ถ้าเราย้อนเวลากลับไปในยุคปลายทศวรรษ 1990 สมัยที่ยังไม่มี iPod หรือ Spotify ครองเมือง มีโปรแกรมเล็กๆ ตัวหนึ่ง ที่เข้ามาปฏิวัติการฟังเพลงของคนทั้งโลก โปรแกรมที่ว่านี้มีชื่อว่า Winamp
สำหรับคนวัย 30 ปลายๆ ขึ้นไป คงไม่มีใครไม่รู้จัก Winamp โปรแกรมเล่นเพลงคู่บุญของผู้ที่ท่องโลกอินเทอร์เน็ตผ่าน Napster หรือ LimeWire เพื่อดาวน์โหลดเพลง MP3 ที่ตัวเองหมายปองมาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องยุ่งยากใช่ไหม ที่ต้องไปหาเพลงมาใส่โปรแกรมเองทีละเพลง แต่ในยุคนั้น มันคือความเจ๋งและเป็นสัญลักษณ์ของการเข้ามาของยุค MP3 ที่กำลังจะพลิกโฉมอุตสาหกรรมดนตรีไปตลอดกาล
ก่อนจะมี Winamp การฟังเพลงบนคอมพิวเตอร์เป็นอะไรที่น่าปวดหัว ไฟล์เสียงมีสารพัดนามสกุล การสร้างเพลย์ลิสต์ก็ทำได้ยาก มันคือความวุ่นวายที่คนรุ่นใหม่คงนึกภาพไม่ออก
เรื่องราวทั้งหมดนี้มีจุดเริ่มต้นในปี 1997 จากฝีมือของ Justin Frankel และ Dmitry Boldyrev สองนักศึกษาจาก University of Utah ที่ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เพื่อมารังสรรค์โปรแกรมที่จะเปลี่ยนโลก
พวกเขาจับเอา User Interface ของ Windows ที่ทุกคนคุ้นเคย มารวมกับเทคโนโลยีเล่นไฟล์ MP3 ที่ชื่อว่า AMP กลายเป็นที่มาของชื่อ “Winamp” ซึ่งก็คือการผสมคำระหว่าง Windows กับ AMP นั่นเอง
Winamp เวอร์ชันแรกที่ปล่อยออกมาเมื่อ 21 เมษายน 1997 หน้าตาเรียบง่ายมาก มีแค่เมนูบาร์สำหรับกดเล่น หยุด หรือข้ามเพลง แต่เพียงไม่กี่เดือนต่อมา อินเทอร์เฟซในตำนานที่ทุกคนจดจำก็ถือกำเนิดขึ้น
สิ่งที่ทำให้ Winamp กลายเป็นโปรแกรมที่โคตรเทพ คือความสามารถในการปรับแต่ง ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนหน้ากาก หรือที่เรียกว่า “Skin” ได้ตามใจชอบ อยากได้หน้าตาสุดล้ำแค่ไหน ก็มีคนทำมาให้เลือกเป็นพันๆ แบบ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีระบบ Plugin ที่ให้นักพัฒนาภายนอกเข้ามาสร้างส่วนเสริมเพิ่มความสามารถได้อีกด้วย การฟังเพลงจึงกลายเป็นเรื่องง่ายดาย แค่ลากไฟล์เพลงไปวางในหน้าต่างเพลย์ลิสต์ ทุกอย่างก็จบ
ความเรียบง่ายและยืดหยุ่นนี้เอง ที่ทำให้ Winamp เข้าคู่กับเครือข่ายแชร์ไฟล์อย่าง Napster ได้อย่างลงตัว มันเปลี่ยนวิธีการค้นหาและฟังเพลงของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง
คนรักดนตรีในยุคนั้นต่างหลงรัก Winamp ไม่ใช่แค่เพราะมันเล่นเพลงได้ แต่เพราะมันเบา ไม่กินทรัพยากรเครื่อง และปรับแต่งได้อิสระสุดๆ แถมยังมี Plugin อย่าง MilkDrop ที่สร้าง Visualizer แสงสีสุดอลังการเต้นตามจังหวะเพลง ทำให้การฟังเพลงสนุกยิ่งกว่าเดิม
จากโปรแกรมที่ไม่มีใครรู้จัก ในปี 1998 Winamp มียอดดาวน์โหลดทะลุ 3 ล้านครั้ง ตัวเลขผู้ใช้งานเติบโตขึ้นจากศูนย์ไปเป็น 25 ล้านคนในปี 2000 และทะยานสู่ 60 ล้านคนในปี 2001 เป็นปรากฏการณ์ที่ดังกระฉูดไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ตในเวลานั้น
แต่ทุกเรื่องราวความสำเร็จ มักมีจุดเปลี่ยนที่เจ็บปวดเสมอ และสำหรับ Winamp มันคือสิ่งที่บริษัทเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆ ในยุค 90 มักต้องเผชิญ นั่นคือการถูกซื้อกิจการ
เดือนมิถุนายน ปี 1999 บริษัท AOL ยักษ์ใหญ่แห่งโลกอินเทอร์เน็ตในยุคนั้น ได้เข้าซื้อ Nullsoft ซึ่งเป็นบริษัทของ Winamp ไปด้วยมูลค่าสูงถึง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฟังดูเหมือนเป็นเงินก้อนโตสำหรับทีมงานเล็กๆ แค่ 4 คน
แต่ปัญหาใหญ่ก็ตามมา AOL ไม่ได้เข้าใจจิตวิญญาณของ Winamp เลยแม้แต่น้อย พวกเขามองเห็นแค่วิธีทำเงินจากยอดผู้ใช้งานมหาศาล และต้องการใช้ Winamp เป็นเครื่องมือหาลูกค้าให้กับบริการอินเทอร์เน็ตแบบ Dial-up ของตัวเอง
นี่คือจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การล่มสลายในเวลาต่อมา
ไม่นานนัก ประสบการณ์การติดตั้ง Winamp ที่เคยเรียบง่าย ก็กลายเป็นเรื่องน่ารำคาญ ผู้ใช้ต้องคอยกดปฏิเสธข้อเสนอสมัครสมาชิก AOL ฟรี ต้องเจอกับโปรแกรมเสริมที่ไม่ได้ต้องการ และโฆษณาที่น่ารำคาญของ AOL ที่ยัดเยียดเข้ามาไม่หยุด
AOL กำลังทำลายสิ่งที่ทำให้ Winamp เป็นที่รักของผู้คน ความเรียบง่าย ความสะอาด และความเป็นอิสระ มันถูกแทนที่ด้วยความพยายามในการขายของที่น่ารังเกียจ จนผู้ใช้เริ่มรู้สึกยี้ และมองว่าคุณค่าของโปรแกรมที่พวกเขาเคยรักกำลังเปลี่ยนไป
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องซ้ำซากในโลกเทคโนโลยี ที่บริษัทยักษ์ใหญ่มักทำลายนวัตกรรมดีๆ หลังจากซื้อมันมา เพราะความไม่เข้าใจในตัวตนของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
และในขณะที่ Winamp กำลังเจอกับปัญหาภายในที่ AOL ก่อขึ้น คู่แข่งตัวจริงก็ปรากฏตัวขึ้น
ในปี 2001 Apple ได้เปิดตัว iPod เครื่องเล่นเพลงพกพาที่เปลี่ยนโลก และภายในปี 2003 โปรแกรมคู่บุญของมันอย่าง iTunes ก็พร้อมให้ชาว PC ได้ใช้งาน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของจุดจบอย่างแท้จริงของ Winamp
เมื่อคุณมี iPod ที่อยู่ในมือ การเปลี่ยนไปใช้ iTunes เพื่อจัดการเพลงก็เป็นเรื่องที่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นไร้ที่ติ
iTunes ในยุคแรกนั้นเข้าท่ากว่า Winamp ในหลายๆ ด้าน มันสามารถ Rip เพลงจากแผ่นซีดีได้ในไม่กี่คลิก และในขณะที่ Winamp ของ AOL เริ่มรกไปด้วยหน้าต่างหลายบาน อินเทอร์เฟซของ iTunes กลับสะอาดสะอ้าน ใช้งานง่าย ทุกอย่างรวมอยู่ในหน้าต่างเดียว
แม้ว่าเหล่าคอมพิวเตอร์กี๊กตัวยงจะยังคงภักดีต่อ Winamp แต่สำหรับคนทั่วไปที่ต้องการแค่ฟังเพลงง่ายๆ iTunes คือคำตอบที่ใช่กว่า มันง่ายกว่า สะดวกกว่า และทำงานกับ iPod ได้สมบูรณ์แบบ
Winamp พยายามดิ้นรนต่อสู้ ด้วยการออกอัปเดตให้รองรับการถ่ายโอนเพลงไปยัง iPod แต่มันก็สายไปเสียแล้ว Apple ได้ยกระดับเกมการฟังเพลงไปอีกขั้น ทิ้งให้ Winamp กลายเป็นอดีตที่ค่อยๆ เลือนหายไป
ฐานผู้ใช้ของ Winamp ลดฮวบอย่างน่าใจหาย ผู้คนต่างแห่กันไปหา iTunes และระบบนิเวศของ Apple ที่ครบวงจรกว่า ส่วน Winamp ก็ยังคงติดหล่มอยู่กับการจัดการที่เละเทะของ AOL
บางครั้งการมาก่อนก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป การปรับตัวให้ทันกับความต้องการของผู้ใช้ต่างหาก คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
และแล้วในปี 2013 เมื่อ AOL ไม่สามารถทนแบกรับ Winamp ต่อไปได้อีก จึงตัดสินใจประกาศปิดตำนานโปรแกรมนี้ลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ธันวาคม 2013 มันดูเหมือนจะเป็นการจุดจบของมหากาพย์นี้
หลายคนคิดว่านั่นคือฉากสุดท้ายของ Winamp แต่แล้วเรื่องราวก็พลิกผันในนาทีสุดท้าย
เดือนมกราคม 2014 บริษัทสื่อดิจิทัลจากเบลเยียมชื่อ Radionomy ได้เข้ามาซื้อกิจการ Nullsoft ต่อจาก AOL ในราคาประมาณ 5-10 ล้านดอลลาร์ เว็บไซต์ Winamp กลับมาออนไลน์อีกครั้ง พร้อมคำสัญญาว่าเวอร์ชันใหม่กำลังจะมา
แต่แล้วความหวังก็ดูเลือนลางเวลาผ่านไปหลายปี ก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมออกมาเสียที หลายคนเริ่มคิดว่ามันอาจเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ จนกระทั่งปี 2018 มีไฟล์ติดตั้ง Winamp 5.8 หลุดออกมาบนโลกออนไลน์ ทำให้ Radionomy ต้องจำใจปล่อยเวอร์ชันนั้นออกมาเร็วกว่ากำหนด
การพัฒนาซอฟต์แวร์ในยุคนี้มันซับซ้อนกว่าสมัยก่อนมาก แรงกดดันจากชุมชนผู้ใช้ทำให้แผนการต่างๆ ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
เมื่อถึงปี 2023 เราก็ได้เห็น Winamp 5.9.2 ที่รองรับ Windows 11 และปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้น แต่ Radionomy ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น Llama Group แล้ว มีแผนที่ใหญ่กว่าแค่การปัดฝุ่นของเก่า
พวกเขาได้เปิดตัว Winamp Platform โฉมใหม่ ที่ไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมเล่นเพลงอีกต่อไป แต่มุ่งหวังจะเป็นระบบนิเวศสำหรับศิลปินและแฟนเพลง คล้ายๆ กับ Patreon สำหรับวงการดนตรี ที่ศิลปินสามารถหารายได้และแฟนคลับก็สนับสนุนได้โดยตรง
ฟังดูเป็นไอเดียที่เข้าท่าแต่เรื่องราวยังไม่จบง่ายๆ เพราะมันดันมีเรื่องฉาวโฉ่เกิดขึ้น
เดือนพฤษภาคม 2024 Llama Group ประกาศว่าจะทำให้ Winamp เป็น Open Source บางส่วน ซึ่งเป็นข่าวดีแต่เมื่อพวกเขาปล่อย Source Code ออกมาจริงๆ หายนะก็บังเกิด
ปรากฏว่าโค้ดที่ปล่อยออกมานั้น มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์อย่างหนักหน่วง เพราะดันมีโค้ดของบริษัทอื่นปะปนอยู่เพียบ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Intel หรือแม้แต่ Dolby กลายเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาต้องรีบลบ Repository บน GitHub ทิ้งแทบไม่ทัน
มันกลายเป็นบทเรียนราคาแพงว่า การทำ Open Source นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกับโปรแกรมเก่าแก่ที่มีประวัติ โชกโชนอย่าง Winamp
แล้วปัจจุบัน Winamp อยู่ที่ไหน? คำตอบคือมันยังคงมีชีวิตอยู่ ในหลายรูปแบบ สำหรับคนที่ยังถวิลหาความคลาสสิก คุณยังสามารถดาวน์โหลด Winamp 5.9.2 มาใช้งานได้ มันยังคงทำงานได้ดีบน Windows 11
ส่วน Winamp Platform โฉมใหม่ ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ในโลกที่ถูกยักษ์ใหญ่อย่าง Spotify หรือ Apple Music ครองตลาดอยู่ ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
สำหรับใครที่ทันใช้ Winamp ในยุครุ่งเรือง แค่ได้ยินเสียงเปิดโปรแกรมอันเป็นเอกลักษณ์ “Winamp, it really whips the llama’s ass!” ก็คงทำให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ ที่การหาเพลงใหม่คือการผจญภัย และการแต่ง Skin คือศิลปะ
เรื่องราวของ Winamp สอนให้เรารู้ว่า นวัตกรรมที่สุดเจ๋งไม่จำเป็นต้องมาจากบริษัทใหญ่เสมอไป บางทีมันก็เกิดจากนักศึกษาสองคนที่มีความฝันและความกล้าที่จะทำในสิ่งที่แตกต่าง
มันยังสอนเราว่า การถูกซื้อกิจการไม่ใช่ตอนจบที่สวยงามเสมอไป บางครั้งมันคือจุดเริ่มต้นของความพินาศ หากผู้ซื้อไม่เข้าใจในคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งที่พวกเขาได้มา
และที่สำคัญที่สุด โลกเทคโนโลยีนั้นเปลี่ยนแปลงเร็ว สิ่งที่เป็นมาตรฐานในวันนี้ อาจกลายเป็นของล้าสมัยในวันพรุ่งนี้ได้เสมอ
แม้ว่าวันนี้ Winamp จะไม่ได้เป็นโปรแกรมเล่นเพลงอันดับหนึ่งอีกต่อไป แต่มันได้ทิ้งมรดกและเปลี่ยนวิธีการฟังเพลงบนคอมพิวเตอร์ของเราไปตลอดกาล มันคือตำนานที่ยังมีลมหายใจ และสำหรับใครหลายคน มันยังคงเป็นโปรแกรมที่ “whips the llama’s ass” อยู่เสมอ
References: [techspot, wikipedia, fastcompany, businesswire, theregister]