ประวัติ Google ตอนที่ 13 : Broadcast Yourself

ในยุคปัจจุบันดูเหมือนเราจะปฏิเสธไม่ได้ว่า Youtube คือแหล่งข้อมูลสำคัญของโลกไม่แพ้ google เลยทีเดียว ใครคนไหนอยากจะหาข้อมูลอะไรสักอย่างจะต้องเข้าเว็บไซด์ google เพื่อค้นหาข้อมูล แต่ถ้าใครอยากหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพเคลื่อนไหว วีดีโอคลิป แน่นอนว่า Youtube จะต้องเป็นตัวเลือกแรกๆของทุกคนอย่างแน่นอน

Youtube คือ เว็บไซต์ที่ให้บริการแบ่งปัน (share) วิดีโอ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถอัพโหลด แชร์ หรือดูวิดีโอผ่านเว็บไซต์ได้ ในรูปแบบคลิป วิดีโอต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หนัง ละคร มิวสิควิดีโอ หรือการโชว์ความสามารถต่างๆ จากทางบ้าน โดยยูทูบ มีสโลแกนสั้นๆ ได้ใจความ 
ว่า “Broadcast Yourself”

Youtube เกิดจากพนักงานระดับล่าง 3 คนของบริษัท PayPal คือ Chad Hurley, Steve Chen และ Jawed Karim ซึ่งทั้ง 3 คน นั้นเรียนจบทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ 
โดย Chad ได้เข้ามหาวิทยาลัยอินเดียนาแห่งเพนสิเวอร์เนีย ด้านการออกแบบ Steve กับ Jawed ศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์แบนา-แชมเปญจน์ ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ โดยในตอนแรก Chad และ Steve เป็นเพื่อนสนิทกันซึ่งทำงานด้วยกันในบริษัท Paypal

Chad , Steve และ Jawed สามผู้ก่อตั้ง Youtube
Chad , Steve และ Jawed สามผู้ก่อตั้ง Youtube

ไอเดียการคิดค้น youtube นั้นได้เริ่มต้นขึ้นจริง ๆ จัง ๆ ในปี 2005 ซึ่ง Chad อยากจะแชร์คลิปวีดีโอที่มีความยาวมากกว่า 1 นาที ให้กับ Steve ได้เห็น แต่เว็บไซด์ที่ฝากไฟล์วีดีโอนั้นหายากมากๆ และความยาวที่เกินกว่า 1 นาทียิ่งไม่ต้องพูดถึง ในงานปาร์ตี้ที่อพาร์ทเมนต์ของ Steve เขาจึงเริ่มแชร์ไอเดียว่าเขาอยากที่จะสร้างเว็บไซด์ที่ฝากไฟล์วีดีโอและแชร์ได้ในเวลาเดียวกัน ง่ายต่อการค้นหา ง่ายต่อการอัพโหลดลงในอินเตอร์เน็ต แต่ดูๆแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อมองถึงเทคโนโลยีและความเป็นไปได้ในขณะนั้น ความคิดนี้ของพวกเขาจึงหายไปช่วงเวลาหนึ่ง

สำหรับ Jawed นั้น เขาเป็นลูกครึ่งเยอรมันและบังกลาเทศ ได้ทำการย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่ประเทศอเมริกา ในปี 2004 ซึ่งในปีเดียวกันนั้น ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศอินเดีย รวมถึงหลาย ๆ ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีผู้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก

 ตัว Jawed เองนั้นพยายามค้นหาคลิปวีดีโอเหตุการณ์นั้นแต่หายากมาก เขาจึงเริ่มคิดอยากจะสร้างเว็บไซด์ในการฝากไฟล์วีดีโอที่ง่ายต่อการค้นหา แต่ความคิดนี้ก็ตกไปเพราะต้องใช้ทุนในการสร้างสูงมาก รวมถึงอินเทอร์เน็ตแบบความเร็วสูงยังคงเป็นเรื่องใหม่ในสมัยนั้น ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะดึงดูดผู้คนให้มาใช้กัน

โดยที่ทั้ง 3 คนมารู้จักกันในการทำงานที่บริษัท Paypal และมีความคิดไปในทางเดียวกัน พวกเขาจึงระดมทุนได้จากเหล่า venture capital ซึ่งได้เงินลงทุนตั้งต้นมา 11.5 ล้านเหรียญ จากกองทุน Sequoia Capital ของมหาเศรษฐี Don Valentine ผู้เคยสร้างชื่อมาแล้วกับบริษัทหลายๆแห่งไม่ว่าจะเป็น Apple, Yahoo, Oracle Corporation, Cisco รวมถึงบริษัทเกมอย่าง Electronic Arts

Youtube จดทะเบียนเป็นบริษัทและมีโดเมนเนมว่า www.youtube.com ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2005 มีสำนักงานใหญ่อยู่บนชั้นสองของร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆในเมือง San Mateo, California และคลิปวีดีโอแรกที่ถูกอัพโหลดขึ้นเว็บไซด์ครั้งแรกเป็นของ Jawed โดยใช้ชื่อว่า “Me at the zoo”

ในปีเดียวกันนั้นเอง คลิปวีดีโอที่แตะหลักล้าน Views เป็นครั้งแรกเป็นคลิปโฆษณาของ Nike โดยใช้นักฟุตบอลชื่อดังอย่างโรนัลดินโญ่มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมกับการสนับสนุนเงินอีก 3.5 ล้านเหรียญของ Sequoia Capital ทำให้บริษัทใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่ง Google นั้นเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Youtube จนต้องสร้างบริการ Google Video เข้ามาร่วมแข่งขัน

Youtube นั้นได้พัฒนาเทคโนโลยีของการเล่นวีดีโอ ที่สามารถอัดเก็บไว้ได้และนำมานำเล่นได้ใหม่ โดยจะใช้พื้นฐานของการโปรแกรม Macromedia’s Flash Player  และใช้โปรแกรมบันทึกวิดีโอแบบ Sorenson Spark H.263 อีกทั้งเทคโนโลยีนี้ยังทำให้ Youtube สามารถใช้วิดีโอเล่นภาพและเสียงได้อย่างมีคุณภาพเทียบเคียงได้กับวิดีโอที่เล่นอยู่ที่บ้านและสามารถนำกลับมาเล่นซ้ำได้เหมือนกับ Windows Media Player, Realplayer หรือ Quicktime Player ของ Apple

แต่การใช้โปรแกรม Flash ของ Youtube ในยุคเริ่มต้นนั้น สามารถที่จะตอบสนองต่อการเล่นของผู้ใช้ได้ดีราว ๆ 90 % เมื่อทำการเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ต หรือในอีกทางหนึ่งผู้ใช้ สามารถเข้าไปใช้โดยเข้าเป็นสมาชิกของ เว็บไซต์เพื่อที่จะทำการ Download วิดีโอมาติดตั้งไว้ในคอมพิวเตอร์ของตนเองก็สามารถทำได้

Youtube version แรกใช้การแสดงผลด้วยโปรแกรม Flash Player
Youtube version แรกใช้การแสดงผลด้วยโปรแกรม Flash Player

ซึ่งการใช้วิดีโอเพื่อเล่นภาพและเสียงได้กลายเป็นที่ชื่นชอบและเป็นองค์ ประกอบสำคัญที่ทำให้ Youtube ประสบความสำเร็จ และการยอมให้ผู้ชมเข้าไปดูวิดีโอได้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องทำการติดตั้งโปรแกรมหรือต้องไปจัดการกับปัญหาเดิม ๆ ที่ผู้ใช้เคยมีประสบการณ์กับเทคโนโลยีวิดีโอจากเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีที่เข้ากันไม่ได้ หรือมีการใช้วีดีโอสำหรับผู้เล่นวีดีโอหลายรูปแบบมาก ๆ 

ด้วยการใช้งานที่ง่ายดายแตกต่างจากบริการวีดีโอ ออนไลน์ อื่น ๆ ทำให้ YouTube เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และได้รับความ สนใจเป็นอันมาก โดยเฉพาะการบอกแบบปากต่อปากที่ทำให้การเติบโตของ YouTube เป็นไปอย่างรวดเร็ว YouTube มาเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายต่อเนื่อง

โดยจุดเปลี่ยนสำคัญคือเมื่อมีการนำภาพวิดีโอช่วง Lazy Sunday ของรายการ Saturday Night Live มาแสดงบนเว็บ ซึ่งต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2006 ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี (NBC) ก็ได้เรียกร้องให้ทาง YouTube เอาคลิปวิดีโอที่มีลิขสิทธิ์ทั้งหลายออกจากเว็บ ซึ่ง YouTube เองก็มีนโยบายที่จะไม่เอาคลิปที่ละเมิดลิขสิทธิ์มาแสดงเช่นกัน นั่นทำให้ต่อมา You Tube กำหนดนโยบายที่ชัดเจนขึ้นในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามกรณีพิพาทกับสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีก็ได้ทำให้ YouTube เป็นข่าวและเพิ่มความดังมากขึ้นไปอีกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คลิปช่วย Lazy Sunday ของรายการ Saturday Night Live ทำให้ Youtube ดังเป็นพลุแตก
คลิปช่วย Lazy Sunday ของรายการ Saturday Night Live ทำให้ Youtube ดังเป็นพลุแตก

ในช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 2006 เว็บไซต์อย่าง Youtube ได้กลายเป็นเว็บไซต์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีวิดีโอที่ถูกอัปโหลดมากถึง 65,000 วิดีโอ ในเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกันนั้นเอง Youtube มีผู้เข้าชมเฉลี่ยแล้วได้ถึง 100 ล้านครั้งต่อวัน เว็บไซต์ยังติดอันดับที่ 15 ของเว็บไซต์ที่มียอดผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก จัดอันดับโดย Alexa

ซึ่งทำให้มี myspace เว๊บไซต์ทางด้าน Social Network ชื่อดังในขณะนั้น ตกอันดับลงมาได้สำเร็จ Youtube เป็นเว็ปไซต์ที่มีผู้เข้าชม 20 ล้านคนต่อเดือนตามการบันทึกของ Nielsen/NetRatings โดยแยกออกมาเป็นผู้ชมเพศหญิง ร้อยละ 44 และเพศชาย ร้อยละ 56 โดยอยู่ในช่วงอายุประมาณ 12-17 ปีที่เข้าเว็ปไซต์มากที่สุดใน Youtube  ความโดดเด่นของ Youtube คือการตลาดที่เป็นรูปธรรม เว็ปไซต์ Hitwise.com ได้กล่าวว่า Youtube ได้ทำส่วนแบ่งทางการตลาดวิดีโอออนไลน์ในสหราชอาณาจักรถึง ร้อยละ 64 ซึ่งถือว่าเป็นส่วนแบ่งที่สูงมากที่สุดในบรรดา บริการวีดีโอ ออนไลน์ทั้งหมด

ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้เป็นที่ต้องตาของทั้งบริน และ เพจ เป็นอย่างมาก ที่ต่อมา ในวันที่ 9 ตุลาคม 2006 Google ได้ตกลงตัดสินใจเข้าซื้อ YouTube ด้วยมูลค่า 1,650 ล้านเหรียญสหรัฐ ในรูปแบบของการแลกเปลี่ยนหุ้น อย่างไรก็ตาม YouTube ก็ยังคงดำเนินกิจกรรม ของบริษัทไปตามปกติ โดยเป็นอิสระจากการควบคุมของ google การรวมกันของสองบริษัทนี้จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสบการณ์ที่ดีขึ้นและเข้าใจได้มากขึ้น สำหรับผู้ใช้ที่สนใจในการอัพโหลด การดูวิดีโอ และการแชร์ภาพวิดีโอ รวมถึงการนำเสนอโอกาสใหม่ๆ สำหรับผู้เป็นเจ้าของ ข้อมูล (content) ที่เป็นมืออาชีพที่จะนำเสนองานของพวกเขาไปสู่คนวงกว้างได้นั่นเอง

การที่ Google สามารถเข้าซื้อ Youtube ได้สำเร็จ นั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญครั้งหนึ่งของ Google ที่ได้ยกระดับขึ้นมากลายเป็นบริษัท ที่พร้อมที่จะสู้กับ Microsoft หรือบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ รายอื่นๆ  ได้อย่างสมศักดิ์ศรี แม้ Youtube นั้นจะยังคงให้บริการฟรี และยังไมสามารถทำรายได้นั้น ก็ไม่เป็นปัญหากับ Google แต่อย่างใด เพราะแน่นอนอยู่แล้วว่าเหล่าเครือข่ายโฆษณาของ Google ที่เป็นเครื่องจักรทำเงินของพวกเขา จะเข้ามาสู่ Youtube อย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะหยุด Google อยู่แล้วสำหรับความทะเยอทะยานครั้งใหม่นี้ สำหรับตอนหน้า จะเป็นตอนสุดท้ายของ Blog Series ชุดนี้แล้วนะครับ มาดูกันว่าบทสรุปของ Google จะเป็นอย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามนะครับผม

–> อ่านตอนที่ 14 : Googling Your Genes (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Google ตอนที่ 12 : The China Syndrome

ในปี 2005 จีนเป็นประเทศหนึ่งที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร็วที่สุดในโลก และมันได้ทำให้เหล่าคนชนชั้นกลางของจีนจำนวนกว่าร้อยล้านคน ได้ใช้งานเทคโนโลยีใหม่ ๆ ผ่านคอมพิวเตอร์ และ อินเทอร์เน็ต

และแน่นอนว่าตลาดอันหอมหวนเช่นนี้ มันดึงดูดใจบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกทุก ๆ แห่งให้มาลองชิมลางกับตลาดใหญ่อย่างประเทศจีน Microsoft ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทำการลงทุนในประเทศจีนโดยมีการจ้างงานกว่าหนึ่งพันตำแหน่ง

Google ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการเข้าสู่ตลาดที่มีขนาดมหาศาลนี้เช่นกัน บริน และ เพจต้องการที่จะสร้าง ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นในประเทศจีนโดยเฉพาะ จีนจึงประเทศที่มีความหมายกับ Google มาก

ซึ่งแน่นอนว่าศึกในอเมริกานั้น Google ดูเหมือนว่าจะเป็นฝ่ายชนะในทุก ๆ ครั้งที่ Microsoft พยายามออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาเพื่อสกัดกั้นการเติบโตของ Google แม้ความน่าเกรงขามของ Microsoft ยังคงไม่เสื่อมคลายลงแต่อย่างใด ด้วยขนาดบริษัทที่ใหญ่กว่า 3 เท่าของ Google ในขณะนั้น รวมถึงการที่ Microsoft ยังคงมีรายได้อย่างมั่นคงในตลาดที่เขาครองแบบเบ็ดเสร็จทั้งระบบปฏิบัติการ Windows และ โปรแกรมชุดสำนักงานอย่าง Microsoft Office 

และด้วยความที่ทั้งสองบริษัทนั้นเติบโตมาในยุคที่แตกต่างกัน Google ที่เติบโตมาทีหลัง ถูกมองว่าเป็นขวัญใจของชาวอินเทอร์เน็ตมากกว่า ด้วยภาพลักษณ์ของความ Cool วัฒนธรรมองค์กรรูปแบบใหม่ที่ Google สร้างขึ้น มันทำให้ดึงดูดเหล่าวิศวกรอัจฉริยะยุคใหม่ ๆ ไปได้มากโข

ซึ่งมันส่งผลโดยตรงต่อ Microsoft ทำให้บิลล์ เกตส์ ต้องตั้งกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งใน Microsoft โดยมีหน้าที่เดียวคือ หาทางกำจัด Google โดยเฉพาะไม่ว่าโดยวิธีการใดก็ตาม เพราะช่วงหลังวิศวกรจาก Microsoft เริ่มที่จะถูกพลังดูดจากบริษัทอินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ออกไปเรื่อย ๆ 

บิลล์ เกตส์ ต้องการบี้ Google ให้ตายเหมือนคู่แข่งรายอื่น ๆ ที่เขาเคยทำมา
บิลล์ เกตส์ ต้องการบี้ Google ให้ตายเหมือนคู่แข่งรายอื่น ๆ ที่เขาเคยทำมา

Microsoft ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะรั้งวิศวกรเหล่านี้ไว้ ซึ่งต้องใช้ทั้งแรงกาย และ เงินทุนมากกว่า ต้องเสนอเงินและโบนัสพิเศษให้มากกว่า ซึ่งอาการสมองไหลแบบนี้ Microsoft แทบจะไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนไม่ว่าจะแข่งกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งเพียงใดก่อนหน้านี้ 

และคนที่ Microsoft โกรธแค้นที่สุด จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ดร. ไค ฟู ลี ดีกรี ด็อกเตอร์จาก คาร์เนกี เมลอน ผู้ที่เริ่มทำงานกับ Microsoft ประเทศจีนในปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่ Google ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นมานั่นเอง

ไค ฟู ลี ถือเป็นบุคคลสำคัญในตลาดจีนของ Microsoft ดูและการดำเนินงานและยุทธศาสตร์หลักทั้งหมดในจีนของ Microsoft เขายังมี connection ที่สำคัญกับทางฝั่งรัฐบาลจีน เป็นคนริเริ่มก่อตั้งศูนย์วิจัย Microsoft ขึ้นในเมืองหลวงของประเทศจีนอย่างเมืองปักกิ่ง

ไค ฟู ลี พนักงานคนสำคัญในตลาดจีนของ Microsoft
ไค ฟู ลี พนักงานคนสำคัญในตลาดจีนของ Microsoft

แต่แล้วในปี 2005 เมื่อ Google ต้องการรุกเข้าสู่ตลาดจีน และนี่เป็นสิ่งที่ ไค ฟู ลี นั้นใฝ่หาความท้าทายที่จะได้ทำงานกับ Google มานานแล้ว แม้ตอนนั้นเขาจะเป็นลูกจ้างของ Microsoft อยู่ก็ตามที ซึ่ง Google นั้นก็ต้องการได้มือดีอย่างเขาเพื่อมาเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยในประเทศจีนเช่นเดียวกัน

มันเป็นการแย่งชิงตัวบุคลากรระดับสูงสุดรายแรกที่ Google สามารถช่วงชิงมาจาก Microsoft ได้ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ Microsoft โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลยทีเดียว และพร้อมจะโจมตีกลับด้วยการดำเนินการทางกฏหมายกับ Google 

แต่คำขู่จาก Microsoft ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะ ในเดือน กรกฏาคม ปี 2005 ไค ฟู ลี ก็เดินตามคนอื่นๆ  ที่ทิ้ง Microsoft เข้าหา Google ซึ่งทำให้ Google ยิ่งแข่งแกร่งมากขึ้นไปอีกขั้น เพราะได้รับพนักงานระดับสูงที่มีความรู้และ Connection ที่ดีกับรัฐบาลจีน รวมถึงชุมชนนักพัฒนาในประเทศจีนอีกด้วย

Google ต้องการให้ ไค ฟู ลี มาดูแลตลาดจีนเช่นเดียวกัน
Google ต้องการให้ ไค ฟู ลี มาดูแลตลาดจีนเช่นเดียวกัน

เมื่อถูก Google หยามถึงเพียงนี้ Microsoft จึงต้องเล่นไม้แรง ด้วยการฟ้องร้องทางกฏหมายต่อ Google และ ไค ฟู ลี ทันที ซึ่ง Microsoft ได้กล่าวหาว่า Google นั้นได้ยั่วยุให้ ลี ไค ฟู ฉีกสัญญาจ้างที่ได้เซ็นไว้กับ Microsoft ทั้งที่รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ซึ่ง ไค ฟู ลี นั้นเป็นผู้บริหารระดับสูงที่ เอื้อต่อการเข้าสู่จีนหรือการพัฒนาเทคโนโลยีค้นหาของ Google ในประเทศจีน

ซึ่งสุดท้าย Microsoft ได้ชัยชนะครั้งนี้ชั่วคราว จากคำสั่งศาลที่ห้าม ไค ฟู ลี ร่วมงานที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาข้อมูล แต่ผู้พิพากษายังยอมให้ ไค ฟู ลี สามารถทำงานในจีนต่อได้ และช่วยส่งสารไปยังเหล่าพนักงานอาวุโสของ Microsoft ไม่ให้ย้ายไปอยู่กับ Google 

ขณะที่คดีของ ไค ลี ฟู ยังอยู่ในกระบวนการคลี่คลาย ตลาดอินเทอร์เน็ตในจีนก็ได้เกิดความร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ Yahoo ได้ประกาศลงทุนหนึ่งพันล้านเหรียญใน อาลีบาบา บริษัท อินเทอร์เน็ตชั้นนำของจีน 

ส่วน Google นั้นหลังจากคดีของ ไค ฟู ลี จึงต้องหาแผนสำรองด้วยการซื้อหุ้น Search Engine ชื่อดังของจีนอย่าง Baidu.com ที่มี Design และ Concept เรียบง่ายแบบเดียวกับ ที่ Google ทำ

และเมื่อ Baidu ทำ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ มันได้เพิ่มมูลค่าตลาดนับพันล้านเหรียญให้แก่ Google และทำให้มูลค่าของ Google ในขณะนั้นมีมูลค่ามากกว่า amazon และ ebay รวมกันเสียอีกด้วยซ้ำ ตอนนี้ Google เติบโตจนเหลือเพียงแค่ Microsoft เท่านั้นที่พวกเขายังล้มไม่ได้

Google เลือกถือหุ้นใน  Baidu เป็นแผนสำรองแทน
Google เลือกถือหุ้นใน Baidu เป็นแผนสำรองแทน

ในขณะที่ Google คิดว่าตัวเองเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยี แต่ความจริงแล้วนั้น Google ทำเงินด้วยการโฆษณา ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับสื่อแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่ ปีแรกที่เข้าตลาดนั้น Google มีมูลค่าในตลาดมากกว่าบริษัทสื่อที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Time Warner เสียด้วยซ้ำ

การที่ Google ทำให้ข้อมูลทั่วโลกเข้าถึงได้ผ่านทางออนไลน์  และการที่ Google สามารถที่จะดึงดูดเอาวิศวกรที่ฉลาดที่สุดจากทั่วโลกได้พร้อมกันนั้น มันส่งผลอย่างชัดเจนต่อการเติบโตขึ้นและพัฒนามาจนถึงขั้นนี้ได้ ตอนนี้ Microsoft เริ่มที่จะหนาว ๆ ร้อน ๆ แล้วกับการเติบโตอย่างรวดเร็ว และ ดึงเอาคนเก่ง ๆ ฉลาด ๆ จากแทบทั่วทั้งโลกของ Google แล้ว Microsoft จะแก้หมากเกมส์นี้อย่างไร ก่อนที่จะยักษ์ใหญ่ที่ทำลายคู่แข่งให้ย่อยยับมามากมายจะถูก Google แซงหน้าไปได้สำเร็จ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 13 : Broadcast Yourself

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Google ตอนที่ 11 : Attacking Microsoft

แม้จะดูเหมือนทำธุรกิจที่แตกต่างกัน โดยพื้นฐานทางเทคโนโลยีของทั้งสองบริษัทที่แตกต่างกันระหว่าง Microsoft และ Google ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วนั้นมันไม่ได้เป็นการต่อสู้ด้านการตลาด , web browser หรือ ระบบปฏิบัติการ ซึ่งในช่วงแรกของการแข่งขันนั้น ทั้งคู่ทำธุรกิจที่แตกต่างกัน

แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Google และการค้นพบเครื่องจักรทำเงินอย่าง Search Engine นั้น มันทำให้ความต้องการด้านทรัพยากรบุคคลของ Google สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว สงครามระหว่าง Microsoft และ Google จึงเป็นการดึงดูด และ รักษา เหล่าวิศวกรยอดอัจฉริยะทางด้านเทคโนโลยีที่เก่งที่สุดไว้กับตนนั่นเอง

ในปี 2005 นั้น Google ได้เริ่มรุกคืบเข้าสู่ฐานบัญชาการหลักของ Microsoft ที่รัฐวอชิงตัน ในเมืองซีแอตเติล โดยการเปิดสำนักงานแห่งใหม่ ไม่ไกลจากสำนักงานใหญ่ของ Microsoft 

google เลือกเปิดสำนักงานใหม่ท้าทาย Microsoft ใกล้ฐานบัญชาการใหญ่ในรัฐวอชิงตัน
google เลือกเปิดสำนักงานใหม่ท้าทาย Microsoft ใกล้ฐานบัญชาการใหญ่ในรัฐวอชิงตัน

Google กำลังทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นคู่แข่งทีน่ากลัวของ Microsoft แม้จะเป็นบริษัทน้องใหม่ที่ก่อตั้งเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ตอนนั้นราคาหุ้นของ Google ขึ้นไปสูงถึง 250 เหรียญ ทำให้มูลค่ากิจการเพิ่มขึ้นสูงถึง 7 หมื่นล้านเหรียญ และกำลังกลายเป็นบริษัทที่น่าดึงดูดใจของเหล่านักศึกษาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ที่อยากจะเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

แม้ดูเหมือน Microsoft นั้นจะเป็นบริษัที่ใหญ่กว่า และมีเงินและทรัพยากรที่มากกว่าเป็นอย่างมาก แต่ CEO ของ Google อย่าง เอริก ชมิดต์นั้น มองว่า Microsoft ที่มีรากเหง้าจากมรดกของ บิลล์ เกตส์ กำลังถูกท้าทายจากการปฏิวัติอินเทอร์เน็ตที่เกิดขึ้น 

มันได้ทำให้ Microsoft กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่เริ่มมีความหมายน้อยลงเรื่อย ๆ และในทางตรงกันข้าม Google กำลังทวีความสำคัญต่อโลกยุคใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านการเติบโตอย่างรวดเร็วของอินเทอร์เน็ต

ตอนนี้สื่อทั้งหลายเริ่มกล่าวถึง Google มากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงกับกล่าวว่า Google นั้นจะเข้ามาแทนที่ Microsoft เพื่อก้าวเป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์ เทคโนโลยี และ นวัตกรรม ที่ Google นั้นผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง

และมันเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วตั้งแต่ปี 1998 ถึง ปี 2005 ที่หุ้นของ Microsoft นั้นแทบจะไม่เขยิบไปไหน แน่นิ่งอยู่ในตลาดหุ้นมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว Microsoft แทบจะไม่ได้ออกนวัตกรรมใหม่ใด ๆ ออกมาเลย พื้นฐานหลักของรายได้ Microsoft ยังมาจากระบบปฏิบัติการ Windows และชุดโปรแกรมสำนักงานอย่าง Microsoft Offices เพียงเท่านั้น

แม้ Microsoft พยายามทำลาย Google ด้วยเทคนิคแบบเดิม ๆ การออกผลิตภัณฑ์อย่าง MSN Search ออกสู่ตลาดไม่ได้สร้างความประทับใจให้ผู้ใช้เลยเสียด้วยซ้ำ แต่ทว่า Microsoft เป็นคนคอนโทรลระบบปฏิบัติการหลักอย่าง Windows

MSN Search ที่ Microsoft ออกมาตอบโต้ Google ไม่เป็นที่ประทับใจของผู้ใช้
MSN Search ที่ Microsoft ออกมาตอบโต้ Google ไม่เป็นที่ประทับใจของผู้ใช้

บิลล์ เกตส์ จึงคิดจะใช้แผนการที่เคยโค่น NetScape ได้สำเร็จ นั่นก็คือ การติดตั้งโปรแกรมค้นใน Windows รุ่นถัดไปซึ่งก็คือ Windows Vista ซึ่งเกตส์ วางแผนที่จะสร้างโปรแกรมการค้นหาที่ใช้งานง่ายที่สุด ฝังไว้ในระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเป็นหน้าต่างเพื่อเปิดสู่โลก Internet ของผู้ใช้งานแทบจะทุกคน

แต่เนื่องด้วยองค์กรที่เริ่มใหญ่ เทอะทะ ทำให้เริ่มขาดการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมา แถมยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญในการสร้างนวัตกรรมในการค้นข้อมูล ซึ่งขณะนั้น Google ได้พัฒนาไปไกลมาก ๆ แล้ว แถมวิศวกรรุ่นใหม่ ๆ ส่วนใหญ่เลือกที่จะทำการกับ Google ที่ดู Cool กว่าองค์กรยักษ์ใหญ่ที่คลานต้วมเตี้ยมอย่าง Microsoft

Google นั้นแตกต่างจากคู่แข่งที่ Microsoft เคยเจอและเคยบดขยี้มาอย่างสิ้นเชิง Google ได้ดึงดูดผู้ใช้คอมพิวเตอร์ จำนวนนับล้าน ๆ คนทั่วโลกด้วยสถาปัตยกรรมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ อินเทอร์เน็ต

ความแตกต่างอีกอย่างที่ชัดเจนคือ Google มุ่งเน้นที่จะให้ใช้งานบริการของตนเองแบบฟรี ๆ และยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด  ๆในการจำหน่ายและทำการตลาดแบบที่ Microsoft ทำ แถมอาวุธเด็ดของ Microsoft ที่เคยบดขยี้ NetScape อย่าง Internet Exproler นั้น ตอนนี้ได้ถูก Web Browser หน้าใหม่อย่าง Firefox ที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก Google และมีโปรแกรมค้นหาของ Google ติดตั้งไว้เป็น Default ด้วย

Firefox ที่กำลังได้รับความนิยมทดแทน Internet Exproler
Firefox ที่กำลังได้รับความนิยมทดแทน Internet Exproler

Google ก็ได้เริ่มแผนการใหม่ในการโจมตี Microsoft โดยตรงด้วยการเริ่มหาเหล่าวิศวกรที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบระบบปฏิบัติการ ที่เป็นผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมของ Microsoft มากกว่าจะเป็น Google

Google เริ่มจะไม่ได้สนใจแค่โปรแกรมค้นหาเพียงแต่อย่างเดียวอีกต่อไป กำลังรุกไล่ไปยังส่วนอื่น ๆ ของ ซอฟต์แวร์ ที่ดูมีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานออนไลน์ได้บนอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้สามารถที่จะเขียน โพสต์ แลกเปลี่ยน และพิมพ์เอกสารได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ระบบปฏิบัติการ Windows และ ชุดโปรแกรมเอกสารอย่าง Microsoft Office อีกต่อไป ซึ่งนั่นคือฐานที่มั่นที่แข่งแกร่งที่สุดของ Microsoft นั่นเอง

Credit Image : dazeinfo.com

–> อ่านตอนที่ 12 : China Syndrome

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Google ตอนที่ 10 : Space Race

แม้สงครามโปรแกรมการค้นหาในอเมริกา ดูเหมือน Yahoo จะพ่ายแพ้ไปอย่างสิ้นเชิงต่อ Google ที่กำลังเติบโตก้าวเข้ามากินส่วนแบ่งเค้ก เม็ดเงินโฆษณาออนไลน์อย่างรวดเร็ว แต่ตลาดยุโรปนั้นมันไม่ใช่ เพราะ Yahoo ครองส่วนแบ่งเป็นเจ้าตลาดหลังจากส่ง Overture โปรแกรมค้นหาที่ Yahoo ซื้อมาไปรุกตลาดในยุโรป ซึ่งสามารถกินส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างเบ็ดเสร็จ

แต่บริน และ เพจ ไม่ได้มองอย่างงั้น หลังจากการ IPO พวกเขาทั้งสองมีเป้าหมายชัดเจนที่ต้องการจะบุกยุโรป ซึ่งในช่วงใบไม้ผลิปีเดียวกันนั้น กำลังแข่งขันกับ Yahoo เพื่อเป็นผู้หาโฆษณาให้ AOL ในยุโรป

มันเป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ Yahoo สามารถครองตลาดนี้ได้แบบเบ็ดเสร็จ สามารถที่จะจัดหาโฆษณาให้แก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 6.3 ล้านรายของ AOL ใน อังกฤษ ฝรั่งเศษ และ เยอรมัน

ด้วยข้อเสนอทางการเงินและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ดีกว่าที่ Yahoo เสนอให้กับ AOL แต่ปี 2004 มันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเมื่อ บริน นั้นต้องการที่จะเข้ามาเจรจาด้วยตัวเองในช่วงโค้งสุดท้ายของการแข่งขันหวังพลิกเกมส์กลับมาชนะ Yahoo ให้ได้

Overture ที่ Yahoo ซื้อมาเพื่อหวังต่อกร Google
Overture ที่ Yahoo ซื้อมาเพื่อหวังต่อกร Google

โดยบรินและเพจ วางข้อเสนอใหม่ให้กับ AOL ซึ่งให้ผลประโยชน์สูงมากและไร้ความเสี่ยง รวมถึงการรับประกันรายได้นับ 10 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สูงกว่าที่ Google เองรวมถึง Yahoo คู่แข่งตัวฉกาจเสนอไปก่อนหน้า และไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องมานั่งต่อรองกันอีก

ซึ่งการเข้ามา Deal ด้วยตัวเองของผู้ก่อตั้งทั้งสองนี่เอง ที่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ท้ายที่สุด AOL เลือก Deal กับ Google แทน Yahoo ที่แทบจะเซ็นสัญญากันไปแล้วเสียด้วยซ้ำ มันเป็นความใจสู้ของทั้งสอง ที่อยากเอาชนะในศึกนี้ และแสดงให้โลกเห็นว่าทั่งคู่ไม่ได้เพียงเป็นแค่ผู้ก่อตั้งธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้บริหารที่ลงมือเอง รวมถึงแสดงถึงความแข็งกร้าวทางธุรกิจให้เห็นอีกด้วย

แม้ต้องเริ่มสร้างขึ้น Google ในปึ 1998 เพจ นั้นจะครองตำแหน่ง CEO ส่วน บริน เป็นประธานบริษัท แต่เมื่อ Google กลายเป็นบริษัทมหาชน เพจ ได้ตำแหน่งประธานฝ่ายการผลิต ส่วน บริน นั้นกลายเป็นประธานฝ่ายเทคโนโลยี ในการดูแลงานประจำวันของ Google นั้น งานของ เพจ จะลงรายละเอียดและลงมือเองมากกว่า ส่วน บริน นั้นให้น้ำหนักกับวัฒนธรรมองค์กร กระตุ้นแรงจูงใจ เจรจาธุรกิจ และควบคุมโครงการต่างๆ  ที่จะมีความสำคัญในระยะยาว

ส่วนใน เอริก ชมิดต์ ในฐานะ CEO จะดูแลการดำเนินการ การจัดการซึ่งเป็นงานใหญ่มากในบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วมากขนาดนี้ โดย ชมิดต์นั้นจะเน้นความสนใจไปที่เรื่องของ การสร้างระบบบัญชีภายใน การเงิน และ ระบบอื่นๆ  ที่จะขยายได้เมื่อบริษัทโตขึ้น รวมทั้งสร้างโครงสร้างพื้นฐานอันพิเศษในการรองรับการขยายตัวให้ Google กลายเป็นบริษัทระดับโลก

ซึ่งในห้วงเวลาดังกล่าวนั้น Microsoft อีกหนึ่งคู่แข่งรายสำคัญกำลังติดหล่ม กับปัญหาเรื่องการละเมิดกฏหมายต่อต้านการผูกขาด ที่ต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นล้าน ๆ เหรียญ ซึ่ง บิลล์ เกตส์ ประธานของ Microsoft พูดถึงเสมอถึงสิ่งที่บริษัทของเขาจะทำเกี่ยวกับ Windows รุ่นใหม่ และวิธีที่จะทำลาย Google ในที่สุด เช่นกับที่เขาเคยทำกับคู่แข่งรายอื่นๆ  มาแล้วในก่อนหน้านี้

ในขณะที่ Google กำลังเติบโตขึ้นไปในระดับโลกแล้วนั้น เกตส์ก็คอยที่จะเฝ้าสังเกตว่า Microsoft จะตามให้ทันและแซงหน้าโปรแกรมค้นหาของ Google ได้อย่างไร เหมือนที่ Microsoft ส่ง Internet Explorer ออกมาฆ่า NetScape เมื่อหลายปีก่อนหน้า

เกตส์ต้องการล้ม Google ให้ได้แบบเดียวกับที่ล้ม NetScape ได้สำเร็จ
เกตส์ต้องการล้ม Google ให้ได้แบบเดียวกับที่ล้ม NetScape ได้สำเร็จ

แม้ Microsoft จะมีการวางแผนอย่างลับ ๆ ที่จะเปิดตัวโปรแกรมค้นหาของตนเองเพื่อให้ผู้ใช้งานได้ทดลองใช้ มีการประโคมข่าวออกไปว่า Microsoft ได้ทำการเก็บข้อมูลเอกสารไปกว่า ห้าพันล้านชิ้นในอินเทอร์เน็ตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งดีกว่าของ Google ที่มีเพียงแค่ สี่พันล้านชิ้นเท่านั้น

แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ Microsoft จะแถลงเรื่องชัยชนะดังกล่าวนั้น Google ก็ได้ชิงประกาศเพิ่มการเก็บข้อมูลดัชนีไปสองเท่า คือ เก็บจำนวนเว๊บเพจไว้ แปดพันล้านหน้า ซึ่งได้รวมรวมเว๊บที่รู้จัก ทั้งหมดทั่วโลก จำนวนมากที่สุดที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนได้

ซึ่งการที่ Google กำลังนำหน้าแบบฉุดไม่อยู่ Google เริ่มกลายเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีหุ้นส่วนที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีการขายไปทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  และเนื่องจากการที่ Google ให้ผู้ใช้ค้นข้อมูลโดยไม่ต้องเสียเงิน จึงไม่มีความเป็นไปได้สำหรับ Microsoft ที่จะโจมตีด้วยการตัดราคาเหมือนที่เคย ๆ ทำมา

Google นั้นได้พยายามอย่างหนักที่จะสร้างนวัตกรรมออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คงอยู่แถวหน้าของการแข่งขันในโลกอินเทอร์เน็ต มีการเปิดตัวแผนที่ผ่านดาวเทียม และบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการค้นหาเส้นทาง การเพิ่มความสามารถในการค้นหาวีดีโอ การสร้าง Google Scholar เพื่อให้การค้นบทความทางวิชาการ รวมถึงวิทยานิพนธ์ต่าง ๆ ซึ่งกล่าวได้ว่า Google ได้ช่วยผู้ใช้ในแทบทุกอาชีพ ตั้งแต่ผู้ใช้ทั่วไป จนถึง นักธุรกิจระดับสูง 

Google Scholar ออกมาเพื่อช่วยเหลือนักศึกษา และ นักวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลก
Google Scholar ออกมาเพื่อช่วยเหลือนักศึกษา และ นักวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลก

และด้วยการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วของตลาดกล้องดิจิตอล ทำให้เกิดภาพถ่ายขึ้นมากมาย Google จึงได้เผยแพร่โปรแกรมค้นหาภาพและเทคโนโลยีในการเก็บภาพแบบใหม่ ด้วยการใช้งานที่ง่ายดายขึ้น มีการเก็บข้อมูลภาพมากกว่า 1.2 พันล้านภาพ 

Google ยังเสนอวิธีการใหม่สำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในการค้นจากคำพูดที่เก็บไว้ การหา Taxi และสภาพอากาศ รวมถึงการสร้าง Google Earth ที่ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์สามารถบินไปยังทุกหนทุกแห่งที่อยากไปได้อย่างง่ายดาย โดยมีภาพสามมิติให้ดูไปตลอดทาง และหลังจากนั้นไม่นาน Google ก็เริ่มเพิ่มในส่วนของดวงจันทร์ที่ moon.google.com

Google Earth ที่ออกมาเพื่อให้ทุกคนสามารถที่จะสำรวจโลกทั้งใบได้
Google Earth ที่ออกมาเพื่อให้ทุกคนสามารถที่จะสำรวจโลกทั้งใบได้

และนี่เป็นสิ่งที่บอกว่าตอนนี้ Google กำลังกลายเป็นยักษ์ใหญ่ทางอินเทอร์เน็ต ที่กำลังยกระดับตัวเองขึ้นมาท้าทาย Microsoft อย่างจริงจัง ซึ่ง ทั้งบริน และ เพจ พอใจมากกับการทำงานของพนักงานชาว Google และได้ทำการฉลองครั้งยิ่งใหญ่ โดยทำการเช่าโรงภาพยนตร์ใกล้ ๆ เป็นเวลา 24 ชม. และแจกบัตรฟรีให้พนักงานทุกคนไปชมภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ตอนล่าสุดที่กำลังฉาย ซึ่งด้วยผลิตภัณฑ์และทีมงานชุดนี้ของพวกเขา Google นั้นได้รับชัยชนะในการแข่งขันในอวกาศรอบนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 11 : Attacking Microsoft

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Google ตอนที่ 9 : Going Public

หลักชัยที่สำคัญของทุกธุรกิจ ในการก้าวเข้าสู่อีกระดับนั่นคือการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นบริษัทมหาชน แต่บริน และ เพจ พยายามที่จะยื้อโครงการที่จะไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

เหตุผลสำคัญอย่างนึงที่คู่หูผู้ก่อตั้งไม่อยากที่จะนำ Google เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยเร็ววันนั้น ปัจจัยหนึ่งคือการที่จะทำให้ เหล่าคู่แข่งสำคัญที่กำลังมองตาเป็นมันอย่าง Microsoft และ Yahoo จะรู้ว่า Google สามารถทำกำไรมหาศาลได้อย่างไร

ซึ่งทันทีที่ข้อมูลต่าง ๆ ถูกเปิดเผยออกสู่สาธารณะตามกฏของตลาดหลักทรัพย์แล้วนั้น แน่นอนว่าการแข่งขันที่ Google ผูกขาดมาเป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้วนั้นจะเจอการแข่งขันที่รุนแรงทันที

แม้มันจะส่งผลให้เหล่าพนักงานรุ่นก่อตั้งที่ได้รับหุ้นไป รวยกลายเป็นเศรษฐีทันที แต่ ผลเสียมันก็อาจจะก่อตัวขึ้น เนื่องจาก ทุกอย่างมันจะกลายเป็นเรื่องสาธารณะทันที แม้กระทั่งชีวิตของผู้ก่อตั้ง ก็ดูจะมีแววว่าจะวุ่นวายพอควร เมื่อทุกคนจะโฟกัสมาที่พวกเขา เมื่อรู้ว่าพวกเขาจกำลังจะกลายเป็นมหาเศรษฐี

และสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างคือ ทั้งคู่ไม่ได้ต้องการเงินหลายพันล้านที่จะเข้ากระเป๋ามาเมื่อบริษัทเข้าตลาดหุ้น เพราะทั้งสองนั้นชอบใช้ชีวิต ปลีกวิเวก แบบสมถะ เรียบง่าย ไม่ได้สนใจเรื่องการที่จะกลายเป็นมหาเศรษฐีเลยแต่อย่างใด พวกเขาแค่ต้องการเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นเพียงเท่านั้น และทำสำเร็จแล้วด้วย Google

สองผู้ก่อตั้งมีเป้าหมายต้องการเปลียนโลกให้ดีขึ้น
สองผู้ก่อตั้งมีเป้าหมายต้องการเปลียนโลกให้ดีขึ้น

และพวกเขาก็ยังต้องการเปลี่ยนแปลงในการเสนอขายต่อตลาดหุ้นด้วยการปฏิเสธธรรมเนียมแบบเดิม ๆ ของ วอลล์สตรีท ที่มักมีบริษัทลงทุนเป็นคนจัดการแล้วกระจายให้ผู้มีสิทธิพิเศษก่อน โดยจะกดราคาหุ้น IPO ให้ต่ำไว้ก่อน แล้วหันมาทำการกระจายหุ้นด้วยความเสมอภาค ผ่านคอมพิวเตอร์ Algorithm ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง คล้าย ๆ กับการประมูลโฆษณาของ Google

และมันก้ได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นในวงการตลาดหุ้น เมื่อผู้ใช้ Google นับล้าน ๆ คน รายเล็กรายน้อย ต่างมีโอกาสที่จะได้เข้าถึงหุ้น Google ในวัน IPO  มันเป็นวิธีการที่ บริน และเพจ ทำให้หุ้น Google เข้าถึงคนธรรมดาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

บริน และ เพจ ต้องการแหกธรรมเนียมวอลล์สตรีท เพื่อแจกจ่ายหุ้นให้คนทั่วไปมากที่สุด
บริน และ เพจ ต้องการแหกธรรมเนียมวอลล์สตรีท เพื่อแจกจ่ายหุ้นให้คนทั่วไปมากที่สุด

และที่สำคัญ ทั้งสองผู้ก่อตั้งยังต้อการแก้เผ็ดวอลล์สตรีทด้วยการ จ่ายค่าตอบแทบให้ต่ำกว่าครึ่ง ของอัตราที่จ่ายกันปรกติ และไม่สนใจ โบรกเกอร์ใดที่ไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของการแจกจ่ายหุ้นที่สร้างข่าวอื้อฉาวมานานในวอลล์สตรีท

เนื่องจาก Google นั้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีล้วน ๆ ที่ต่างจากคู่แข่งอย่าง Yahoo ซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมของบริษัทสื่อแบบเก่า ผู้บริหารได้แบ่งหุ้นออกเป็นสองประเภท ได้แก่ หุ้นประเภท ก. เป็นหุ้นที่ขายให้นักลงทุนทั่วไปและมีสิทธิ์หุ้นละหนึ่งเสียง และประเภท ข. หุ้นที่เป็นทุนของพวกเขาเอง มีสิทธิ์หุ้นละสิบเสียง และให้อำนาจในการควบคุมบริษัทโดยตรงแก่พวกเขา

ซึ่งการสร้างโครงสร้างสองระดับเช่นนี้ จะถูกคุกคามจากควบรวมกิจการได้ยาก หากไม่ได้รับการยินยอมโดยเหล่าผู้ก่อตั้ง เป็นการควบคุมอำนาจในบริษัทแบบเบ็ดเสร็จ จะไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก ทั้งสองผู้ก่อตั้งยังคงควบคุม Google ได้แบบเบ็ดเสร็จ โดยที่สามารถทำเงินเป็นพันล้านเหรียญได้จากการเข้าตลาดหุ้น และ เป็นเป็นแบบอย่างให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยุคหลัง ทำตามกันมา

ดังคำขวัญประจำใจของ Google ที่ทั้งสองผู้ก่อตั้งกำหนดไว้คือ “Don’t be Evil” ซึ่งมันเป้นคำประกาศที่เป็นการ ยิงตรงเข้าใส่คู่แข่งศัตรูในขณะนั้นอย่าง Microsoft และ Yahoo เป็นการกล่าวหา Yahoo คู่แข่งอันดับสองในตลาดเดียวกันว่า “ชั่วร้าย” ที่ยอมรับเงินจากเว๊บไซต์ต่าง ๆ เพื่อจะได้มีโอกาสมากขึ้นในการไปปรากฏบนหน้รายงานผลการค้นหา ทั้งบริน และ เพจ มองว่าผลการค้นหาของ Google นั้นเป็นผลการค้นหาที่เท่าเทียมและบริสุทธิใจ แต่ของ Yahoo เต็มไปด้วยมลทิน

Don't Be Evil คำขวัญประจำใจของ Google
Don’t Be Evil คำขวัญประจำใจของ Google

แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมองเหมือนกับสองเหล่าผู้ก่อตั้ง ผู้คนจำนวนมากก็ตั้งคำถามกับ Google เช่นเดียวกัน ความดีความชั่วที่ Google พูดถึงนั้นดูเหมือนจะเป็นการกล่าวยกยอตัวเองแทบจะทั้งสิ้น เพราะหาเงินจากโฆษณาเหมือนกัน

และเมื่อรายงานทางการเงินของ Google ได้ถูกเปิดเผยเมื่อเข้าสู่กระบวนการทำ IPO แล้วนั้น ทำให้เหล่าคู่แข่ง รวมถึงนักวิเคราะห์ต่างตกตะลึง กับกำไรที่เกิดขึ้น เพียงแค่ครึ่งปีแรกของปี 2004 บริษัทมีรายได้กว่า 1.4 พันล้านเหรียญ มีกำไรถึง 143 ล้านเหรียญ มันเป็นการเติบโตที่รวดเร็วมาก และไม่มีวี่แววว่าจะหยุดการเติบโตเลยด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ 

บรินและเพจ มีแนวคิดที่จะหนีออกจากเรื่องการเงินเดิม ๆ พวกเขาไม่ได้ต้องการเงินมากมาย ในคำบรรยายเกี่ยวกับเป้าหมายของ Google นั้น สองผู้ประกอบการกล่าวว่า

“ตนหวังว่าความมั่งคั่งและความเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมันจะสามารถถูกนำไปใช้แก้ปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกได้ เรามุ่งมั่นปราถนาที่จะทำให้ Google กลายเป็นบริษัทที่สร้างโลกที่น่าอยู่มากขึ้น เราอยู่ในกระบวนการก่อตั้งมูลนิธิ Google และตั้งใจอุทิศทรัพยากรก้อนใหญ่ให้แก่มูลนิธิรวทั้งเวลาของพนักงานและหุ้นกับกำไร 1% เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สักวันหนึ่ง สถานบันแห่งนี้จะบดบัง Google เองในแง่ของการส่งผลกระทบต่อโลกโดยรวย”

ถือได้ว่าการเข้าสู่ตลาดหุ้นของ Google นั้น มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องเงิน แต่ในรายงานผลประกอบการนั้นก็สวนทางเพราะรายได้มีแต่เติบโตขึ้น และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว เหล่าคู่แข่ง อย่าง Microsoft และ Yahoo ต่างมองตาปริบ  ๆกับผลประกอบการของ Google แล้วเหล่าคู่แข่งจะจัดการอย่างไร จะแย่งส่วนแบ่งเค้กมโหฬารก้อนนี้มาได้หรือไม่ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 10 : Space Race 

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :When Larry Met Sergey *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ