับ Stoppelman ก่อตั้ง Yelp
ร่วมกับ Stoppelman ก่อตั้ง Yelp

นอกจาก Yelp แล้ว Simmons ยังเปิดเว็บไซต์ Learnirvana ในปี 2012
เพื่อเชื่อมโยงครูที่ต้องการสอนพิเศษภาษาต่างประเทศและผู้ที่ต้องการเรียนภาษาเพิ่มเติมเข้าด้วยกัน เป็นรูปแบบ Education Tech Startup ที่เขาได้สร้างขึ้นมา โดยยังทำงานอยู่ที่ Lernirvana มาจวบจบถึงปัจจุบัน

บทบาทของเหล่า Paypal Mafia ต่อ Silicon Valley และวงการเทคโนโลยีโลก

เราจะเห็นได้ว่า จาก Blog Series ชุดนี้นั้น เราจะเห็นได้ถึง บทบาทของเหล่า Paypal Mafia ที่มีอิทธิพลอย่างชัดเจนต่อ Startup ในยุคหลัง ๆ ของ Silicon Valley หลาย ๆ บริการที่กลายมาเป็นบริการโด่งดังในปัจจุบัน ล้วนผ่านมือพวกเขาเหล่านี้ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งมาแล้วแทบจะทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Uber , Instragram , Youtube , Kiva.org , AirBnb หรืออีกหลายธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

ส่วน Elon Musk นั้น แม้จะเป็นหนึ่งใน Paypal Mafia อีกคนที่บทบาทสำคัญ และกำลังสร้างธุรกิจหลาย ๆ อย่างที่กำลังเปลี่ยนโลกเราให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Tesla ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น Solarcity ที่สร้าง Solution ด้านพลังงานทดแทนให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึง โปรเจคใหญ่อย่าง SpaceX ที่ Musk นั้นมีเป้าหมายที่ใหญ่อย่างยิ่ง ที่ในอนาคต เราอาจจะสามารถย้ายถิ่นฐานไปยังดาวดวงอื่นได้จริง ๆ จัง ๆ เหมือนในหนัง Hollywood เสียทีครับ

ก็ ต้องบอกว่า ทุก ๆ  คนใน Paypal Mafia เหล่านี้ ตัวตนจริง ๆ นั้นพวกเขาต้องการที่จะเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นแทบจะท้้งสิ้น พวกเขาพร้อมจะสนับสนุนทุก ๆ ธุรกิจเกิดใหม่ที่มีโอกาสเติบโต และก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ซึ่งสุดท้ายแล้วนั้น ธุรกิจต่างๆ  เหล่านี้ก็จะมาช่วยเหลือมนุษย์เราให้ใช้ชีวิตได้ดีและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับ 

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Jawed Karim *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

Paypal Mafia ตอนที่ 12 : Roelof Botha

Roelof Botha นั้นเป็นอีกหนึ่งคนที่เกิดในประเทศแอฟริกาใต้ เช่นเดียวกับ Elon Musk โดยเขาเกิดที่เมือง Pretoria ก่อนที่จะย้ายถิ่นฐานมายังเมือง Cape Town ของประเทศแอฟริกาใต้ ในวัยเพียง 6 ขวบ

แม้จะใช้ชีวิตอยู่ในแอฟริกาใต้จนเรียนจบมหาลัยที่ University of Capetown ในสาขาคณิตศาสตร์ประกันภัย แต่เขาก็ถือเป็นยอดอัจฉริยะคนหนึ่งไม่ต่างจาก Elon Musk เลยทีเดียว

ซึ่งการเรียน คณิตศาสตร์ประกันภัยนี่เองทำให้เขามีความรู้ในหลาย ๆ ด้านทั้งเรื่อง สถิติขั้นสูง รวมถึงเรื่องเศรษฐศาสตร์ เขาจบด้วยเกรดเฉลี่ยสูงที่สุดในประวัติศาสตร์นับแต่มีการก่อตั้งสาขานี้มาเลยทีเดียว

ช่วงแรกของการทำงานนั้นเขารับหน้าที่นักวิเคราะห์ในบริษัทชั้นนำอย่าง McKinsey & Co., ที่เมืองโยฮันเนสเบิร์กประเทศแอฟริกาใต้ ก่อนที่จะย้ายมาเพื่อเรียนต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา

เริ่มทำงานกับบริษัทชั้นนำอย่าง McKinsey & Co., ที่แอฟริกาใต้
เริ่มทำงานกับบริษัทชั้นนำอย่าง McKinsey & Co., ที่แอฟริกาใต้

ซึ่งเขาได้เข้าเรียนต่อระดับปริญญาโทในมหาลัยชั้นของสหรัฐอเมริกาอย่าง Stanford University ในสาขา MBA และได้รับปริญญาโทไปในปี 2000 ซึ่งเป็นช่วงปีที่ฟองสบู่ดอทคอมแตกพอดี

และได้เข้าร่วมงานกับ Paypal ในตำแหน่ง Director of Corporate Development ก่อนที่จะขยับตำแหน่งขึ้นมาดูแลด้านการเงินทั้งหมดของ Paypal ในตำแหน่ง CFO เมื่อปี 2001 

ซึ่งหลังจาก Paypal ถูกขายให้กับ ebay ในปี 2002 นั้น Botha เองก็ได้มาร่วมงานกับ Peter Thiel อีกครั้งที่ Sequoia Capital ในปี 2003

ซึ่งที่นี่เองเขาได้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการลงทุนในบริษัท Startup หน้าใหม่ ที่มีโอกาสเติบโตในระดับโลก ซึ่งเขาเป็นผู้นำในการพาบริษัทไปลงทุนในธุรกิจที่ตอนนี้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Youtube , Instragram , Square ซึ่งหลาย ๆ บริษัทเขาก็นั่งเป็นกรรมการอยู่ด้วย ซึ่งต้องบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่มองเห็นศักยภาพทางธุรกิจกับบริษัทเกิดใหม่ เรียกได้ว่า เป็นคนที่มีสายตาที่แหลมคม คนหนึ่งในวงการ Silicon Valley เลยทีเดียว

–> อ่านตอนที่ 13 : Russel Simmons (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Jawed Karim *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***