มีเรื่องเล่าลับๆ เรื่องหนึ่ง ที่ Apple ไม่เคยพูดถึงมันเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1989 เมื่อบริษัทแอบฝังคอมพิวเตอร์ Lisa ประมาณ 2,700 เครื่องในหลุมฝังกลบที่ Logan รัฐ Utah อย่างเงียบๆ
ย้อนกลับไปช่วงปลายยุค 70 ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังบูม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลงานของ Apple Computer และ Steve สองคน – Wozniak และ Jobs ในตอนนั้น Apple กำลังพุ่งทะยานด้วยผลิตภัณฑ์อย่าง Apple II ที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโต
Apple II เป็นคอมพิวเตอร์จอสีเขียวเครื่องเล็กๆ ที่ Wozniak ออกแบบ แม้จะดูล้าสมัยตามมาตรฐานปัจจุบัน แต่ราคาถูกและมีประโยชน์มากพอจะผลักดันคอมพิวเตอร์เข้าสู่กระแสหลัก
Steve Jobs ในวัย 25 ปี ปี 1980 กลายเป็นเศรษฐีอย่างรวดเร็ว เขาไม่เกรงกลัวใคร ถือดี และบางครั้งก็ทำตัวโครตแสบ เขามักมาประชุมสาย ประกาศสิ่งที่คิดว่าควรจะเกิดขึ้นกับ Apple
Apple กำลังรุ่งเรือง แต่ต้องนำหน้าคู่แข่งให้ได้ ตลาดธุรกิจจะใหญ่กว่าและโตเร็วกว่าตลาดผู้ใช้ทั่วไปมาก ในขณะนั้นมีข่าวลือว่า IBM กำลังพัฒนา PC ของตัวเองที่จะเจ๋งกว่าและเหมาะกับธุรกิจมากกว่า Apple II
คอมพิวเตอร์ธุรกิจเครื่องแรกของ Apple คือ Apple III แต่ Jobs ไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรแบบสุกเอาเผากิน เขาได้เห็นภาพของอนาคตที่ Xerox ซึ่งมันเป็นต้นแบบของสิ่งที่เรียกว่า graphical user interface และเขาต้องการที่จะทำอะไรบางอย่างกับมัน
ทุกคนรู้ว่ากำลัง Apple สร้างคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตามคำพูดของ Jobs คือ มันจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่ “เจ๋งสุดๆ” และ Jobs ต้องการให้เป็นจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่แท้จริงและถาวร
ขณะที่ Jobs กำลังสร้างผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลกตัวใหม่ ชายคนหนึ่งชื่อ Bob Cook กำลังเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง ซึ่งขณะที่ Bob กำลังเรียนอยู่ที่ Utah State University Bob ได้อ่านนิตยสารคอมพิวเตอร์และเห็นโฆษณาชวนเป็นตัวแทนจำหน่าย Apple ซึ่ง Bob ก็แค่กรอกแบบฟอร์มส่งกลับไป และสิ่งนั้นทำให้ Bob ก็เริ่มเข้าสู่โลกของ Apple แบบไม่รู้ตัว
Bob ได้เล่าว่าต้องซื้อ Apple II หกเครื่องเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ และมันเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยและใหม่จนขายยากลำบากมาก ๆ ในยุคนั้น
“ผมใช้เวลาประมาณเก้าเดือนในการขายหกเครื่องนั้น มันไม่ค่อยเสถียรและเป็นงานที่โหดหินมากในการบุกเบิกเพื่อจำหน่ายคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ ” Bob กล่าว
Lisa เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ผู้ใช้ไม่ต้องงมกับคู่มือการใช้งานเล่มหนาเต๊อะ แทบจะเข้าใจมันได้ทันทีที่แกะกล่อง มันมีหน้าจอสว่าง desktop เต็มไปด้วยไอคอนและเอกสาร และอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งที่เรียกว่าเมาส์
มันเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ที่ง่ายกว่าวิธีการก่อนหน้านี้มาก ซึ่งคอมพิวเตอร์ยุคก่อนมีแค่ตัวอักษรสีเขียวสว่างบนหน้าจอและทุกอย่างที่ผู้ใช้ต้องการ มันขึ้นอยู่กับคำสั่งที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก
Lisa ไม่ใช่เครื่องแรกที่ทำสิ่งเหล่านั้น Xerox ได้วางจำหน่าย Star ซึ่งใช้ต้นแบบเดียวกัน แต่ Lisa มีความประณีตกว่ามาก โดย Jobs ได้เก็บรายละเอียดสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การลากและวาง หรือเมาส์ปุ่มเดียว
แม้แต่การลบไฟล์ก็รู้สึกใหม่ ผู้ใช้สามารถที่จะจับภาพ ไอคอนเล็กๆ ของเอกสาร ลากไปวางในถังขยะ และนั่นเป็นวิธีธรรมชาติในการลบสิ่งต่างๆ ที่มัน make sense เป็นอย่างมาก
Lisa เป็นความหลงใหลของ Jobs เขาตั้งชื่อตามลูกสาวของเขาเอง แต่สำหรับทีม Lisa เขาเป็นตัวปัญหา ซึ่งในฐานะผู้จัดการ Jobs แย่มาก เขาจะระเบิดอารมณ์ใส่คน เล่นพรรคเล่นพวก
เขาจะบ่อนทำลายโครงการที่เขาไม่ชอบหรือรู้สึกว่าเป็นคู่แข่ง เขาจะเรียกคนว่าไอ้โง่ ความแสบของ Jobs ทำให้เขาถูกไล่ออกจากทีม Lisa ในปี 1980
แม้จะมีดราม่า Lisa ก็เปิดตัวด้วยความฮือฮาในปี 1983 Apple โปรโมทมันอย่างหนักในการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม PC จนถึงตอนนั้น Jobs ยังช่วยโปรโมทมันแม้จะถูกบีบให้ออกจากโครงการนี้ไปแล้ว แถมเหล่านักวิจารณ์ก็ประทับใจกับเจ้าเครื่องนี้เป็นอย่างมาก
แล้วอะไรผิดพลาด? ทำไม Lisa ถึงดับสูญ? เพราะ Lisa มันมีปัญหาตั้งแต่เริ่ม คอมพิวเตอร์ทำงานช้าและไม่เสถียร ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ IBM เข้าสู่ตลาดธุรกิจ
IBM ผลักดัน PC ราคาประมาณ 1,600 ดอลลาร์ ในขณะที่ Lisa ราคา 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่สูงมาก ๆ ในยุคนั้น
แต่มีปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น Apple เองกำลังแทงข้างหลังผลิตภัณฑ์ดาวเด่นของตัวเอง มีข่าวลือว่า Apple กำลังจะมีสิ่งใหม่และถูกกว่ามาแทนที่ นั่นคือ Macintosh
หลังจากออกจาก Lisa, Jobs ได้เข้าควบคุมทีม Macintosh วิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Mac คือคอมพิวเตอร์พื้นฐานและราคาถูก แต่ภายใต้การนำของ Jobs มันกลายเป็นเหมือน Lisa มาก Jobs สนับสนุน Mac และพยายามที่จะฝัง Lisa
หลายครั้งที่มีลูกค้ามาดู Lisa และ Jobs จะวิ่งข้ามถนนมาบอกว่า ‘มานี่ คุณต้องดู Mac’ และมันยากที่จะแข่งกับประธานบอร์ดที่บอกว่า ‘อย่าซื้อนี่ ซื้อนั่น ซื้อของผม’
ในปี 1984 Mac เวอร์ชันสมบูรณ์ออกสู่ตลาดด้วยราคา 2,500 ดอลลาร์ และโฆษณา Super Bowl สุดเจ๋งโดย Ridley Scott ในขณะที่ Lisa ยังคงดิ้นรน Apple ถึงกับเปลี่ยนแบรนด์เป็น Macintosh XL และลบทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Lisa
ในปี 1985 หลังจากเพียงสองปีและขายได้ประมาณ 80,000 เครื่อง Lisa ก็ถูกยกเลิกการผลิต และคนที่สั่งยกเลิกก็คือ Jobs ที่ตอนนั้นเขาได้กลับมาควบคุมทีม Lisa อีกครั้ง แต่กลายเป็นว่าทั้ง Lisa และ Mac กลับมียอดขายดิ่งลงเหวหลังออกวางตลาดได้ไม่นาน
Jobs เองก็อยู่ที่ Apple ไม่นานหลังจากนั้น เขามีความขัดแย้งใหญ่กับ CEO John Sculley และถูกถีบออกจากบริษัทของตัวเองในปี 1985 แต่อนาคตของ Apple ถูกล็อคไว้แล้ว นั่นคือ Macintosh ส่วน Lisa กำลังจะถูกลืม
ในช่วงเดียวกับที่ Jobs กำลังเละเทะที่ Apple, Bob ก็กำลังดิ้นรนเช่นกัน วันหนึ่งเขาก็ปิ๊งไอเดียใหม่ด้วยคอมพิวเตอร์เก่า ๆ ของ Apple
Bob ซื้อ Apple III ทั้งหมดประมาณ 3,500 เครื่อง ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นการฝากขาย ตอนนั้น Bob ไม่มีทางมีเงินมากพอที่จะลงทุน โดยได้ขอ Apple ให้ส่ง Apple III มาแบบฟรี ๆ และ Bob จะทำการผ่อนจ่ายเป็นรายเดือนแทน
เรียกได้ว่ามันเป็นดีลที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ Apple ได้มูลค่าเพิ่มเติมจากความล้มเหลว และ Bob ก็เริ่มธุรกิจใหม่ขายฮาร์ดแวร์เก่าในราคาลดพิเศษ เขาให้บริการซ่อมแซมและสายด่วนในการ support ด้วย
วันหนึ่ง Bob ได้รับโทรศัพท์จาก Bill Campbell รองประธานฝ่ายการตลาดของ Apple ซึ่งในตอนนั้น Apple มี Lisa เหลืออยู่ประมาณ 7,000 เครื่อง และต้องการให้ Bob จัดการมัน
แต่ Lisa เหล่านั้นอยู่ในสภาพย่ำแย่ หลายเครื่องเสียหรือขาดชิ้นส่วน และทั้งหมดมันล้าสมัยไปแล้ว Bob ต่อรองราคากับ Apple และลงทุนสองแสนดอลลาร์เพื่อเปลี่ยนให้มันขายได้อีกครั้ง
Bob ได้คิดค้นระบบปฏิบัติการใหม่ที่เลียนแบบ Macintosh Plus และเพิ่มการ์ดอินเตอร์เฟซเพื่อให้ใส่ฮาร์ดไดรฟ์ขนาดใหญ่ขึ้นได้ มีการอัพเกรดให้ใส่ฟล็อปปี้ 800K ได้
Bob เรียกผลิตภัณฑ์นี้ว่า Lisa Professional ปี 1988 ต้องบอกว่าเป็นปีทองของ Bob คลังสินค้าเต็มไปด้วยสินค้า โทรศัพท์ดังไม่หยุด การแสดงของเขาที่งาน Mac World Expo ดึงดูดความสนใจของสื่อ
มีการออกบทความเรื่องราวเกี่ยวกับ Bob ใน Newsweek ซึ่งหลังจากที่บทความออกมา ยอดขายก็พุ่งกระฉูด
แต่แล้วในปี 1989 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทนายโทรมาบอกว่า Apple ได้ตัดสินใจที่จะใช้ข้อตกลงในสัญญาเพื่อรับคอมพิวเตอร์ที่พวกเขาเป็นเจ้าของคืน จู่ๆ Apple ก็จะเอา Lisa กลับคืน
หลังจากนั้นก็มีชายฉกรรจ์ที่ดูเหมือนอดีตนาวิกโยธินมาที่คลังสินค้าของ Bob และเริ่มขนของขึ้นรถ โดยคอมพิวเตอร์ทั้งหมดถูกทิ้งลงในหลุม Apple ใช้รถบูลโดเซอร์ทับพวกมัน ทำให้แน่ใจว่าพวกมันถูกทำลายอย่างสิ้นซาก
ทำไม Apple ถึงทำแบบนี้? Apple ให้เหตุผลง่ายๆ กับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า “การทำลาย Lisa เป็นเรื่องที่ดีกว่าสำหรับธุรกิจ” พวกเขาอ้างเรื่องการลดหย่อนภาษี แต่ Bob มีทฤษฎีที่ง่ายกว่านั้นในการอธิบายเรื่องนี้
Apple ไม่ต้องการให้ใครคิดถึงคอมพิวเตอร์ที่ล้มเหลว ในช่วงปลายยุค 80 Apple กำลังดิ้นรนและอยู่ในอันตรายที่จะกลายเป็นสินค้าในตลาดเฉพาะกลุ่ม
เรื่องราวของ Lisa จบลง แต่มรดกของมันยังคงอยู่ Apple ที่เรารู้จักจริงๆ เริ่มต้นในปี 1997 เมื่อ Jobs กลับมา Jobs เวอร์ชัน 2.0 แก่กว่าและฉลาดกว่า แต่ยังคงมุ่งมั่นเหมือนเดิม
ตอนที่ Jobs กลับมา และมันเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ เขานำพาบริษัทที่กำลังจะล้มละลายและผลักดันให้มันกลายเป็นหนึ่งในบริษัทมูลค่าสูงที่สุดในโลก
ภายใต้ Jobs, Apple มีชื่อเสียงในการควบคุมงานอย่างเข้มงวดและหมกมุ่นกับอนาคต Jobs มุ่งเน้นที่การสร้างสิ่งที่จะเป็นอนาคตสำหรับ Apple เขาไม่มีความรู้สึกถวิลหาอดีตอีกต่อไป
Lisa ที่ถูกฝังที่ Logan ไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกับภูเขาของผลิตภัณฑ์ Apple เก่าที่ถูกทิ้งไปในทุก ๆ ปี Lisa และทุกคนที่ลงทุนกับ Lisa แพ้ราบคาบ แต่ Apple ชนะแบบโครตเจ๋ง
ในปี 2000 Apple ขู่ว่าจะฟ้อง Bob ที่ขายซอฟต์แวร์ระบบของพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำมาตั้งแต่ยุค Lisa เขาหลบเลี่ยงการฟ้องร้องด้วยการตกลงยอมความ แต่นั่นเป็นจุดสิ้นสุดเรื่องราวของ Bob กับ Apple
ในทุกวันนี้ ภายใต้ผิวดินของหลุมฝังกลบที่ Logan ยังคงมี Lisa กว่า 2,700 เครื่องถูกฝังอยู่ เป็นอนุสรณ์เงียบๆ ของความกล้าที่จะฝัน ความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และบทเรียนว่าบางครั้ง การก้าวไปข้างหน้าต้องทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง
เมื่อมองย้อนกลับไป เรื่องราวของ Lisa และ Bob เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับนวัตกรรม การแข่งขัน และการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี มันแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ไอเดียที่ยอดเยี่ยมและก้าวหน้าที่สุดก็อาจล้มเหลวได้
Lisa อาจถูกฝังอยู่ใต้ดิน แต่มรดกของมันยังคงมีชีวิตอยู่ในทุกคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เราใช้ในปัจจุบัน ส่วน Graphic User Interface ที่เป็นมิตร การใช้เมาส์ และแนวคิดของ desktop ที่ Lisa บุกเบิก ได้กลายเป็นมาตรฐานที่เราคุ้นเคยกันในทุกวันนี้
เมื่อถามว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะทำทุกอย่างซ้ำเหมือนเดิมอีกครั้งหรือไม่ Bob ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ มันน่าจะดีกว่าถ้าผมซื้อหุ้น Apple เยอะๆ ไว้แทน”