Geek Life EP125 : 3 นิสัยหยุดล้มเหลวตลอดกาล ทำไมคนเก่งถึงเก่งได้ตลอด เคล็ดลับความสำเร็จจาก CEO ระดับโลก

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความท้าทาย การพัฒนาตนเองให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่น้อยคนนักที่จะทำได้สำเร็จ

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยยกระดับชีวิตของคุณสู่อีกขั้น ผ่านแนวคิดที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจาก Brendon Bouchard ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพมนุษย์

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4r9wt5b6

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/f7da9z33

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/kUpj1hkhE2w

3 นิสัยหยุดล้มเหลวตลอดกาล : ทำไมคนเก่งถึงเก่งได้ตลอด เคล็ดลับความสำเร็จจาก CEO ระดับโลก

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความท้าทาย การพัฒนาตนเองให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่น้อยคนนักที่จะทำได้สำเร็จ

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยยกระดับชีวิตของคุณสู่อีกขั้น ผ่านแนวคิดที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจาก Brendon Bouchard ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพมนุษย์

Brendon Bouchard ไม่ใช่เพียงนักเขียนหรือโค้ชธรรมดา แต่เขาได้ฝึกอบรมผู้คนกว่า 2 ล้านคนผ่านระบบออนไลน์ในด้านการพัฒนาประสิทธิภาพ และใช้เวลาถึง 3 ปีในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และติดตามผลการเปลี่ยนแปลงของผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด เพื่อค้นหาว่าอะไรคือนิสัยที่แท้จริงของผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับสูง

จากการศึกษาอย่างละเอียดของ Bouchard พบว่ามีนิสัยสำคัญสามประการที่โดดเด่นและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยแต่ละนิสัยมีพลังในการเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างน่าทึ่ง

การเปลี่ยนความตึงเครียดให้เป็นพลัง

เรื่องราวที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อ Bouchard ได้รับการติดต่อจาก CEO แห่งหนึ่งใน Silicon Valley ผู้กำลังเผชิญกับวิกฤตชีวิต ทั้งด้านการงานและชีวิตครอบครัว ความเครียดจากการทำงานได้คืบคลานเข้ามาทำลายความสัมพันธ์กับภรรยา จนเขารู้สึกหมดไฟและสิ้นหวัง

Bouchard ได้แนะนำเทคนิคง่ายๆ แต่ทรงพลัง นั่นคือการฝึกปล่อยวางความตึงเครียดก่อนเข้าสู่สถานการณ์สำคัญ โดยเริ่มจากการหยุดพัก หลับตา และพูดคำว่า “ปล่อยวาง” กับตัวเอง พร้อมกับค่อยๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทีละส่วน จากไหล่ คอ ใบหน้า กราม หลัง และขา จากนั้นให้ถามตัวเองว่า “ความรู้สึกที่เราต้องการนำเข้าไปในสถานการณ์นี้คืออะไร?”

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับ CEO ท่านนี้น่าประทับใจมาก เขาสามารถกลับไปสร้างช่วงเวลาแห่งความสุขกับภรรยาได้อีกครั้ง และรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เทคนิคนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องครอบครัว แต่สามารถนำไปใช้ได้ในทุกช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นก่อนเข้าประชุม ก่อนออกกำลังกาย หรือแม้แต่ก่อนเริ่มต้นวันใหม่

ผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับสูงเข้าใจดีว่า พวกเขามีอำนาจในการเลือกและสร้างอารมณ์ที่ต้องการได้ แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์ถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อมภายนอก

การสร้างความจำเป็นผ่านตัวตน

“คุณไม่มีทางรู้ว่าคุณแข็งแกร่งแค่ไหน จนกว่าการแข็งแกร่งจะเป็นทางเลือกเดียวที่คุณมี” คำพูดอันทรงพลังของ Bob Marley สะท้อนให้เห็นถึงหัวใจสำคัญของนิสัยประการที่สอง นั่นคือการสร้างความรู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ

แนวคิดนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์การรบของแม่ทัพจีน Sun Tzu (ซุนวู) ที่ว่า เมื่อกองทัพต้องต่อสู้ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางถอย เพราะมีภูเขาหรือมหาสมุทรขวางอยู่เบื้องหลัง พวกเขาจะต่อสู้ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นถึงสามเท่า เพราะนั่นคือ “พื้นที่แห่งความตาย” ที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอาชนะให้ได้

ผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับสูงใช้หลักการเดียวกันนี้ในการสร้างตัวตนที่ผูกติดกับเป้าหมายและความสำเร็จ พวกเขาไม่ได้แค่หวังว่าจะทำได้ดี แต่สร้างสถานการณ์และกรอบความคิดที่ทำให้การประสบความสำเร็จกลายเป็นสิ่งจำเป็น เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของพวกเขาไปเลย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือนักกีฬาระดับโลก แม้การฝึกซ้อมอย่างหนักจะไม่ใช่เรื่องสนุก แต่พวกเขาทำเพราะมันคือส่วนหนึ่งของการเป็นนักกีฬาระดับแชมเปี้ยน การฝึกซ้อมไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นที่สอดคล้องกับตัวตนของพวกเขา

การนำศักยภาพสูงสุดมาใช้เพื่อผู้อื่น

นิสัยประการสุดท้ายที่น่าสนใจคือการค้นพบว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับสูงมักไม่ได้มุ่งเน้นที่การเปลี่ยนแปลงโลกหรือช่วยเหลือคนนับล้าน แต่พวกเขามักจะมุ่งเน้นที่การช่วยเหลือคนเพียงคนเดียว การมีเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมเช่นนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถรักษาแรงจูงใจและความมุ่งมั่นได้ดีกว่า

Bouchard แนะนำให้ฝึกถามตัวเองว่า “ใครต้องการศักยภาพสูงสุดของเรา?” คำถามนี้จะช่วยให้เรามองเห็นภาพที่ชัดเจนว่าใครคือคนที่จะได้รับประโยชน์จากความพยายามของเรา อาจจะเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้าที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ

การมีภาพของบุคคลที่เราต้องการช่วยเหลืออยู่ในใจจะช่วยเพิ่มพลังให้กับการทำงานของเรา เสมือนเป็นเข็มทิศที่คอยชี้นำทางในยามที่เราเหนื่อยล้าหรือท้อแท้ เมื่อเรารู้ว่ามีใครสักคนกำลังรอคอยและต้องการความช่วยเหลือจากเรา พลังและแรงจูงใจจะหลั่งไหลเข้ามาโดยอัตโนมัติ

ดังที่โค้ชฟุตบอลระดับตำนาน Vince Lombardi เคยกล่าวไว้ว่า “คุณภาพชีวิตของคนเราขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศโดยตรง” ซึ่งสุดท้ายแล้วการพัฒนานิสัยทั้งสามประการนี้จะช่วยนำพาเราไปสู่ความเป็นเลิศและชีวิตที่มีความหมายมากขึ้นได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ High Performance Habits: How Extraordinary People Become That Way  โดย ฺBrendon Burchard

Geek Life EP27 : ชนะใจตัวเอง ชนะทุกสิ่ง เมื่อวินัยคือซุปเปอร์พาวเวอร์ที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ

ต้องบอกว่าการสร้างวินัยในตนเองเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การเรียน หรือการพัฒนาตนเอง วินัยในตนเองเป็นเสมือนกุญแจที่จะไขไปสู่เป้าหมายที่เราตั้งไว้ แต่หลายคนมักพบว่าการสร้างวินัยนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายและยากลำบาก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/7cw47p4b

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/42kpzbcu

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Jtam2nSLsGQ

ชนะใจตัวเอง ชนะทุกสิ่ง : เมื่อวินัยคือซุปเปอร์พาวเวอร์ที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ

ต้องบอกว่าการสร้างวินัยในตนเองเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การเรียน หรือการพัฒนาตนเอง วินัยในตนเองเป็นเสมือนกุญแจที่จะไขไปสู่เป้าหมายที่เราตั้งไว้ แต่หลายคนมักพบว่าการสร้างวินัยนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายและยากลำบาก

ลองนึกภาพถึงวันที่คุณนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ มีงานสำคัญที่ต้องทำ แต่กลับพบว่าตัวเองไม่สามารถเริ่มต้นได้ คุณจ้องมองเคอร์เซอร์ที่กะพริบอยู่บนหน้าจอ หวังว่ามันจะเริ่มเขียนงานให้เองโดยปาฏิหาริย์

แต่แล้วคุณก็เริ่มหาข้ออ้างต่างๆ นานา “วันนี้ไม่มีแรงบันดาลใจ” “คงเหนื่อยเกินไป” “ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม” “พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้” และแล้วคุณก็ตัดสินใจล้มเลิกความตั้งใจในวันนั้น หันไปทำกิจกรรมอื่นที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักแทน เช่น เลื่อนดูโทรศัพท์ ดูซีรีส์ หรือหลับไป

สถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือสอบ การเตรียมพรีเซนต์งาน หรือการเขียนจดหมายสมัครงาน เราทุกคนล้วนเคยเผชิญกับช่วงเวลาที่แรงจูงใจหายไปจนหมดสิ้น

ชีวิตของเราสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ คือ ชีวิตที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน และชีวิตที่เราปรารถนาจะเป็นในอนาคต หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ สถานการณ์ปัจจุบันของเรา และความฝันรวมถึงความทะเยอทะยานของเรา

การที่จะก้าวจากจุดที่เราอยู่ไปสู่จุดที่เราต้องการไปให้ถึงนั้น จำเป็นต้องอาศัยความพยายามและความทุ่มเทอย่างมากแต่ระหว่างทางนั้น เรามักจะเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า “แรงต้าน (resistance)”

Steven Pressfield นักเขียนชื่อดังได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า “The War of Art” ว่า “แรงต้านเป็นพลังที่มีเป้าหมายเดียว นั่นคือการรักษาสถานะเดิมของตนเองไว้ มันคือแรงที่จะหยุดยั้งกิจกรรมสร้างสรรค์ของบุคคลด้วยวิธีการใดก็ตามที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการหาเหตุผล การสร้างความกลัวและความวิตกกังวล การเน้นย้ำสิ่งรบกวนอื่นๆ ที่ต้องการความสนใจ การเพิ่มเสียงของการวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง และอื่นๆ อีกมากมาย”

แรงต้านนี้เองที่ทำให้เราหาข้ออ้างไร้สาระเพื่อผัดวันประกันพรุ่ง แม้ว่าเราจะรู้ดีว่าการทำงานนั้นให้เสร็จจะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายก็ตาม แต่โชคดีที่มีวิธีแก้ปัญหานี้ ซึ่งก็คือ… การสร้างวินัยในตนเอง (self-discipline)

Samuel Thomas Davies นักเขียนและนักพัฒนาตนเองชื่อดังได้ให้คำนิยามของวินัยในตนเองไว้อย่างน่าสนใจว่า “วินัยในตนเองคือการโน้มตัวเข้าหาแรงต้าน การลงมือทำแม้ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร การใช้ชีวิตตามการออกแบบ ไม่ใช่ตามค่าเริ่มต้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การกระทำที่สอดคล้องกับความคิดของคุณ – ไม่ใช่ความรู้สึก”

การสร้างวินัยในตนเองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของเรา ด้วยเคล็ดลับและเทคนิคที่เหมาะสม เราสามารถพัฒนาวินัยในตนเองและก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายที่เราตั้งไว้ได้ ต่อไปนี้คือ 4 เคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยให้คุณเอาชนะการผัดวันประกันพรุ่ง สร้างวินัยในตนเอง และลงมือทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ

1. กำจัดสิ่งรบกวนสมาธิ

ในโลกยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้าและสิ่งรบกวนมากมาย การมีสมาธิจดจ่อกับงานเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงานที่ชอบแวะมาคุย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราเสียสมาธิและประสิทธิภาพในการทำงาน

การสร้างสรรค์ผลงานที่ยอดเยี่ยมต้องอาศัยการทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับงานเฉพาะอย่างหนึ่งเป็นเวลานาน แต่ในโลกสมัยใหม่นี้ ความสนใจของเรากลายเป็นขุมทรัพย์สำหรับเหล่าบริษัทเทคโนโลยี ที่ทุกคนต่างแย่งชิง จึงมีสิ่งรบกวนสมาธิมากมายที่พยายามดึงดูดความสนใจของเรา

เพื่อแก้ปัญหานี้ เราจำเป็นต้องกำจัดสิ่งล่อใจที่เป็นพิษทุกอย่างที่อาจรบกวนสมาธิในการทำงานของเรา เพราะหากเราไม่หมกมุ่นอยู่กับกิจกรรมที่ทำให้เสียสมาธิเหล่านี้ เราอาจจะต้องใช้ความมุ่งมั่นน้อยลงไปมากในการเลิกนิสัยการผัดวันประกันพรุ่ง

วิธีหนึ่งที่ได้ผลดีคือการแบ่งเวลาทำงานเป็นช่วงๆ โดยไม่มีการรบกวน เช่น อาจแบ่งเป็นสองช่วงต่อวัน คือตั้งแต่ 8:00 น. ถึง 12:00 น. และตั้งแต่ 13:30 น. ถึง 19:00 น. และในช่วงเวลาเหล่านี้ ให้กำจัดสิ่งล่อใจทั้งหมดเพื่อให้สามารถมุ่งเน้นไปที่งานเดียว

หากคุณทำงานในสำนักงาน การปิดประตูห้องทำงานเป็นวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เพื่อนร่วมงานที่ชอบคุยโผล่หน้าเข้ามารบกวน และโดยรวมแล้วจะช่วยลดปริมาณเสียงรบกวนลงได้ อีกทางเลือกหนึ่งคือการใช้หูฟังตัดเสียงรบกวน ซึ่งจะช่วยกำจัดเสียงรอบตัวคุณ และยังแสดงให้คนอื่นเห็นว่าคุณกำลังทำงานที่ต้องใช้สมาธิและไม่ต้องการการรบกวนในขณะนี้

สำหรับโทรศัพท์มือถือ ให้เปลี่ยนเป็นโหมดเครื่องบินและวางไว้ในที่ที่คุณไม่สามารถเอื้อมถึงได้ทันที ปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นต้องตอบสนองทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอปพวกเครือข่ายโซเชียลมีเดีย

เมื่อคุณอยู่ที่คอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อป พยายามตัดสิ่งรบกวนทุกอย่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นแอปส่งข้อความต่างๆ หรืออีเมล ลองปิดโปรแกรมอีเมลและปล่อยให้อีเมลสะสมไปเรื่อยๆ จากนั้นค่อยกำหนดเวลาเฉพาะที่คุณจะกลับมาตอบอีเมลทั้งหมดในคราวเดียว ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและไม่ส่งผลกระทบต่อสมาธิในการทำงานอื่นๆ

นอกจากนี้ วิธีที่ดีในการเห็นว่าการใช้ชีวิตโดยปราศจากสิ่งล่อใจเหล่านี้เป็นอย่างไร คือการทำ “dopamine detox” หรือการล้างพิษโดปามีน เป็นเวลา 7 วัน โดยไม่ใช้โซเชียลมีเดีย ความบันเทิงดิจิทัล หรือเพลงใดๆ รวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่อาจขัดขวางเราจากการบรรลุเป้าหมาย

วิธีนี้จะช่วยให้เราเห็นผลกระทบที่ชัดเจนต่อชีวิตและการทำงานของเรา และอาจทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการกับสิ่งรบกวนสมาธิอย่างมีประสิทธิภาพ

2. เริ่มลงมือทำ แล้วแรงบันดาลใจจะตามมาเอง

“มือสมัครเล่นรอแรงบันดาลใจ ในขณะที่มืออาชีพลุกขึ้นและลงมือทำ” คำกล่าวนี้สะท้อนความจริงที่สำคัญเกี่ยวกับการสร้างวินัยในตนเอง การไม่รู้สึกมีแรงบันดาลใจเป็นหนึ่งในข้ออ้างที่พบบ่อยที่สุดเมื่อพูดถึงงานสร้างสรรค์

แต่ความจริงแล้ว การลงมือทำไม่ควรเป็นผลมาจากแรงบันดาลใจหรือแรงจูงใจเท่านั้น เพราะบ่อยครั้งแรงบันดาลใจมักเกิดขึ้นจากการลงมือทำ

การสร้างสรรค์ผลงานไม่ใช่กระบวนการเส้นตรง แต่เป็นวงจรที่ประกอบไปด้วยทั้งแรงบันดาลใจ แรงจูงใจ และการกระทำ โดยแต่ละส่วนจะเสริมแรงซึ่งกันและกัน ดังนั้นแทนที่จะรอให้แรงบันดาลใจมาหา เราควรโฟกัสไปที่การเริ่มต้นวงจรนี้ด้วยการลงมือทำก่อน

ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับการเอาชนะแรงต้านครั้งแรก เพราะเกือบทุกครั้ง ทันทีที่เราเริ่มต้น หลังจากผ่านไปประมาณ 5 นาที เราจะเข้าสู่โหมดการทำงานที่ดีและจะเพลิดเพลินกับมันอย่างแท้จริง

ตัวอย่างเช่น ในการเขียนบทความหรือรายงาน เราอาจรู้สึกลังเลที่จะเริ่มต้นเมื่อเผชิญกับหน้ากระดาษเปล่า แต่เมื่อเราเริ่มเขียนประโยคแรก ความคิดของเราจะเริ่มก่อตัวและเราจะเห็นความก้าวหน้า จากนั้นเราจะเริ่มสนุกกับกระบวนการเขียน มีแรงจูงใจที่จะเขียนประโยคต่อไป และค่อยๆ พบแรงบันดาลใจและแรงจูงใจที่จะทำให้งานดำเนินต่อไป

การแยกอารมณ์ออกจากการกระทำเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างวินัยในตนเอง แม้ว่าเราจะไม่รู้สึกมีแรงจูงใจ แต่การเริ่มลงมือทำจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้าน Productivity และความคิดสร้างสรรค์

แนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่งานสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตด้วย เช่น การออกกำลังกายหรือการพูดคุยกับคนแปลกหน้า เมื่อเราเริ่มต้นทำสิ่งเหล่านี้ แม้จะรู้สึกลังเลหรือกลัวในตอนแรก แต่เมื่อเราก้าวข้ามแรงต้านเริ่มต้นไปได้ เราจะพบว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิด และบ่อยครั้งเรามักจะสนุกกับมันมากกว่าที่คาดไว้

3. จัดลำดับความสำคัญและจัดการเวลาของคุณ

“ผมไม่มีเวลา” เป็นข้ออ้างที่เราได้ยินบ่อยครั้ง แต่ความจริงแล้ว เวลาเป็นเรื่องของการจัดลำดับความสำคัญ หากเราต้องการบรรลุเป้าหมายของเราจริงๆ เราต้องทำให้มันเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกและยอมเสียสละกิจกรรมอื่นๆ ที่อาจไม่สำคัญเท่า

การเขียนรายการสิ่งที่ต้องทำ (to-do lists) เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดลำดับความสำคัญและจัดการเวลาของเราตลอดทั้งวัน การทำรายการสิ่งที่ต้องทำทุกเช้า โดยนั่งลงและเขียนงานที่สำคัญที่สุดที่เราต้องการทำให้เสร็จในวันนั้น จะช่วยให้เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนและมีแนวทางในการทำงานตลอดทั้งวัน

เมื่อทำรายการสิ่งที่ต้องทำ ควรพยายามแบ่งงานออกเป็นขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมและสามารถทำได้จริง ซึ่งนำไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า ตัวอย่างเช่น แทนที่จะเขียนว่า “เขียนรายงาน” ควรเขียนว่า “เขียนบทนำของรายงานให้เสร็จ” หรือแทนที่จะเขียนว่า “สมัครงาน” ควรเขียนว่า “ส่งใบสมัครงาน 3 ตำแหน่ง”

การสร้างรายการสิ่งที่ต้องทำที่เป็นรูปธรรมซึ่งเราสามารถทำให้สำเร็จและขีดฆ่าออกได้จริง จะช่วยให้เรารู้สึกถึงความสำเร็จและได้รับแรงกระตุ้นของแรงจูงใจที่จะทำต่อไป

นอกจากรายการสิ่งที่ต้องทำแล้ว การกำหนดช่วงเวลาเฉพาะสำหรับงานต่างๆ ในปฏิทินก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการเวลา เราอาจแบ่งปฏิทินออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่น งาน ส่วนตัว และวันหยุด เพื่อให้เห็นภาพรวมของกิจกรรมและความรับผิดชอบทั้งหมดของเรา

การกำหนดเวลาเฉพาะสำหรับการนัดหมาย การโทรศัพท์ หรือการประชุมที่ต้องเกิดขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่งโดยเฉพาะ จะช่วยให้เราวางแผนการใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับงานที่ต้องใช้เวลานานขึ้น เช่น การเขียนรายงานหรือการทำโครงการ เราอาจกำหนดช่วงเวลาเป็นวันหรือครึ่งวันเพื่อให้มีภาพรวมว่าเราต้องการใช้เวลาเท่าไหร่กับงานนั้นๆ

การตั้งกำหนดเวลาสำหรับโครงการส่วนตัวหรืองานที่ไม่มีกำหนดส่งที่แน่นอน ก็เป็นวิธีที่ช่วยผลักดันความมุ่งมั่นและแรงจูงใจของเราให้ทำงานสำเร็จได้ อย่างไรก็ตาม ต้องระวังไม่ให้ตั้งกำหนดเวลาที่ไม่สมจริงจนทำให้เกิดความเครียดเกินไป

การผสมผสานระหว่างรายการสิ่งที่ต้องทำรายวันและปฏิทินโดยรวมเพื่อจัดการช่วงเวลาทำงาน จะช่วยให้เรามีโครงสร้างและแนวทางในการทำงานที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยเสริมการเริ่มต้นลงมือทำ เพราะเรารู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรเริ่มและมีเป้าหมายที่ชัดเจนในแต่ละวัน

4. โฟกัสในสิ่งที่คุณควบคุมได้

แนวคิดนี้เป็นหนึ่งในหลักการสำคัญที่สุดเมื่อพูดถึงการสร้างวินัยในตนเองและการใช้ชีวิตที่มีความสุขโดยรวม ทุกคนมีสิ่งที่เรียกว่า “locus of control” ซึ่งหมายถึง “มุมมองต่อปัจจัยรอบตัวเรา ว่าเราสามารถควบคุมมันได้หรือไม่ เราสามารถกำหนดสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ หรือสิ่งต่างๆ มันเกิดขึ้นเองรอบตัวเรา “

ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ External Locus of Control ผู้ที่เชื่อว่า สิ่งต่างๆ รอบตัว มันมาเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เราควบคุมอะไรมันไม่ได้ และในทางตรงกันข้าม Internal Locus of Control ผู้ที่เชื่อว่า ตัวเราสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ อะไรจะเกิดขึ้นกับเราได้

ตัวอย่างเช่น เมื่อเราได้รับผลการสอบที่ไม่ดีถ้ามองแบบ External Locus of Control เราอาจจะโทษว่า “ครูไม่ชอบฉัน” หรือ “ข้อสอบยากเกินไป” ในขณะที่คนที่คิดแบบ Internal Locus of Control อาจจะคิดว่า “บางทีฉันอาจจะไม่ได้อ่านหนังสือมากพอ คราวหน้าฉันควรจะพยายามมากกว่านี้”

เมื่อพูดถึงวินัยในตนเอง การมี Internal Locus of Control เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ 90% ของข้ออ้างที่เราคิดขึ้นมาเมื่อรู้สึกไม่มีแรงจูงใจจะหายไป เนื่องจากเราตระหนักว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราเอง ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก

เมื่อเราเผชิญกับอุปสรรคหรือปัญหา แทนที่จะโทษสิ่งรอบตัวหรือยอมแพ้ เราควรถามตัวเองว่า “เราสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรเกียวกับมันได้ไหม?” ถ้าคำตอบคือใช่ ก็ควรหาทางแก้ปัญหา และถ้าคำตอบคือไม่ ก็ควรหยุดใช้ความสนใจและพลังงานทั้งหมดไปกับสิ่งนั้น และปล่อยมันไป เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะกังวลกับสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้

ยิ่ง Internal Locus of Control ของเรามีมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งหาทางแก้ปัญหาที่เราเผชิญได้มากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากเรามีความฝันอยากเริ่มทำช่อง YouTube แต่รู้สึกว่าไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีกล้องหรืออุปกรณ์ที่เหมาะสม คนที่มี Internal Locus of Control จะมองหาทางแก้ปัญหา พวกเขาจะเก็บเงิน หางานพิเศษ หรือหาทางเช่าอุปกรณ์ เพื่อให้สามารถเริ่มต้นทำตามความฝันได้ แทนที่จะยอมแพ้เพราะข้อจำกัดภายนอก

แนวคิดนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกด้านในชีวิต และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ ทันทีที่เราเป็นอิสระจากการยึดติดกับปัจจัยภายนอกและมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เราควบคุมได้ เราจะพบว่าตัวเองสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นและมีวินัยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

บทสรุป

การสร้างวินัยในตนเองเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝนและความพยายามอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะวินัยในตนเองไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในตนเอง ความภาคภูมิใจ และความพึงพอใจในชีวิตโดยรวมด้วย

นอกจากนี้ การมีความหลงใหลในงานที่ทำก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการรักษาแรงจูงใจและทำงานให้สำเร็จ เมื่อเรารักในสิ่งที่ทำ การลงมือทำก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม การค้นหาความหลงใหลของตัวเองก็เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและการสำรวจตัวเองอย่างลึกซึ้ง

ในท้ายที่สุด การสร้างวินัยในตนเองเป็นการเดินทางที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เราต้องเรียนรู้และปรับตัวอยู่เสมอ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการใช้เทคนิคที่เหมาะสม เราสามารถพัฒนาทักษะนี้และใช้มันเป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายและความฝันของเราได้

การเริ่มต้นอาจจะยาก แต่เมื่อเราก้าวข้ามความลังเลและแรงต้านเริ่มต้นไปได้ เราจะพบว่าการมีวินัยในตนเองนั้นให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความสำเร็จในอาชีพการงาน การพัฒนาตนเอง หรือการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้น จงเริ่มต้นวันนี้ ลงมือทำ และก้าวไปสู่เป้าหมายของคุณด้วยวินัยในตนเองที่แข็งแกร่ง

การสร้างวินัยในตนเองเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เราสามารถพัฒนาทักษะนี้ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าคุณจะกำลังพยายามบรรลุเป้าหมายใดก็ตาม จงจำไว้ว่าทุกก้าวเล็กๆ ที่คุณทำในวันนี้ จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต

References :
How To Build Self-Discipline & Stop Procrastinating
https://youtu.be/rgfiZB5EudA?si=332nhjXsFPUfRPR4
https://thematter.co/lifestyle/work-life/locus-of-control/133003

Geek Life EP13 : ลืมทฤษฎียากๆ ไปเลย! กับกฎ 2 นาทีที่จะเปลี่ยนคุณเป็นคน Super Productive

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและภาระหน้าที่มากมาย การค้นพบวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการใช้ชีวิตเป็นสิ่งที่หลายคนแสวงหา ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตนเองได้คิดค้นกฎและเทคนิคต่างๆ มากมาย แต่วันนี้ผมอยากจะชวนคุยถึงกฎที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นก็คือ “กฎสองนาที”

กฎสองนาทีนี้มีที่มาจากแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญสองท่าน ได้แก่ David Allen ผู้เขียนหนังสือ “Getting Things Done” และ James Clear ผู้เขียนหนังสือ “Atomic Habits” แม้ว่าแนวคิดของทั้งสองท่านจะมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน แต่ทั้งคู่ต่างใช้กรอบเวลาสองนาทีเป็นตัวกำหนดในการสร้างผลลัพธ์ที่น่าทึ่งได้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/339eavjj

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4w4st3hv

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/zcuGH-0vIKk