Elon Musk ขโมย Tesla จริงหรือ? เรื่องราวที่ถูกซ่อนไว้ กับศึกชิงอำนาจที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ยานยนต์โลก

ช่วงต้นปี 2003 ประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่ได้เริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อ Martin Eberhard และ Mark Tarpenning สองหนุ่มวิศวกรที่มองการณ์ไกล ได้ปลุกปั้นไอเดียในการสร้างบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

สองหนุ่มชอบเล่าว่าแรงบันดาลใจเกิดขึ้นระหว่างทริปเที่ยว Disneyland กับครอบครัว เป็นช่วงเวลาที่ Mark คิดชื่อ “Tesla” แล้วรีบซื้อโดเมนทันที ราวกับโชคชะตาที่ถูกขีดเขียนไว้แล้วให้เขาทำสิ่งนี้

Martin มีพื้นฐานโชกโชนในฐานะวิศวกรคอมพิวเตอร์และไฟฟ้า เริ่มต้นอาชีพที่บริษัท WISE ก่อนจะถูก Dell ซื้อไป ส่วน Mark สั่งสมประสบการณ์จาก Textron ในซาอุดีอาระเบีย ทั้งคู่สนิทกันเพราะชอบเล่นเกม Magic the Gathering ด้วยกัน

ก่อนหน้านี้ทั้งคู่เคยร่วมหัวจมท้ายตั้งบริษัท NuvoMedia พัฒนาเครื่องอ่านอีบุ๊กรุ่นบุกเบิกในปี 1998 ซึ่งล้ำหน้า Kindle ถึง 9 ปี และก่อน iPad 12 ปี มันเก็บหนังสือได้ 1,000 เล่ม ขายราคา 499 ดอลลาร์

แม้ธุรกิจจะไม่บูมเพราะตลาดหนังสือดิจิทัลยังไม่พร้อม แต่พวกเขาก็ขายบริษัทได้ 187 ล้านดอลลาร์ ทำให้มีทุนมากโขและประสบการณ์พอที่จะเริ่มธุรกิจใหม่

จุดเริ่มต้นอีกอย่างมาจากกฎหมาย ZEV (Zero Emission Vehicle) ของรัฐแคลิฟอร์เนียที่บังคับให้บริษัทรถยนต์ต้องผลิตรถที่ไม่ปล่อยมลพิษ เป้าหมายตั้งไว้ว่าภายในปี 2003 รถใหม่ 10% ต้องเป็นรถไฟฟ้า

กฎนี้เป็นการกระตุ้นให้มีการพัฒนารถไฟฟ้าอย่างจริงจัง อย่าง GM ที่ทุ่มเงินพันล้านดอลลาร์พัฒนา EV1 ที่ใช้แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดวิ่งได้ 70 ไมล์ (ประมาณ 112 กิโลเมตร) แต่สุดท้ายเมื่อกฎเปลี่ยน GM ก็เรียกรถคืนและทำลายทิ้งหมด เป็นจุดจบของความฝันในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้ายุคแรก

วันที่ 1 กรกฎาคม 2003 Tesla ได้ถูกจดทะเบียนเป็นทางการ โดย Martin นั่งเก้าอี้ CEO และ Mark เป็น CFO พวกเขาเริ่มต้นด้วยการศึกษาเทคโนโลยีจากบริษัท AC Propulsion ที่พัฒนาระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าต้นแบบ

ทั้งคู่มีเงิน แต่ขาดความเชี่ยวชาญในการผลิตรถ พวกเขาจึงวางแผนเน้นที่เทคโนโลยีภายใน แล้วหาพันธมิตรมาช่วยสร้างตัวรถ โดยเล็งไปที่ Lotus เป็นผู้ผลิตให้

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Ian Wright พนักงานคนแรกของ Tesla แนะนำบริษัทให้ Elon Musk รู้จัก การพิตช์ให้ Elon เป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ สำหรับบริษัทในตอนนั้น

ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปมองว่าไอเดียรถสปอร์ตไฟฟ้าเป็นเรื่องบ้าบอ แต่สำหรับคนที่กำลังสร้างจรวดอย่าง Elon กลับมองว่านี่คือความท้าทายที่น่าสนใจ

Elon ตอนนั้นเพิ่งขาย PayPal ให้ eBay มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ และกำลังทุ่มเท 100 ล้านดอลลาร์ให้กับ SpaceX เขาตัดสินใจลงทุนใน Tesla รอบ Series A มูลค่า 7.5 ล้านดอลลาร์ โดยควักเงินส่วนตัว 6.35 ล้านดอลลาร์

แต่มีเงื่อนไขว่าต้องได้เป็นประธานกรรมการบริษัท เงื่อนไขนี้ดูโหดก็จริง แต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาว่าเขาลงเงินมากแค่ไหน

การระดมทุนในรอบ Series A มีการออกหุ้นประมาณ 15 ล้านหุ้นราคาหุ้นละประมาณ 49 เซนต์ คิดเป็น 30% ของหุ้นทั้งหมด ทำให้บริษัทมีมูลค่าประมาณ 25 ล้านดอลลาร์

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 Tesla ระดมทุนรอบ Series B ได้อีก 13 ล้านดอลลาร์ที่มูลค่าบริษัท 51 ล้านดอลลาร์ สร้างชื่อกระฉ่อนวงการให้กับสตาร์ทอัพยานยนต์ไฟฟ้าแห่งนี้ทันที

การพัฒนา Tesla Roadster เริ่มต้นขึ้นภายใต้การนำของ Martin ในฐานะ CEO และ Elon ในฐานะประธาน โดยมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนภาพจำของรถไฟฟ้าจากรถเล็กที่น่ารังเกียจ ให้กลายเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่น่าทึ่ง

แต่ความขัดแย้งเริ่มก่อตัวหลังจากการเปิดตัว Roadster เมื่อ Elon รู้สึกแย่ที่สื่อนำเสนอบทบาทของเขาเพียงแค่นักลงทุนรายแรก เขาส่งอีเมลถึง Martin แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง

ปัญหาการผลิตและความท้าทายในการบริหารพนักงาน 140 คน ทำให้ความตึงเครียดระหว่าง Elon และ Martin พุ่งสูงขึ้น ในเดือนมกราคม 2007 Martin เสนอให้หา CEO คนใหม่ระหว่างทานอาหารเย็นกับ Elon

แม้คณะกรรมการจะเห็นด้วย แต่แผนกลับพลิกเมื่อ Martin ถูกปลดจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคม 2007 ผ่านการประชุมคณะกรรมการที่เขาไม่ได้เข้าร่วม แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการแทงข้างหลังอย่างโหดเหี้ยม

ที่แสบยิ่งกว่าคือ Martin ออกมาเปิดใจว่า “เมื่อผมถูกไล่ออกจาก Tesla ผมไม่มีเงินเลย ผมไม่มีเงินจริงๆ แย่กว่านั้น ผมไม่มีโอกาสได้งานทำประมาณหนึ่งปีเพราะข้อตกลงทรัพย์สินทางปัญญาที่จำกัดกับ Tesla”

ในช่วงเปลี่ยนผ่าน Tesla มี CEO ชั่วคราวสองคนก่อนที่ Elon จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง CEO อย่างเต็มตัว คนแรกคือ Michael Marks อดีต CEO ของ Flextronics ผู้ลงทุน 2.5 ล้านดอลลาร์ในบริษัท และ Ze’ev Drori จาก Clifford Electronics

การปลด Martin นำไปสู่การฟ้องร้องที่ยืดเยื้อ โดย Martin ฟ้อง Elon ด้วยข้อหาต่างๆ ถึง 11 ข้อ รวมถึงการหมิ่นประมาท การใส่ร้าย การฉ้อฉล และการสร้างความเครียดทางอารมณ์ จุดสำคัญคือการที่ Elon เริ่มเรียกตัวเองว่าเป็น “ผู้ร่วมก่อตั้ง Tesla”

คดีความยุติลงด้วยการตกลงกันนอกศาล โดยมีข้อตกลงให้ Elon และพนักงานคนแรกๆ อีกสามคนสามารถใช้ตำแหน่ง “ผู้ร่วมก่อตั้ง” ได้อย่างถูกต้อง ทั้งที่ไม่ได้อยู่ตั้งแต่วันแรกเริ่ม นี่เป็นชัยชนะของอำนาจเงินที่ขีดชะตาชีวิตคนได้

เรื่องราวของ Tesla เป็นกรณีศึกษาชั้นเทพเกี่ยวกับพลวัตอำนาจในสตาร์ทอัพ การระดมทุน และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ก่อตั้งกับนักลงทุน

ในมุมมืดของการระดมทุน Tesla แสดงให้เห็นว่าธุรกิจที่ต้องการเงินลงทุนมหาศาลจำเป็นต้องผ่านการระดมทุนหลายรอบ เริ่มจาก Pre-seed จากผู้ก่อตั้ง ไปจนถึงรอบ Series ต่างๆ

แต่ละรอบไม่เพียงนำมาซึ่งเงิน แต่ยังนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในบริษัทที่อาจทำให้ผู้ก่อตั้งสูญเสียการควบคุมได้ เหมือนเป็นการชักศึกเข้าบ้าน

ปัจจุบัน Tesla เป็นบริษัทที่มีกำไรกว่า 15 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ศึกชิงอำนาจ และรอยร้าวมากมาย

ประเด็นที่ยังถกเถียงกันในวงการธุรกิจคือคำจำกัดความของคำว่า “ผู้ก่อตั้ง” ใครสมควรได้รับการยกย่องในฐานะผู้ก่อตั้ง – ผู้ที่ริเริ่มแนวคิด ผู้ที่จดทะเบียนบริษัท หรือผู้ที่ให้เงินทุนและผลักดันให้บริษัทประสบความสำเร็จ?

กรณีของ Tesla แสดงให้เห็นว่าเส้นแบ่งระหว่างบทบาทเหล่านี้อาจไม่ชัดเจน และในท้ายที่สุด เงินและอำนาจอาจเป็นปัจจัยชี้ขาดว่าใครจะได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์

ความสำเร็จของ Tesla ไม่เพียงพิสูจน์ว่ารถยนต์ไฟฟ้าสามารถเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกหันมาลงทุนในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง

การที่ Tesla สามารถท้าทายอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีประวัติยาวนานและเปลี่ยนทิศทางตลาดได้ แสดงให้เห็นว่าแม้แต่อุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งก็สามารถถูกปฏิวัติได้ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความกล้าที่จะฝ่าฝันต่อสู้

บทเรียนสำคัญสำหรับผู้ประกอบการคือการเข้าใจว่าการระดมทุนไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่เป็นเรื่องของการวางแผนอำนาจบริหารในระยะยาว ควรพิจารณาเลือกนักลงทุนอย่างรอบคอบ เจรจาเงื่อนไข และวางโครงสร้างที่สามารถรองรับการเติบโตในอนาคต

การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงนวัตกรรมหรือเงินทุน แต่ยังรวมถึงความสามารถในการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างทุกฝ่าย หากไม่ระวัง ผู้ก่อตั้งอาจพบว่าตัวเองกำลังไปสู่จุดจบโดยไม่รู้ตัว

ดัชนี ‘คนโง่’ ของ Elon Musk ทำไมจรวด SpaceX ถึงถูกกว่าคู่แข่ง 20 เท่า

ปี 2008 เป็นช่วงที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินโลก ตลาดหุ้นดิ่งลงเหว บริษัทยักษ์ใหญ่ล้มละลายเป็นโดมิโน เงินทุนรอนที่เคยไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจกลายเป็นความร่อยหรอ

ท่ามกลางวิกฤตครั้งนั้น มีชายคนหนึ่งกล้าเดิมพันทุกอย่างที่มีกับความฝันที่ใครๆ ว่าไร้สาระ นั่นคือการสร้างจรวด คนที่ว่านี้คือ Elon Musk ที่ตอนนี้กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับท็อปของโลก

ย้อนกลับไปช่วงปลายยุค 90 ที่อินเทอร์เน็ตกำลังบูม Elon ที่ถวิลหาความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จึงตัดสินใจทิ้งการเรียนที่ Stanford มาเริ่มธุรกิจ เขารังสรรค์เว็บแผนที่ออนไลน์อย่าง Zip2 จนขายได้เงิน 22 ล้านดอลลาร์

แต่ความเจ๋งยังไม่จบ เขาสร้าง X.com ที่ต่อมากลายเป็น PayPal ระบบชำระเงินออนไลน์สุดเทพ ขายให้ eBay ได้เงินมาอีก 180 ล้านดอลลาร์

แทนที่จะเอาเงินไปลงทุนในธุรกิจที่มั่นคง Elon กลับจัดเต็มให้กับสามธุรกิจที่ท้าทาย: SpaceX ทำจรวด Tesla ทำรถไฟฟ้า และ Solar City ทำพลังงานแสงอาทิตย์

ในวงการอวกาศ เขาต้องปะทะกับ Boeing และ Lockheed Martin ที่มีประสบการณ์โชกโชน ทั้งที่ตัวเองไม่มีพื้นฐานด้านจรวดเลย ส่วนในวงการรถยนต์ก็ต้องสู้กับ Ford และ Toyota ที่เป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการนี้มานานกว่าศตวรรษ

เรื่องราวน่าสนใจเริ่มต้นเมื่อ Elon เดินทางไปรัสเซียเพื่อซื้อจรวด ICBM มือสอง แต่กลับโดนเยาะเย้ยและขึ้นราคาจาก 6 ล้านเป็น 21 ล้านดอลลาร์

แทนที่จะหัวฟัดหัวเหวี่ยง Elon กลับมองว่านี่คือโชคชะตาที่กำหนดมาแล้ว เขาตัดสินใจสร้างจรวดเอง โดยคิดค้น “ดัชนีคนโง่” เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนที่แท้จริง

Elon พบว่าชิ้นส่วนจรวดราคาแพงเกินจริงมาก เช่น เทอร์โบปั๊มราคา 200,000 ดอลลาร์ ทั้งที่ต้นทุนแค่ 10,000 ดอลลาร์ หรือกลอนประตูที่ NASA ซื้อในราคา 1,500 ดอลลาร์ ทั้งที่กลอนประตูห้องน้ำแบบธรรมดาราคา 30 ดอลลาร์ก็ใช้ได้

เขาปฏิวัติการผลิตจรวดด้วยการออกแบบให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ทำให้ต้นทุนลดฮวบลงอย่างมาก จนคู่แข่งต้องตะลึง

เส้นทางถูกรุมเร้าด้วยอุปสรรค จรวดระเบิด เงินหมด จนเกือบแตกหัก โดยเฉพาะปี 2008 ที่ทั้ง SpaceX และ Tesla เกือบล้มละลาย แต่ Tesla รอดมาได้ด้วยเงินทุนในวันคริสต์มาสอีฟพอดี

จนกระทั่งวันที่ 28 กันยายน 2008 SpaceX ก็ทำสำเร็จ ปล่อยจรวด Falcon 1 เข้าสู่วงโคจรได้ กลายเป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่ทำได้

ปัจจุบัน SpaceX ถีบตัวขึ้นมาเป็นผู้นำวงการอวกาศที่ใครๆ ต่างหมายปอง ต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง 20 เท่า ปี 2023 ปล่อยจรวดไป 100 ลำ ครองตลาด 60% ของโลก ยานอวกาศ Dragon ก็ประสบความสำเร็จ ในขณะที่คู่แข่งยังตามหลังอยู่สุดกู่

เรื่องราวของ Elon แสดงให้เห็นว่า บางทีคนที่ถูกมองว่าเพ้อฝัน อาจเป็นผู้ที่มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนกว่าใคร ส่วนขวดวอดก้าที่รัสเซียเคยล้อว่าจะให้ คงต้องเก็บไว้ฉลองความสำเร็จของ SpaceX แทน

Geek Story EP284 : ดัชนี ‘คนโง่’ ของ Elon Musk ทำไมจรวด SpaceX ถึงถูกกว่าคู่แข่ง 20 เท่า

ท่ามกลางความโกลาหลของวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ขณะที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 500 จุด และสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่กำลังล้มครืนลงเหมือนโดมิโน มีชายคนหนึ่งที่กล้าทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องบ้า เขาตัดสินใจเดิมพันทุกอย่างที่มีเพื่อสร้างจรวด ในช่วงเวลาที่สินทรัพย์มูลค่า 600 พันล้านดอลลาร์หายไปในชั่วข้ามคืน การจ้างงาน 2.6 ล้านตำแหน่งสูญหาย และดัชนี S&P ร่วงลงถึง 40%

ชายคนนี้กลับมองเห็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตของมนุษยชาติ เขาคือ Elon Musk ผู้ที่เชื่อว่าการสำรวจอวกาศไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในมือของรัฐบาลอีกต่อไป

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/7ryp88rf

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/y4mnacay

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3hrb898c

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Ze6sLlKemuQ

Geek Story EP281 : Elon Musk ขโมย Tesla จริงหรือ? ศึกชิงอำนาจที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ยานยนต์โลก

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 วงการอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลพิษทางอากาศกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก รัฐแคลิฟอร์เนียได้ออกกฎหมาย Zero Emission Vehicle (ZEV) ที่กำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องผลิตยานพาหนะที่ไม่ปล่อยมลพิษ โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2003 ยานพาหนะใหม่ 10% จะต้องเป็นรถไฟฟ้า

ท่ามกลางบริบทนี้ ในฤดูหนาวปี 2003 Martin Eberhard และ Marc Tarpenning สองผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์ได้เริ่มต้นความคิดที่จะปฏิวัติวงการยานยนต์ด้วยการสร้างบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แนวคิดนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นระหว่างการเดินทางไป Disneyland กับครอบครัวในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นช่วงที่ Mark คิดชื่อ “Tesla” และรีบจดทะเบียนโดเมนทันที

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3s9h7z7b

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/46zz8zr4

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/y6uuft5t

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/2F_3hUxziDI

Geek Story EP38 : ประวัติ Elon Musk The Real Life Iron Man (ตอนที่ 5 – ตอนจบ)

รูปแบบของ Tesla ไม่เพียงแค่ทำให้ ธุรกิจแนวคิดเดิม ๆ ของอุตสาหกรรมรถยนต์เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกว่ารถไฟฟ้าคือแนวคิดใหม่ของยานยนต์ด้วย อีกไม่นานบริษัทรถยนต์อื่น ๆ ล้วนจะต้องทำตามหลักการที่นำโดย Tesla

แม้หลายคน อาจจะเคยปรามาส มัสก์ว่าธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าคือโอกาสทางธุรกิจที่ห่วยแตกที่สุดของโลกใบนี้ เหล่านักลงทุนส่วนใหญ่ ต่างกระโจนหนี ในความคิดเพ้อฝันของมัสก์ โอกาสที่จะทำกำไรกับธุรกิจนี้มันมีน้อยมาก ๆ

แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ Tesla แตกต่างจากคู่แข่งก็คือความมุ่งมั่นในการพุ่งชนวิสัยทัศน์ของตัวเองโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลย ซึ่งนั่นก็คือการทุ่มเทสุดตัวให้กับการทำตามมาตรฐานของมัสก์ เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของสิ่งที่เคยมีมานั่นเอง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/357xvrB

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2HbFEmR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Fz0n1vIBTDs

References : https://www.tharadhol.com/blog-series-elon-musk-the-real-life-iron-man/
https://www.makedigitalindian.com/real-world-iron-man-elon-musk-biography/