The Innovators ตอนที่ 1 : Cornelius Vanderbilt

สำหรับ Blog Series ชุดนี้จะเป็นการเล่าเรื่องของ บุคคลที่ยิ่งใหญ่ใน ยุคเริ่มก่อตั้งอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Cornelius Vanderbilt , John D. Rockefeller , Andrew Carnegie , J.P. Morgan ,Thomas Edison จนมาถึง Henry Ford ซึ่งพวกเค้าเหล่านี้ ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น จนสามารถทำให้อเมริการยิ่งใหญ่ได้ถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก แต่ละท่านแทบจะทำธุรกิจ แตกต่างกัน แต่มันผ่านช่วงเวลาต่างๆ  ช่วงเวลาที่ตกต่ำของคนหนึ่ง ก็จะสู่ความรุ่งโรจน์ของอีกคน มันเป็น ประวัติที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับการก่อร่างสร้างตัวของประเทศอเมริกาหลังสิ้นสุดสงครามกลางเมือง

ก่อนอื่นต้องขอย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1865 เพียงไม่นานหลังสิ้นสุดสงครามกลางเมือง ประธานาธิบดีลินคอร์น ได้ถูกลอบสังหาร ประเทศอเมริกาถูกแบ่งแยก มีผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองมากกว่า 600,000 คน แต่หารู้ไม่ว่าประเทศอเมริกากำลังที่จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่

เหล่าผู้มีความคิดสร้างสรรค์ เหล่าอัจฉริยะ ที่กำลังจะเปลี่ยนโลกและอเมริกาแบบที่ไม่เคยมีใครได้พบเห็นมาก่อน  และเพียง 5 ทศวรรษ นับจากวันที่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองของอเมริกา เหล่าอัจฉริยะ ที่เป็น Innovators ต้นแบบของอเมริกันชน กำลังจะมาเปลี่ยนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของอเมริกา ให้ก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่จวบจนถึงปัจจุบัน

และมันเป็นครั้งแรกของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่า ที่ผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดในการนำพาอเมริกา ไม่ได้เป็นนักการเมืองอีกต่อไป เขาเป็นคนที่สามารถสร้างตัวเองขึ้นมาด้วยตัวตนของตัวเอง  และสามารถเปลี่ยนย่านที่ยากจนของนิวยอร์ก ให้กลายเป็นอาณาจักรใหม่ขนาดใหญ่ของเขาจนได้ในที่สุด ซึ่งเขาผู้นั้นคือ Cornelius Vanderbilt

เมื่ออายุได้เพียง 16 ปี Vanderbilt ได้ซื้อเรือโดยสารลำเล็ก ๆ ลำหนึ่งด้วยราคา 100 เหรียญเพื่อมาเริ่มต้นธุรกิจ แต่เพียงไม่นาน เขาก็ได้รู้จักในฐานะนักธุรกิจตัวยง ที่ต้องใช้ทุกวิถีทางในการเอาชนะคู่แข่ง ในยุคนั้นต้องบอกว่าการจะก้าวขึ้นมาจากชนชั้นล่าง ให้กลายมาเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น มันเต็มไปด้วยทั้งโอกาส และที่สำคัญคือการแข่งขัน ที่สูงมาก เพื่อถีบตัวเองให้มาเป็นชนชั้นสูงของอเมริการให้ได้

เริ่มสร้างตัวจากการขนส่งทางเรือ
เริ่มสร้างตัวจากการขนส่งทางเรือ

Vanderbilt นั้นมีจิตใจที่แข็งแกร่ง และชอบการแข่งขัน เขาไม่เคยที่จะยอมใครง่าย ๆ ในทุกเรื่อง ๆ ซึ่งเรือสินค้าทีเขาได้ซื้อมาเพียง 100 เหรียญนั้นเพียงไม่นาน มันได้กลายเป็นกองเรือขนส่งสินค้าจำนวนมาก ทำให้ Vanderbilt ได้โดดเด่นขึ้นมาในแถบนิวยอร์กด้านการขนส่ง จึงถึงกับได้รับฉายาว่า “ผู้บัญชาการกองเรือ”

ซึ่งตลอด 40 ปีให้หลัง มันทำให้ Vanderbilt ได้สร้างอาณาจักรการขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาได้สำเร็จ และหลังจากได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจก่อนสงครามกลางเมือง เขาก็ได้คิดทำสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ การเข้ามาสู่ธุรกิจขนส่งทางรถไฟ มันไม่ใช่ทางรถไฟธรรมดา แต่มันเป็นเป็นทางรถไฟข้ามประเทศ เพราะอเมริกามีพื้นที่ใหญ่โตมหาศาล 

แต่เขามองว่า การสร้างทางรถไฟ จากตะวันออก ไปสู่ทางด้านตะวันตกของอเมริกานั้น มันจะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางข้ามรัฐ ลงไปได้หลายเดือน มันทำให้เกิดอิสระต่อผู้คน แถมยังสามารถขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และราคาถูกที่สุด ตั้งแต่อเมริกา ก่อตั้งประเทศมา 
เขาได้สร้างทางรถไฟกว่า 50,000 ไมล์ เพื่อเชื่อมต่อรัฐต่าง ๆ ของประเทศให้สามารถขนส่งผู้คน หรือสินค้าระหว่างกันได้

ทิ้งธุรกิจขนส่งทางเรือมาลุยกับขนส่งทางรถไฟแบบเต็มตัว
ทิ้งธุรกิจขนส่งทางเรือมาลุยกับขนส่งทางรถไฟแบบเต็มตัว

เขาได้มองเห็นอนาคตทางธุรกิจใหม่ของเขา โดยเขาได้ทำการขายกองเรือทั้งหมดของเขา และนำเงินทั้งหมดมาทุ่มหมดหน้าตักกับกิจการรถไฟ ซึ่งในที่สุดกิจการใหม่ของเขาก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อสิ้นสุดสงครามกลางเมือง มันทำให้ Vanderbilt กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาทันที ซึ่งตอนนั้นมีทรัพย์สินกว่า 68 ล้านเหรียญ หรือเทียบเท่ากับ 75,000 ล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน

แต่แม้จะมีเงินมากเพียงใด หลังสิ้นสุดสงคราม ก็ไม่อาจจะบรรเทาความเจ็บปวดของ Vanderbilt  ได้ เพราะเขาได้เสียลูกชายคือ George Vanderbilt ในช่วงสงครามกลางเมืองอันเลวร้ายของอเมริกา มันเป็นความสูญเสียอย่างมากของ Vanderbilt ผู้พ่อ และเขาก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของเขาต่อไป ซึ่งมันทำให้ธุรกิจการขนส่งทางด้านรถไฟของเขานั้นตกอยู่ในความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง

George นั้นเป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่เขาเชื่อใจ และเขาก็ได้ใช้ความพยายามหลายปีในการเฝ้าฟูมฟัก George เพื่อให้มาดูแลธุรกิจต่อจากเขา แต่สุดท้ายเมื่อ George นั้นไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว มันทำให้ Vanderbilt ต้องให้ William ลูกชายอีกคนที่ไม่เอาไหนมาช่วยดูแลกิจการต่อ

เขาเสียใจอย่างมากหลังจากสูญเสียลูกชายในสงครามกลางเมือง
เขาเสียใจอย่างมากหลังจากสูญเสียลูกชายในสงครามกลางเมือง

และกิจการมันก็เริ่มทรุดลงหลังจากการเข้ามาของ William คู่แข่งนั้นไม่ได้มองว่า Vanderbilt นั้นน่ากลัวอีกต่อไป แต่แม้คู่แข่งนั้นจะเห็นถึงจุดอ่อน แต่ Vanderbilt มองมันเป็นโอกาส และที่สำคัญ มันถึงเวลาที่เขาจะได้สอน William ว่าการต่อสู้ทางธุรกิจนั้นมันเป็น เช่นไร

Vanderbilt นั้นเป็นเจ้าของสะพานข้ามทางรถไฟ ที่มีเพียงเส้นเดียวที่จะมุ่งหน้าสู่มหานครนิวยอร์ก ซึ่งมันมุ่งตรงไปยังท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในขณะนั้น และที่นั่นยังเป็นสถานที่ที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศอีกด้วย และนี่จะเป็นอาวุธเด็ดที่สำคัญที่เขาสามารถที่จะเอาชนะคู่แข่งที่กำลังคิดจะมาแย่งชิงอาณาจักรขนส่งทางรถไฟที่ยิ่งใหญ่ของเขาได้

ซึ่งเมื่อไม่มีสะพานนี้ รถไฟสายอื่น ๆ ของคู่แข่งก็ไม่สามารถที่จะเข้าออกเมือง นิวยอร์ก ได้ มันเป็นกลยุทธ์ที่เหนือชั้นมากในการตัดขาดคู่แข่งไม่ให้เข้ามาสู่นิวยอร์ก และที่สำคัญมันยังทำให้ นิวยอร์ก ถูกตัดขาดจากเมืองอื่น ๆ ซึ่งนี่เป็นกลยุทธ์ที่ Vanderbilt ต้องการบีบให้คู่แข่งตายไปในที่สุด

การปิดสะพานครั้งนี้ของ Vanderbilt ทำให้สินค้าจำนวนมาก ไม่สามารถไปยัง นิวยอร์กได้ และมันทำให้ค่อย ๆ บีบให้คู่แข่งของเขาตายไปในที่สุด ซึ่งเหล่าบริษัทรถไฟคู่แข่งก็ต้องขายหุ้นทั้งหมดออกมา ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนถึง wallstreet ทำให้ผู้คนเทขายหุ้นอย่างหนัก และเมื่อมันร่วงจนถึงจุดต่ำสุด Vanderbilt ก็ได้กว้านซื้อหุ้นเหล่านั้นทั้งหมด และมันทำให้ Vanderbilt กลายเป็นเจ้าของเครือข่ายบริษัทรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาทันที

ไล่ซื้อหุ้นใน wall street เพื่อยึดทั้งหมด
ไล่ซื้อหุ้นใน wall street เพื่อยึดทั้งหมด

และไม่นานหลังจากได้ควบรวมกับกิจการของคู่แข่ง Vanderbilt ก็ได้ขยายอาณาจักรเส้นทางรถไฟของเขา จนครอบคลุมทั่วอเมริกา มันยังได้ช่วยสร้างงานกว่า 180,000 ตำแหน่ง และอาณาจักรของเขาก็ได้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจอเมริกาไปในที่สุด

มันไม่ใช่แค่เพียงการขนส่ง แต่มันยังส่งผลต่อ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วประเทศอเมริกาเฟื่องฟูขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ของอเมริกา

และ Vanderbilt อยากที่จะสร้างสัญลักษณ์บางอย่างเพื่อประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเขา ซึ่งเป็นที่มาของการสร้าง สถานี รถไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น ซึ่งก็คือ ชุมทาง Grand Central กลางมหานครนิวยอร์ก

คนงานหลายพันคน ถูกจ้างเข้ามาเพื่อสร้าง Grand Central ภายในระยะเวลา 2 ปี มันเป็นการก่อสร้างสถาปัตยกรรมที่มีความทะเยอทะยานที่สุดเท่าที่อเมริกาเคยมีมา มันทำให้ Grand Central กลายเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดของมหานครนิวยอร์ก และกลายเป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 22 เอเคอร์ และมันได้มาเปลี่ยนภูมิทัศน์ของนิวยอร์กไปตลอดกาล

สร้างสถานี Grand Central เพื่อเป็นสัญลักษณ์
สร้างสถานี Grand Central เพื่อเป็นสัญลักษณ์

ถึงตอนนี้ต้องเรียกได้ว่า Vanderbilt นั้นได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดเท่าที่สามารถทำได้แล้ว แต่ความทะเยอทะยานของเขายังไม่มีหมด และนี่มันเป็นสาเหตุสำคัญให้เขาตกอยู่ในความเสี่ยง ตอนนั้นเขาสามารถที่จะยึดส่วนแบ่งของเส้นทางรถไฟได้ถึง 40% ของเส้นทางทั้งหมดในประเทศอเมริกาแล้ว แต่ความทะเยอทะยานของเขานั้น มันทำให้เขาอยากได้มันทั้งหมด

ตอนนั้นมีเส้นทางสายหนึ่งที่  Vanderbilt ต้องการเป็นอย่างมากคือเส้นทางจาก ชิคาโก้ ไปยังเมือง นิวยอร์ก ซึ่งตอนนั้นไม่ได้เป็นของ Vanderbilt ซึ่งตอนนั้นเจ้าของเส้นทางนี้คือบริษัท ERIE เขาจึงได้สั่งทีมงานเข้าไปกว้านซื้อหุ้นของ ERIE ให้มากที่สุด

ซึ่งทางผู้บริหารของ ERIE ก็รู้ทันเกมส์ของของ Vanderbilt ในการเข้ากว้านซื้อหุ้นในตลาดวอลล์สตรีท จึงได้ใช้ไม้เด็ดเพื่อเล่นงาน Vanderbilt โดยทำการปั๊มใบตั๋วหุ้นขึ้นมาเพิ่มเพื่อให้จำนวนหุ้นของ ERIE สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  ซึ่งในตอนนั้น ERIE นั้นมีสิทธ์ในการเพิ่มใบตั๋วหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งไม่ได้เป็นการผิดกฏแต่อย่างใด

ซึ่งมันทำให้ Vanderbilt ต้องซื้อหุ้นของ ERIE ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งแผนนี้มันถูกเรียกว่าการลดมูลค่าหุ้นลง ซึ่งในตอนนั้นไม่มีใครคาดถึง แต่ในปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย ในสมัยนั้นมันเป็นแผนที่เรียบง่ายแต่แสนชาญฉลาดเป็นอย่างมากในการเล่นงาน  Vanderbilt

และมันเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายครั้งแรกของ Vanderbilt กว่าเขาจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว เขาเสียเงินไปกว่า 7 ล้านเหรียญในการซื้อหุ้นของ ERIE ทางผู้บริหาร ERIE แก้เผ็ดด้วยการนำข้อมูลที่เขาสามารถหลอก Vanderbilt ได้ไปบอกกับสื่อ มันทำให้เรื่องกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น มันเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายที่สุดของ Vanderbilt เลยก็ว่าได้ที่ถูกลูบคมได้ถึงเพียงนี้

แต่มันเหมือนเป็นการปลุกเสือร้ายอย่าง Vanderbilt ให้ลุกขึ้นตื่น ตอนนี้เขามองไปยังสิ่งใหม่แทน มันไม่ใช่การขยายเส้นทางรถไฟอีกต่อไป แต่มันต้องเป็นการขนส่งสินค้าใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเขา

เขามองว่าเขาต้องควบคุมแหล่งสินค้าใหม่ที่จะทำให้ขบวนรถไฟของเค้าเต็มอยู่ตลอดได้ เขาก็สามารถที่จะยึดครองอุตสาหกรรมรถไฟทั้งหมดได้ ซึ่งตอนนั้นเขาก็รู้ดีว่าเขาต้องหันไปทางไหน

ตอนนั้น น้ำมันกำลังมาปฏิวัติชีวิตของชาวอเมริกัน น้ำมันดิบ กำลังถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำมันก๊าซ มันเป็นแหล่งพลังงานราคาถูกที่สุดสำหรับความสว่างสไว และแสงไฟของชาวอเมริกา ซึ่งรูปแบบแสงแบบใหม่นี้ มันกำลังเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวอเมริกันไป

ชาวอเมริกันกำลังจะได้พบกับความสว่างสไวผ่านน้ำมันก๊าซ
ชาวอเมริกันกำลังจะได้พบกับความสว่างสไวผ่านน้ำมันก๊าซ

ต้องบอกว่าในช่วงก่อนหน้านั้น ไม่มีแหล่งแสงไฟให้ความสว่างให้กับชาวอเมริกา เมื่อพระอาทิตย์ตก ความมืดก็จะตามมา  น้ำมันก๊าซ มันได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล และ Vanderbilt รู้ว่ามันถึงเวลาที่เขาจะได้กอบโกยอีกครั้ง 

Vanderbilt เห็นถึงความต้องการน้ำมันก๊าซ ที่พุ่งสูงขึ้นทั่วประเทศ เพื่อจะได้สนองความต้องการนั้น ผู้ผลิตน้ำมันก๊าซ ก็จะต้องหาวิธีใหม่ในการขนส่งน้ำมันของพวกเขา  ถ้า Vanderbilt สามารถครอบครองการส่งน้ำมันก๊าซ ได้ เขาก็จะกลับมาเป็นสุดยอดของการขนส่งทางรถไฟได้อีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เขาต้องทำก็คือ หาผู้ส่งน้ำมันนั่นเอง

ตอนนั้น Cleveland เมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรไม่ถึง 50,000 คน แต่มันตั้งอยู่เหนือบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก Vanderbilt จึงรีบเดินทางไปพบเจ้าของแหล่งผลิตน้ำมันใน Cleveland จนไปพบกับ John D. Rockefeller ที่ตอนนั้นทำธุรกิจผลิตน้ำมันอยู่แต่กำลังประสบกับปัญหาบางอย่างในการจัดการธุรกิจของเขา

ตอนนั้น Rockefeller อายุได้เพียง 27 ปี กำลังเริ่มต้นกับการสร้างธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน แต่บริษัทของเขาประสบกับปัญหา จนเกือบจะล้มละลายไปแล้ว  แต่ Vanderbilt มองว่าชายคนนี้จะเป็นผู้ที่มีประโยชน์กับเขา จึงได้มีการเจรจาขนส่งน้ำมันกับ Rockefeller  และได้เชิญ Rockefeller ไปพบกับเขาที่นิวยอร์ก

John d. Rockefeller ในวัยหนุ่ม กำลังสร้างธุรกิจน้ำมัน
John d. Rockefeller ในวัยหนุ่ม กำลังสร้างธุรกิจน้ำมัน

สำหรับ Rockefeller แล้วนั้นการพบกับ Vanderbilt ในครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสเดียวและโอกาสที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา มันอาจจะช่วยรักษาบริษัทของเขาไม่ให้ล้มละลายได้

แต่เรื่องเหลือเชื่อที่สุดก็เกิดกับ Rockefeller เมื่อเขาพลาดขบวนรถไฟที่จะพาเขาจาก Cleveland ไปยัง นิวยอร์ก แต่รถไฟขบวนที่เขาพลาดนั้นได้เกิดตกรางและทำให้มีผู้เสียชีวิตแทบจะทั้งขบวน

มันเป็นโชคชะตานำพา หรือ เรื่องบังเอิญอย่างไร ไม่มีใครทราบได้ แต่การรอดชีวิตมาได้ส่งผลอย่างมากต่อชายหนุ่ม ผู้กำลังก่อร่างสร้างตัวจากธุรกิจใหม่อย่างธุรกิจน้ำมัน เขาเชื่ออย่างศรัทธาว่าพระผู้เป็นเจ้ามีเหตุผลในการไว้ชีวิตเขา และต่อจากนี้ไปเขาก็เชื่อว่าทุกอย่างถูกกำหนดโดยพระเจ้าแล้ว ชายผู้มีนามว่า Rockefeller กับการไปพบปะครั้งสำคัญกับ Vanderbilt  มันจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด รวยที่สุด เท่าที่ประวัติศาสตร์อเมริกาเคยมีมาได้อย่างไร โปรดอย่างพลาดติดตามในตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 2 : John D. Rockefeller