ประวัติ Bill Gates ตอนที่ 11 : Glorious Failure

แม้สถานการณ์ในช่วงที่การแข่งขันด้านมือถือ smartphone กำลังขับเคี่ยวกันอย่างสนุก และ ณ ช่วงเวลาดังกล่าว Steve Ballmer ได้ขึ้นมากุมบังเหียนใหญ่เป็น CEO ของ Microsoft อยู่ในขณะนั้น แต่ต้องบอกว่า Bill Gates ในฐานะประธานบริษัท ก็ยังคงมีบทบาทที่สำคัญในการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์แทบจะทั้งหมดของ Microsoft อยู่

ฟากฝั่ง Android จาก Google นั้นเริ่มต้นใหม่ด้วยแนวคิดแบบจอสัมผัส ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่ Apple ประสบความสำเร็จกับ iPhone ซึ่ง Android ได้ทำการเปิดตัวมือถือรุ่นแรกคือ HTC G1 โดยเปิดตัวไปเมื่อเดือนตุลาคมปี 2008 

HTC G1 มือถือ Android รุ่นแรกของ Google ที่ดูไม่มีแววว่าจะรุ่ง
HTC G1 มือถือ Android รุ่นแรกของ Google ที่ดูไม่มีแววว่าจะรุ่ง

มันแทบจะไม่มีอะไรพิเศษในแง่ของ Hardware แุถมยังมีแป้นพิมพ์แบบเลื่อนได้คล้าย ๆ มือถือของ Nokia ด้วยซ้ำ และความสามารถในการใช้จอแบบสัมผัสก็ดูต่างจาก iPhone ราวฟ้ากับเหว มันเหมือนรุ่น เบต้า ของ iPhone เสียมากกว่าที่จะมาเป็นคู่แข่งกับ iPhone

แม้จ๊อบส์ จะโมโหมากที่ Google มาทำ Android ออกมาเพื่อแข่งกับ iPhone เพราะตอนแรกทั้งสองเหมือนจะเป็น พาร์ทเนอร์กันมากกว่า แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองได้ขาดสะบั้นลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Google ก็ต้องการที่ยืนในตลาด smartphone เช่นเดียวกัน ดีกว่าการไปผูกชะตาชีวิตไว้กับ iPhone ของ Apple ที่จะนำบริการของพวกเขาออกไปเมื่อไหร่ก็ได้

แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Android ที่ทำให้พวกเขาสามารถแจ้งเกิดได้สำเร็จในวงการมือถือโลก น่าจะมาจาก Samsung ที่ได้ลองเปลี่ยนจาก Symbian มาใช้ Android โดยรุ่นแรกที่ได้ใช้ชื่อตระกูล Samsung Galaxy คือรุ่น “Samsung I7500 Galaxy” ที่ได้ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2009

โดยกลายเป็น smartphone รุ่นแรกของค่ายที่รันบนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 1.5 (Cupcake) ซึ่งต่อมาทาง Samsung ยังคงพัฒนา smartphone ของตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนในตระกูล Galaxy รุ่นใหม่อย่าง Samsung Galaxy S

และช่วยให้ผู้คนเริ่มหันมามอง Android เพราะเริ่มมี Features ที่ดูคล้าย iPhone เข้าไปทุกที ในสนนราคาที่ต่ำกว่า และ Galaxy S ก็กลายเป็นมือถือที่ทำให้เห็นศักยภาพของ Android อย่างแท้จริงนั่นเอง

และความชัดเจนมันได้เริ่มเกิดขึ้นในไตรมาส 4 ของปี 2009 Android เริ่มเติบโตขึ้นทั่วโลก มีการขายโทรศัพท์ Android ไปได้กว่า 4 ล้านเครื่อง ซึ่งในขณะนั้นได้ขึ้นมาทาบรัศมีของ Windows Mobile ที่ยอดขายใกล้เคียงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่น่ากลัวมาก ๆ ของ Android ในช่วงนั้น

ในขณะที่ Android กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ฝั่ง Microsoft ก็ได้เริ่มตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ของ Windows Mobile เริ่มจะมีปัญหาครั้งใหญ่ เหล่าผู้บริหารของ Microsoft เริ่มรู้ตัวว่า Windows Mobile นั้นไม่สามารถแข่งขันกับ smartphone รุ่นใหม่ ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น iPhone จอสัมผัส หรือ ระบบปฏิบัติการน้องใหม่อย่าง Android

จึงได้เริ่มมีความคิดที่จะสร้าง แพลตฟอร์ม มือถือใหม่ ที่เป็นจอสัมผัสบ้าง โดยจะใช้ code name ว่า “Windows Phone” ซึ่งจะมีการ Design Interface ของหน้าจอรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Metro” และหันมาใช้เทคโนโลยีของตัวเองในการสร้างระบบปฏิบัติการใหม่นี้ขึ้นมาแทน

Metro UI ของ Windows Phone ที่เหล่านักพัฒนาร้องยี้
Metro UI ของ Windows Phone ที่เหล่านักพัฒนาร้องยี้

และสถานการณ์ของ Nokia ที่แม้จะยังคงเป็นผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ แต่กราฟการเติบโตของพวกเขาเริ่มดิ่งลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในตลาด smartphone ที่ Symbian โดนแย่งชิงตลาดจากทั้ง Android และ iOS ของ Apple อย่างหนัก จนต้องมีการปลด CEO คนเก่าออกแล้วตั้ง Stephen Elop ที่เป็นอดีตลูกหม้อของ Microsoft ขึ้นมากุมบังเหียนแทน

ซึ่งสุดท้าย Elop ที่ด้วยความเป็นลูกหม้อเก่าของ Microsoft ก็ได้ตัดสินใจว่าจะร่วมวงกับ Microsoft ในการผลักดัน Windows Phone และรอให้ Windows Phone นั้นสมบูรณ์พร้อมซึ่งคาดว่าน่าจะภายในปี 2012

โดยทั้ง 2 บริษัทจะใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Phone เป็นแพลทฟอร์มหลักของ smartphone ของ Nokia โดย Nokia จะอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการปรับแต่งฮาร์ดแวร์ การเลือกสรรซอฟต์แวร์ ภาษาที่รองรับและขีดความสามารถในการผลิตและการเข้าถึงตลาด

นอกจากนี้จะร่วมกันให้บริการเพื่อขับเคลื่อนสินค้าใหม่ ๆ เช่น Nokia Maps ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญของบริการเด่นของ Microsoft อย่าง Bing และ AdCenter แอพพลิเคชั่นและคอนเทนท์ของ Nokia จะรวมเข้ากับ Microsoft Marketplace ด้วยเช่นกัน

แต่ดูเหมือนกลยุทธ์ดังกล่าว ก็ไม่ได้ทำให้ Nokia สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด จนสุดท้าย Microsoft ก็ได้เดินเกมเดิมพันครั้งสุดท้ายในตลาดมือถือ smartphone ด้วยการเข้า Take Over เอา Nokia มาครอบครองได้สำเร็จในช่วงปลายปี 2013 

แต่เนื่องด้วยความล่าช้า และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของทั้ง android และ iOS ของ iPhone รวมถึงการที่ตัว Windows Phone ไม่ได้รับความสนใจจากเหล่านักพัฒนา App ให้มาสนใจ Windows Phone เลยด้วยซ้ำ และที่สำคัญด้วย UI ใหม่แบบ Metro นั้นทำให้เหล่านักพัฒนาแขยงที่จะร่วมวงด้วยเพราะมันมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับ iOS และ Android ที่พวกเขาแทบจะต้องพัฒนาแอปต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่หมด

ทำให้ App ดี ๆ ที่คนใช้งานทั่วไปในทั้ง Android และ iOS ไม่มีการมาพัฒนาบนแพลตฟอร์มของ Windows Phone และมันก็ได้ทำให้ผู้ใช้งานแทบจะไม่สนใจ Windows Phone เลย จนท้ายที่สุด Windows Mobile ก็ต้องปิดฉากตัวเองไปจากวงการมือถือโลก อย่างที่เราได้เห็นจวบจนถึงปัจจุบันนั่นเองครับ

–> อ่านตอนที่ 12 : Hit Refresh (ตอนจบ)

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 A Revolution Begins *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Bill Gates ตอนที่ 10 : Glorious Reaction

หลังจากช่วงผ่อนคลายในสถานการณ์ในตลาด Search Engine ที่ Microsoft ได้ส่ง Facebook เข้าไปตัดแข้งตัดขา Google แทน ทำให้ Gates และ Microsoft เหมือนจะได้หายใจหายคอ กลับมาโฟกัสกับผลิตภัณฑ์ตัวเองบ้าง

และในตอนนั้นตลาดมือถือ Smartphone กำลังกลายเป็นตลาดใหม่ที่เริ่มกลายเป็นที่นิยมทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่า Microsoft ในขณะนั้น ก็มีระบบปฏิบัติการมือถือของตัวเองอย่าง Windows Mobile ซึ่งต้องบอกว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่ดูดีมีอนาคตอย่างมากสำหรับ Microsoft ในตลาดมือถือโลก

Windows Mobile ที่กำลังเป็นระบบปฏิบัติการมือถือที่มีอนาคต
Windows Mobile ที่กำลังเป็นระบบปฏิบัติการมือถือที่มีอนาคต

ซึ่ง Gates ก็ได้ใช้กลยุทธ์แบบเดียวกันกับระบบปฏิบัติการบน PC ก็คือ เขาจะไม่ยุ่งกับส่วน Hardware แต่จะขายเป็น License ของระบบปฏิบัติการอย่าง Windows Mobile ออกมาแทนนั่นเอง มันน่าจะเป็นเกมที่ Gates และ Microsoft ถนัดเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันคล้ายกับธุรกิจของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แต่เหตุการณ์ที่เหลือเชื่อในวงการมือถือโลกมันก็ได้ถึงจุดเปลี่ยนแปลงขึ้นในปี 2007

การเกิดขึ้นของ iPhone จาก Apple ที่ได้แอบซุ่มทำอยู่หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงจาก iPod เครื่องเล่น MP3 ของ Apple ซึ่ง Apple ได้ต่อยอดมาทำมือถือรูปแบบใหม่ ที่ถือว่าเป็นการปฏิวัติวงการในขณะนั้น

และการเกิดขึ้นของ iPhone นี่เองที่ได้ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งตลาดมือถือโลกเลยก็ว่าได้ เหล่าผู้ผลิตมือถือยักษ์ใหญ่ ที่คาดไม่ถึงว่า Apple จะสามารถสร้างสิ่งที่กำลังจะมาปฏิวัติวงการมือถือโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนได้ มันเป็นการเปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิงระหว่างยุคก่อน iPhone กับ มือถือยุคหลัง iPhone ก่อกำเนิดขึ้นมานั่นเอง

แต่เห็นได้ชัดว่าในศึกของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้น Apple พ่ายแพ้ให้กับ Microsoft อย่างราบคาบ เนื่องจาก Windows ของ Microsoft นั้นสามารถที่จะไปลงกับ Hardware ของผู้ผลิตรายใดก็ได้ ต่างจาก Mac ของ Apple ที่สามารถรันกับเครื่อง Apple ได้เพียงเท่านั้น และสุดท้าย Windows ก็เติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นมาตรฐานของวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วโลกในที่สุด

และเช่นเดียวกันกับในเรื่องนักพัฒนา ส่วนใหญ่ Apple จะค่อนข้างปิดไม่ให้นักพัฒนาภายนอกเข้ามายุ่มย่ามกับ Ecosystem ของ Apple มีเปิดบ้าง แต่เพียงน้อยนิดเท่านั้น เช่นใน iPod ที่มีการสร้างเกมส์เข้ามาจากนักพัฒนาภายนอกนั่นเอง

แต่สุดท้ายในเดือนตุลาคม ปี 2007 หลังจากปล่อย iPhone ออกจำหน่ายได้ประมาณ 10 เดือน จ๊อบส์ ก็ได้ประกาศครั้งสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ iPhone อีกครั้ง เมื่อจ๊อบส์ประกาศให้มีการสร้าง  Native App ของนักพัฒนาภายนอก และมีการวางแผนจะเอา SDK (Software Development Kit) ให้เหล่านักพัฒนาได้ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2008

แต่มันเป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจ๊อบส์ ที่ต้อง balance กันระหว่าง การสร้างแพลตฟอร์มระดับเทพ และเป็นระบบเปิดให้กับเหล่านักพัฒนา ขณะเดียวกันก็ต้องคุ้มครองผู้ใช้ iPhone จาก ไวรัส มัลแวร์ รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานด้วย

จ๊อบส์ตัดสินใจครั้งสำคัญให้นักพัฒนาภายนอกมาเข้าร่วมกับ iPhone
จ๊อบส์ตัดสินใจครั้งสำคัญให้นักพัฒนาภายนอกมาเข้าร่วมกับ iPhone

ซึ่งทำให้แม้จะไม่เปิดหมดซะทีเดียว แต่จ๊อบส์ เชื่อในแนวทางของตนเพื่อรักษาประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้ iPhone นั่นเอง ซึ่ง App ภายนอกนั้นจะมีการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งผู้ใช้ iPhone จะสบายใจได้ว่ามีความปลอดภัยสูงสุดนั่นเอง 

และทางฝั่ง Google ก็ได้เริ่มแอบทำบางอย่างลับ ๆ โดยหลังจากเปลี่ยนแผนโดยฉับพลันจากมือถือที่ต้องมี keyboard แบบ Blackberry ให้กลายมาเป็นมือถือแบบจอสัมผัสแบบที่ iPhone ทำ ซึ่งการซุ่มพัฒนานี้ทำโดย Apple แทบจะไม่ระแคะระคายเลยด้วยซ้ำ เพราะหนึ่งในบอร์ดของ Apple ในขณะนั้น ก็คือ เอริก ชมิตต์ ที่เป็น CEO ของ Google นั่นเอง

ส่วนทางฝั่ง Microsoft สตีฟ บอลเมอร์ CEO ของ Microsoft ( *** Gates ได้ขึ้นไปเป็นประธานของบริษัทแทน แต่ยังมีบทบาทกับกลยุทธ์ต่าง ๆ ของ Microsoft อยู่*** ) ถึงกับหัวเราะดังลั่น หลังจากสื่อได้เข้าไปถามหลังการเปิดตัว iPhone ซึ่ง บอลเมอร์ นั้นมองว่า iPhone จะไม่สามารถดึงดูดลูกค้าธุรกิจได้ เพราะมันไม่มีแป้นพิมพ์ และ Microsoft นั้นก็มีกลยุทธ์ของตัวเองสำหรับ Windows Mobile แล้วและกำลังไปได้สวยอยู่ในตลาดเสียด้วย

แล้วสถานการณ์จะเกิดอะไรขึ้นอีกครั้งกับ Microsoft ที่ดูเหมือนจะไปได้ดีกับตลาดมือถือโลกด้วย Windows Mobile แต่การเกิดขึ้นของ iPhone รวมถึง Google ศัตรูตัวฉกาจคนเดิมที่แอบไปซุ่มทำระบบปฏิบัติการมือถือบางอย่างอยู่นั้น จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ Microsoft โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 11 : Glorious Failure

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 A Revolution Begins *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Bill Gates ตอนที่ 9 : Revenge of the Fallen

ในเมื่อมีการประกาศอย่างชัดเจนจาก Bill Gates และ Microsoft ว่า google คือ ศัตรูหมายเลขหนึ่งที่กำลังจะรุกรานธุรกิจต่าง ๆ ของ Microsoft และในโลกของ Search Engine นั้นดูเหมือนว่า Microsoft จะเพลี่ยงพล้ำให้กับ google ไปเสียแล้ว ทางเลือกใหม่ของ Microsoft จึงเป็นการหาพันธมิตรใหม่ในโลกออนไลน์แทน

และแน่นอนว่าบริการใดที่เป็นที่นิยมในโลกอินเตอร์เน็ต บริการนั้นก็ถือเป็นภัยคุกคามของ google เช่นเดียวกัน เมื่อเข้าสู่ปี 2007 บริการ Social Network น้องใหม่อย่าง facebook เริ่มปรากฏกายออกมาเป็นภัยคุกคุมใหม่ของ google

สาเหตุสำคัญก็เนื่องมาจาก มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก พยายามปลุกปั้น facebook ด้วยความชาญฉลาด โดย facebook จะทำการซ่อนเนื้อหาทั้งหมดไว้ ไม่ให้ Search Engine รายใดเข้ามาย่างกรายใน platform ของ facebook ผ่านเนื้อหาของไฟล์ “robot.txt” ที่เป็นตัวกรองไม่ให้ Search Engine เข้ามาทำการเก็บข้อมูล Content ภายในเว๊บของตนเอง

มันเปรียบเสมือนปราการขนาดยักษ์คอยป้องกันไม่ให้ google เข้ามาสอดส่องข้อมูลภายใน facebook เพราะมันเป็นเรื่องของข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน มาร์ค จึงไม่อยากให้ข้อมูลเหล่านี้ถูกค้นหาได้ทั่วไปในระบบอินเตอร์เน็ต เพราะหากจะค้นหาต้องเข้ามา join ใน platform ของเขาเท่านั้นที่เป็นระบบปิด ที่ต้องสมัครเข้ามาใช้งาน

หนุ่มน้อยอย่าง มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ที่สร้างธุรกิจใหม่บนโลกออนไลน์อย่าง Social Network
หนุ่มน้อยอย่าง มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ที่สร้างธุรกิจใหม่บนโลกออนไลน์อย่าง Social Network

google ที่เคยเป็นพี่ใหญ่คอยสอดส่องไปทั่วทั้งระบบ internet เริ่มรู้สึกหงุดหงิด เพราะเนื้อหาใน facebook นั้น google ไม่มีอำนาจที่จะเข้าถึงได้ และที่สำคัญมันกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อเหล่าผู้คนบนโลกออนไลน์แห่แหนกันมาเล่น social network เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มันทำให้ google ไม่สามารถทำการโฆษณาให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้เลย เพราะถูกกำแพงที่ facebook สร้างกั้นไว้

และดูเหมือนว่า google จะโดนกับตัวเองบ้าง เพราะตอนนี้ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์กก็มอง google เหมือนที่ google มองไปยัง Microsoft ในช่วงแรก ๆ ซึ่ง มาร์ค ก็ไม่อยากให้ facebook ถูกกลืนกินโดย google เช่นกันเดียวกัน เหมือนตอนที่ google ก็ไม่ยอมให้ Microsoft กลืนกินธุรกิจของตัวเองในช่วงแรก

และเป็นพี่ใหญ่อย่าง Microsoft นี่เอง ที่แทนที่จะสู้รบกับ google ที่สดกว่าด้วยน้ำมือตัวเอง จึงได้คิดแผนการใหม่ด้วยการ ซื้อหุ้น facebook ในปริมาณเพียง 1.6% ด้วยมูลค่ากว่า 240 ล้านเหรียญสหรัฐ

ซึ่งต้องบอกว่าในขณะนั้น facebook มีผู้ใช้งานเพียงแค่ 42 ล้านคนเท่านั้น แต่นี่เป็นแผนการที่เหนือชั้นอีกครั้งของ Microsoft ที่ต้องการเตะตัดขา google ในโลกออนไลน์ ที่กำลังคิดการณ์ใหญ่ และเริ่มที่จะรุกล้ำเข้ามาที่ธุรกิจของ Microsoft มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งดีลดังกล่าวนี้ ทำให้มูลค่า facebook ในตอนนั้นพุ่งสูงขึ้นไปถึงกว่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญเลยทีเดียว

แม้จะเป็นชัยชนะเล็ก ๆ ของ Microsoft ต่อ google แต่อย่างไรก็ตามสัดส่วนของ Bing นั้นก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นในระดับที่ทำให้เหล่าผู้บริหารสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นตลาดในสหรัฐ หรือ ทั่วโลก ซึ่ง Bing นั้นได้ครองส่วนแบ่งเพียงเล็กน้อยในตลาดการค้นหา และดำเนินธุรกิจได้ด้วยอาศัยเงินทุนที่มหาศาลของ Microsoft เพียงเท่านั้น

ซึ่ง Microsoft ก็จำเป็นต้องหาทางเลือกทางอื่น เพราะรู้อยู่แล้วว่าการไปสู้กับ google แบบตรง ๆ ในโลกธุรกิจออนไลน์นั้น พวกเขาเป็นรองอย่างชัดเจน ในช่วงต้นปี 2008 Microsoft จึงได้ทำการเสนอราคาซื้อ Yahoo สูงถึง 4.5 หมื่นล้านเหรียญ เป้าหมายของ Microsoft ก็เพื่อที่จะเพิ่มอำนาจการค้นหาของบริษัท โดยการขยายธุรกิจ ซึ่งตอนนั้น Yahoo ก็ถือเป็นอันดับสองในโลกอินเตอร์เน็ต รองจาก google เพียงเท่านั้น

Yahoo ครองส่วนแบ่งการตลาดโฆษณาออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดบนเว๊บไซต์ มีทั้งเนื้อหาข่าว บริการ email ซึ่งมีผู้ใช้งานอยู่มากมายทั่วโลก และที่สำคัญ Microsoft ก็มองว่า Yahoo น่าจะเป็นส่วนเติมเต็มที่ดีให้กับ Bing ได้อย่างแน่นอน

แต่ครั้งนี้ ดูเหมือน ผู้บริหารฝั่ง Yahoo จะตัดสินใจพลาดครั้งใหญ่ เพราะได้ปฏิเสธข้อเสนอของ Microsoft ไปอย่างไม่ใยดี ซึ่งเจอร์รี่ หยาง ก็ได้กลายเป็นคนต้องรับผิดชอบถูกกดดันให้ลาออกไปในที่สุด ซึ่งการปฏิเสธครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมโฆษณาออนไลน์เลยก็ว่าได้ 

แม้จะมีการสร้าง Partnership กันระหว่าง Microsoft และ Yahoo ในเรื่องการค้นหา ภายหลัง โดย Microsoft จะเข้ามาสนับสนุนในเรื่องการค้นหาแทน แต่ตอนนั้นต้องบอกว่ามันสายไปเสียแล้ว

Yahoo ใช้โปรแกรมค้นหาของ Bing จาก Microsoft แต่ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว
Yahoo ใช้โปรแกรมค้นหาของ Bing จาก Microsoft แต่ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว

เมื่อ facebook กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และได้ฉกฉวยรายได้จากโฆษณาออนไลน์ไปเป็นจำนวนมาก ด้วยจำนวนผู้ใช้งานทั่วโลกที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้รายรับของ Yahoo ลดลง หลังจากนั้น Yahoo ก็ดำดิ่งจนสุดท้ายก็ต้องขายกิจการไปในที่สุด

ต้องบอกว่า ตลาดโฆษณา online ก่อนหน้ายุค facebook เกิดนั้น google ครองตลาดส่วนนี้แบบแทบจะเบ็ดเสร็จ เหลือช่องว่างไว้ให้ bing ของ microsoft เพียงเล็กน้อยเท่านั้น 
การส่ง facebook ไปทำการรบกับ google แทน และเป็นการถ่วงดุลอำนาจของ google หลังจากที่ไม่ได้มีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อมานาน

ซึ่งต้องบอกว่าเป็นแผนที่เหนือชั้นมากของ Bill Gates และ Microsoft อีกครั้งหนึ่งในสงครามด้านเทคโนโลยี ที่ห้ำหั่นกันอย่างสุดมันส์ ใครพลาดพลั้งเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะทำให้ธุรกิจของตัวเองล้มหายตายจากไปเลยก็ว่าได้ อย่างที่เราได้เห็นตัวอย่างมานับต่อนับแล้วนั่นเอง และแน่นอนว่า มันทำให้ Microsoft นั้นได้มีเวลาหายใจหายคอ และกลับมาโฟกัสกับธุรกิจตัวเองมากขึ้น เพื่อสร้างความสามารถในการเติบโตในระยะยาวได้อีกครั้งนั่นเองครับ

–> อ่านตอนที่ 10 : Glorious Reaction

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 A Revolution Begins *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Bill Gates ตอนที่ 8 : The Internet Trap

พอถึงต้นปี 2000 google นั้นก็ได้กลายเป็นเว๊บไซต์ยอดนิยม ของเหล่านักค้นหา แต่ข่าวร้ายก็มาถึงเช่นเดียวกัน เพราะ เกิดวิกฤติดอทคอมขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมปี 2000 ซึ่งทำให้พวกเหล่าเศรษฐีอินเตอร์เน็ตพากันล้มหายตายจากไปพอสมควร รวมถึงเหล่านักวิจารณ์ก็พากันวิจารณ์ google ว่ามันเป็นเพียงแค่ของเล่น เพราะไม่มี โมเดลธุรกิจที่ชัดเจน ซึ่งคงมีจุดจบไม่ต่างจากบริษัทดอทคอมรายอื่น ๆ ที่ล้มหายตายจากกันเป็นว่าเล่นในขณะนั้น

แต่สิ่งที่ช่วยรักษา Google ให้อยู่รอดปลอดภัยจากวิกฤติครั้งนี้ได้ และเป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ google คงจะเป็นเรื่องของการตัดสินใจต่าง ๆ โดยทุกครั้งนั้น google จะเอาข้อมูลเป็นตัวตั้งเสมอ ทั้งเรื่องการตลาด ผลิตภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งเรื่องเทคนิคอลต่าง ๆ ภายใน google เพราะหากไม่มีข้อมูลที่มาสนับสนุนการตัดสินใจได้ดีพอ คนที่เสนออาจจะถูกตอกกลับหน้าหงายโดยสองผู้ก่อนตั้งไปเลยก็ได้

ซึ่งในขณะที่ Google เติบโตอย่างเงียบ ๆ นั้น ในเวลาเดียวกันในตลาดบนอินเตอร์เน็ต Microsoft โฟกัสไปที่ผลิตภัณฑ์เว๊บพอร์ทัล อย่าง MSN เพราะดูจะเข้าท่ากว่าโปรแกรมค้นหาอย่างเห็นได้ชัด และ Microsoft ยังปั้นให้ MSN กลายเป็นเว๊บท่าที่ยอดนิยมที่สุดในโลก ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

ซึ่งในปี 2000 มีคนเข้ามาใช้งาน MSN กว่า 201 ล้านคน โดยที่ Microsoft แทบจะไม่ได้สนใจโปรแกรมค้นหาใด ๆ ด้วยซ้ำ เพราะพวกเขากำลังก้าวไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นเว๊บ portal ที่ทุกคนทั่วโลกต้องเข้าใช้งาน

Microsoft กำลังโฟกัสเว๊บพอร์ทัลอย่าง MSN ไม่สนใจโปรแกรมค้นหาเลยด้วยซ้ำ
Microsoft กำลังโฟกัสเว๊บพอร์ทัลอย่าง MSN ไม่สนใจโปรแกรมค้นหาเลยด้วยซ้ำ

แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดของ google คือการสร้างสิ่งที่เรียกว่า Adwords ซึ่งได้กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้โฆษณา  โดยทำให้โปรแกรมค้นหาของ Google นั้นสามารถทำตลาดแทบจะตลอด 24 ชั่วโมงในทุก ๆ วัน

โดยในทุก ๆ วัน มันมีคำหรือ วลีนับล้านคำ ที่ผู้คนกำลังค้นหา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าและบริการแทบจะทั้งสิ้น ตัวอย่างชื่อสินค้าประจำวันเช่น “Pet food” อาจจะมีราคาประมํูลที่ถูก กว่า คำอย่าง “Investment Advice” ซึ่งเป็นกลไกของตลาดในเรื่องราคาที่ผู้ลงโฆษณายินดีที่จะจ่ายเพื่อให้โฆษณาของตนได้ปรากฏเมื่อมีคนค้นหาคำ ๆ นั้นบน Google

มันทำให้ Google ได้เงินทุกครั้งที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์คลิกบนโฆษณา ที่มันแสดงขึ้นบนผลการค้นหา และมันถูกทำงานแบบอัตโนมัติ โดยระบบการประมูลออนไลน์ ซึ่งมันทำให้ Google มั่นใจได้ว่า จะได้รับราคาที่ดีที่สุดอยู่เสมอ และสร้างกระแสเงินสดปริมาณมหาศาลให้ Google มากขึ้นเรื่อย ๆ 

และที่สำคัญ Google ยังได้มือดีอย่าง เอริค ชมิดต์ เข้ามาเป็น CEO โดย ชมิดต์ได้เข้ามาเพิ่มมิติของ google ให้ขยายขอบเขตขึ้น ซึ่งจากประสบการณ์บริษัทเก่าที่เขาเคยทำงานด้วยไม่ว่าจะเป็น Novell และ Sun Microsystem เขาล้วนมีประสบการณ์ที่ดีในการสู้กับยักษ์ใหญ๋อย่าง Microsoft ในสงครามกฏหมายในรอบทศวรรษที่ผ่านมา

ชมิดต์ นั้นมักเตือน บรินและเพจ อยู่เสมอว่า อย่าไปท้าทายยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft เหมือนที่ NetScape ทำ พยายามแอบอยู่ในมุมมืด และอย่าพยายามวาดภาพว่า google นั้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่จะมาแข่งกับ Microsoft

ซึ่งส่วนนี้จะทำให้ Microsoft นั้นยังไม่สนใจ และคิดว่า google ทะเยอะทะยานต้องการทำธุรกิจมากกว่าการค้นหา ซึ่งแม้จะเป็นความจริงก็ตาม แต่ไม่จำเป็นต้องประกาศให้คนรับรู้ ยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของ google คือ กันตัวเองห่างออกจาก Microsoft ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ซึ่งมันเปรียบเสมือนเป็นหลุมพรางที่กันไม่ให้ Microsoft รู้ความเคลื่อนไหวของ Google ในโลก Internet นั่นเอง

Google ได้มือดีอย่าง เอริก ชมิดต์ มาช่วยวางแผนสู้กับ Microsoft
Google ได้มือดีอย่าง เอริก ชมิดต์ มาช่วยวางแผนสู้กับ Microsoft

และในที่สุด ฐานะทางการเงินของ Google ก็เติบโตขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ ในปี 2002 นั้น Google สร้างรายได้ 440 ล้านเหรียญ และสามารถทำกำไรได้ถึงกว่า 100 ล้านเหรียญ ซึ่งกำไรทั้งหมดมันมาจากการที่ผู้ใช้คลิกข้อความโฆษณาที่วางอยู่ทางขวาในหน้ารายงานผลการค้นหาบน Google.com

การเป็นผู้ริเริ่มทำเป็นคนแรก และการเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทอเมริกาของ Google มันได้ย้ายเงินโฆษณาที่เดิมต้องจ่ายให้สื่อเก่า ๆ อย่าง ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ และ นิตยสาร มายังอินเทอร์เน็ตแทน และตอนนี้ บริษัทซึ่งตั้งเป้าหมายแรกเพียงแค่ต้องการเป็นผู้สนองการค้นข้อมูลเพียงอย่างเดียวอย่าง Google ได้ก้าวขึ้นมาท้าทายอำนาจของบริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกอินเทอร์เน็ต ผ่านการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตได้สำเร็จแล้ว

และเมื่อทาง Microsoft เริ่มรู้ตัว Gates ก็สั่งให้ทีมงานเข้ามาลุยในธุรกิจ Search Engine แบบทันที  แต่แน่นอนว่าเป็นงานที่หนักหน่วงมาก ๆ สำหรับ ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ที่ต้องการเข้ามาในตลาดการค้นหา ซึ่ง google ได้นำหน้าไปไกลแล้ว

เพราะตอนนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องความสามารถทางวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของความเข้าใจต่อผู้ใช้งาน ว่าพวกเขาต้องการอะไร และ Search Engine ต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาได้ ซึ่ง Google นั้นนำไปแบบไม่เห็นฝุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Microsoft นั้นสามารถเอาชนะ NetScape ได้แบบไม่ยากนัก เพราะมีการเขียน software มาอย่างดี และติดตั้งเป็นค่าเริ่มต้นมาพร้อมกับ Windows ได้ ส่วน google นั้นให้บริการฟรีอยู่แล้ว จึงไม่มีทางที่ Microsoft จะมาตัดราคาเหมือน NetScape ได้เหมือนกลยุทธ์เก่า ๆ

ซึ่งมันมีเพียงทางเลือกเดียวที่จะสามารถล้ม google ได้คือ การสร้าง Search Engine ที่ดีกว่า แต่ดูเหมือนทุกอย่างมันจะสายไปเสียแล้ว เพราะ Brand ของ Google มันได้กลายเป็นคำสามัญสำหรับการค้นหาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว google กลายเป็นอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในอินเตอร์เน็ตได้สำเร็จแล้ว และมันเป็นครั้งแรกที่ Gates และ Microsoft ต้องพ่ายแพ้ในศึกเทคโนโลยี ให้กับบริษัทหน้าใหม่ ที่เพิ่งเกิดไม่กี่ปีอย่าง Google มันเป็นการฝากรอยแผลในใจให้กับ Gates และ Microsoft เป็นอย่างมาก

แล้วสถานการณ์ที่มาถึงขนาดนี้ Bill Gates จะแก้เกมส์ Google อย่างไร ด้วยความสดใหม่ของเหล่าพนักงาน Google แถมยังได้ไปแย่งชิงตัวเอาพนักงานมือดีมาจาก Microsoft อีกมากมาย มันเป็นการหักหน้า Gates ที่แสนจะเจ็บปวดครั้งแรกในการแข่งขันในธุรกิจทางด้านเทคโนโลยี Gates จะแก้แค้นด้วยวิธีไหน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับ

–> อ่านตอนที่ 9 : Revenge of the Fallen

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 A Revolution Begins *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Bill Gates ตอนที่ 7 : Enemy at the Gates

ในขณะที่ Microsoft ชนะศึกทางด้านเทคโนโลยีมาได้ทุกครา ไม่ว่าจะเป็นศึกใหญ่กับ IBM หรือ การบดขยี้เด็กน้อยอย่าง NetScape ให้ตายออกไปจากตลาด Web Browser ได้สำเร็จ และถึงเวลานั้นมันก็ได้เข้าสู่ยุคเริ่มต้นของธุรกิจ Internet แบบเต็มตัว เพราะเกิดเว๊บไซต์ใหม่ ๆ ขึ้นเป็นดอกเห็ด เกิด Business Model ใหม่ๆ ขึ้นบนโลกออนไลน์มากมาย

ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเอง ลาร์รี่ เพจ และ เซอร์เกย์ บริน สองหนุ่มนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย Stanford ได้เริ่มทำการสร้าง Index หรือ ดัชนีให้กับเหล่าเว๊บไซต์ทั้งหลายทั่วโลก

ซึ่งแม้วิธีเริ่มต้นในสิ่งที่ทั้งคู่ทำนั้นจะไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ในขณะนั้น มีหลายบริษัทก็ทำอยู่เช่นกัน แต่ปัญหาก็คือ ตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดถึง Model ธุรกิจของ Search Engine ว่าจะทำเงินจากมันได้อย่างไร เพราะกระแสในขณะนั้นกำลังแห่ไปทาง Web Directory อย่าง Yahoo ที่กำลังดังอยู่ในขณะนั้น

เนื่องจากเว๊บเพจได้เริ่มเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดจึงทำให้ Yahoo นั้นได้เริ่มสร้าง Directory ให้กับเหล่าเว๊บไซต์หน้าใหม่เหล่านี้ โดยใช้การคัดเลือกจากบรรณาธิการที่เป็นมนุษย์ และแน่นอนว่า พอจำนวนเว๊บไซต์ยิ่งมากขึ้น มันก็เริ่มที่จะลำบากขึ้นเรื่อย ๆ ในการคัดเลือกเหล่านี้

Yahoo เว๊บไดเรคทอรี่ ที่เป็นที่นิยมในขณะนั้น
Yahoo เว๊บไดเรคทอรี่ ที่เป็นที่นิยมในขณะนั้น

อีกฝากฝั่งหนึ่งนั้น Gates และ Microsoft แทบจะไม่ยินดียินร้ายกับการเกิดขึ้นของเหล่าบริการค้นหาทางออนไลน์เลยเสียด้วยซ้ำ Microsoft นั้นสามารถล้มศัตรูมาได้ทั้งหมด และพวกเขาก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะกลัวใครหน้าไหนอีกต่อไป

ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขามีการใช้งานอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Windows หรือ ชุด Microsoft Office ซึ่งพวกเขาก็ขายกันไม่ทันอยู่แล้วแค่เพียง product สองตัวนี้ที่มีอยู่ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่แทบจะผูกขาดการใช้งานทั่วทั้งโลก

มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ว่า Microsoft แทบไม่แยแสกับกระแสออนไลน์ บ้าเห่อ ของเหล่าบริษัทหน้าใหม่ในขณะนั้น เพราะมันมีจำนวนผู้ใช้งานเพียงน้อยนิด และยังไม่มีใครคิดว่าจะทำเงินจากมันได้อย่างไรเลยด้วยซ้ำ

แต่ด้วยความเป็นยักษ์ใหญ่ จึงได้ทำการกระจายความเสี่ยงไว้ โดยในปี 1997 นั้น Microsoft ได้สร้างเว๊บท่าขนาดใหญ่ แต่จะใช้บริการค้นหาจริง ๆ ของอีกหนึ่งบริษัทคือ Inktomi ซึ่งตอนนั้นเริ่มทำบริการที่เป็นลักษณะเว๊บ Crawler เพื่อไปดึงดูดข้อมูลต่าง ๆ ทั่ว WWW มาทำ Index หรือดัชนี

ซึ่งในรายปลายทศวรรษ 1990 แม้จะมี Search Engine มากมาย เช่น Yahoo , Altavista , Lycos , Excite , AOL , Infoseek แต่ดูเหมือนว่าเหล่า Search Engine เหล่านี้นั้น ไม่มีตัวไหนเลย ที่ทำให้เหล่าผู้บริโภคถูกใจและแก้ปัญหาสำคัญของเหล่า User เมื่อมาค้นหาได้

Search Engine ที่มีอยู่อย่างมากมายแต่ยังไม่โดนใจผู้บริโภคในขณะนั้น
Search Engine ที่มีอยู่อย่างมากมายแต่ยังไม่โดนใจผู้บริโภคในขณะนั้น

ตอนนี้ยังไม่มีใครที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งจริง ๆ ในเรื่องการค้นหา ทำให้ผลการค้นหาไม่ได้ดั่งใจคนใช้งานเท่าที่ควร คือมีแค่ให้ใช้ แต่ไม่มีตัวไหนที่ประทับใจผู้ใช้งาน แม้กระทั่ง Microsoft เองก็ตามก็ยังไม่เข้าใจจริง ๆ ของความต้องการของ User จากระบบ Search Engine

ซึ่งในช่วงเวลานั้นนั่นเอง ขณะที่เหล่าผู้ใช้งานกำลังเบื่อกับ โปรแกรมการค้นหาที่มีอยู่เต็มไปหมดในตลาด เพจและบริน ได้สร้างอัลกอริทึมสำหรับจัดลำดับเว๊บเพจที่เรียกว่า “PageRank” ภายใน Lab ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดขึ้นมาได้สำเร็จ

ซึ่งตอนนั้น พวกเขาทั้งสองเองก็ตามก็ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น การทดลองที่บังเอิญของพวกเขา สิ่งที่ทั้งสองต้องการนั่นคือ การนำการวิจัยดังกล่าวไปสู่หัวข้อวิทยานิพันธ์ปริญญาเอก โดยใช้เทคโนโลยีเพจแรงค์ กับโลกของอินเตอร์เน็ต

ซึ่งตอนแรกนั้น พวกเขาทั้งสองรวมถึงอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ได้คิดถึงการสร้างโปรแกรมค้นหาเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อพวกเขาได้ทำไประยะหนึ่ง กับพบกับความเป็นจริงที่ว่า สิ่งที่พวกเขาร่วมกันสร้าง มันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเป็นเพียงงานวิชาการเสียแล้ว สิ่งที่เขาค้นพบนั้นมันคือประตูไปสู่ธุรกิจใหม่ ที่มีมูลค่ามหาศาล มันคือขุมทรัพย์ทาง Digital รูปแบบใหม่ ที่ไม่มีบริษัทไหน ๆ ในโลกนี้ เคยคาดคิดมาก่อน

Bill Gates และ Microsoft กำลังหลงระเริง อยู่กับความสำเร็จซ้ำแล้วซ้ำเล่าของพวกเขา โดยแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะนี้ ศัตรูรายใหม่ ได้ก่อกำเนิดขึ้นแล้ว และกำลังจะกลายเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด ฉลาดที่สุด เท่าที่พวกเขาเคยเจอมานับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจเลยก็ว่าได้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ Gates และ Microsoft เมื่อธุรกิจเทคโนโลยีกำลังขับเคลื่อนไปยังโลก Internet โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 8 : The Internet Trap

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 A Revolution Begins *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ