3 บทเรียนสำคัญจาก Winning : เคล็ดลับที่ทำให้ Jordan และ Kobe กลายเป็นตำนาน

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของการทุ่มเทและความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ

Tim Grover ผู้เขียนหนังสือ Winning ได้ใช้เวลากว่าสองทศวรรษในการศึกษาและทำงานร่วมกับนักกีฬาระดับตำนานอย่าง Michael Jordan และ Kobe Bryant ในฐานะเทรนเนอร์ส่วนตัว ประสบการณ์อันล้ำค่านี้ทำให้เขาได้เรียนรู้และเข้าใจถึงแก่นแท้ของการเป็นผู้ชนะอย่างลึกซึ้ง

จากสนามบาสสู่สนามชีวิต

การเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้กับ Michael Jordan ยาวนานถึง 15 ปี และ Kobe Bryant อีก 9 ปี ทำให้ Grover ได้เห็นการพัฒนาและการเติบโตของพวกเขาในทุกแง่มุม ไม่เพียงแค่การเตรียมความพร้อมทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฝึกฝนทางจิตใจและการสร้างทัศนคติของผู้ชนะ

หลักการและแนวคิดที่พวกเขาใช้ในการก้าวขึ้นสู่ความเป็นเลิศนั้นสามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกแง่มุมของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การแข่งขันในธุรกิจ หรือการบรรลุเป้าหมายส่วนตัวที่ท้าทาย

บทเรียนสำคัญที่ Grover ได้เรียนรู้คือ ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์หรือโชคชะตา แต่เป็นผลมาจากการตัดสินใจและการกระทำที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกๆ วัน

การเลือกที่จะลุกขึ้นมาซ้อมในขณะที่คนอื่นยังนอนหลับ การยอมอดทนกับความเจ็บปวดในขณะที่คนอื่นเลือกความสบาย และการมุ่งมั่นฝึกฝนต่อไปแม้จะเหนื่อยล้าในขณะที่คนอื่นยอมแพ้

รหัสลับสู่ชัยชนะ

Grover อธิบายถึงการชนะด้วยอุปมาอุปไมยที่น่าสนใจ โดยเปรียบเสมือนว่าชัยชนะครั้งต่อไปของเราถูกเก็บไว้ในตู้เซฟ และมีสิ่งที่เรียกว่า “การชนะ” เป็นผู้ถือรหัสลับ “การชนะ” นี้จะคอยสังเกตและประเมินการกระทำของเราตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อพิจารณาว่าเราคู่ควรกับชัยชนะหรือไม่ โดยมีคำถามสำคัญสามข้อที่เราต้องตอบให้ได้

1. ความกล้าที่จะเดิมพันกับตนเอง

ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จล้วนต้องผ่านช่วงเวลาแห่งความไม่เชื่อมั่นจากผู้อื่น เหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความกล้าที่จะเดิมพันกับตนเองเกิดขึ้นในปี 1990

หลังจากที่ทีม Chicago Bulls พ่ายแพ้ต่อ Detroit Pistons ในรอบเพลย์ออฟ นักวิจารณ์มากมายต่างลงความเห็นว่า Jordan ไม่มีทางรับมือกับสไตล์การเล่นที่หนักหน่วงของ Pistons ได้

แทนที่จะย่อท้อ Jordan กลับทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักจนสามารถเพิ่มกล้ามเนื้อได้ถึง 15 ปอนด์ในช่วงซัมเมอร์เดียว แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลเสียต่อการยิง แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นพัฒนาตนเองต่อไป จนในที่สุดสามารถปรับปรุงเปอร์เซ็นต์การยิงให้ดีขึ้น และนำทีมเอาชนะ Pistons จนคว้าแชมป์แรกได้สำเร็จ

เช่นเดียวกับ Kobe Bryant ที่ตัดสินใจก้าวกระโดดเข้าสู่ NBA ทันทีหลังจบมัธยมปลาย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง เพียงสี่ปีต่อมา เขาก็สั่งสมประสบการณ์มากพอที่จะนำทีม Lakers คว้าแชมป์สามสมัยติดต่อกัน

เมื่อถูกท้าทายว่าไม่สามารถคว้าแชมป์ได้โดยปราศจาก Shaquille O’Neal เขาก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยการปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นจนสามารถคว้าแชมป์เพิ่มได้อีกสองสมัย

และแม้กระทั่งหลังเกษียณจากวงการบาสเกตบอล Kobe ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและความกล้าที่จะท้าทายตัวเองในวงการใหม่ ด้วยการคว้ารางวัล Oscar จากภาพยนตร์สั้นเรื่อง “Dear Basketball” ที่เขาเป็นทั้งผู้บรรยายและผู้ผลิต

2. การยอมรับและใช้ประโยชน์จากด้านมืด

หนึ่งในแนวคิดที่น่าสนใจที่สุดในหนังสือ Winning คือการมองด้านมืดในตัวเองในแง่บวก Grover เชื่อว่าทุกคนมีด้านมืดในตัวเอง แต่สิ่งที่แยกผู้ชนะออกจากคนทั่วไปคือความกล้าที่จะยอมรับและใช้ประโยชน์จากมัน

Kobe เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ประโยชน์จากด้านมืด เขาสร้างบุคลิกภาพที่แยกต่างหากในชื่อ “Black Mamba” ซึ่งเป็นเสมือนหน้ากากที่เขาสวมใส่เมื่อต้องการตัดขาดจากสิ่งรบกวนและยกระดับผลงานของตนเอง

Black Mamba ไม่ใช่แค่ฉายา แต่เป็นการแปลงร่างทางจิตวิทยาที่ช่วยให้ Kobe สามารถแยกตัวตนส่วนตัวออกจากนักกีฬามืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์

Jordan เองก็ใช้ด้านมืดเป็นแรงผลักดัน โดยเฉพาะความผิดหวังจากการถูกตัดตัวจากทีมบาสเกตบอลมัธยมปลาย ความเจ็บปวดนั้นฝังลึกจนกระทั่งเขายังกล่าวถึงในสุนทรพจน์ตอนเข้าหอเกียรติยศหลังผ่านไป 31 ปี แสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ด้านลบสามารถกลายเป็นเชื้อเพลิงอันทรงพลังได้หากรู้จักใช้มันอย่างถูกต้อง

Grover เปรียบเทียบด้านมืดกับพลังพิเศษของซูเปอร์ฮีโร่ เช่น ชุดเกราะของ Iron Man กำไลข้อมือของ Wonder Woman โล่ของ Captain America ค้อนของ Thor และหน้ากากของ Batman ด้านมืดเป็นเสมือนพลังลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายใน รอเวลาที่จะถูกปลดปล่อยออกมาในยามที่ต้องการ

3. การใช้ชีวิตที่ไม่สมดุล

หนึ่งในบทเรียนที่ยากที่สุดของการเป็นผู้ชนะคือการยอมรับว่าความสำเร็จมักมาพร้อมกับการเสียสละ Grover เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่สะเทือนใจ เมื่อลูกสาววัย 5 ขวบถามว่า “คุณพ่อคะ ทำไมพ่อต้องเดินทางบ่อยจัง?” เขาอธิบายว่าเขาเดินทางเพื่อทำงานและหาเลี้ยงครอบครัว แต่คำตอบของลูกสาวที่ว่า “ถ้าหนูกินน้อยลง พ่อจะอยู่บ้านมากขึ้นไหมคะ?” ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกรถชน จนต้องหันหน้าหนีเพื่อซ่อนน้ำตาของลูกผู้ชาย

Grover ยอมรับว่าถ้าเป็นในภาพยนตร์ พ่อคนหนึ่งอาจจะตัดสินใจเลือกครอบครัวและยุติการเดินทาง แต่ในความเป็นจริง การชนะเรียกร้องความทุ่มเทอย่างไม่มีขีดจำกัด บางครั้งอาจถูกมองว่าคลั่งไคล้ เห็นแก่ตัว หรือละเลยด้านอื่นๆ ของชีวิต แต่นี่คือความจริงที่ผู้ต้องการความสำเร็จต้องเผชิญ

ความไม่สมดุลนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการกีฬา แต่ปรากฏในทุกสาขาอาชีพที่ต้องการความเป็นเลิศ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นนวัตกรรม ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานระดับโลก ล้วนต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากระหว่างการไล่ตามความฝันกับการใช้เวลากับครอบครัวและชีวิตส่วนตัว

การยอมรับความไม่สมดุลไม่ได้หมายความว่าเราต้องละทิ้งทุกสิ่ง แต่หมายถึงการเข้าใจว่าในช่วงเวลาสำคัญของการไล่ตามเป้าหมาย เราอาจต้องให้ความสำคัญกับบางด้านของชีวิตมากกว่าด้านอื่นๆ เป็นการชั่วคราว ความท้าทายอยู่ที่การหาจุดที่เหมาะสมระหว่างการทุ่มเทเพื่อความสำเร็จกับการรักษาความสัมพันธ์ที่สำคัญในชีวิต

ราคาของชัยชนะ

Grover เน้นย้ำว่าการชนะไม่ใช่สิ่งที่จะครอบครองได้ถาวร แต่เปรียบเสมือนการเช่าที่ต้องจ่ายค่าเช่าใหม่ทุกวัน แม้จะประสบความสำเร็จแล้ว ก็ต้องพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่และฝ่าฟันอุปสรรคอีกครั้งเพื่อรักษาความสำเร็จนั้นไว้

เขาอธิบายว่า “การชนะไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ เราแค่เช่ามันได้เท่านั้น และไม่ว่าเราจะจ่ายเท่าไหร่ เราก็ต้องจ่ายทั้งหมดอีกครั้งเมื่อตื่นขึ้นหลังจากชัยชนะ”

ความสำเร็จเปรียบเสมือนการปีนเขา เมื่อถึงยอดเขาลูกหนึ่ง เรามักจะเห็นยอดเขาที่สูงกว่ารออยู่เบื้องหน้า การรักษาตำแหน่งผู้นำหรือแชมป์มักจะยากกว่าการก้าวขึ้นไปถึงจุดนั้นเสียอีก เพราะทุกคนต่างจับจ้องและพยายามที่จะแซงขึ้นมา

บทเรียนสุดท้าย: เวลาคือทรัพยากรที่มีจำกัด

ท้ายที่สุด Grover เตือนว่าเวลาและโอกาสนั้นมีจำกัด เขามักพูดคุยกับ Kobe เสมอว่าไม่ควรคิดว่าเรามีเวลาเหลือเฟือ ซึ่งการจากไปอย่างกะทันหันของ Kobe ในปี 2020 ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการลงมือทำในวันนี้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร

การรอคอยเวลาที่เหมาะสมอาจเป็นข้ออ้างที่อันตรายที่สุดในการไม่ลงมือทำ เพราะความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตคือการคิดว่าเรามีเวลาเหลือเฟือ ทักษะและโอกาสของเรามีวันหมดอายุ และบางครั้งเราอาจไม่ได้รับโอกาสที่สองให้แก้ตัวอีกต่อไป

บทสรุป

หนังสือ Winning ไม่เพียงแต่เป็นคู่มือสู่ความสำเร็จ แต่ยังเป็นการเปิดเผยความจริงอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับราคาที่ต้องจ่ายเพื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด Grover ได้ถ่ายทอดบทเรียนอันล้ำค่าที่ได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมกับนักกีฬาระดับตำนาน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกแง่มุมของชีวิต

หนังสือเล่มนี้อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน แต่สำหรับผู้ที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจและแนวทางในการยกระดับตัวเองสู่ความเป็นเลิศ Winning จะเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นว่าเราพร้อมที่จะจ่ายเพื่อความสำเร็จมากแค่ไหน และช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมบางคนถึงประสบความสำเร็จในขณะที่คนส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่กับความฝัน

References :
หนังสือ Winning: The Unforgiving Race to Greatness โดย Tim Grover

Geek Life EP122 : ไม่มีความฝันไหนใหญ่เกินไป ถูกไล่ออกจากงาน แต่กลับมาเป็นซีอีโอ กับบทเรียนจากบ้านสีชมพู

ณ เมืองเล็กๆ ชื่อ Wrens ในรัฐ Georgia ห่างจากเมือง Atlanta ไปทางใต้ราว 2.5 ชั่วโมง มีบ้านสีชมพูหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนดิน ติดกับทางหลวง East 88 บ้านหลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัยของคุณยาย แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของบทเรียนชีวิตอันล้ำค่าที่หล่อหลอมให้เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/423x2c4t

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3sdkxcec

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/v8xXFO89LE0

ไม่มีความฝันไหนใหญ่เกินไป : ถูกไล่ออกจากงาน แต่กลับมาเป็นซีอีโอ กับบทเรียนจากบ้านสีชมพู

ณ เมืองเล็กๆ ชื่อ Wrens ในรัฐ Georgia ห่างจากเมือง Atlanta ไปทางใต้ราว 2.5 ชั่วโมง มีบ้านสีชมพูหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนดิน ติดกับทางหลวง East 88 บ้านหลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัยของคุณยาย แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของบทเรียนชีวิตอันล้ำค่าที่หล่อหลอมให้เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก สนามหญ้ากว้างใหญ่หน้าบ้านคือสนามเด็กเล่นที่สมบูรณ์แบบสำหรับเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ที่นั่นเธอได้วิ่งเล่น แข่งวิ่งกับไก่พร้อมลูกพี่ลูกน้อง และเรียนรู้บทเรียนแรกของชีวิตผ่านกิจวัตรประจำวันเล็กๆ น้อยๆ เช่น การเก็บไข่ในเล้า หรือการเลือกไก่สำหรับมื้อเย็น

คำพูดของคุณยายที่ว่า “Valerie ถึงเวลาที่หนูต้องไปเก็บไข่ในเล้าไก่แล้ว” กลายเป็นเสียงที่ปลูกฝังความรับผิดชอบและความมั่นใจให้กับเธอ

บ้านสีชมพูหลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่แห่งความสุข แต่ยังเป็นที่พักพิงในยามที่ครอบครัวต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแม่ของ Valerie ที่ต้องหาที่หลบภัยจากความรุนแรงในครอบครัว แม่ของเธอกลายเป็นแบบอย่างแรกของความเป็นผู้นำที่แท้จริง ผู้ซึ่งกล้าตัดสินใจเด็ดขาดเพื่อปกป้องลูกๆ ทั้งสี่คน

เมื่อ Valerie เติบโตขึ้น เธอก้าวเข้าสู่เส้นทางการแพทย์และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เธอเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคต่อมไร้ท่อและการมีบุตรยาก ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าภาควิชา ก่อตั้งศูนย์วิจัยสุขภาพสตรีแห่งแรกที่ Meharry Medical College และได้รับตำแหน่งคณบดีคณะแพทยศาสตร์ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศ

แต่แล้ววันหนึ่ง ทุกอย่างก็พังทลายลงเมื่อประธานมหาวิทยาลัยคนใหม่ขอให้เธอลาออกจากตำแหน่ง เธอต้องเผชิญกับความรู้สึกพ่ายแพ้ อับอาย และความกลัวที่เข้ามาครอบงำจิตใจของเธอ แต่บทเรียนจากบ้านสีชมพูก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ โดยเฉพาะภาพของแม่ที่กล้าเผชิญหน้ากับวิกฤตชีวิต

ตามคำกล่าวของนักเขียนที่เธอชื่นชอบ Paulo Coelho ที่ว่า “ก่อนที่ความฝันจะเป็นจริง โลกจะทดสอบทุกสิ่งที่คุณได้เรียนรู้มา” Valerie ตระหนักว่านี่คือการทดสอบครั้งสำคัญของชีวิต เธอเลือกที่จะยอมรับความสูญเสียแต่ไม่ยอมแพ้ เช่นเดียวกับที่แม่ของเธอเคยทำ

ความกลัวอาจเป็นอารมณ์ที่หลายคนไม่อยากประสบพบเจอ แต่มันก็เป็นแรงผลักดันให้เราลงมือทำในสิ่งที่จำเป็น Valerie เรียนรู้ว่าความกล้าหาญไม่ได้หมายถึงการไม่รู้สึกกลัว แต่คือการเผชิญหน้ากับความกลัวนั้นต่างหาก

เธอต้องสัมภาษณ์งานซ้ำแล้วซ้ำเล่า เผชิญกับคำปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งได้ยินคำตอบรับที่นำพาเธอไปสู่ตำแหน่งที่เหมาะสม

ปัจจุบัน ในฐานะประธานและซีอีโอของ Morehouse School of Medicine เธอได้ใช้ตำแหน่งและเสียงของเธอในการผลักดันความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความหลากหลายในวงการแพทย์ การต่อสู้เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ หรือการสนับสนุนสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ของผู้หญิง

เธอยังเป็นผู้บุกเบิกในการผลักดันนโยบายด้านสุขภาพที่คำนึงถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม และเป็นเสียงสำคัญในการเรียกร้องให้มีการพิจารณาทบทวนนโยบาย affirmative action ในวงการการศึกษาและการแพทย์ เพราะเธอเชื่อว่าความหลากหลายในบุคลากรทางการแพทย์จะนำไปสู่การดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

บ้านสีชมพูหลังนั้นได้หล่อหลอมให้ Valerie เข้าใจว่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้วัดกันที่จำนวนตำแหน่งหรือปริญญา แต่วัดจากประสบการณ์ชีวิต ระยะทางที่เดินทาง และความกล้าที่จะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิ่งที่เชื่อ

เธอได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความเด็ดเดี่ยว และความกล้าหาญที่ได้รับการปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์ สามารถนำพาผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งไปสู่การเป็นผู้นำที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้

ปัจจุบัน Dr. Valerie Montgomery Rice ยังคงทำงานอย่างหนักในการสร้างโอกาสทางการศึกษาและการแพทย์ให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้หญิงและชนกลุ่มน้อย เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวงการแพทย์และสังคมเช่นเดียวกับที่เธอได้ทำ

References :
How to Break Through Fear and Become a Leader | Valerie Montgomery Rice | TED
https://youtu.be/5uTDzBwwyho?si=KitQTOjd3U-nEJMb

Geek Talk EP46 : 40 คำแนะนำสู่ชีวิตที่ดีกว่า มุมมองและประสบการณ์จากคนวัย 40 ที่เงินก็ซื้อไม่ได้

ได้มีโอกาสฟังเรื่องราวที่น่าสนใจจากช่อง Simon Alexander Ong ที่ได้มาพูดถึง 40 คำแนะนำในวันเกิดครบรอบ 40 ปีของเขา ซึ่งตัวของ Simon อยากจะแบ่งปันกับตัวเองหากย้อนเวลากลับไปคุยกับตัวเขาในวัย (20) ได้ ซึ่งเป็น 40 ความจริงอันแสนโหดร้ายที่คิดว่าหลายคนควรที่จะรู้ตอนอายุ 20

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mryysybw

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bdfkpj49

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/49w9y2fz

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/YwQc3svejC0

Geek Life EP103 : 40 คำแนะนำสู่ชีวิตที่ดีกว่า มุมมองและประสบการณ์จากคนวัย 40 ที่เงินก็ซื้อไม่ได้

ได้มีโอกาสฟังเรื่องราวที่น่าสนใจจากช่อง Simon Alexander Ong ที่ได้มาพูดถึง 40 คำแนะนำในวันเกิดครบรอบ 40 ปีของเขา ซึ่งตัวของ Simon อยากจะแบ่งปันกับตัวเองหากย้อนเวลากลับไปคุยกับตัวเขาในวัย (20) ได้ ซึ่งเป็น 40 ความจริงอันแสนโหดร้ายที่คิดว่าหลายคนควรที่จะรู้ตอนอายุ 20

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/83kww5y5

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/cmjf9jts

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/B0LFeKwrzds